รอยเตอร์/เอเอฟพี - มือระเบิดฆ่าตัวตายถล่ม 3 เมืองทั่วซาอุดีอาระเบียเมื่อวันจันทร์ (4 ก.ค.) ในปฏิบัติการโจมตีอย่างพร้อมเพรียง ระหว่างชาวซาอุดีอาระเบียกำลังเตรียมหยุดพักจากการถือศีลอดในวันท้ายๆ ของเดือนรอมฎอน เหตุระเบิดมีเป้าหมายที่สถานกงสุลสหรัฐฯ, เหล่านักแสวงบุญชีอะห์ และกองบัญชาการรักษาความปลอดภัย ณ มัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองเมดินา ตามหลังเหตุสังหารหมู่ในตุรกี, บังกลาเทศและอิรัก ที่ล้วนแต่อ้างความรับผิดชอบโดยพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยเหตุโจมตีทั้ง 3 ดูเหมือนจะมีช่วงเวลาที่สอดคล้องกับวันเฉลิมฉลองการออกศีลอดของชาวมุสลิม ที่เรียกว่า “อีดิลฟิฏรี” เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงรายหนึ่งเผยว่า มือโจมตีจอดรถยนต์ใกล้สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเจดดาห์ก่อนจุดชนวนระเบิด และบอกว่ารัฐบาลกำลังตรวจสอบรายงานเหตุระเบิดที่เมืองกาตีฟและเมดินาด้วย ในเหตุโจมตีทั้งสามมีเพียงจุดเดียวที่ก่อความสูญเสีย นั่นคือเหตุระเบิดใกล้กองบัญชาการรักษาความปลอดภัยของมัสยิดโพรเฟต ในเมืองเมดินา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับ 2 ของอิสลาม อัล-อาราบียา สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ ระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่เมืองเมดินา มีอยู่ 5 คน เป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย 3 คนและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง 2 คน แต่กระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบียแถลงในเวลาต่อมาว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บ 5 คน “กองกำลังด้านความมั่นคงสงสัยชายคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังมัสยิด ตอนที่เขาเดินผ่านลานจอดรถเข้ามา และระหว่างที่พวกเขาพยายามหยุดชายดังกล่าว เขาก็ระเบิดตนเองด้วยเข็มขัดระเบิด ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเสียชีวิต 4 นาย” ถ้อยแถลงของกระทรวงมหาดไทยระบุ ที่เมืองกาตีฟ ทางตะวันออกของประเทศ แหล่งพำนักของชนกลุ่มน้อยชีอะห์จำนวนมาก เกิดเหตุระเบิดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ใกล้ๆ มัสยิดชีอะห์แห่งหนึ่ง ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าพบเห็นชิ้นส่วนศพ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นของมือระเบิดฆ่าตัวตาย กระจัดกระจายทั่วตามหลังเหตุโจมตี ชาวบ้านให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เชื่อว่าไม่มีคนอื่นๆ เสียชีวิตนอกจากมือโจมตี เนื่องจากตอนนั้นเหล่านักแสวงบุญเดินทางกลับบ้านแล้ว ขณะที่กองกำลังป้องกันพลเรือนเข้าเก็บกวาดพื้นที่และตำรวจกำลังดำเนินการสืบสวน ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ มือระเบิดฆ่าตัวตายเสียชีวิตและมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 2 คนในเหตุระเบิดใกล้สถานกงสุลสหรัฐฯในเจดดาห์ เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของซาอุดีอาระเบีย เหตุการณ์นี้นับเป็นเหตุโจมตีที่มุ่งสังหารชาวต่างชาติในซาอุดีอาระเบีย ครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ นับตั้งแต่ปลายปี 2014 เป็นต้นมา พวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ปฏิบัติการโจมตีด้วยระเบิดและยิงสังหารในซาอุดีอาระเบียมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไปหลายราย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ความมั่นคงซาอุฯ และชนกลุ่มน้อยชาวชีอะห์
เอเอฟพี
- สองผู้ต้องสงสัยญิฮัดรัฐอิสลาม (ไอเอส)
ถูกรวบตัวที่สนามบินอะตาเติร์กของอิสตันบูลเมื่อวันอาทิตย์ (3 ก.ค.)
จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในวันจันทร์ (4 ก.ค.)
ไม่กี่วันหลังท่าอากาศยานแห่งนี้ถูกโจมตีด้วยมือระเบิดฆ่าตัวตาย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตุรกีเคลื่อนไหวยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสถานที่อ่อนไหวต่างๆ สำนักข่าวโดกันนิวส์
รายงานว่าผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนที่ถูกรวบตัวได้เมื่อวันอาทิตย์ (3
ก.ค.) เป็นชาวคีร์กีซสถาน และระบุตัวตนของพวกเขาเพียงว่า K.V.
และ F.M.I. อายุ 25 และ 35
ปีตามลำดับ ตำรวจพบกล้องส่องทางไกลอินฟาเรดและเสื้อผ้าสไตล์ทหารในกระเป๋าสัมภาระของพวกเขา
เช่นเดียวกับพาสปอร์ต 2 เล่มที่ใช้ชื่อต่างกันออกไป
รายงานของโดกันนิวส์ระบุ ทั้งสองคนถูกสอบปากคำโดยตำรวจต่อต้านก่อการร้ายในอิสตันบูล
แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าตอนที่ถูกรวบตัวนั้นพวกเขากำลังเข้าหรือออกจากสนามบิน การรวบตัวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ผู้ต้องสงสัย
13 คน ในนั้นมีชาวต่างชาติ 3 คน
ถูกตั้งข้อหาเมื่อวันอาทิตย์ (3 ก.ค.)
ในความเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีด้วยปืนและระเบิดฆ่าตัวตาย ณ สนามบินเดียวกันนี้ เมื่อวันที่
28 มิถุนายน คร่าชีวิตผู้คน 45 ศพ
เป็นชาวต่างชาติ 19 ราย เจ้าหน้าที่เชื่อว่าพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) อยู่เบื้องหลังการโจมตี
ซึ่งถือว่าเป็นครั้งเลวร้ายที่สุดของตุรกีในปีนี้ “ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยรวมทั้งสิ้น
29 คน ในนั้นรวมถึงชาวต่างชาติในความเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีสนามบิน”
นายกรัฐมนตรีบินาลี ยิลดิริม กล่าว ยิลดิริม ระบุในวันจันทร์ (4
ก.ค.) ว่าตำรวจอยู่ในการเฝ้าระวังขั้นสูง
และได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ณ สนามบินอะตาเติร์ก และสถานที่อ่อนไหวอื่นๆ
ของอิสตันบูล ในนั้นรวมถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินและอุโมงค์รถไฟมาร์มาราย นายกรัฐมนตรีรายนี้ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุโจมตีเมื่อวันที่
28 มิถุนายนว่า
มือระเบิดเริ่มต้นด้วยการสาดกระสุนใส่ผู้โดยสาร เปิดทางสำหรับเข้าไปภายในอาคาร
จากนั้นก็จุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย โดยนอกจากจำนวนผู้เสียชีวิตข้างต้นแล้ว
ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน และ 47 คนในนั้นยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เชื่อว่ามือโจมตีเป็นชาวรัสเซีย, อุซเบกิสถาน
และคีร์กีซสถาน ขณะที่ อนาโดลู สื่อมวลชนแห่งรัฐเผยชื่อ 2 ใน
3 คนได้แก่นายราคิม บัลการอฟ และนายวาดิม ออสมานอฟ
แต่ไม่ได้ระบุว่าพวกเขาเป็นคนเชื้อชาติใด
เหล่าประเทศอดีตสหภาพโซเวียตในเอเชียกลาง
เป็นแหล่งกำเนิดหลักของญิฮัดต่างชาติที่ออกเดินทางไปสู้รบเคียงข้างไอเอสและกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ
ในอิรัก และซีเรีย สื่อมวลชนตุรกีรายงานว่า
ผู้เตรียมการการโจมตีคราวนี้คือนายอัคเมด ชาตาเยฟ
