วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

เอาไอ้ปลวกของแกคืนไป เอาป่าของเราคืนมา


ในเวลานี้ ถ้าใครในประเทศนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า เขา (รัฐบาลของไอ้ปลวก) จะเอาป่าผืนงามเหล่านี้ที่เหลืออยู่น้อยนิดในประเทศไทยของเราไปสร้างเป็นเขื่อนที่เรียกว่า "เขื่อนแม่วงก์" ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกได้มั๊ยว่าเป็นคนไทยที่ไม่ได้สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยเราเลย ท่านเหล่านั้นไปอยู่ไหนมา จะอ้างว่าเป็นเพราะสื่อสารมวลชน ทั้งฟรีทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุต่างๆ ไม่ได้เสนอข่าวเลย จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่เรามีสื่ออื่นๆ อีกมากที่นำเสนออย่างเจาะลึก และมากพออยู่ เช่น ช่องเคเบิ้ลทีวีที่เป็นช่องข่าวที่ไม่ใช่เครือข่ายของรัฐบาล โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเว็บบอร์ดกระทู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ถึงมันจะน้อยนิดเพียงใด แต่หากเป็นคนที่สนใจในปัญหาหรือเป็นผู้ที่มีความสนใจอยากจะทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงไม่ยากเกินกำลังของผู้ที่สนใจหรอก ข่าวสารที่มีแพร่หลายทั่วไป ผู้เขียนคิดว่ามีมากพอให้หาได้ ดังนั้นประเด็นเรื่องที่ฟรีทีวีทุกช่องจะไม่เล่นประเด็นข่าวเรื่องนี้ ผู้เขียนคิดว่าพอจะเข้าใจได้อยู่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ เรื่องอะไรจะให้มีการทำสกู๊ปข่าวเพื่อวิเคราะห์เจาะลึก หรืออีกนัยนึงก็คือมาแฉโครงการของรัฐที่จ้องจะงาบกันอยู่  ไอ้บรรดาคนไทยที่ไม่ได้สนใจปัญหาของประเทศอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ฟรีทีวีหรือสื่อต่างๆ จะประโคมข่าวอย่างไรให้เอิกเกริก มันก็ไม่สนใจอยู่ดี ดูอย่าง ประเด็นข่าวเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลทำเสียหาย,โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรกที่มีการคืนสิทธิ์ใบจองหรือยอมให้ยึดรถยึดบ้าน,ข่าวเรื่องน้ำท่วมเสียหายต่างๆ ที่รัฐบาลไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลยผ่านมาเกือบ 2 ปี ,ปัญหาเศรษฐกิจข้าวของแพงที่เกิดจากการขึ้นราคาพลังงานต่างๆ และเกิดจากผลักขึ้นของค่าแรง,ค่าครองชีพ ,ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ จนเกษตรกรต้องออกมาประท้วง ,ปัญหาความไม่สงบใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่เห็นคนไทยโดยส่วนใหญ่จะออกมาตีโพยตีพายอะไรเลย ยังคงเป็นพวก "ไทยเฉย"

