วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Trainspotting ทางเลือกของชีวิต ที่คุณคิดได้เอง

Trainspotting ทางเลือกของชีวิต ที่คุณคิดได้เอง


เหตุการณ์ที่เจ้าพ่อเพลงร็อคบ้านเรา อย่างเสก โลโซ เกิดมรสุมชีวิต งานเข้าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กลายเป็น talk of the town กันไปร่วมอาทิตย์นึง สาเหตุที่มาที่ไปและเรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงพอจะรับทราบจากทางสื่อทุกประเภทดีอยู่แล้ว ผู้เขียนคงไม่ขอกล่าวถึงอีก แต่จากเหตุการณ์เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนคิดไปถึง ภ.ฮอลลีวู้ดเรื่องนึงที่เคยโด่งดังมากขึ้นมา และเป็นที่กลาวขวัญถึงทั้งในแง่นักวิจารณ์ และสายหนังอินดี้หรือหนังแนวล่ารางวัล เรื่องนั้นก็คือ Trainspotting จึงอยากหยิบเอาประเด็นของหนังเรื่องนี้มานำเสนอ ซึ่งก็เข้ากับสถานการณ์ของศิลปินร็อคท่านนั้นได้เป็นอย่างดี

ใบปิดของหนังเรื่อง Trainspotting มีคำโปรยว่า “เลือกชีวิต เลือกงาน เลือกบ้าน เลือกประกันสุขภาพฟัน เลือกชุดลำลองที่เข้ากันกับกระเป๋า เลือกอนาคต แต่ทำไม คนทุกคนถึงต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า” นั่นเป็นประโยคเปิดหัวเรื่องของตัวละครเอกของเรื่องในหนัง ซึ่งตั้งคำถามถึงชีวิตในรูปแบบที่เขาไม่ต้องการจะเป็นและมี พร้อมๆ กับที่ขณะเดียวกัน เขาก็หันเข้าหายาเสพติด ทำให้การฉีดยาเข้าเส้นเลือดเป็นหลักชัยของการเกิดมาบนโลกใบนี้

เหตุการณ์ของหนังเรื่องนี้จะเกิด ณ กรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ หนังเล่าเรื่องชีวิตของ มาร์ค เรนตัน หรือ เร้นท์และบรรดาเพื่อนสุดเพี้ยนร่วมแก็งค์ของเขา ไล่ตั้งแต่ ซิกบอย คนบ้าหนัง, คนที่ดูจะเลื่อนลอยอยู่ตลอดเวลาอย่างสปั๊ด, นักฟุตบอลอย่างทอมมี่ และอันธพาลอย่าง ฟรานซิส เบ็กบี้ (คนนี้ไม่ติดยาแต่เสพการทำร้ายผู้คนแทน) เรนตันและเพื่อนๆ ของเขาตัดสินใจที่จะเลิกยา ซึ่งพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ หันมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป เรนตันพบว่าเขาพลาดสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “เซ็กส์” ว่าแล้วเขาก็ออกไปแสวงหาจนได้พบสมใจ แต่พอรุ่งเช้า เรนตันก็พบว่า ไดแอน หญิงสาวที่เขานอนด้วยเมื่อคืนนั้นเป็นเพียงผู้เยาว์ อีกทั้งเพื่อนๆ ก็เผชิญกับปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงเช่นกัน พวกเขาเลยตัดสินใจที่จะกลับมาเสพยาอีกครั้ง และเพื่อให้มีเงินมาเสพยาอีกครั้ง และเพื่อให้มีเงินมาซื้อเฮโรอีน เรนตันกับสปั๊ดจึงคิดสั้นร่วมกันขโมยของจากร้านค้า แต่ก็ไปไม่รอด ทั้งคู่ถูกจับ สปั๊ดติดคุกขณะที่เรนตันให้รอลงอาญา วันเดียวกับที่ฟังคำพิพากษาจากศาล เรนตันเกือบตายเพราะเสพยาเกินขนาด พ่อแม่เขาจึงไม่มีทางเลือกจำต้องขังลูกชายของเขาไว้ เพื่อให้เลิกยาแบบหักดิบ ซึ่งก็สำเร็จ เรนตันไป เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงลอนดอน และดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วเมื่อเบ็กบี้มาเยี่ยมเยียน เรื่องราวต่างๆ ก็ทำท่าว่าจะย่ำแย่ลงไปอีกครั้ง

ที่มาของชื่อเรื่อง Trainspotting นั้นปรากฏอยู่ในตัววรรณกรรม แต่ไม่ถูกนำมาบอกเล่าในหนัง กล่าวคือ ขณะที่เรนตันและเบ็กบี้ ไปเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ พวกเขาก็พบกับชายแก่คนหนึ่งที่กำลังเมามาย ซึ่งถามคนทั้งสองว่าเป็นคนที่สนใจในเรื่องราวของรถไฟรึเปล่า (Trainspotter หรือ Railfan) ทั้งสองเดินจากมา และเรนตันก็รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชายขี้เมาคนนั้นเป็นพ่อของเบ็กบี้เอง



ตัวหนังสร้างจากวรรณกรรมชื่อเดียวกันกับหนัง โดยผุ้เขียนก็คือ เออร์วิน เวลช์ เป็นผลงานการกำกับของ แดนนี่ บอยล์ เป็นงานที่ส่งให้ผู้กำกับชาวอังกฤษคนนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้กับยวน แม็คเกรเกอร์ ที่รับบทเป็น มาร์ค เรนตัน ได้อย่างสมบทบาท อีกทั้งตัวหนังยังได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังคัลต์ (cult film) คลาสสิกเรื่องนึง แม้ว่าพล็อตเรื่องจะดูไม่มีอะไร แต่หนังเรื่องนี้มีจุดพิเศษก็คือ กลวิธีที่แดนนี่ บอยล์ใส่ลงไป ทั้งการใช้มุมกล้อง การใช้ภาพเหนือจริงแทนอาการหลอนของคนที่เสี้ยนยา และมุกตลกร้าย่ที่ถูกสอดแทรกอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการเล่าเรื่องราวที่มีสีสัน ลดทอนความเคร่งเครียดของประเด็นซีเรียสของหนังลงได้เยอะ ในขณะที่ทิศทางของหนังไม่ได้เสียหรือเป๋ไปเลย แม้หนังจะให้อารมณ์ในแบบสองแง่สองง่ามอยู่ตลอดเวลาทั้งในเรื่องการใช้ยาเสพติด เซ็กส์ และอาชญากรรม จนดูว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสนุกสนาน แต่ถ้ามองให้ดีแล้วนั้น Trainspotting ย้ำเตือนคนดูอยู่ตลอดเวลาว่า คนที่หันหน้าเข้าหาผงขาว ชีวิตของพวกเขาคาบเกี่ยวกับคำว่าหายนะ ชะตากรรมของพวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้องหาเงินมาเพื่อซื้อเฮโรอีนที่หามาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ความตายของเด็กทารกผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง และการก้าวพลาด พลาดโอกาสสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างมากมาย รวมไปถึงการติดเชื้อเอดส์ หนังพาเราไปพบกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต พาไปสำรวจความคิด,พฤติกรรมของคนที่ติดยา พร้อมทั้งบอกกับเราว่าการเป็นคนดี บางทีก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ลำบากเสียจนเกินความเป็นมนุษย์จะทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกที่จะทำและเลือกที่จะเป็นหรือไม่ ก็แค่นั้น


บทเกริ่นนำ(อารัมภบท) ในหนังสือนวนิยายที่ชื่อ Trainspotting

ประวัติความเป็นมาของผู้เขียน เออร์วิน เวลช์ (Irvine Welsh) เกิดที่มูร์เฮ้าร์ส นอกเขตเมืองเอดินเบิร์ก ในปี 1961 ท่ามกลางความทุกข์ยากจากภาวะเศรษฐกิจขาลง ก่อให้เกิดความแร้นแค้น และภาวการณ์ว่างงานในทุกเขตพื้นที่ ชีวิตของเวลช์ระหกระเหินเดินทางอยู่แทบจะตลอดเวลา ผ่านประสบการณ์มาแล้วทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่การเป็นช่างซ่อมทีวี พนักงานเสิร์ฟ นักดนตรี ดีเจ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้ค้นพบเส้นทางที่ตนเองปรารถนา เส้นทางนั้นคือ การมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียน

เออร์วิน เวลช์ เริ่มต้นงานเขียนของเขาด้วยการส่งเรื่องสั้นไปยังสนามต่างๆ ในนิตยสารแทบจะทุกเล่มที่รับงานของนักเขียนสมัครเล่น เพียงไม่นานทุกสนามต่างถูกเขายึดหัวหาดได้ในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน เวลช์กลายเป็นนักเขียนเรื่องสั้นขาประจำสำหรับสนามหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร Rebel Inc., Edinburgh Magazine, West Coast Magazine ฯลฯ เรื่องสั้นของเขาต่างได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างดี

ความสำเร็จครั้งสำคัญของเวลช์เกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อนวนิยายเรื่องแรกที่ชื่อ Trainspotting ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ด้วยการเป็นนวนิยายที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและทรงพลังอย่างที่สุดในการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปในสังคมและวาทกรรมแห่งชีวิต เพียงไม่นาน นวนิยายเรื่องนี้ก็เข้ายึดกุมหัวใจคนหนุ่มสาวจำนวนมากทั่วโลก Trainspotting ถูกคัดเลือกให้เข้าสู่รอบสุดท้ายในการพิจารณาให้รางวัลบุ๊คเคอร์ไพรซ์ (Booker Prize) พร้อมๆกับทำรายได้ถล่มทลายด้วยยอดขายกว่า 5 ล้านเล่ม ก่อนจะลงเอยขยายฐานความสำเร็จไปสู่ภาพยนตร์ เมื่อนวนิยายเรื่องแรกของเขาเรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน และประสบความสำเร็จทั้งในแง่คุณภาพและรายได้ไม่ต่างกัน

เวลช์มีผลงานตามมาอีกหลายเรื่องและหลากหลายประเภท ทั้งรวมเรื่องสั้น,เรื่องสั้นขนาดยาว บทละครและนวนิยาย ผลงานแต่ละชิ้นต่างได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผลงานที่น่าจับตามองได้แก่ งานรวมเรื่องสั้นในยุคแรกๆที่มีชื่อว่า The Acid House(1994) และ Glue(2001) นวนิยายที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของยุคสมัยและช่วงวัยของผู้คน ก่อนจะกลับมาใช้ตัวละครชุดเดิมอีกครั้ง ในนวนิยายที่เป็นภาคต่อของ Trainspotting ซึ่งมีชื่อว่า Porno ปัจจุบันเออร์วิน เวลช์ ใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน เพื่อสร้างสรรค์งานเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ และมีผลงานตามออกมาอีก