ผู้นำชาวเชเชนของเครือข่ายไอเอสในอิสตันบูล
ซึ่งคอยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่มือระเบิด หนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยตระบุว่า
นายชาตาเยฟเคยถูกกล่าวหาเตรียมการการโจมตีด้วยระเบิดนองเลือด 2 ครั้งในปีนี้ ได้แก่บริเวณใจกลางย่านท่องเที่ยวสุลตานาห์เม็ท
และถนนชอปปิ้งอิสติคลาลในอิสตันบูล
เอเจนซีส์ -
อิรักไว้อาลัยเหยื่อคาร์บอมบ์ในกรุงแบกแดดที่ล่าสุดยอดพุ่งเป็นอย่างน้อย 213 คน
ท่ามกลางความโกรธแค้นของประชาชนต่อความย่อหย่อนในการรักษาความปลอดภัยของรัฐบาล
กระทั่งนายกรัฐมนตรีไฮเดอร์ อัล-อบาดี
ต้องประกาศยกเครื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยขนานใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเลิกใช้เครื่องตรวจจับระเบิดเก๊รูปแบบเดียวกับจีที
200 ที่ไทยถูกแหกตา เหตุคาร์บอมบ์ที่ถือเป็นการโจมตีนองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในอิรักคราวนี้เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันอาทิตย์
(3) ที่เขตคาร์ราดา ของเมืองหลวงแบกแดด
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากกำลังจับจ่ายก่อนถึงเทศกาลวันหยุดเนื่องในวาระสิ้นสุดการถือศีลอดในสัปดาห์นี้ เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวอิรักมากมายไม่พอใจรัฐบาลที่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยประชาชนได้
แม้จะได้ขับไล่กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกจากหลายพื้นที่
และบีบให้อบาดีต้องประกาศความพยายามในการแก้ไขข้อบกพร่องที่สะสมมายาวนานของมาตรการรักษาความปลอดภัยแบกแดด
ในวันจันทร์ (4) สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลาสามวันให้ผู้เสียชีวิต
ขณะที่อบาดีให้คำมั่นจะนำตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษ การโจมตีซึ่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงและแพทย์ระบุว่า
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 213 คนและบาดเจ็บกว่า 200 คนครั้งนี้ มีขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กองกำลังความมั่นคงอิรักสามารถยึดเมืองฟัลลูจาห์
คืนจากไอเอส ทั้งนี้ฟัลลูจาห์เป็นที่มั่นสำคัญของไอเอส
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากแบกแดดเพียงชั่วเวลาขับรถราว 1 ชั่วโมง แรงระเบิดจากคาร์บอมบ์สร้างความเสียหายต่ออาคารที่อยู่ใกล้เคียง
วันจันทร์เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินและญาติมิตรยังคงตามหาผู้สูญหาย
โดยเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันพลเรือนผู้หนึ่งเผยว่า
คงต้องใช้เวลาหลายวันในการค้นหาร่างผู้เสียชีวิต เมื่อวันอาทิตย์
ไอเอสแถลงอ้างความรับผิดชอบเหตุคาร์บอมบ์ โดยระบุว่า
มือระเบิดฆ่าตัวตายเป็นชาวอิรัก
และเป้าหมายคือชาวมุสลิมนิกายชีอะต์ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในอิรัก แจน คูบิส
ผู้แทนสหประชาชาติประจำอิรัก ประณามการโจมตีว่า เป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและชั่วช้าอย่างหาใดเสมอเหมือน