ประเด็นคือประเทศนี้มันมีปัญหาอยู่เพียงแค่เรื่องการจะสร้างเขื่อนอย่างเดียวหรือไม่ ตอบได้เลยว่า มันมีปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด เปรียบเสมือน สุนัขที่เป็นโรคสุนัขขี้เรื้อนนั่นแหละ แตะไปตรงจุดใดก็มีแต่แผล เชื้อโรค อันน่ารังเกียจแทบทั้งสิ้น เราจึงต้องมามองกันที่ปัญหาภาพรวมมากกว่า ว่าต้นตอมันอยู่ที่ไหน แล้วแก้ที่ต้นตอหรือสาเหตุนั้น อย่าได้หลงไปตามวาระที่นักการเมืองเหล่านี้คอยเบี่ยงประเด็นให้สังคมต้องคอยเต้นตาม จำได้ว่าตอนที่มีการแฉเรื่องคลิปลับถั่งเช่า ก็ถูกประเด็นเรื่องเจนนี่ชนม์สวัสดิ์มากลบเสียสนิท สื่อทั้งหลายถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงประเด็นให้สังคมพากันสนใจไปอีกทาง พอมางวดนี้รัฐบาลมันกำลังจะผ่านวาระ 3 เรื่องแก้รัฐธรรมนุญประเด็นที่มาของ ส.ว.ก็มาถูกกลบด้วยประเด็นข่าวการจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่งวดนี้บรรดาโซเชียลมีเดียกำลังตกเป็นเหยื่อของการโยนประเด็นนี้มาเพื่อกลบข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนมันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว รอชงให้นายกฯทูลเกล้าถวาย ไปถึงขั้นตอนนั้นแล้ว ดังนั้น ปัญหาเกือบทุกปัญหาในประเทศนี้มันจึงอยู่ที่นักการเมือง ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เข้ามาเพื่อคอรัปชั่น แย่งชิงผลประโยชน์ ขาดจิตสำนึกที่เห็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ จะไม่บอกว่าปัญหาเกิดจากระบอบทักษิณแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากระบบการเมืองไทยทั้งระบบ ระบบข้าราชการ ระบบพ่อค้านายทุนเอกชนของประเทศนี้ ถ้าทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ประเทศนี้ก็จะมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบายต่างๆ  การที่ภาคเอกชนที่นำโดยนักธุรกิจชั้นนำจัดตั้งองค์กรขึ้นมาแล้วทำท่าขึงขังว่าจะต้านการคอรัปชั่นนั้น ผู้เขียนคิดว่าพวกนั้นทำเหมือนแค่มาพีอาร์ตนเอง สร้างภาพ ทำกิจกรรมเพียงแค่ผิวๆ ไม่กล้าที่จะสร้างเครือข่ายและมีปฏิกิริยาที่จะต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ ถามว่าพวกเขาไม่รู้หรือว่าใครคือตัวพ่อตัวแม่ของปัญหาการคอรัปชั่นในประเทศนี้ หรือในรัฐบาล เหตุใดเขาถึงไม่กล้าออกมาเดินหน้าชนอย่างเป็นทางการ และต้องทำจริงๆ จังๆ อย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผล วาระแห่งชาติจริงๆ ของประเทศนี้ก็คือกำจัดนักการเมืองออกไปจากสารบบของการเมืองไทยไปเลย เราต้องการนักบริหารที่เป็นผู้บริหารมืออาชีพ คัดเลือกมาจากทุกสาขาอาชีพ ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดของสภาประชาชนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะปฏิรูประบบการเมืองไทย โดยที่ผู้บริหารประเทศที่เข้ามาทำงานการเมืองมีวาระเบื้องต้นแค่ 1 ปี ต้องมีการทำ KPI's ประเมินผลงานทุกๆ ปี ถ้าปีแรกผ่านเกณฑ์ ทำงานดี มีผลงาน ก็จ้างต่อเป็นปีๆ ไป พวกมือสมัครเล่นหมดสิทธิ์เข้ามาทำงานการเมือง ส่วนการศึกษาไม่สำคัญ คุณอาจจบแค่ ป.4,ม.6 หรือปริญญาตรี โท อะไรไม่สำคัญถ้าทำงานแล้วเข้าตาประชาชน มีผลงานก็ได้ไปต่อ ถ้าไม่ดีไม่ผ่านก็เปลี่ยนตัว สมาคมหรือสถาบันองค์กรของสาขาอาชีพนั้นจะเป็นผู้คัดเลือกหาคนที่ดีที่สุด เจ๋งที่สุดเข้ามาเป็นผู้แทนของเขา