ย้อนไปในปี 1997 ความพยายามที่จะลงหลักปักฐานให้กับชีวิตอันลุ่มๆ ดอนๆ บนความใฝ่ฝันที่จะทำมาหากินในอาชีพนักเขียนนวนิยายของเออร์วิน เวลช์ ก็จบลงตรงที่นวนิยายเรื่องหนึ่งซึ่งรวมเอาประสบการณ์ผ่านบันทึก และเรื่องสั้นมากมายที่ได้รับการตีพิมพ์มาก่อนหน้า ผสานรวมกันเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวที่มีความเป็นเอกภาพและมีอัตลักษณ์ตามแบบอย่างของวรรณกรรมร่วมสมัย ทุกอย่างต่างรวมกันอยู่ในนวนิยายที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่กลัวหน้าแตกจากนิตยสาร Rebel Inc. ว่า “สมควรจะขายดีกว่าไบเบิ้ล” เรื่องนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นในปรากฏการณ์ความโด่งดังของ Trainspotting

เวลช์ เริ่มต้นนวนิยายเรื่องแรกของเขาด้วยการตีแผ่ความเป็นไปของวิถีชีวิตของคนชายขอบในสก็อตแลนด์ยุคร่วมสมัย ก่อนจะขยายและกินความเลยไปถึงความเป็นไปของโลกที่หลงใหลในค่านิยมจอมปลอม ภาวะการหลอนและลวงตัวตนของคนยุคปัจจุบัน การยึดติดกับรูปธรรมอันไม่จริง ตลอดจนภาวะ ”ติดกับ” ที่จุดศูนย์องศาของการมีชีวิต ทุกอย่างถูกร้อยเรียงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างจริงจังด้วย กลวิธีและท่าทีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เผ็ดร้อน รุนแรง เหน็บแนม เสียดสีหยิกกัด และแดกดันอย่างชนิดที่เรียกว่า “เอาเป็นเอาตาย” ผลลงท้ายแม้มิใช่ยอดขายที่เกินหน้าไบเบิ้ล แต่ทว่า มันก็ขายดิบขายดีเป็นปรากฏการณ์ และจากการเข้าถึงสภาวะความเป็นไปและสภาวะจิตใจของผู้อ่านอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้ Trainspotting กลายเป็นนวนิยายที่ได้รับการจับตามองเพียงชั่วข้ามคืน กระนั้น ในแง่คุณภาพงาน นวนิยายที่ว่าด้วยพฤติกรรมแปลกประหลาดของก๊วนขี้ยาแห่งย่านลีทธ์ เมืองเอดินเบิร์กเรื่องนี้ ก็มีคุณสมบัติความโดดเด่นไม่แพ้กัน เมื่อ Trainspotting สร้างข้อพิสูจน์ความเด่นล้ำของตัวเองด้วยการทะยานไปสู่การช่วงชิงรางวัลบุ๊คเคอร์ ไพรซ์ ในรอบ 5 เล่มสุดท้ายอย่างเต็มภาคภูมิ นวนิยายเรื่องนี้จึงถึงพร้อมไปด้วยการเข้าถึงผู้คนกลุ่มใหญ่ กับคุณภาพในตัวมันเองที่ไม่เป็นสองรองใคร

สิ่งทั้งหมดข้างต้นล้วนเกิดขึ้นก่อนที่ตัวละคร สถานการณ์ และบางประเด็นความคิดจะได้รับการถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม ดังนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าตัวหนังกับนวนิยายจะมีหลายๆ ส่วนหลายๆ สิ่งที่แตกต่างกัน

(ถอดความบางส่วนจากบทความ Trainspotting จะเลือกหรือไม่ ,พรทิพย์ แย้มงามเหลือ, Entertrend, Bizweek :; Trainspotting ฉบับแปลไทยโดย วิภาศิริ ฮวบเจริญ ,สนพ.Blackberry Publishing )


ผู้เขียนรู้จักและได้รับชมหนังเรื่องนี้ภายหลังจากที่มันได้กลายเป็น DVD แล้ว และซื้อหนังสือที่เป็นนวนิยายฉบับแปลไทยมาไว้อ่านด้วย จากความที่มันโด่งดังและกระแสการตอบรับที่ดีมากทั้งตัวหนังและหนังสือ ในนวนิยายผู้อ่านจะได้รับรายละเอียดปลีกย่อยที่ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าในหนังมาก แต่ตัวหนังก็สามารถจับเอาประเด็นสำคัญๆมาถ่ายทอดได้เป็นอย่างดีโดยไม่เสียอรรถรส ลงตัวทั้งการแสดงและบทภาพยนตร์ ซึ่งการันตีจากรางวัลบุ๊คเตอร์ไพร์ซดีอยู่แล้ว เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่สร้างจากนวนิยายแล้วทำได้ดี บทประพันธ์ไม่เสีย แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนหยิบเอาเรื่องนี้มานำเสนอน่าจะเป็นที่การนำเสนอประเด็นปัญหาของเรื่องที่ร่วมสมัย สะท้อนสังคมปัจจุบันเป็นอย่างดี คือหนังออกฉายปี 1996 แต่ดูตอนนี้ก็ไม่รู้สึกว่าล้าสมัย ประเด็นเรื่องยาเสพติด การมีเซ็กส์แบบไม่วางแผน อาชญากรรมที่ตามมาภายหลังจากการติดยาหรือไม่มีเงิน การหาทางออกของตัวละคร มิตรภาพความเป็นเพื่อนกับการเลือกอนาคตของชีวิตตัวเอง การนำเสนอประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ถูกลดทอนความเครียดมาในรูปของ bad comedy คือตลกร้ายหรือมุกตลกเสียดสีสังคม แทนที่จะนำเสนอในรูปแบบดราม่าจริงจัง ผู้เขียนคิดว่าถ้าผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอเป็นหนังดราม่า ตัวหนังอาจไม่ได้รับการตอบรับดีเท่าที่เป็นอยู่ ความน่าสนใจก็อาจอยู่ในวงจำกัด ภาพสะท้อนของกลุ่มคนเล็กๆ ในสังคมที่ดูว่าเจริญทางวัตถุมากๆ อย่างประเทศอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสังคมชนชั้นผู้ดี ก็ยังมีมุมเลอะเทอะ เละเทะ เหลวแหลก มานำเสนอในทุกแง่มุมอย่างละเอียดรอบด้าน แต่การนำเสนอของเขากลับนำเสนอแบบนอกกรอบ มองโลกในแง่บวก และสุดท้ายก็ยังทิ้งปริศนาเอาไว้ว่า คนเรายังมีความหวังในชีวิตและอนาคตที่เลือกเองได้ แม้เราจะก้าวพลาดไปในทางที่ผิดแล้ว ถือว่าเป็นการเดินหลงทางที่คิดเสียว่าทำให้เสียเวลา เสียโอกาสดีๆในชีวิตไป เสียสุขภาพ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ ทำไมเราถึงไม่เดินกลับมาสู่เส้นทางที่ดี ที่ควรจะเป็นหล่ะ เพราะโชคชะตาก็ให้โอกาสมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว...หรือไม่จริง



ประวัติและผลงานของผู้กำกับ

Daniel "Danny" Boyle (born 20 October 1956) is an English filmmaker and producer. He is best known for his work on films such as Slumdog Millionaire, Shallow Grave, 127 Hours, 28 Days Later, Sunshine and Trainspotting. For Slumdog Millionaire, Boyle won numerous awards in 2008, including the Academy Award for Best Director. Boyle was presented with the Extraordinary Contribution to Filmmaking Award at the 2008 Austin Film Festival, where he also introduced that year's AFF Audience Award Winner Slumdog Millionaire. On 17 June 2010, it was announced that he will be the Artistic Director for the 2012 Olympic games opening ceremony.

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

All about Christmas Day

10 สิ่งที่ต้องมี(สัญลักษณ์)ในช่วงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส





1.ซานตาครอส

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข จากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง


2.ถุงเท้า

จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

3. ต้นคริสต์มาส

นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวา(อีฟ)ไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ต้นฮอลลี่ ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia


ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

ดอกคริสต์มาส Christmas Rose


มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

4.เพลงวันคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night  ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

5. คำอวยพรวันคริสต์มาส


ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

6. สีประจำวันคริสต์มาส


สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย

สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

7. การทำมิสซาเที่ยงคืน

การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส ประวัติวันคริสต์มาส - วันคริสต์มาส - คําอวยพรวันคริสต์มาสภาษาอังกฤษ - เพลงวันคริสต์มาส - คําอวยพรวันคริสต์มาส - ประวัติคริสต์มาส - กลอนวันคริสต์มาส

8. เทียนและพวงมาลัย

พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

9. ระฆังวันคริสต์มาส

เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

10. ดาว และเครื่องประดับ รวมถึงแอปเปิ้ล


ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


ของขวัญวันคริสต์มาส

การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้


คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง


ตำนานวันคริสต์มาส


คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

คริสต์มาส


คริสต์มาส (Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

วัฒนธรรมการกินอาหารในเทศกาลคริสต์มาส

ชาวอังกฤษและประเทศอื่นในทวีปยุโรป จะมีการฉลองมื้อใหญ่ ที่เรียกว่า คริสต์มาสดินเนอร์ ร่วมกันทั้งครอบครัว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันก่อนคริสต์มาส (คริสต์มาสอีฟ) หรือในวันคริสต์มาสเลยก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละครอบครัว ไก่งวงอบ. โดยมากแล้วเท่าที่เห็นมา ชาว อังกฤษมักรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้ในวันที่ 24 ธันวาคม จะเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ เที่ยง หรือบ่ายโมงเป็นต้นไป เพราะเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่สมาชิกทุกคน ในครอบครัวจะมาร่วมสังสรรค์กัน อาหารในเทศกาลคริสต์มาส สำหรับชาวอังกฤษ มักต้องมี ไก่งวง ถ้าบ้านไหนไม่กินไก่งวงก็จะใช้ห่านแทน โดยจะมี เครื่องสำหรับยัดไส้ไก่งวง หรือห่านอบ ที่มักทำด้วยขนมปังเก่าหั่นเป็นชิ้นสี่ เหลี่ยมลูกเต๋า หอมหัวใหญ่ แครอท เซเลอรี่สับผัดกับเนยแล้วใส่ไข่ ใส่นม นิยมใส่ลูกเกาลัดบดและเบคอน เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น นำส่วนผสมเหล่านี้คลุกเคล้าให้ เข้ากัน แล้วยัดเข้าไปในตัวไก่งวงหรือห่าน

 














วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เจ้าพ่อเพลงโรแมนติก ตอนที่ 6 (ศิลปินที่ชื่อ จ.)