และเรียกร้องให้ทางการอิรักนำตัวคนร้ายมาลงโทษ นอกจากการโจมตีดังกล่าวแล้ว
ยังมีเหตุระเบิดในย่านชาอับทางเหนือของแบกแดด ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1
คนและบาดเจ็บ 4 คนในวันอาทิตย์
แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ทั้งนี้
เหตุระเบิดในแบกแดดลดลงนับจากไอเอสยึดครองพื้นที่กว้างขวางทางเหนือและตะวันตกของแบกแดดเมื่อเดือนมิถุนายน
2014 เนื่องจากกลุ่มก่อการร้ายนี้มัวพะวงกับการสู้รบในพื้นที่อื่นๆ
แต่ไอเอสกลับมาโจมตีพลเมืองอิรักอีกครั้งหลังจากเพลี่ยงพล้ำในการรบ
เดือนพฤษภาคมแบกแดดถูกโจมตีด้วยระเบิดหลายครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 150
คนในเวลาเพียง 7 วัน
ขณะเดียวกัน
คลิปที่เผยแพร่ออนไลน์เผยให้เห็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจและขว้างปาก้อนหินใส่ขบวนรถของอบาดีที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในย่านคาร์ราดา อย่างไรก็ตาม ผู้นำอิรักกล่าวว่า
เข้าใจความรู้สึกและการกระทำของประชาชน พร้อมประกาศเปลี่ยนแปลงมาตรการรักษาความปลอดภัย
ซึ่งรวมถึงการเลิกใช้เครื่องตรวจจับระเบิดแบบมือถือ “เอดีอี 651”
ที่เป็นอุปกรณ์หลอกที่ใช้งานไม่ได้จริง คล้ายๆ กับจีที 200 ที่รัฐบาลไทยในอดีตสั่งซื้อมา
ทั้งนี้ ตำรวจแบกแดดนายหนึ่งยืนยันว่า ยังมีการใช้เอดีอี 651
ตามจุดตรวจในแบกแดดในขณะนี้ แม้ว่าผู้ก่อตั้งเอทีเอสซี
บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์นี้ถูกศาลอังกฤษตัดสินจำคุก 10 ปีโทษฐานฉ้อฉลตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้วก็ตาม นอกจากนั้น
อบาดียังสั่งให้เร่งติดตั้งอุปกรณ์สแกนตามจุดผ่านเพื่อเข้าแบกแดด
ห้ามเจ้าหน้าที่ความมั่นคงใช้โทรศัพท์มือถือบริเวณจุดตรวจ
และเพิ่มการตรวจตราทางอากาศ รวมทั้งเพิ่มการประสานงานในหมู่กองกำลังความมั่นคง
เอเจนซีส์
- หน่วยคอมมานโดบังกลาเทศกว่า 100
นายจู่โจมเข้าไปในร้านอาหารสเปนใจกลางกรุงธากาเช้าวันนี้ (2 ก.ค.) เพื่อช่วยเหลือลูกค้าซึ่งถูกกลุ่มมือปืนรัฐอิสลาม (ไอเอส)
จับเป็นตัวประกัน
ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่สามารถสังหารกลุ่มติดอาวุธที่ลงมือก่อเหตุ 6 ราย และช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้ 13 คน ตำรวจบังกลาเทศเปิดเผยว่า
ตัวประกัน 13 คนซึ่งมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย 3 คน ได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย
หลังถูกกลุ่มติดอาวุธกักตัวไว้นานกว่า 10 ชั่วโมง ขณะนี้ยังไม่มีการสรุปยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ช่างภาพเอเอฟพีซึ่งติดตามสถานการณ์บริเวณจุดเกิดเหตุระบุว่า
ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นต่อเนื่อง
ขณะที่หน่วยความมั่นคงตัดสินใจบุกเข้าไปในร้านอาหารซึ่งมีคนถูกจับเป็นตัวประกันราวๆ
20 คน ตัวประกันชาวบังกลาเทศ 5 คนได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย
หลังปฏิบัติการเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่นาทีกลุ่มไอเอสได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีที่ร้านอาหาร Holey Artisan Bakery ในย่านกุลชาน (Gulshan) ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานทูตหลายแห่ง โดยมีตำรวจบังกลาเทศถูกสังหารไปแล้ว 2 นาย กลุ่มมือปืนได้บุกเข้าไปยังร้านอาหารดังกล่าวเมื่อเวลา 21.20 น. (ตรงกับในไทย 22.20 น.) เป็นช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังรับประทานอาหารค่ำ จากนั้นก็ตะโกน “อัลลอฮุอักบาร์” และเปิดฉากยิง มาริโอ ปัลมา เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำกรุงธากา ได้แถลงผ่านสื่อโทรทัศน์ว่า มีชาวอิตาเลียนตกเป็นตัวประกันด้วย 7 คน ขณะที่สถานทูตญี่ปุ่นระบุว่าอาจมีพลเมืองของตนถูกจับเป็นตัวประกันด้วยเช่นกัน
ลูกค้าบางคนสามารถหนีเอาตัวรอดออกมาได้ รวมถึงพ่อครัวชาวอาร์เจนตินา และชายชาวบังกลาเทศอีกคนหนึ่งที่เข้าไปซ่อนตัวในอาคารที่อยู่ติดกัน แต่ตำรวจระบุว่ายังมีลูกค้าอีกจำนวนมากถูกยึดเป็นตัวประกันอยู่ภายในร้าน หลังเหตุการณ์ผ่านไปนานหลายชั่วโมง ซูมอน รีซา ที่ปรึกษาของร้านซึ่งกระโดดหนีตายลงมาจากหลังคา ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า มีชาวต่างชาติถูกจับเป็นตัวประกันราว 20 คน “ผมซ่อนอยู่ใต้หลังคา อาคารทั้งหลังสั่นสะเทือนไปหมดตอนที่พวกเขากราดยิง” เขากล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุโจมตีร้านอาหารในบังกลาเทศแล้ว ซึ่งถือว่าไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นในย่านซึ่งได้ชื่อว่ามีความปลอดภัยสูงในกรุงธากา
เอเอฟพี - สื่อมวลชนตุรกีรายงานในวันศุกร์ (1 ก.ค.) มือระเบิดฆ่าตัวตายที่ปฏิบัติการโจมตีนองเลือดถล่มสนามบินอะตาเติร์ก มีแผนจับตัวประกันหลายสิบคนและสังหารหมู่ แต่เปลี่ยนใจลงมือเร็วขึ้น หลังรู้ตัวเริ่มเป็นที่สงสัยของตำรวจ ขณะที่ล่าสุดระบุตัว 2 ใน 3 ของคนร้ายได้แล้ว ส่วนผู้บงการเชื่อว่าเป็นแกนนำชาวเชเชน เครือข่ายของรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิสตันบูล เจ้าหน้าที่ตุรกีชี้เป้ากล่าวโทษกลุ่มญิฮัดไอเอสต่อเหตุโจมตีด้วยปืนและระเบิดฆ่าตัวที่ท่าอากาศยานอตาเติร์กเมื่อค่ำคืนวันอังคาร (28 มิ.ย.) คร่าชีวิต 44 ศพ ในนั้น 19 คนเป็นชาวต่างชาติ “พวกเขาบอกว่าพวกเขาทำในนามของอิสลาม” นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวระหว่างเยือนอิสตันบูล “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามเลย ที่ของพวกเขาควรอยู่ในนรกมากกว่า” อนาโดลู สำนักข่าวแห่งรัฐ รายงานว่ามีผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวในอิสตันบูลแล้ว 24 คน ในปฏิบัติการจู่โจมหลายจุดตามหลังเหตุโจมตีสนามบิน ในนั้นรวมถึงชาวต่างชาติ 15 คน สื่อมวลชนแห่งนี้รายงานโดยอ้างข้อมูลจากอัยการรายหนึ่ง ระบุว่า 2 ใน 3 ของมือโจมตีได้แก่นาย ราคิม บัลการอฟ และ วาดิม ออสมานอฟ แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขามีสัญชาติใดเจ้าหน้าที่ตุรกีปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลรายหนึ่งเคยบอกก่อนหน้านี้ว่ามือโจมตีเป็นชาวรัสเซีย อุซเบกิสถานและคีร์กิซสถาน ในเวลาต่อมา กระทรวงการต่างประเทศคีร์กิซสถาน ชี้แจงว่าในวันศุกร์ (1 ก.