ส่วนพวกนักการเมืองอาชีพยังให้มีอยู่ในระบบแต่เหลือเพียงสัดส่วนแค่ 10% ของทั้งสภา เช่นถ้าสภามี 500 คน พวกนักการเมืองอาชีพที่มาจากการคัดสรรจากพรรคการเมือง (เลือกตั้งทางอ้อม) ขอมีได้แค่ 50 คน เลิกระบบการเลือกตั้งทางตรงโดยให้ประชาชนไปกากบาทที่คูหาไปเสีย (เพื่อขจัดการซื้อเสียง) อีกทั้งคนที่มาจากสาขาอาชีพนักการเมือง ต้องวางหลักทรัพย์หรือเงินสดค้ำประกันการเล่นการเมือง เสมือนคนที่จะเข้าทำงานในบริษัทเอกชนทั่วไปเขาทำกัน ถ้าไม่มีการโกงหรือทุจริต เมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเงินค้ำประกันนี้ก็จะได้คืน เงินค้ำประกันนี้จะต้องวางเป็นอัตราส่วน 20% ของบัญชีฐานะการเงินของนักการเมืองคนนั้น เช่น ถ้าแจ้งฐานะการเงินบัญชีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อ ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่ ก็ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือเงินสดเป็นจำนวน 20%ของบัญชีทรัพย์สินนั้น เช่น ถ้า นาย ก.แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่าตนเองมีเงินรวมกับทรัพย์สินเป็นเงิน 600 ล้านบาท ก็ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการเข้าสู่อาชีพนักการเมือง 120 ล้านบาท (ทั้งนี้รวมถึงบัญชีของภรรยา/สามีและบุตรของนักการเมืองคนนั้นด้วย เพื่อป้องกันการผ่องถ่ายทรัพย์สิน) ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วบรรดาพวกนักการเมืองอาชีพอาจจะโอดครวญว่าแล้วใครมันจะอยากมาเล่นการเมืองหล่ะนี่ ก็ขอบอกว่าถ้าไม่เล่นก็ดี ให้มันสูญพันธุ์ไปเลยได้ก็ดี เพราะนักการเมืองที่ไหนในโลกนี้ ถ้าจะเข้ามาก็ต้องรู้จักคำว่าเสียสละกันบ้าง เป็นบริบทเดียวกับนักการเมืองทั่วโลกทั้งนั้น ถ้าจะเข้ามาเพื่อหาประโยชน์ให้พวกพ้องตนเองหล่ะอย่ามาเลย การเสียสละเพียงแค่นี้ผู้เขียนคิดว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะประเทศนี้ไม่เหลืออะไรให้พวกแกมารุมทึ้งกันอีกแล้ว อีกทั้งควรมีการแก้กฏหมายให้มีศาลคอรัปชั่น (ไม่ใช่ไปแก้รัฐธรรมนูญในข้อที่พวกแกได้ประโยชน์กัน พอสำเร็จความใคร่และสมประโยชน์กันแล้วก็เตรียมจะเผ่นแนบไปอยู่ต่างประเทศกัน) ที่จะสามารถเล่นงานย้อนหลังนักการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะเป็นคดีที่ไม่มีอายุความ และสามารถตามไปยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ หากภายหลังพ้นอำนาจไป และตามสืบจนมีหลักฐานเอาผิด และสามารถยึดทรัพย์ได้ทั้งหมดแม้ว่ามีการผ่องถ่ายไปอยู่กับผู้ใดก็ตาม รวมถึงขอความร่วมมือไปถึงต่างประเทศเพือขออายัดทรัพย์ในต่างแดนด้วย หากมีหลักฐานส่งไปขอความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศนั้นๆ จะแก้ปัญหาพวกนักเลือกตั้งหรืออาชญากรทางการเมืองทั้งหลายที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังโกงกินสร้างฐานะตนเองให้ร่ำรวยได้ อย่างน้อยก็ระดับนึง ไม่ทำให้ประเทศล่มสลายเหลือแต่ซากเหมือนอย่างในปัจจุบัน ลูกหลานไทยในยุคต่อไปจะได้เหลือสมบัติ หรือความมั่งคั่งที่คนรุ่นบรรพบุรุษของเขาสร้างเก็บเอาไว้เป็นมรดกตกทอดไว้บ้าง ไม่ใช่มีแต่กองมรดกที่อยู่ในรูปของหนี้สาธารณะ ที่บรรดาลูกหลานจะต้องมีภาระผ่อนใช้หนี้กันหัวโตไปถึงชาติหน้า หรืออีกหลายชาติก็ยังใช้ไม่หมด โดยที่ตนเองไม่ได้ก่อไว้