ดนุพล แก้วกาญจน์ (พี่แจ้) เกิดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2502 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ตอนปลายจาก โรงเรียนหอวัง เริ่มเล่นโฟล์คซองตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และเป็นนักร้องอาชีพครั้งแรกที่เลิฟคอฟฟี่ช็อป (ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์) จากนั้นก็เล่นที่ "เบิร์ธเดย์" ใต้ถุนโรงหนังเพรสซิเด้นท์ จนกระทั่งเป็นสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ ติดต่อให้มาเป็นนักร้องนำของวง แทนจำรัส เศวตาภรณ์ ที่ลาออกไป วงแกรนด์เอ็กซ์ได้รับความนิยมอย่างสูง จนทำให้สถานที่จัดงานพังไปหลายแห่ง เช่น ที่หอประชุมจุฬาฯ เสียหายจากการแสดงคอนเสิร์ต 2 ครั้ง จนต้องปิดซ่อม และไม่ยอมให้วงแกรนด์เอ็กซ์ ใช้สถานที่จัดคอนเสิร์ต อีก หรือโรงละครแห่งชาติ ที่แฟนเพลงอัดแน่นจนกระจกแตก ดนุพล แก้วกาญจน์ ร่วมงานกับ แกรนด์เอ็กซ์ ครั้งแรกในอัลบั้มชุด "เขิน" และไล่เรียงต่อมาอีกหลายชุด ได้แก่ "ผู้หญิง" "GRAND X.O." "บุพเพสันนิวาส" "นิจนิรันดร์" "พรหมลิขิต" "เพชร" "บริสุทธิ์" "ดวงเดือน" จนปี 2527 วงแกรนด์เอ็กซ์ สมาชิกจำนวนหนึ่ง แยกไปทำผลงานวงเพื่อน ส่วนแกรนด์เอ็กซ์ ที่เหลือก็เปลี่ยนชื่อเป็น แกรนด์เอ็กซ์แฟมิลี และมีอัลบั้มออกมาอีกสองชุด คือ "หัวใจสีชมพู" และ "สายใย" ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดสุดท้าย ที่ดนุพล แก้วกาญจน์ ทำร่วมกับวงแกรนด์เอ็กซ์

ในปี 2529 ดนุพล แก้วกาญจน์ ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก คือ "ฝันสีทอง" และยังได้เปิดค่ายเพลงที่ชื่ออินเทอร์นอลขึ้น มีศิลปินในสังกัด เช่น วงพลอย, ปุ้ม-อรวรรณ เย็นพูนสุข และตั๊ก-ศิริพร อยู่ยอด ในปี พ.ศ. 2549 ดนุพล แก้วกาญจน์ได้เปิดร้านอาหารชื่อ บ้านแสนรัก อยู่ถนนเลียบทางด่วนรามอินทราผลงานที่ดนุพลร่วมกับวงแกรนด์เอ็กซ์ อัลบั้ม "เขิน" (กรกฎาคม 2523)อัลบั้ม "ผู้หญิง" (มีนาคม 2524)อัลบั้ม "บันทึกการแสดงสด หอประชุมจุฬาฯ" (มิถุนายน 2524)อัลบั้ม "GRAND X.O." (ตุลาคม 2524)อัลบั้ม "บุพเพสันนิวาส" (มีนาคม 2525)อัลบั้ม "นิจนิรันดร์" (กันยายน 2525)อัลบั้ม "พรหมลิขิต" (ตุลาคม 2525)อัลบั้ม "เพชร" (กันยายน 2526)อัลบั้ม "บริสุทธิ์" (เมษายน 2527)อัลบั้ม "ดวงเดือน" (พฤศจิกายน 2527)อัลบั้ม "หัวใจสีชมพู" (มีนาคม 2528)อัลบั้ม "สายใย" (กรกฎาคม 2528)

อินเทอร์นอล เป็นค่ายเพลงที่พี่แจ้ตั้งขึ้นเพื่อผลิตงานของตัวเองและผลิตงานของนักร้องในสังกัด

เป็นธุรกิจที่เขามองไว้เพื่อสร้างความมั่งคงให้กับชีวิต ศิลปินเบอร์แรก คือ เฮนรี่ ปรีชาพานิช
ไม่ประสบความสำเร็จจากแนวเพลงที่พี่แจ้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในภายหลังว่าเป็นงานที่มาก่อนเวลา
ไปนิด อินเทอร์นอล ได้งานชุด ลีลา 1 โดย ปุ้ม-อรวรรณ เย็นพูนสุข มาช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้
พี่แจ้ออกงานกับสังกัดตัวเองทั้งงานที่เป็นผลงานใหม่และงานขับร้องเพลงเก่าหลายๆชุด ได้รับการ
ต้อนรับจากกลุ่มแฟนเพลงของพี่เขาในระดับที่น่าพอใจ ส่วนชื่อเสียงในระดับมาสต้องยอมรับว่า
ค่อยๆ เฟดลงตามวัฎจักร   ปี 2547 หลังจากพี่แจ้ห่างหายไปจากการออกงานเพลงใหม่เป็นเวลานานก็มีงานออกกับทางอาร์เอส ซึ่งในตอนนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สวงการมากๆ แต่การตอบรับค่อนข้างเงียบ

ดนุพล แก้วกาญจน์ เป็นทั้ง นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ที่มีความสามารถ ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาหาคนทาบยากมาก อัสนี โชติกุลให้สัมภาษณ์ว่า พี่แจ้มีคุณสมบัติของการเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีเป็นการตอกย้ำถึงความเป็น "คนดนตรี" ของเขา 

ผลงานอัลบั้มเดี่ยว

อัลบั้ม "ฝันสีทอง" (เป็นผลงานเพลงชุดแรก ในฐานะศิลปินเดี่ยวปี พ.ศ. 2529)อัลบั้ม "ของขวัญ" (พ.ศ. 2529)อัลบั้ม "ที่สุดของแจ้" (พ.ศ. 2530)อัลบั้ม "ที่สุดของที่สุด" (พ.ศ. 2530)อัลบั้ม "เทวดาเดินดิน" (พ.ศ. 2531)อัลบั้ม "อย่างลึกซึ้งแด่คุณคนพิเศษ" (พ.ศ. 2532)อัลบั้ม "ที่สุดสุนทราภรณ์" (พ.ศ. 2532)อัลบั้ม "แสลงใจ" (พ.ศ. 2533)อัลบั้ม "สัมผัสที่ 6" (พ.ศ. 2534)อัลบั้ม "ที่สุดเมื่อกาลครั้งหนึ่ง" (พ.ศ. 2534)อัลบั้ม "แจ้ลายไทย" (พ.ศ. 2535)อัลบั้มพิเศษ "แจ้ 12 ปี ANNIVERSARY" (พ.ศ. 2535)อัลบั้ม "รักเธอคงกระพัน" (พ.ศ. 2538)อัลบั้ม "60 ปีสุนทราภรณ์รำลึก"อัลบั้ม "ไออดีต" ตอน สวัสดีบางกอก อัลบั้ม "ไออดีต 2" ตอน ลีลาศ รำลึก อัลบั้ม "ไออดีต 3" ตอน นางใจในเพลง อัลบั้ม "โลลิต้า" อัลบั้ม "วันทรนง "อัลบั้ม "พรหมจารี " อัลบั้ม "ชั่วฟ้าดินสลาย "อัลบั้ม "ลำนำเพลงฝากรัก"อัลบั้ม "คนใจร้าว"อัลบั้ม "คนใจร้อน "อัลบั้ม "คนใจรัก "อัลบั้ม "Special For Life "อัลบั้ม "ช่วยไม่ได้ผู้ชายไม่พอ " (พ.ศ. 2547) อัลบั้ม "Unforgettable Jae " อัลบั้ม "Guitar Passion...Smooth ....Sentimental "


ประภาส ชลศรานนท์ (พี่จิก) เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เป็นนักคิด นักเขียน นักแต่งเพลง หัวหน้าทีมแต่งเพลงของค่ายคีตา ผู้บริหารค่ายเพลงมูเซอร์ และ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เวิร์คพ้อยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คุณปัญญา นิรันดร์กุล   เป็นชาว จังหวัดชลบุรี จบการศึกษาระดับมัธยมปลายจาก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และระดับปริญญาตรีจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ก่อตั้ง และนักแต่งเพลง ให้กับวงดนตรีเฉลียง ซึ่งนับเป็นกลุ่มดนตรีที่ได้รับการยอมรับกันว่า เป็นการบุกเบิกแนวเพลงใหม่ๆ ทั้งเนื้อหาและท่วงทำนอง ให้กับวงการเพลงไทย มีผลงานเพลงที่แต่งไว้และยังได้รับการกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้มากมาย ด้วยมีรูปแบบและเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน พ่อ พี่ชายที่แสนดี คู่ทรหด เที่ยวละไม ต้นชบากับคนตาบอด นิทานหิ่งห้อย สาวลาวบ่าวไทย อื่นๆอีกมากมาย เจ้าภาพจงเจริญ ฯลฯ มีนามปากกาอื่น เช่น สารภี โก๋ ลำลูกกา นอกจากนี้ยังเป็นนักแต่งเพลงประจำรายการคุณพระช่วย แต่งเพลงนำเสนอ ศิลปะ วัฒนธรรม ของไทย อาทิ เพลงควายไทย เพลงข้าวเหนียว เพลงรากไทยฯลฯ ในเดือนกรกฎาคม 2551 ได้มีคอนเสิร์ตของเพลงที่ประภาสแต่ง ชื่อว่า คอนเสิร์ตเพลงแบบประภาส มีนักร้อง นักดนตรีระดับคุณภาพของเมืองไทยมาร่วมงานมากมาย อาทิ บี พีรพัฒน์ ,ป้าง นครินทร์ เบน ชลาทิศ ,เพลิน พรหมแดน ,วงเฉลียง ,เจนนิเฟอร์ คิ้ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้วงออเครสตร้าขนาดใหญ่บรรเลงเพลงทั้งคอนเสิร์ตแล้ว ยังนับเป็นคอนเสิร์ตที่ผู้คนในแวดวงดนตรีกล่าวกันว่ามีการนำเสนอเพลงแต่ละเพลงอย่างงดงามและสร้างสรรค์ที่สุดคอนเสิร์ตหนึ่ง เคยได้รับรางวัลด้านสื่อสารมวลชนมากมาย เช่น รางวัลบทละครยอดเยี่ยมโทรทัศน์ทองคำจาก เทวดาตกสวรรค์, รางวัลละครยอดเยี่ยม เอเชียน เทเลวิชั่น อวอร์ดส์ จากละครชุด พ่อ, รางวัลแมกซีเลี่ยนอวอร์ด ของ ประเทศโปแลนด์ จากละครเรื่อง ผู้หญิงที่อยากกอดตลอดชีวิต, รางวัลเพลงยอดเยี่ยม สีสันอวอร์ด ถึงสามครั้งจากเพลง โลกาโคม่า, "วิงวอน" และเพลง "นาฬิกา" รางวัล B.A.D. (Bangkok Art Director) Awards จาก มิวสิกวิดีโอ เพลง เร่ขายฝัน ได้รับ รางวัลนักอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2548 จาก กระทรวงวัฒนธรรม รางวัลบุคคลเบื้องหลังแห่งปีจากไนน์เอนเตอร์เทนอวอร์ด พ.ศ. 2551 และได้รับรางวัล Fat Awards Life Time Achievement ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศของคนทำงานด้านบทเพลงและดนตรียุคใหม่ ซึ่งรางวัลนี้ จัดโดย แฟต เรดิโอ