ค.) ว่านายบัลการอฟ และ ออสมานอฟ ถือพาสปอร์ตรัสเซีย แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม สื่อมวลชนตุรกีรายงานว่า ผู้เตรียมการการโจมตีคราวนี้คือนายอัคเมด ชาตาเยฟ ผู้นำชาวเชเชนของเครือข่ายไอเอสในอิสตันบูล ซึ่งคอยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่มือระเบิด นายชาตาเยฟเคยถูกกล่าวหาเตรียมการการโจมตีด้วยระเบิดนองเลือด 2 ครั้งในปีนี้ ได้แก่บริเวณใจกลางย่านท่องเที่ยวสุลตานาห์เม็ทและถนนช็อปปิ้งอิสติคลาลในอิสตันบูล จากรายงานของหนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยต ไมเคิล แม็กคอล ประธานคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของรัฐสภาสหรัฐฯ ระบุว่าบางทีนายชาตาเยฟ อาจเป็นศัตรูหมายเลข 1 ในแคว้นนอร์ทคอเคซัสของรัสเซีย “เขาเคยเดินทางไปซีเรียแล้วหลายครั้ง และกลายเป็นหนึ่งในนายทหารระดับสูงของกระทรวงสงครามของไอเอส”
เอเอฟพีอ้างข้อมูลจากที่เคยพบเห็นในเอกสารของศาลสวีเดน พบว่าชายวัน 36 ปีรายนี้เคยถูกจำคุก 16 เดือนในปี 2008 ฐานลักลอบขนอาวุธผิดกฎหมาย ซึ่งหลังจากนั้นก็ถูกเทรเนศ หลังจากก่อนหน้านั้น เขาเคยได้รับอนุมัติลี้ภัยทางการเมืองในออสเตรียปี 2003 หนังสือพิมพ์ซาบาห์รายงานว่า มือโจมตีสอดส่องไปทั่วจุดเกิดเหตุ และมีแผนจับตัวประกันหลายสิบคนในสนามบินก่อนลงมือสังหารหมู่ แต่ตัดสินใจเริ่มโจมตีเร็วขึ้นหลังรู้ตัวว่าเริ่มเป็นที่สงสัยของเจ้าหน้าที่ ภาพจากล้องวงจรปิดที่เผยแพร่โดยตำรวจ พบเห็นมือระเบิด 3 คนเดินทางมาถึง โดยทั้งหมดสวมเสื้อโค้ทหนาเพื่อปิดบังเสื้อกั๊กระเบิด ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่งสำหรับยามค่ำคืนในช่วงหน้าร้อน นอกจากนี้แล้วภาพจากกล้องวงจรปิดอีกอันพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเผชิญหน้ากับหนึ่งในมือโจมตีตรงลิฟต์และเรียกขอดูบัตรประชาชน แต่คนร้ายกลับชักปืนออกมาและยิงเขาจนล้มฟุบไป เหตุโจมตีคราวนี้เรียกเสียงประณามจากทั่วโลกและการยื่นมือช่วยเหลือจากหลายสิบประเทศทั่วยุโรป ขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันที่สนามบินในวันศุกร์ (1 ก.ค.) เพื่อวางดอกไม้ไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต
เอเอฟพี - ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ ใกล้เมืองโมซุล (Mosul) ของอิรัก สามารถปลิดชีพแกนนำอาวุโสของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ไปได้อีก 2 คน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์ (1 ก.ค.) “กองกำลังพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินโจมตีทางอากาศใกล้ๆ กับเมืองโมซุล เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้บัญชาการรบของไอเอส 2 ราย และสามารถสังหารพวกเขาได้สำเร็จ” ปีเตอร์ คุก เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของเพนตากอน ระบุในคำแถลง “ปฏิบัติการโจมตีที่แม่นยำนี้สามารถสังหาร บาซิม มูฮัมหมัด อะหมัด ซุลตอน อัล-บาจารี ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยฝ่ายสงครามของไอเอส และ ฮาตีม ตอลิบ อัล-ฮัมดูนี ผู้บัญชาการกองกำลังไอเอสในเมืองโมซุล” คุก