ข้อมูลของอุทยาทแห่งชาติแม่วงก์ โดยสังเขป

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และกิ่งอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 4-5 แห่ง ทั้งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ที่สำคัญของจังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีแก่งหินทำให้เกิดน้ำตกเล็กๆ ตามแก่งหินนี้ ตลอดจนมีหน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 558.750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร ด้วย นายสวัสดิ์ คำประกอบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือจากสำนักนายกรัฐมนตรีที่ นร 0104/9871 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2526 ถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์) ขอให้จัดพื้นที่ป่าแม่วงก์-แม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งมีสภาพธรรมชาติและน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง สภาพป่าอุดมสมบูรณ์และเป็นป่าต้นน้ำลำธาร กำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ จึงได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 1290/2526 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2526 ให้นายชัยณรงค์ จันทรศาลทูล นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปดำเนินการสำรวจหาข้อมูล ปรากฏว่า พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกแม่กระสาหรือแม่กี ซึ่งสูงประมาณ 200 เมตร และหน้าผาต่างๆ สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กษ 0713/พิเศษ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2526  กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2528 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2528 เห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองขลุงและป่าคลองแม่วงก์ในท้องที่ตำบลปางตาไว อำเภอคลองขลุง (ปัจจุบันเป็นอำเภอปางศิลาทอง) จังหวัดกำแพงเพชร และป่าแม่วงก์–แม่เปิน ในท้องที่ตำบลแม่เลย์ และตำบลห้วยน้ำหอม อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ (ปัจจุบันเป็นตำบลแม่เลย์ อำเภอแม่วงก์ และตำบลแม่เปิน กิ่งอำเภอแม่เปิน) เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 104 ตอนที่ 183 ลงวันที่ 14 กันยายน 2530 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 55 ของประเทศ

ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงรายกันอยู่ตามเทือกเขาถนนธงชัยลดหลั่นลงมาจนถึงพื้นราบ ประมาณ 40-50 ลูก ยอดที่สูงที่สุดคือ “ยอดเขาโมโกจู” สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,964 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารต้นกำเนิดของลำน้ำแม่วงก์ ส่วนพื้นที่ราบมีไม่มาก ส่วนใหญ่อยู่บริเวณริมแม่น้ำ และเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญ เช่น แร่ไมก้า

ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ในช่วงฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น อันเนื่องมาจากลิ่มความกดอากาศสูงมาจากประเทศจีนแผ่ลงมาทางตอนใต้เข้าสู่ประเทศไทยตอนบนและปกคลุมทั่วประเทศ ลมที่พัดสู่ประเทศไทยในฤดูนี้คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนช่วงฤดูร้อนเริ่มต้นจากเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม อากาศค่อนข้างร้อนจัดและมีฝนตกน้อย ทำให้สังคมพืชป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณผลัดใบ สำหรับฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - เดือนตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ย 1,100 มิลลิเมตรต่อปี

พืชพรรณและสัตว์ป่า
สภาพป่าทั่วไปของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ประกอบด้วย