ผลงานการเขียนเพลงที่ผ่านมา ได้แก่ เกือบทุกอัลบั้มของเฉลียง,สามโทน อาทิ อื่นๆ อีกมากมาย,เที่ยวละไม,เร่ขายฝัน,เจ้าภาพจงเจริญ,สี่แยกในดวงใจ ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน, พี่ชายที่แสนดี, รักเป็นดั่งต้นไม้,ยังมี, ฟั่นเฟือน,ต้นชบากับคนตาบอด, เก็บใจ,เพราะอะไร, รักเธอแต่เธอไม่รู้ ฯลฯ เพลงที่แต่งขึ้นในโอกาสพิเศษ เช่น อิฐก้อนหนึ่ง,น้ำคือชีวิต,ครองแผ่นดินโดยธรรม เป็นต้น


จำรัส เศวตาภรณ์ เป็นนักดนตรี นักแต่งเพลงชาวไทย และอดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ มีชื่อเสียงจากงานเพลงประกอบภาพยนตร์ไทย สารคดี และ พระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2498 ที่ กรุงเทพมหานคร ฝั่งธนบุรี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำรัส เริ่มเล่นดนตรีขณะเรียนในระดับมัธยมศึกษา โดยเล่นและร้องเพลงตามห้องอาหาร ไนท์คลับ จนกระทั่งเป็นสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ ในตำแหน่ง กีตาร์ และ นักร้องนำ จากการชักชวนของ ทนงศักดิ์ อาภรณ์ศิริ โดยออกผลงานซิงเกิ้ล "คู่นก" และอัลบั้ม ลูกทุ่งดิสโก้ ชุด 1-2 ก่อนจะเปลี่ยนให้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ทำหน้าที่แทน ต่อมา ได้ร่วมงานกับวง เดอะ เรดิโอ โดยออกอัลบั้มเพลงชุด "นกเจ้าโผบิน" จนมีชื่อเสียงโด่งดัง กระทั่งในปี พ.ศ. 2528 ได้เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์ไทย โดยรับหน้าที่ทำดนตรีประกอบภาพยนตร์นับร้อยเรื่อง ของผู้กำกับภาพยนตร์ต่างๆ เช่น มานพ อุดมเดช, เชิด ทรงศรี, หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง "นางนวล" ได้รับรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเอเชียแปซิฟิก ประจำปี พ.ศ. 2530 และมีเพลงร้องที่เป็นที่รู้จักในช่วงทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ คือ "น้ำเซาะทราย" จำรัสเริ่มผลิตผลงานเพลงบรรเลงในลักษณะ "ดนตรีบำบัด" (Spa Music) ที่ได้ซึมซับเอาบรรยากาศความงดงามของชีวิต และปรัชญาแห่งสายน้ำมาตั้งแต่วัยเยาว์ มาถ่ายทอดเป็นบทเพลงต่างๆ โดยวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป และยังมีการทำเพลงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2549 เพลงบรรเลง "การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้" (Journey on the earth) ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม "นิพพาน" (Nirvana) ได้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบการถ่ายทอดสด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน โดย โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

ปัจจุบัน จำรัสยังคงทำงานด้านดนตรี โดยกลับมาทำดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง "ชั่วฟ้าดินสลาย" แต่ไม่ได้รับทำงานเพลงให้กับศิลปินนักร้องสังกัดค่ายเพลงใดๆ เลย


ผลงานอัลบั้มเพลงกับวงแกรนด์เอ็กซ์ Single คู่นก (2520) ลูกทุ่งดิสโก้ ชุดที่ 1 (2522) บันทึกการแสดงสดที่แมนฮัตตันคลับ (2523) ลูกทุ่งดิสโก้ ชุดที่ 2 (2523) ผลงานอัลบั้มเพลงส่วนตัวเดอะเรดิโอ “นกเจ้าโผบิน" (2525) “หยาดฝน" (2526) “บทเพลงและความฝัน" (2527) จำรัส เศวตาภรณ์ ละครฝัน-น้ำเซาะทราย (2529) แล้วแต่จะนึก..บันทึกไว้ด้วยใจ (2531) บันทึกหลังฉาก (2537) อัลบั้มเพลงบรรเลง ในห้วงภวังค์,เช้าวันใหม่ Morning,ฤดูกาลแห่งชีวิต Season of life,เสียงเพรียกจากสายลม Whisper of the wind,เพลงใบไม้ Song of leaf,บทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา Music of the Chaophraya river,เปียโนในสวน Piano in the garden,เนรัญชรา The Naerunchara river,นิพพาน Nirvana ฯลฯ แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้กับผู้กำกับชื่อดังและภาพยนตร์หลายเรื่อง ดังนี้ มานพ อุดมเดช (หย่าเพราะมีชู้ ,ครั้งเดียวก็เกินพอ,กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน ) เปี๊ยก โปสเตอร์ (เกมส์มหาโชค ,บินแหลก) เชิด ทรงศรี (พลอยทะเล,ทวิภพอำแดงเหมือนกับนายริด (ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม),เรือนมยุรา,ข้างหลังภาพ,น้ำเซาะทราย (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ) รุจน์ รณภพ (คู่กรรม,บันทึกจากลูกผู้ชาย) ชนะ คราประยูร (ขบวนการคนใช้,กว่าจะรู้เดียงสา,เหยื่อ,เทวดาตกสวรรค์,ไอ้คุณผี) บรรจง โกศัลวัฒน์ (นายซีอุย แซ่อึ้ง,สายน้ำไม่ไหลกลับ,คู่กรรม 2 (ได้รับรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ) ทรนง ศรีเชื้อ (อุบัติโหด) อดิเรก วัฏลีลา(อังเคิล) และ ธนิตย์ จิตนุกูล(ปื๊ด) ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย,ปลื้ม, ฉลุย โครงการ 2, สยึ๋มกึ๋ย) อุดม อุดมโรจน์ (โปรดทราบคิดถึงมาก ,ปุกปุย (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) อาร์เอสฟิล์ม (โลกทั้งใบให้นายคนเดียว,ฝันติดไฟหัวใจติดดิน (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) แตก 4 สมจริง ศรีสุภาพ (คิง) ปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม (ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) สมเกียรติ วิทุรานิช (ฝากฝันไว้เดี๋ยวจะเลี้ยวมาเอา (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย เพียงเรามีเรา (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (ฉันผู้ชายนะยะ,นางนวล (ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง และรางวัลจากงานประกวดภาพยนตร์เอเชียแปซิฟิก 1987 ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม),ความรักไม่มีชื่อ,ชั่วฟ้าดินสลาย (ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ฯลฯ

เจตริน วรรธนะสิน (เจ) เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เป็นบุตรชายของคุณเจริญ วรรธนะสิน อดีตนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย นักธุรกิจ ผู้เชียวชาญวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก และนอสตราดามุสเมืองไทย มีพี่น้องสามคน มีพี่ชายที่เป็นนักร้องคือ จิรายุส วรรธนะสิน(โจ นูโว) เข้าศึกษาในอนุบาลยุคลธร โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (รุ่นเดียวกับ วิศาล ดิลกวณิช และ ตระการ พันธุมเลิศรุจี) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันกำลังศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี สมรสกับ เก็จมณี พิชัยรณรงค์สงคราม มีบุตร 3 คนคือ น้องเจ้านาย น้องเจ้าขุน น้องเจ้าสมุทร และยังมีบุตรสาวกับ จิดาภา ณ ลำเลียง (Gina Li) อดีตรองนางสาวไทยอีก 1 คน คือ จิดาริน ณ ลำเลียง (เจด้า)  เจเข้าสู่วงการบันเทิงโดยการชักนำของพี่ชายคือ โจ จิรายุส ให้เข้ามา บ.แกรมมี่ ผ่านทางคุณเล็ก บุษบา ดาวเรือง โดยเริ่มต้นงานจากการเป็นพิธีกรรายการเพลงก่อน ได้แก่ รายการ HBD จากนั้นจึงได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก ในปี 2534 ชื่ออัลบั้ม จ เอะ บ เป็นซึ่งเพลงที่เป็นเพลงแจ้งเกิดให้กับเจก็คือ ฝากเลี้ยง มีท่าเต้นเกาหูอันโด่งดัง แนวฮิปฮ็อปแด๊นซ์ ซึ่งเป็นฮิปฮ็อปคนแรกๆ ของเมืองไทย ในช่วงนั้นมีศิลปินที่ชื่อ M.C.Hammer, และ Vanilla Ice กำลังโด่งดังมาก  เจมีข่าวความสัมพันธ์กับหมิว ลลิตา ดาราชื่อดังของช่อง 3 และร่วมเล่นละครของเอ็กซ์แซ็กท์หลายเรื่อง โดยเรื่องที่ทำให้เจ โด่งดังมากก็คือยามเมื่อลมพัดหวน แม้ว่าภาพลักษณ์ของเจจะเป็นศิลปินแนวแด๊นซ์ แต่ในทุกอัลบั้มจะมีเพลงช้าโดนใจ ซึ่งเป็นเพลงฮิตจำนวนมาก จนจัดเป็นเจ้าพ่อเพลงรักด้วยอีกมุมนึงเช่นกัน อาทิ กองไว้ เจ็บไปเจ็บมา เพิ่งเข้าใจ หยุดเลย คาใจ แววตา อยากให้รู้ว่าเหงา อยากหมุนเวลา ยามเมื่อลมพัดหวน ฯลฯ  
 
ผลงานอัลบั้ม จ เ-ะ บ (ปี 2534) 108-1009 (ปี 2536) Choola Choola (ปี 2538) J-Day (ปี 2541) J-Fight (ปี 2543) ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้หญิง (ปี 2546) Seventh Heaven (ปี 2550) อัลบั้มเพลงพิเศษ อัลบั้มรวมฮิต เจ 2 จังหวะ อัลบั้ม Best Selected อัลบั้ม Acoustic Rock อัลบั้ม HotVote13 ปี 2536 งานซนคนดนตรี นานที 10 ปีหน (10 ปี แกรมมี่) ปี 2537 อัลบั้ม เพลงประกอบละคร ยามเมื่อลมพัดหวน ปี 2538 อัลบั้ม 6.2.12 ปี 2540 อัลบั้ม เพลงประกอบละครเงามรณะ ปี 2542 อัลบั้ม อยากหมุนเวลา (รีมิกซ์) ปี 2544 อัลบั้ม เพลงประกอบละคร เพชรตัดเพชร