ระบุว่า อัล-บาจารี เป็นอดีตสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ซึ่งผันตัวมาเข้าร่วมกับไอเอส และเป็นผู้ควบคุมปฏิบัติการยึดเมืองโมซุลเมื่อปี 2014 “เขายังเป็นผู้นำกองกำลัง Jaysh al-Dabiq ของไอเอส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการใช้ระเบิดคาร์บอมบ์ มือระเบิดฆ่าตัวตาย และแก๊สมัสตาร์ดในการโจมตี” คุก กล่าว ด้าน อัล-ฮัมดูนี เป็นผู้บัญชาการกองกำลังไอเอสในเมืองโมซุล และเป็นหัวหน้าหน่วยสารวัตรทหารในพื้นที่ โมซุลเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรักที่พวกไอเอสประกาศให้เป็น “เมืองหลวง” ภายใต้การปกครองของพวกเขา
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังความมั่นคงอิรักสามารถรุกคืบยึดพื้นที่คืนจากไอเอสได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วงชิงเมืองฟัลลูจาห์ (Fallujah) กลับคืนมาได้ในเดือนนี้ เป้าหมายสำคัญแห่งถัดไปอยู่ที่เมืองโมซุล คาดว่ากองทัพอิรักจะเริ่มจู่โจมเพื่อยึดเมืองแห่งนี้คืนจากไอเอส ภายในอีกไม่กี่เดือน “การกำจัดพวกแกนนำก่อการร้ายออกไปจากสนามรบ จะช่วยปูทางให้กองทัพอิรักสามารถบุกเข้าไปปลดปล่อยเมืองโมซุลได้ในที่สุด โดยมีพันธมิตรนานาชาติให้การสนับสนุน” คุกระบุ
เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / MGR
online - บัน คีมูน เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ
ออกโรงในวันจันทร์ (4 ก.ค.)
กล่าวประณามการตัดสินใจของรัฐบาลอิสราเอลในการขยายการก่อสร้างนิคมตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์และกรุงเยรูซาเลมเพิ่มเติม
สเตฟาน ดูยาร์ริช โฆษกเลขาธิการสหประชาชาติ เผยว่า
บันซึ่งเป็นชาวเกาหลีใต้รู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด
ต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
ที่ตัดสินใจประกาศขยายพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวยิวดังกล่าวเพิ่มเติมอีก “การตัดสินใจนี้จะก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย
เกี่ยวกับความจริงใจของอิสราเอลในระยะยาวในการสร้างสันติภาพที่แท้จริงในตะวันออกกลาง
ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งถูกสั่นคลอนจากถ้อยแถลงของบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลอิสราเอลบางรายที่เรียกร้องให้มีการใช้กำลังทหารผนวกเขตเวสต์แบงก์เข้ากับอิสราเอล”
โฆษกเลขาธิการสหประชาชาติกล่าวเสริม ดูยาร์ริชยังระบุด้วยว่า
เลขาธิการสหประชาชาติได้เน้นย้ำว่า
การกระทำของรัฐบาลอิสราเอลในการขยายการก่อสร้างนิคมตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์
และกรุงเยรูซาเลมเพิ่มเติมนั้น เป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักกฏหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
และขอให้อิสราเอลยุติการดำเนินการในเรื่องนี้ทันทีเพื่อปกป้องสันติภาพอันเปราะบาง ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบัน
มีขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลอิสราเอลเห็นชอบอนุมัติแผนสร้างบ้านเรือนของชาวยิวเพิ่มเติมอีกราว