ป่าเบญจพรรณ จะอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งห้วยและภูเขาที่ไม่สูงนัก พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ สัก เสลา ชิงชัน กระบก กระพี้เขาควาย มะค่าโมง งิ้วป่า ประดู่ป่า กาสามปีก ติ้ว ฯลฯ มีไผ่ชนิดต่างๆขึ้นอยู่หลายชนิด เช่น ไผ่ป่า ไผ่ไร่ ไผ่ซางนวล ไผ่รวก พืชพื้นล่าง เช่น หนามเค็ด ส้มเสี้ยว หนามคนฑา เป็นต้น

ป่าเต็งรัง ขึ้นอยู่สลับกับป่าเบญจพรรณ พบในช่วงระดับความสูงตั้งแต่ 100-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด มะเกิ้ม ประดู่ มะม่วงป่า มะค่าแต้ พะยอม มะขามป้อม สมอไทย ฯลฯ พืชพื้นล่างที่พบ เช่น ไผ่เพ็ก และปรง เป็นต้น

ป่าดิบเขา พบขึ้นอยู่ในบริเวณที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300-1,500 เมตร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ก่อใบเลื่อม ก่อเดือย ก่อลิ้น ก่อแอบ ทะโล้ จำปาป่า กะเพราต้น หนอนขี้ควาย กำลังเสือโคร่ง ดำดง กล้วยฤาษี และมะนาวควาย เป็นต้น

ป่าดิบแล้ง ประกอบด้วย ยางแดง ยางนา กระบาก ตะเคียนหิน ปออีเก้ง สมพง กัดลิ้น มะหาด พลอง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีไม้พุ่มและพืชพื้นล่างต่างๆ ที่ทนร่มอีกมากมายหลายชนิด เช่น เข็มขาว หนามคนฑา ว่าน พืชหัวต่างๆ อีกทั้งกล้วยไม้ต่างๆ อีกมากมาย

ทุ่งหญ้า พบกระจัดกระจายไปตามป่าประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ เกิดจากการทำลายป่าของชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่ สังคมพืชที่ขึ้นทดแทนในพื้นที่ได้แก่ หญ้าคา หญ้านิ้วหนู เลา สาบเสือ พง แขมหลวง มะเดื่อ ไมยราบเครือ ไมยราบต้น ลำพูป่า หว้า ติ้วแดง งิ้วป่า มะเดื่อหอม เป็นต้น

เนื่องจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีอาณาเขตติดต่อกับป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งสัตว์สามารถใช้เส้นทางเดินติดต่อกันได้ ได้แก่ สมเสร็จ เลียงผา กระทิง ช้างป่า เสือโคร่ง เสือดาว หมีควาย หมีหมา ชะนีธรรมดา ค่างหงอก ลิงกัง อ้นเล็ก กระรอกบินเล็กแกมขาว ค้างคาวปากย่น ไก่ป่า เหยี่ยวรุ้ง นกแว่นสีเทา นกกก นกเงือกกรามช้าง นกปรอดเหลืองหัวจุก นกเขาใหญ่ นกกะเต็นอกขาว นกจาบคาเคราน้ำเงิน นกแซงแซวสีเทา เต่าหก เต่าเหลือง เหี้ย ตะกวด งูเห่า งูแมวเซา ฯลฯ



กรณีรายการคนค้นตน เทปการเดินต้านเขื่อนแม่วงก์ของ นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ที่ต้องออกอากาศ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ย. เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ถูกกองเซ็นเซอร์ช่อง 9 สั่งงดออกอากาศกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องนี้ไม่มีความสมดุลของทั้งสองฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้าน นั้น
(อ่านประกอบ:"ทีวีบูรพา" ปล่อยเทปคนค้นตน "อ.ศศิน" ผ่านยูทูปหลังถูกช่อง 9 "เซนเซอร์")