ศุ บุญเลี้ยง (จุ้ย)  ศิลปิน นักเขียน เจ้าของธุรกิจร้านอิ่มอุ่น ชาวเกาะสมุย เป็นทีรู้จักจากการเป็นสมาชิกวงเฉลียง กลุ่มตัวโน้ตอารมณ์ดี ที่สร้างตำนานของประเทศไทย หลังจากแยกตัวออกจากวงเฉลียงยังคงมีผลงานเพลงเดี่ยวออกมาหลายผลงาน เช่น ภูเขา-ทะเล อิ่มอุ่น และงานเขียนในชื่อตัวเองและนามปากกา สมจุ้ย เจตนาน่าสนุก ผันตนเองจากนิสิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้วงเฉลียงกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งโดยการเข้าไปขอบทเพลง เที่ยวละไม จาก ประภาสชลศรานนท์ เป็นต้น

ผลงานดนตรีในนามวงเฉลียง ได้แก่ อัลบั้ม อื่นๆ อีกมากมาย, เอกเขนก ,เฉลียงหลังบ้าน ,"หอมกลิ่นความฝัน" ร่วมกับ วงไทละเมอ ,"ศิลปินนอนเปล" ,"จากเพื่อนถึงเพื่อน" ,อัลบั้มพิเศษ "รวมเพลงไม่ฮิต" ,"ชุดรับแขก" ร่วมกับ คณะศิษย์สะดือ ,"นักเดินทาง" ,"ชุดลำลอง" ,"สองปีกฝัน" ร่วมกับ แก้ว ลายทอง ,ชุดผักบุ้งลอยฟ้า ,ชุดชิงช้าสวรรค์"ความจำสั้น ความฝันยาว" (เพลงประกอบคอนเสิร์ต ไม่ทราบสาเหตุ) ,อัลบั้มบันทึกการแสดงสด "สดไม่ทราบสาเหตุ"

อัลบั้มพิเศษ "แรงใจ ไฟฝัน", "ดื้อ"อัลบั้มพิเศษ "รวมรสสำราญ" ,อัลบั้มพิเศษ สหาย ร่วมกับ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และ ฤทธิพร อินสว่าง, รวมเพลงจากอัลบั้มพิเศษ "รวมใจไฟฝัน" ,ชุดหัวใจไกวเปล ,ชุดคิดถึงอย่างแรง ,อัลบั้มพิเศษ "ชายหาดติดดาว" ของกรมควบคุมมลพิษ ,"โปรดฟังอีกครั้ง" ,"ของฝากจากทะเล" ,"เพลงรักไม่รู้โรย" ,"เสมอคำยืนยัน" (รวบรวม เรียบเรียง บันทึกเสียงใหม่) ,ชุดเด็กดั่งดวงดาว ,อัลบั้มพิเศษ "ผูกใจ" (ร่วมด้วย ฉัตรชัย ดุริยประณีต , เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ , พัดชา AF2 , นัท AF4)

ผลงานบทเพลงจากปลายปากกาของพี่จุ้ย เพลง แค่มี ,เพลงประกอบรายการ ทุ่งแสงตะวัน เพลง อิ่มอุ่น ,เพลง ห่วงใย ของวง ตาวัน (แต่งเนื้อเพลง) ,เพลง "ลุ้น" ในอัลบั้ม "ขอแค่คิดถึง" (เพลงประกอบภาพยนตร์ วอนทั้งโลกโขกหัวเธอ) ,เพลง เติมใจให้กัน ประกอบภาพยนตร์ พริกขี้หนูกับหมูแฮม (แต่งเนื้อเพลง) เพลง "เติมใจให้กัน" และ "ปลายฟ้า" ในอัลบั้ม "30 ปี เวที 3",เพลง "ส.ค.ศ.2548" ในอัลบั้ม "ซับน้ำตาอันดามัน",เพลง "เพลงของพ่อ" ในอัลบั้ม "ประเทศไทย 2549",เพลง "น่าน...น่ะสิ" งานนิทรรศการ "น่านนิรันดร์ 100 ภาพฝันบันทึกแผ่นดิน",กำเนิดของการรวมตัวกันของเฉลียงในยุคที่สอง ในชุด อื่นๆ อีกมากมาย


จิรากร สมพิทักษ์ ( เอ๊ะ) เคยเป็นนักร้องไกด์ให้กับศิลปินดังๆหลายท่าน อีกทั้งยังเป็นนักร้องนำวง Nothing To Lose และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินใน จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อปี 2554 หลังจากนั้นก็มี single เพลง "ไม่มีตรงกลาง" และเพลง "จากนี้ไปจนนิรันดร์" ในอัลบั้ม อัลบั้ม Project Love Pill ซึ่งเป็นผลงานเพลงที่ทำให้เอ๊ะโด่งดังและเป็นที่รู้จัก  ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาแล้ว แต่ละเพลงก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ได้แก่  1.    จากนี้ไปจนนิรันดร์ 2.    ไม่มีตรงกลาง 3.    ใจกลางความรู้สึกดีๆ feat. วิน รัตนพล4.    ไม่ใช่ความลับ...แต่ยังบอกไม่ได้ (เพลงประกอบละครแววมยุรา) 5.    ตั้งใจ


วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เจ้าพ่อเพลงโรแมนติก ตอนที่ 5 (ศิลปินที่ชื่อ น.)

นราธิป กาญจนวัฒน์ (พี่แดง) นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง และเป็นหัวหน้าวงชาตรี เป็นผู้นำวงดนตรีแนวโฟล์คซองและสตริงคอมโบ้ ยุคแรกๆ ของเมืองไทย  เกิด2กันยายน2497 การศึกษาจบมัธยมศึกษาปีที่3ที่อัมสัมชัญศรีราชา อาชีวะ-การถ่ายภาพและภาพยนตร์สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ  เพลงที่ชอบสากลบรรเลง นักดนตรีที่ชอบBeatles,BeeGees อาหารที่ชอบข้าวขาหมู หน้าที่ในวง หัวหน้าวง,ร้องนำ,ลีดกีต้าร์   ปัจจุบันเจ้าของกิจการร้านอาหาร งานอดิเรก ทำอาหาร

นราธิปคือคนที่ 2 จากขวามือ สวมหมวก
ชาตรี เป็นวงดนตรีโฟล์คซองที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2512 โดยนักศึกษาปี2 แผนกช่างภาพ วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ 3 คน คือ นราธิป กาญจนวัฒน์ ประเทือง อุดมกิจนุภาพ คฑาวุธ สท้านไตรภพ ทั้งสามคนเล่นกีตาร์โปร่ง ต่อมาได้ชักชวนอนุสรณ์ คำเกษม เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งมาเล่นกลอง ชื่อวงชาตรี มาจากชื่อหนังสือพระเครื่อง ของประชุม กาญจนวัฒน์ (บิดาของนราธิป) วงชาตรีเริ่มรวมวงและแสดงครั้งแรก ในงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ของแผนกช่างภาพ ต่อมาได้แสดงในหอประชุมใหญ่ วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ และเข้าแข่งขันการประกวดวงโฟล์คซอง ทางวงรวบรวมเงินกันซื้อกลองเก่ามาหนึ่งชุด ทุกวันทุกคนในวงต้องช่วยกันขนกลองจากบ้านของอนุสรณ์ ที่มีนบุรี ขึ้นรถเมล์ไปวิทยาลัยเพื่อฝึกซ้อมในช่วงเย็น วงชาตรีเริ่มบันทึกเสียงครั้งแรกทางรายการวิทยุ "120 นาที มัลติเพล็กซ์" โดยการชักชวนของครูไพจิตร ศุภวารี หนึ่งในกรรมการตัดสินโฟล์คซอง ซึ่งเห็นความสามารถ และได้บันทึกแผ่นเสียงชุดแรก จากไปลอนดอน พ.ศ. 2518 ชุดที่สอง แฟนฉัน พ.ศ. 2519 และได้ทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ สวัสดีคุณครู กำกับโดยพันคำ นำแสดงโดยจารุณี สุขสวัสดิ์ จากนั้นจึงทำผลงานชุดที่สาม นำเพลงลูกทุ่งของชาตรี ศรีชลมาขับร้องใหม่ พ.ศ. 2520 ผลงานชุดที่สี่ ฝนตกแดดออก ประกอบภาพยนตร์ ฝนตกแดดออก กำกับโดยชาลี อินทรวิจิตร นำแสดงโดยสรพงศ์ ชาตรี ลลนา สุลาวัลย์ จากนั้นได้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง รักแล้วรอหน่อย ของพันคำ นำแสดงโดยสรพงศ์ และจารุณี และเรื่องจ๊ะเอ๋เบบี้ นำแสดงโดยสมบัติ เมทะนี และลลนา สุลาวัลย์ วงชาตรีเพิ่มตำแหน่งนักดนตรีคีย์บอร์ด โดยได้ประยูร เมธีธรรมนาถซึ่งทำระบบเสียงให้กับวงมาเล่นให้ พ.ศ. 2522 ทำเพลงประกอบละครเรื่อง นางสาวทองสร้อย ทางช่อง 9 และออกผลงานชุดใหม่ รัก 10 แบบ และ ชีวิตใหม่ ผลงานชุดชีวิตใหม่ เกิดขึ้นจากทางวงได้เข้าไปเยี่ยมชมสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก และได้แต่งเพลงชื่อ หลงผิด เนื้อหาเกี่ยวกับผู้ติดยาเสพติด รายได้มอบให้กับสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก พ.ศ. 2523 ออกผลงานชุด รักครั้งแรก และ สัญญาใจ เป็นที่ระลึกในโอกาสที่ ประเทือง สมาชิกวงแต่งงาน จากนั้นออกผลงานชุด ชะตารัก พ.ศ. 2525 เปิดการแสดงสดครั้งใหญ่ที่โรงแรมดุสิตธานี และออกผลงานบันทึกการแสดงสด ชาตรีอินคอนเสิร์ต ตามด้วยชุด รักไม่เป็น ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองมหาชน จากเพลงภาษาเงิน พ.ศ. 2526 ผลงานชุดใหม่ รักที่เธอลืม มีเพลง วันรอคอย และ ใต้ร่มเย็น ประพันธ์โดยพลเอกหาญ ลีลานนท์ แม่ทัพภาคที่ 4 เนื้อหาให้คนไทยมีความสามัคคีและรักชาติ อัลบั้มชุดนี้ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว จากยอดขายมากกว่าสองแสนตลับ ผลงานชุดถัดมาชื่อ แอบรัก บันทึกเสียงที่ห้องบันทึกเสียงชาตรี ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติให้กับวง ตามด้วยชุด ชาตรีทศวรรษ ผลงานชุดที่ 15 ชุดสุดท้ายของวง วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ชื่อชุด อธิษฐานรัก ถือฤกษ์วางจำหน่ายในวันแห่งความรัก และคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของพวกเขาได้จัดขึ้นที่รายการโลกดนตรีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2528

ผลงานอัลบั้ม จากไปลอนดอน (2518) แฟนฉัน (2519) หลงรัก (ลูกทุ่ง ชาตรี ศรีชล) (2519) ฝนตกแดดออก (2520) รัก 10 แบบ (2522) ชีวิตใหม่ (2522) รักครั้งแรก (2523) สัญญาใจ (2523) ชะตารัก (2524) ชาตรีอินคอนเสิร์ต (2525) รักไม่เป็น (2525) รักที่เธอลืม (2526) แอบรัก (2527) ชาตรีทศวรรษ (2527) อธิษฐานรัก (2528)

บางส่วนจากบทสัมภาษณ์ ในงาน 33 ปี ชาตรี เดอะ เมมโมรี่ คอนเสิร์ต 11 ก.พ.51

".. สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ เราได้มาเจอกันแล้วครบวง ไม่มีใครคาดคิดได้ว่า เวลาตรงนี้จะมาถึง เราต้องฉวยทำเสียก่อน เป็นโอกาสที่ดีของพวกเรา และแฟนที่จะพบกันอีกครั้ง เราจะมาร่วมระลึกถึงความหลังเก่าๆ ที่น่าประทับใจ ซึ่งน่าจะมีความทรงจำใหม่ๆ เป็นบันทึกประวัติศาสตร์อีกหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.."นราธิป กาญจนวัฒน์ “ชาตรี”

".. มีแฟนเพลงเรียกร้องมานานแล้ว แต่เรายึดความสามัคคีเป็นหลัก หากเพื่อนกลับมาไม่ครบ เราก็ไม่เล่น เราไม่ได้กลับมา เพราะหลักการตลาด เพราะหากยึดหลักนั้นต้องเล่นคอนเสิร์ตหลังกระแสหนังแฟนฉันเมื่อ 1-2 ปีก่อนแล้ว มันเป็นโอกาสพิเศษที่เราได้ฉลองให้ตัวเอง ที่ตั้งวงผ่านมาแล้ว 33 ปี และเป็นของขวัญกับแฟนเพลง.."ประยูร เมธีธรรมนาถ “ชาตรี”

".. สมัยนั้น นักร้อง และวงดนตรีในดวงใจของผม คือ วงชาตรี และวงแกรนเอ็กซ์ ผมชอบแบบกริ๊ดสุด ๆ วงชาตรี ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของทั้งพี่นราธิป และพี่คฑาวุธ นักร้องนำ.."อ๋อย กฤษณะ ไชยรัตน์

".. วงดนตรี ชาตรี เป็นวงดนตรีอีกวงหนึ่งของประวัติศาสตร์รายการ "โลกดนตรี" ชาตรีเป็นวงแรกที่เปิดการแสดงกลางแจ้งสนามหญ้าหน้าสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และมีผู้ชมมากที่สุด.."บุญชาย ศิริโภคทรัพย์ เจ้าของรายการโลกดนตรี บ. 72 โปรโมชั่น

".. วงชาตรี นับเป็นวงดนตรีในยุคแรกๆที่เล่นเพลงไทย และมีเพลงฮิตของตัวเองมากมาย และเป็นสไตล์เพลงที่ฟังได้จนถึงปัจจุบัน.."วิชัย ปุญญะยันต์ วงพิงค์แพนเตอร์

".. วงชาตรีเป็นวงที่มีผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และเป็นผลงานที่มีอิทธิพลต่อเด็กวัยรุ่นสมัยนั้นมาก.." ศรายุทธ สุปัญญโญ วงแกรนด์เอ๊กซ์

".. ดนตรีและเสียงเพลงที่สร้างขึ้นบนความตั้งใจให้ผู้คนได้ "จำง่าย" กลายเป็นความทรงจำของผู้คนที่ "ลืมยาก".."วันชัย สุนทรถาวร วงสิชล

".. ชาตรีเป็นขวัญใจมาตั้งแต่เด็กๆครับ.."อ๊อด คีรีบูน ---

".. ผมเป็นแฟนเพลงชาตรีมาตั้งแต่อนุบาลครับ เพลงแรกในชีวิตที่ผมร้องคือ แฟนฉัน ตอนนั้น 3 ขวบครับ หลังจากนั้นพอเริ่มที่จะโต พอที่จะเล่นกีตาร์ได้ ผมก็หัดเล่นกีตาร์ด้วยเพลงของชาตรี พอโตขึ้นมาอีก พอเริ่มอยากจะตั้งวงดนตรี ก็บอกเพื่อนๆ ว่า มาตั้งวงดนตรีกันแล้วก็มาเล่นเพลงของวง ชาตรี ดีกว่า แต่ละเสต็ปในชีวิตที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับดนตรีจะมีชาตรีมาเป็นจุดเริ่มอยู่เสมอ.."ป๊อด โมเดิร์นด็อก

".. ผมเป็นแฟนของวงชาตรีมาตลอด ตอนที่วงชาตรีดังผมเองเพิ่งจะเล่นดนตรีมาด้วยซ้ำ และก็เป็นแฟนของ นราธิป กาญจนวัฒน์มาตลอด.." พี่แอ๊ด หน.วงคาราบาว


หนุ่มเสก หรือ เสกสรร ชัยเจริญ เป็นนักแสดง นักธุรกิจชาวไทย และนักร้องคนแรกของค่ายเพลงคีตา เสกสรร เข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยงานถ่ายแบบ และงานแสดงภาพยนตร์ ต่อมาจึงเข้าสู่วงการเพลง ซึ่งได้มาจากการไปร่วมรายการของบริษัท เจเอสแอล โดยทางบริษัทได้ฟังเสียงร้องก็ชอบใจจึงเรียกเสกสรรเข้าไปพบ เมื่อทางเจเอสแอลก่อตั้งบริษัท "คีตา" ขึ้นมาพอดี เสกสรรจึงได้เป็นนักร้องคนแรกของค่าย และได้ตั้งชื่อในวงการให้ว่า หนุ่มเสก เนื่องจากเสกสรรมีชื่อเล่นว่าหนุ่ม โดยอัลบั้มชุดแรกวางแผงในปี พ.ศ. 2530 ในชื่อว่า ดนตรีออกเดิน มีเพลงเด่นคือ รักเป็นดั่งต้นไม้ และออกอัลบั้มกับคีตาอีก 3 ชุด ก่อนย้ายเข้าสังกัดแกรมมี่ โดยออกอัลบั้มอีกประมาณ 4 ชุด ก่อนออกจากวงการ เพื่อไปทำธุรกิจร้านอาหารและสถานบันเทิง แต่ดำเนินงานได้ระยะหนึ่งต้องเลิกกิจการ หนุ่มเสกมีผลงานแสดงภาพยนตร์และละครหลายเรื่อง โดยมีผลงานที่สร้างชื่อคือ ละครเรื่อง สุดแต่ใจจะไขว่คว้า ทางช่อง 3 ปัจจุบัน เสกสรรทำงานอยู่ที่โรงละครคิง พาวเวอร์ กับงานเชิดหุ่นละครเล็ก และยังเป็นผู้อำนวยการแสดงโรงละครอักษรา[1] โดยตนเคยประกาศไว้ว่าจะเลิกเข้าวงการบันเทิงอย่างถาวร


ผลงานอัลบั้ม ดนตรีออกเดิน (2530) สิ่งดีดี (2531) ใจ บาง บาง (2532) บ้าน 4 ทะเล (2533) ใจสะเทือน (2536) บันทึกแห่งความรัก (2538) เพลงนำละคร สุดแต่ใจจะไขว่คว้า (2532)

อำพล ลำพูน (หนุ่ย) ชื่อจริงคือ อำพล ลำกูล เป็นคนอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เกิดวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ปีเถาะ กรุ๊ปเลือดบี เป็นบุตรชายคนเล็ก มีพี่สาวสองคน สมรสกับมาช่า วัฒนพานิช และต่อมาหย่ากันเมื่อปลายปี พ.ศ. 2540 มีลูกชาย 1 คน ชื่อ กาย นวพล ลำพูน หนุ่ย” จบชั้นมัธยมตอนต้น ก็ได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยอาชีวศิลป์ ศึกษาในสาขาวิชาศิลปะ เขามีความสนใจ ด้านดนตรีตั้ง แต่เด็ก เคยตั้งวงดนตรีโฟล์กซองกับเพื่อน ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น มัธยมปีที่ 1 หลังจาก เรียนจบที่วิทยาลัยอาชีวศิลป์ศึกษาหนุ่ย และเพื่อนจึง ร่วม กันตั้ง วงดนตรีชื่อ “ วงไมโคร”  การศึกษาเริ่มจากอนุบาล : โรงเรียนรุ่งนภาพิทยา จ.ระยอง,ประถมศึกษา : โรงเรียนวัดสารนารถธรรมาราม จ.ระยอง , มัธยมศึกษา : โรงเรียนแกลง "วิทยสถาวร" จ.ระยอง , ปวช. : โรงเรียนอาชีวศิลปศึกษา กรุงเทพมหานคร

อำพล ลำพูนเข้าวงการโดยเป็นนักแสดงในสังกัดของ ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น โดยการชักชวนของผู้กำกับชื่อดัง เปี๊ยก โปสเตอร์ ภาพยนตร์เรื่อง วัยระเริง เมื่อปี พ.ศ. 2527 คู่กับวรรษมน วัฒวโรดม ต่อมาในปีเดียวกันอำพล ลำพูน ก็ได้รับบทน้ำพุ ในภาพยนตร์เรื่อง น้ำพุ คู่กับนางเอกคนเดิม และได้แสดงร่วมกับเรวัต พุทธินันทน์และภัทราวดี มีชูธน กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิทและภาพยนตร์เรื่องนี้อำพลได้รางวัลตุ๊กตาทอง สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสุพรรณหงส์จากการประกวด ภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิคจาก ภาพยนตร์เรื่องน้ำพุ ในปี 2527 ภาพยนตร์เรื่องที่สาม ข้างหลังภาพ จากบทประพันธ์ของศรีบูรพา กำกับโดยเปี๊ยก โปสเตอร์ นางเอก คือ นาถตยา แดงบุหงา นอกจากนี้อำพล ลำพูนยังแสดงภาพยนตร์เรื่อง ต้องปล้น , พันธุ์หมาบ้า , ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม , คู่ชื่นวัยหวาน , สองพี่น้อง , หัวใจเดียวกัน , แรงเงา , ไฟริษยา , ดีแตก , รู้แล้วหน่าว่ารัก ฯลฯ โดยส่วนใหญ่จะเล่นคู่กับพระเอกรุ่นเดียวกัน คือ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง นอกจากนี้ยังเล่นกับจินตหรา สุขพัฒน์หลายเรื่องด้วย  นอกเหนือจากผลงานในฐานะนักร้องนำวงไมโครแล้ว ผลงานอัลบั้มส่วนตัวของพี่หนุ่ยที่ออกในนามอัลบั้มเดี่ยว ได้แก่  วัตถุไวไฟ พ.ศ. 2535 ม้าเหล็ก พ.ศ. 2536 อำพลเมืองดี พ.ศ. 2538