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ “เช็ค” ผู้บริหารบริษัททีวีบูรพา จำกัด ผู้ผลิตรายการคนค้นตน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายสุทธิพงษ์ได้เปิดใจกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org โดยละเอียดหลายประเด็น อาทิ เนื้อหาส่วนที่กองเซ็นเซอร์ต้องการให้ปรับ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกเหนือจากข่าวที่เผยแพร่ออกมาว่าต้องการให้นำเสนอข้อมูล 2 ด้าน รวมถึงประเด็นเรื่องมาตรฐานของการเซ็นเซอร์ว่าอยู่ตรงไหนแน่ และการคุกคามสื่อที่นายสุทธิพงษ์ย้ำว่าสื่อต้องกล้าที่จะยืนหยัด ไม่ตกอยู่ภายใต้อคติความหวาดกลัว อุปาทาน และคิดเองเออเอง   “ผมไม่ได้เป็นคนที่คุยกับเจ้าหน้าที่ของช่องด้วยตัวเอง คนที่คุยคือคุณประสาน ( อิงคนันท์ ) ซึ่งในตอนนั้น คุณประสานยังยุ่งอยู่กับการประกวดคนค้นฅนอวอร์ดที่นครศรีรรมราช คุณประสานก็โทรมาเล่าให้ผมฟังทางโทรศัพท์ว่ามีเจ้าหน้าที่จากทางช่องขอให้มีการปรับ โดยมีรายละเอียดอยู่ใน 2 ช่วง คือ ขอให้ถ่ายเปิดรายการใหม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้คุยกับคุณประสานมากกว่านี้ในตอนนั้น แล้วตอนที่เจ้าหน้าที่โทรหาคุณประสานก็เป็นเวลาบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ซึ่งรายการจะออกอากาศในวันเสาร์แล้ว ก็ไม่ทันแน่นอน"
"ส่วนจุดที่ถูกแก้ มีอยู่ 2 จุด คือ 1. ในเนื้อหาจะมีเหตุการณ์ที่คุณศศินเดินผ่าน อ. ลาดยาว เป็นเวลาค่ำ ไม่สามารถที่จะนอนพักที่นี่ได้ คุณศศินก็ไปนอนพักที่อื่นแล้วตอนเช้าจึงกลับมาเริ่มเดินต่อจากจุดเดิม เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย คุณศศินบอกในทำนองว่า“มีแรงกดดัน เขาไม่อนุญาตให้เดิน”
“อีกจุดหนึ่ง เป็นตอนที่คุณศศิพูดถึงบรรยากาศของบ้านเมือง ว่าตอนนี้มันเหมือนกับช่วง 14 ตุลาคม 2516 กับ 6 ตุลาคม 2519 มันเป็นบรรยากาศที่ใครจะออกมาแสดงความคิดที่เห็นต่างแล้วจะมีความกังวล หวาดกลัว นี่เป็นจุดที่เขาอยากให้ปรับ แล้วนอกจากนี้ผมก็ไปถ่ายผู้เปิดรายการใหม่ แต่ก็โดนเซ็นเซอร์”  เมื่อถูกช่อง 9 เซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์ อธิบายความรู้สึกว่าการที่เทปไม่ได้ออกอากาศ ตนในฐานะคนที่เซ็นสัญญากับช่องแล้ว และทำงานมา 10 กว่าปี ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ทุกครั้งที่ผ่านมาถ้าพูดถึงแก่นแท้เรื่องความรู้สึกที่แท้จริงตนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับที่ฝ่ายเซ็นเซอร์เขาให้เหตุผลมาในครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาบางอันตนก็เห็นด้วย หรือแม้บางครั้งตนไม่เห็นด้วยแต่ก็เคารพในกติกา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรต่อกรณีที่นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด มหาชน ชี้แจงว่าเป็นเพราะฝ่ายเซ็นเซอร์ต้องการให้มีข้อมูลที่เห็นต่างนำเสนอด้วยนั้น นายสุทธิพงษ์ตอบว่า