นภ พรชำนิ เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2515 เป็นนักร้องคู่บุญของบอย โกสิยพงษ์แห่งเบเกอรี่มิวสิค เข้ารับการศึกษาในระดับประถมและมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อต่างประเทศในสาขา Business Administration ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เริ่มเป็นศิลปินนักร้องรับเชิญ ในปี พ.ศ. 2537 ในอัลบั้ม "RHYTHM & BOYd" ของ บอย โกสิยพงษ์ "ZMYX ZIGMA" ของสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ "โมเดิร์นด็อก" ของโมเดิร์นด็อก ต่อมาในปี 2538 ได้ร่วมเขียนเพลง และเป็นนักร้องรับเชิญ ในอัลบั้ม "Zequence" ของ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และในปีต่อมา เป็นนักร้องรับเชิญ ให้บอย โกสิยพงษ์ในอัลบั้ม "EP ONE" และ "SIMPLIFY" และมีผลงานเป็นนักร้องนำอัลบั้มของวงดนตรีพีโอพี และยังมีผลงานอัลบั้มเดี่ยว A man of smiles ทางด้านเบื้องหลัง ในปี 2540 ได้ร่วมเขียนเพลง ร่วมร้องเพลง กับ อัลบั้ม "AGAIN" ของ คริสติน และ ร่วมดูแล การผลิตใน อัลบั้ม "Request" ของ รัดเกล้า รับตำแหน่ง พับลิก ไดเร็คเตอร์ ของ บริษัทเบเกอรี่ มิวสิค นอกจากนั้น นภ ยังก่อตั้ง Dobe Music Production ทางด้านชีวิตส่วนตัว นภ เข้าพิธีวิวาห์กับพิธีกรสาว เพลิน ประทุมมาศ เมื่อวันที่ 10 ประวัติการทำงานดนตรีและผลงานร่วมกับศิลปินในค่าย

ปี 2537 เป็นนักร้องรับเชิญในอัลบั้ม "Rhythm & Boyd" , "ZMYX ZIGMA" , "Moderndog" โดยร่วมร้องเพลง ในอัลบั้มดังกล่าว อาทิ ฤดูที่แตกต่าง, คนที่เดินผ่าน , ดอกไม้ เริ่มต้นทำงานเขียนเพลง ให้กับ เบเกอรี่มิวสิค เป็นงานอดิเรก ทำงานประจำในตำแหน่ง "System Analyst" ให้กับ "Andersen Consulting Co,Ltd" ปี 2538 ร่วมผลิตผลงานอัลบั้ม "Zequence" กับ "สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์" โดยรับหน้าที่เป็นนักร้องรับเชิญ และเขียนเพลงในอัลบั้ม อาทิ รู้สึกแปลก, คนดี ปี 2539 เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ สหรัฐอเมริกา รับหน้าที่เป็น นักร้องรับเชิญให้กับอัลบั้ม "EP ONE" , "Simplify" ของ "บอย โกสิยพงษ์" มีเพลงที่เป็นที่รู้จัก อาทิ อยากจะขอ , ตัดสินใจ , ในคืนที่เราเจอะเจอกันครั้งแรก ปี 2540 ร่วมแสดงในคอนเสิร์ตครั้งสำคัญ "LIFE" ของ "บอย โกสิยพงษ์" ร่วมผลิตผลงานอัลบั้ม "AGAIN" ของ "คริสติน" โดยรับหน้าที่เขียนเพลง , ร้องเพลง และร่วมดูแลการผลิต (Co-producer) ให้กับอัลบั้มด้วย เริ่มต้นทำงานประจำกับ เบเกอรี่มิวสิค โดยรับตำแหน่ง "Publicity Director" มีส่วนร่วมในงานอัลบั้ม "Request" ของ "รัดเกล้า อามระดิษ" โดยร่วมร้องเพลง "หมื่นพันแสนล้าน"

ผลงานอัลบั้มส่วนตัว ปี 2521 ออกผลงานอัลบั้มชุดแรก " Era " งานป๊อบสวยๆ ที่ปรุงแต่งอย่างพอดิบพอดีด้วยดนตรีร็อก ซึ่ง นภ พรชำนิ ทำหน้าที่ร้องนำและดนตรีเยี่ยมๆ จากสองนักดนตรีประจำสตูดิโอที่ เบเกอรี่ มิวสิค โต้งและก้อในนาม "P.O.P"(Period Of Party ) แล้วในอัลบัมนี้ ได้มีเพลงที่ได้รับความนิยมหลายเพลง เช่น รักของเธอมีจริงหรือเปล่า ไม่มี คนดี เป็นต้น

ปี 2543 ออกผลงานอลบัมชุดที่ 2 ในนาม P.O.P ชื่อ อัลบัม "P.O.P"ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับวง แล้วในอัลบัมนี้ ได้มีเพลงที่ได้รับความนิยมหลายเพลง เช่น เวลา วงกลม ขอบคุณ เป็นต้น

ปี 2544 ออกผลงานอัลบั้ม THE BEGINNING (FROM 1994-2001) ซึ่งเป็นการรวบร่วมนำเอาผลงานต่างๆของ นภ พรชำนิ ที่เคยได้ร้องมา มารวบร่วมและร้องใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นอัลบัมแรกของ นภ อย่างเต็มตัว และต่อจากนั้นอีกไม่นานก็ได้มีคอนเสิร์ต "THE STORY OF MY LOVE"

ปี 2547 ได้มีคอนเสิร์ต แต่เป็นคอนเสิร์ตที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้มีนัก เพราะเป็นคอนเสิร์ตอำลาของวง "P.O.P" และในคอนเสิร์ตก็ถือว่าคุ้มมาก นักร้องทุกคนทั้ง นภ และแขกรับเชิญ ต่างเต็มที่กับคอนเสิร์ตและสนุกไปกับคอนเสิร์ตนั้น และเพลงสุดท้ายท่เล่นในวันนั้นก็คือ ไม่มี ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพลงที่ P.O.P ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนเพลงสุดท้ายก็ต้องใช้เพลงนี้จบคอนเสิร์ตทุกครั้ง แต่ทุกครั้งก่อนคอนเสิร์ตนี้ เล่นแล้วไม่มีน้ำตาเลย แต่ในวันนั้นร้องเพลงไปไปพร้อมกับน้ำตา



ปี 2547 ออกผลงานอัมบั้ม MILLION WAYS TO DOBE นภ พรชำนิ กลับมาอีกครั้งกับ อัลบั้มเต็มของ Dobe Music Production พร้อมซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุด "รัก" และ "ตื่นเถิดชาวไทย" "รัก" คือเพลงที่มีความไพเราะและเนื้อหาที่กินใจ ถ่ายทอดโดย ปุ๊-อัญชลี จงคดีกิจ ด้วยการแต่งเนื้อร้องโดย บอย โกสิยพงษ์ เป็นเพลงที่ทำให้ผู้ฟังเคลิ้มนึกย้อนไปถึงความรักในรูปแบบต่างๆ รักบุพการี รักคนรัก รักถิ่นแผ่นดินไทย รักเพื่อนร่วมโลก และรักชีวิต ปลุกกระแสความเป็นไทย กับเพลง "ตื่นเถิดชาวไทย" ที่ระดมพลเหล่าบุคคลในวงการบันเทิง ทั้ง หอย-เกียรติศักดิ์ เปิ้ล-สาระแน เป้-วิศวะ อาร์ม-วิบูลย์ ก้อง-ปิยะ คมสันต์ นันทจิต และ B5 ร่วมถ่ายทอด ให้คนไทย ตื่นจากสิ่งครอบงำทั้งหลาย ทั้งจากสื่อ ค่านิยมและความเชื่อที่ผิดๆ นอกจากนั้นยังบรรจุไปด้วย เพลง ดังอย่าง Miss You Mister และ ฝรั่งใจ ที่ได้ เพิ่มสีสันใหม่ด้วยเสียงร้องของ โจนัส และยังมีนักร้องรับเชิญอีกมากมาย คือ ป๊อดและModerndog ยุ๊ย-จาริยา บุรินทร์-Groove Riders P.O.P Suburbian และ BK-ONE รวมทั้งยังมีโบนัสแทรคแถมมาอีกด้วย ในการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าศิลปินที่มีชื่อเสียงและความสามารถ ในชุดนี้ นอกจากจะเพื่อสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นการทำบุญเพื่อการกุศล เพราะรายได้ส่วนหนึ่ง จะมอบให้กับมูลนิธิพลตรีหลวงวิจิตวาทการ เพื่อมอบให้กับวิทยาลัยนาฎศิลป์ไทยต่อไป และ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า อัลบั้มชุดนี้ จะสามารถเป็นการทำคุณประโยชน์ เพื่อสังคมไทยในฐานะคนไทยกลุ่มหนึ่ง และในที่สุด ดนตรีต่างมุมมอง ของ Dobe Music Production กับอัลบั้มที่ชื่อ Million ways to Dobe ก็ได้รับเลือกเป็น Channel [v] Thailand Bird's Eye View ประจำเดือน พฤศจิกายน 2547มีนาคม พ.ศ. 2549


หนึ่ง ณรงค์วิทย์ คนที่นั่งตรงกลาง
ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ( หนึ่ง) โปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลงชื่อดังแห่งยุค การศึกษา ปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ บัณฑิต ม.กรุงเทพ ปัจจุบัน ตำแหน่ง producer /นักแต่งเพลง   ผู้ควบคุมงานผลิตอัลบั้ม sleepless society และเพลงประกอบละครหลักของทางช่อง 3 บริษัท GMM Grammy จำกัด (มหาชน)

ผลงานเพลงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ให้กับศิลปินในค่าย ได้แก่   อย่าเล่นตัว/เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ/แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้-ไอซ์ศรัญยู,แฟนคนอื่น-วงมะลิ,คนเดียวกัน-กอล์ฟไมค์,ร้องไห้ง่ายๆกับเรื่องเดิมๆ-ปาล์มมี่,ทางสายเก่าเพลงรักเก่า-โก้Mr.Saxman,สำนึก-อู๋ ธรรณธรณ์,รอยแผลที่มองไม่เห็น-โดม,คนที่ไม่เข้าตา ป็อบCalories Blah Blah,Music Lover/ไม่อยากให้เธอไว้ใจ-มาช่า,ไม่เหงาไม่ใช่ฉัน-เบิร์ดธงไชย, เสียงของหัวใจ-แอน ธิติมา , เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า-กบ เสาวนิตย์,เหตุผลคือรักเธอ-มอส,ห้องเดิม-คริสติน่า อากีล่าร์,ช่วงชีวิตหนึ่ง-พอล ภัทรพล ,เพื่อนรัก -เอิน กัลยกร ,จบไปได้แล้ว -ZAZA ,rain -บัวชมพู ฟอร์ด,ได้ยินไหมพระจันทร์-แอน-ศิรศักดิ์ ,เพิ่งรู้ว่ารักเธอ -พอล ภัทรพล ,ผิดคนแล้ว-Dragon5 ,น้อยใจ –แอนธิติมา ,มีดเล่มเดิม -กบ เสาวนิตย์ ,อยากรู้ -ธาริณี ทิวารี ,หวงนาย -แอนนา ,sunshine day-บัวชมพูฟอร์ด ,ขอโทษ -เอิน กัลยกร ,ยิ่งเจ็บยิ่งรัก -แคทรียา อิงลิช ,แค่คนที่รักเธอ -แอน ธิติมา,เก็บ-มอส,ดอกไม้ในใจเธอ-บัวชมพูฟอร์ด

ผลงานช่วงอยู่ค่ายอื่น ได้แก่  ยังไม่ชิน -รวิวรรณ จินดา ,หยุดตรงนี้ที่เธอ - ฟอร์ด สบชัย ,ยิ่งรักเธอ -โดม ปกรณ์ ลัม , แอบมีเธอ -ลิฟท์กะออย

ประวัติการทำงาน

เริ่มต้นการเป็นนักแต่งเพลงตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปี 3 ที่ ม.กรุงเทพ ตอนนั้นก็เหมือนเป็นวัยรุ่นทั่วๆไปที่สนใจการฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ชอบซื้อเทปแล้วดูว่าใครแต่งเพลงอะไร และใฝ่ฝันมาตลอดว่าสักวันหนึ่งน่าจะมีชื่อในปกเทปอย่างนักแต่งเพลงรุ่นพี่ๆกับเขาบ้าง จึงได้ลองเรียนรู้และศึกษาว่าการแต่งเพลง มันน่าจะเป็นอย่างไรด้วยตัวเอง จากการเป็นนักฟังที่ช่างสังเกต จนวันหนึ่งได้มีโอกาสรู้จักกับคุณจิรพรรณ อังศวนนท์ โปรดิวเซอร์ที่บริษัท Butterfly ซึ่งกำลังทำงานให้ศิลปิน Autobahn ชุดแรกอยู่ เลยขอทดลองเขียนเพลงทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยมีพื้นฐานด้านนี้มาก่อนเลยปรากฏว่าหลังจากส่งเนื้อเพลงแรกไป ผลเป็นที่น่าพอใจ มีการให้กลับไปแก้ไขหลายครั้งอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งสำเร็จในที่สุด เป็นเพลงแรกในชีวิตตอนนั้นรู้สึกดีใจและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเพลงตัวเองได้อยู่บนตลับเทปจริง ได้ยินเพลงเราจากวิทยุ ทีวีแทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็แต่งเพลงเป็นฟรีแลนซ์มาเรื่อยๆ เพราะยังเรียนไม่จบล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ช่วงแรกผลงานยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ยังเป็นนักแต่งเพลงที่ไม่มีสังกัด ลำบากมากกว่าจะมาถึงวันนี้ ยากกว่าที่คิดไว้สุดๆ จนกระทั่งปี 2538 ได้รับการชักชวนจากนักแต่งเพลง รุ่นพี่ที่ RS Promotion จึงเริ่มต้นการเป็นนักแต่งเพลงอาชีพนับแต่นั้นเป็นต้นมา

คุณณรงค์วิทย์ เคยได้รับรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน สาขาเพลงยอดนิยม จากเพลง ยิ่งรักเธอ ของ โดม ปกรณ์ ลัม ในปี 2540

ผลงานส่วนตัว อัลบั้ม D.I.Y by Narongvit , Sleepless Society 1-3, เพลงประกอบละครช่อง 3 (ในช่วง2-3ปีนี้)
เพลงประกอบละครดังๆ ที่หนึ่ง ณรงค์วิทย์ แต่ง ได้แก่ ไม่มีใครรักฉันได้เหมือนเธอ(ละคร365วันฯ) ให้รักเดินทางมาเจอกัน ,เธอคือดวงใจฉัน ,ความรักเปลี่ยนแปลงฉัน (ละครชุด4หัวใจแห่งขุนเขา) ,ให้ฉันดูแลเธอได้ไหม (ผู้ใหญ่ลีกับนางมา) ขอโทษจริงๆ (สามหนุ่มเนื้อทอง) ลมหายใจเพื่อใครคนหนึ่ง (ทาสรัก) เส้นขนานที่รักกัน (เลื่อมพรายลายรัก) เป็นต้น


รณเดช วงศาโรจน์ (แหนม) เกิดวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2523 เป็นนักร้องชาวไทย จบการศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา)ปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แหนม รณเดช เป็นลูกชายคนโตของคุณพ่อจิรศักดิ์ วงศาโรจน์ คนในวงการโฆษณา และผู้ช่วยผู้กำกับ กับคุณแม่ดารารัตน์ วงศาโรจน์ มีน้องสาว 1 คน คือ น้องขิง อุเรศอร วงศาโรจน์ โดยหลังจาก แหนม รณเดช จบการศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เขาก็ตัดสินใจศึกษาต่อที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนานาชาติ และจบปริญญาโทคณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


งานอดิเรก : อดิเรก : เล่นดนตรี , วิ่ง , เล่นเทนนิส , บาสเก็ตบอล , เล่นอินเทอเน็ต , ถ่ายรูป , ฟังเพลง

สิ่งที่ชอบ : Guitar ,Camera, Car, motorcycle , DVD concert

ศิลปินที่ชอบ : Eric Clapton, Stevie Ray Vaughn, นูโว ,พี่เบิร์ด, พี่ป้อม อัสนี

นักกีฬาขวัญใจ : Roger federer , ภราดร , ต๋อง ศิษย์ฉ่อย

อาหารโปรด : Steak, เชอรี่ , สตอเบอรี่ , ปลาแซลมอน , ไข่เจียวหมูสับ , ไวไวหมูสับ

แนวเพลง : Rock, Blues , R&B , Pop , Jazz

ผลงานอัลบั้ม คือ ไม่ขายหน้า , Be With You ,เพลงประกอบละคร ให้ฉันดูแลเธอ(ประกอบละคร ผู้ใหญ่ลีกับนางมา),เส้นขนานที่รักกัน(ประกอบละคร เลื่อมพรายลายรัก),ไม่รักไม่เป็นไร(ประกอบละคร ดวงใจอัคนี),เจ้าสาวของผม (ประกอบละคร เจ้าสาวผมไม่ใช่ผี )


นิติพงษ์ ห่อนาค (ดี้) นักแต่งเพลงชาวไทยที่มีชื่อเสียง เป็นอดีตรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจดนตรี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทางด้านการศึกษา นิติพงษ์ ห่อนาค สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จังหวัดลพบุรี จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิติพงษ์ ห่อนาค มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักดนตรีวงเฉลียง และนักแต่งเพลงในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซึ่งผลงานทางด้านการเขียนเพลงของนิติพงษ์นั้น เริ่มต้นเขียนเพลงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2523 คือเพลง "เข้าใจ" ของวงเฉลียง ปัจจุบันมีผลงานเพลงประมาณกว่า 350 เพลง โดยเขียนเพลงให้แก่ศิลปินระดับชั้นนำของประเทศ ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ อัสนี-วสันต์ ไมโคร บิลลี่ โอแกน คริสติน่า อากีล่าร์ ใหม่ เจริญปุระ มาช่า วัฒนพานิช กอล์ฟ-ไมค์ โรส ศิรินทิพย์ เป็นต้น  นอกจากนี้แล้วยังเคยลงรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ได้เบอร์ 29 แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงมาเป็นลำดับสองของกรุงเทพมหานคร ด้วยคะแนนเสียงกว่า 221,067 คะแนน เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 นิติพงษ์ประกาศลาออกจาก บมจ.จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ซึ่งทำงานมายาวนานกว่า 27 ปี โดยให้เหตุผลว่า ต้องการทำงานแบบเป็นอิสระ ประกอบกับการงานที่ตนสามารถทำให้กับบริษัทมีน้อยลง จึงเกิดความรู้สึกเกรงใจที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป และมีข่าวลือว่า อาจจะไปเข้าสังกัดอาร์เอสแทน ปัจจุบัน นิติพงษ์ก่อตั้ง บริษัท สหภาพดนตรี จำกัด ร่วมกับ อัสนี โชติกุล, ชาตรี คงสุวรรณ, จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี และ วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี โดยเป็นศูนย์กลางของบุคลากรที่มีวิชาชีพทางด้านดนตรี เพื่อสร้างผลงานเพลงอันหลากหลาย และส่งเสริมศักยภาพทางด้านดนตรีของเยาวชน]

ผลงานเพลงที่สร้างชื่อเสียง อย่าไปเสียน้ำตา,ไม่อยากจะเชื่อเลย ,ไม่มีใครขอร้อง (คริสติน่า อากีล่าร์) หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ,ขอบใจจริงๆ,ก้อนหินกับนาฬิกา,เหนื่อยไหม (ธงไชย แมคอินไตย์) เรามีเรา,อาจจะเป็นคนนี้ (ฐิติมา สุตสุนทร) อยากจะบอกใครสักคน,รักปอนปอน,ใจโทรมๆ,บอกมาคำเดียว (ไมโคร) ก็เคยสัญญา,ได้อย่างเสียอย่าง,เธอปันใจ,รักเธอเสมอ (อัสนี-วสันต์) ไม่เป็นไรเลย,ลืมไปไม่รักกัน (นูโว) เพราะเขาคนเดียว,แพ้ใจ (ใหม่ เจริญปุระ) คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ (แท๊กซี่) เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม,ฝังไว้ในผืนดิน,ลาออก (บิลลี่ โอแกน) ปราสาททราย (สุรสีห์ อิทธิกุล) แผลในใจ (อำพล ลำพูน) แค่เสียใจไม่พอ,ครึ่งหนึ่งของชีวิต (เสาวลักษณ์ ลีละบุตร) ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ (อินคา) จากคนอื่นคนไกล (มาช่า วัฒนพานิช) กองไว้,คาใจ (เจตริน วรรธนะสิน) กลับคำเสีย (กัมปะนี) ทิ้งรักลงแม่น้ำ (Y not 7) ก้อนหินก้อนนั้น (โรส ศิรินทิพย์) เติมความผูกพัน (ปองกูล สืบซึ้ง แคลอรี่ บลา บลา) รักแท้ยังไง (น้ำชา) ฯลฯ