“โดยรูปแบบรายการคนค้นฅน ตอนที่เราทำ TOR เซ็นสัญญากันกับทางช่องมีการระบุไว้อย่างละเอียด เราบอกไว้ชัดว่ามันไม่ใช่รายการที่จะมีการนำเสนอความเห็นต่าง หากจะมีก็สามารถทำได้ในครั้งต่อมา ถ้าจะให้เราทำความเห็นต่างอีกครั้งก็ได้ แต่การจะให้นำเสนอในครั้งเดียวกัน ก็ แหม เขาไม่เข้าใจรายการและรูปแบบรายการ”  เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะร้องเรียนต่อผู้บริหารช่อง 9 หรือไม่ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าตนไม่ติดใจประเด็นนี้   “สำหรับผม ผมอยากให้แยกรายการคนค้นฅน นายสุทธิพงษ์ และนายประสานออกจากกันก่อนนะครับ คือเมื่อมีการระงับ ในเจตนาที่แท้จริงของผม ผมเอนเอียงมาทางคุณศศิน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าในความเป็นจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง กับรัฐบาล หรือรัฐมนตรีคนใดและผมจะไม่พยายามทำให้การตั้งป้อม ทำให้เราละเลยความเป็นจริง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากความกังวล หรือความกลัวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่จากการประมวลตามที่ท่าน ผอ. ใหญ่พูด ผู้ใหญ่ในช่องไม่รู้เรื่องนี้ ผมก็เข้าใจเจ้าหน้าที่กองเซ็นเซอร์เขานะ หากเปรียบกับคุณศศิน คุณศศินเองก็ยอมรับกับผมว่าเขากลัว แต่เขาก็ต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนคนเซ็นเซอร์เขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา แต่การทำหน้าที่ของคุณศศินมีแต่คนแซ่ร้องสรรเสริญ”  นอกจากนี้ นายสุทธิพงษ์เปิดใจด้วยว่า ทีมงานคนค้นฅนและฅ คน แม็กกาซีน ติดตามไปทำข่าวนายศศิน ตั้งแต่วันที่ สองที่เริ่มเดิน วันแรกเราเตรียมตัวกันอยู่ เลยไปไม่ทันแต่การที่เราไปยังไม่มีสื่อไหน ไม่ว่ากระแสหลัก หรือว่ากระแสรอง ติดตามทำข่าวนี้ เราเป็นสื่อแรกที่ไป แต่พอใกล้จะออกอากาศคุณศศินก็ออกอากาศสื่อต่างๆ แทบทุกที่ แม้กระทั่งวอยซ์ทีวี แล้วส่วนใหญ่ คุณศศินก็ไปฝ่ายเดียว แต่ก็มีการเซ็นเซอร์คนค้นฅนในเรื่องนี้   เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าท้อไหม ที่หลังจากเกิดเรื่องข้าว ก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก นายสุทธิพงษ์ตอบว่า “ผมไม่ท้อ ตรงกันข้าม ยิ่งยืนหยัด ผมไม่ได้ห่วงรายการ ไม่ได้ห่วงนายสุทธิพงษ์ แต่ห่วงการตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว อุปาทาน ความวิตกกังวล สิ่งนี้ต่างหากมันทำให้สื่อฯจำนวนมาก ไปสะกดจิตตัวเองว่ารัฐบาลจะปิดบังอะไรเราแน่ ทั้งๆ ที่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้น ความไม่กล้าหาญของสื่อฯ เอง จะไปโทษผู้อื่นก็ไม่ถูกนัก”
ส่วนการถูกเซ็นเซอร์ นายสุทธิพงษ์กล่าวว่าพยายามไม่ไปค้นหาความจริง ผู้ที่ทำอาจจะปรารถนาดีต่อทุกฝ่ายและตนหวังว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรนำไปสู่การมีอคติ ไม่ควรมีการด่าทอกันอย่างหยาบคาย แต่ควรจะทำให้ทุกคนสามารถพูดและแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ   เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการปิดกั้นข่าวสารหรือคุกคามสื่อหรือไม่ นายสุทธิพงษ์ตอบว่า “นักข่าว Thai PBS ถามผมแบบนี้ ผมตอบเขาด้วยการเอาเทปมาปิดปาก ปิดตา ปิดหู แต่คำตอบนั้น มันเป็นคำตอบที่เป็นแค่ความรู้สึกต่อ “ภาวะการณ์” ไม่ใช่ตัวบุคคล มันไม่ใช่การกล่าวหาใคร แต่เรากำลังตกอยู่ในภาวะการณ์เช่นนั้น ไม่ใช่ผลผลิตจากใครคนใดคนหนึ่ง และผมหวังอย่างยิ่งว่าจากเหตุการณ์นี้ เราจะใช้อคติไม่ได้ เราจะหวาดกลัวไม่ได้ เราจะคิดเองเออเองไม่ได้ ในความเป็นจริงมันอาจเป็นสิ่งที่ผู้น้อยคิดแทนผู้ใหญ่”   นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวถึงการเซ็นเซอร์ด้วยว่าตนตั้งข้อสังเกตุถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และเห็นว่า เรื่องนี้ควรทบทวนกันอย่างจริงจังว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหน
“มันเป็นวิจารณญาณและเป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ละเสียง แต่ละช่อง มันไม่มีมาตรฐานในการเซ็นเซอร์ทั้งที่มันควรจะมีมาตรฐาน เมื่อมันเป็นเรื่องของความเห็น มีบริบทต่างกัน ทัศนะคติต่างกัน ความกังวลต่างกัน ดังนั้น อะไรคือมาตรฐาน นี่เป็นเรื่องที่ต้องถามไปถึง กสทช.”  สำหรับเหตุการณืที่เกิดขึ้น นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่าตนไม่แน่ใจว่ากองเซ็นเซอร์มีอำนาจสั่งระงับหรือไม่  “แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีเจตนา แม้เขาบอกไม่ได้ห้าม แต่เงื่อนไขที่เขามีตามมานั้นมันเป็นยังไง แต่ที่เราเห็นได้ชัดจากเรื่องนี้ก็คือการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนี้ยิ่งทำได้ยาก หากทำอะไรที่ขัดสามัญสำนึก ขัดกับความถูกต้องชอบธรรม ผมว่ามันยิ่งเป็นการเชิญแขก เรื่องนี้ถ้าคิดให้ดีแล้ว คนที่เขาคิดเป็น เข้าใจและรอบคอบ เขาก็คงไม่เห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอมันมีจุดใดที่ต้องกังวล เพราะสิ่งที่รายการเราถ่ายทอดออกไปคือความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ในแง่ของคนต้นเรื่องที่เรานำเสนอในเรื่องของความกล้าหาญ”  นอกจากนี้นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า การนำเสนอผ่านยูทูปไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นการประชดประชันใคร แต่คือสิ่งที่ยืนยันว่า “ในเนื้อหา 2 ส่วนที่เขากังวล เมื่อเผยแพร่ออกไปก็ไม่มีใครที่ดูแล้วจะหยิบมาเป็นประเด็นอะไร เมื่อเผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว คนที่ได้ดูก็เข้าใจในสาระสำคัญที่เราต้องการนำเสนอ” นายสุทธิพงษ์ระบุ

ล่าสุดในช่วงเวลา 19.00 น. วันที่ 30 กันยายน สำนักข่าวไทย รายงานว่า เทปรายการ "คนค้นฅน" เรื่องเขื่อนแม่วงก์ ไม่ได้ออกอากาศเสาร์ที่แล้ว จะนำมาออกอากาศวันที่ 12 ตุลาคมนี้ หลังบริษัทแก้ไขเนื้อหาบางส่วนให้มีข้อมูลทั้ง 2 ด้านแล้ว

 
 

 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น