560 หลังที่นิคม มาอาเล อดูมิมในเขตเวสต์แบงก์
เช่นเดียวกับการสร้างบ้านใหม่อีก 240 หลัง
สำหรับชาวยิวในเยรูซาเลมตะวันออก ขณะที่สื่ออิสราเอลหลายสำนักรายงานว่า
รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
ยังมีแผนเดินหน้าสร้างบ้านเพิ่มอีก 600 หลังคาเรือนสำหรับชาวอิสราเอลเชื้อสายอาหรับ
ที่เขตเบอิต ซาฟาฟา ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนของปาเลสไตน์ในกรุงเยรูซาเลม
เอเอฟพี/รอยเตอร์ - วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งยกเลิกข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวที่กำหนดต่อตุรกีและคืนสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.) หลังมิตรภาพระหว่างสองฝ่ายที่เริ่มดีขึ้น จากคำขอโทษช่วงต้นสัปดาห์ของผู้นำอังการาต่อกรณียิงเครื่องบินรบมอสโกตกเมื่อปีก่อน ปูตินลงนามยกเลิกคำสั่งห้ามขายแพ็กเก็จทัวร์ในตุรกี และสั่งให้รัฐบาลยอมให้เครื่องบินเช่าเหมาลำบินไปยังแดนไก่งวงอีกครั้ง ความเคลื่อนไหวนี้เป็นสัญญาณของการพลิกกลับอย่างฉับพลัน ตามหลังความสัมพันธ์อันเผ็ดร้อนหลายเดือนระหว่างมอสโกกับอังการา ต่อกรณีเครื่องบินรบรัสเซียถูกตุรกียิงตกตามแนวชายแดนซีเรียเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ประธานาธิบดีปูติน ให้สัญญาในวันพุธ(29มิ.ย.) ว่าจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายเรเซพ ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้น นอกจากนี้แล้วบุรุษเหล็กแห่งวังเครมลินยังสั่งให้รัฐบาลคืนสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติกับตุรกี ในความเคลื่อนไหวที่จะได้เห็นมาตรการห้ามนำเข้าอาหารบางอย่างจากตุรกีถูกยกเลิกเร็วๆนี้ เหตุเครื่องบินรบรัสเซียถูกยิงตกตามแนวชายแดนตุรกี-ซีเรีย ทำลายความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตระหว่างมอสโกกับอังการา และกระตุ้นสงครามน้ำลายอันเผ็ดร้อนระหว่างสองผู้นำ แต่ความสัมพันธ์อันตึงเครียดได้คลี่คลายลงไป หลังจากเมื่อวันจันทร์(27มิ.ย.) นายเออร์โดกัน ส่งหนังสือถึงผู้นำเครมลิน ที่ทางมอสโกบอกว่าในเนื้อหาได้ขอโทษต่อเหตุยิงเครื่องบินตกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน วิกฤตความสัมพันธ์กับมอสโก ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของตุรกี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียตามดินแดนต่างอากาศชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนลดลงอย่างฮวบฮาบ การยกเลิกคำสั่งห้ามขายแพ็กเก็จทัวร์ของมอสโก มีขึ้นหลงจากตุรกีถูกโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย 3 คน ถล่มสนามบินนานาชาติหลักในอิสตันบูลเมื่อวันอังคาร(28มิ.ย.) คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 44 ศพ (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากหน้าข่าวต่างประเทศ,คอลัมน์ข่างต่างประเทศ,MGR online)
เอเอฟพี/รอยเตอร์ - วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งยกเลิกข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวที่กำหนดต่อตุรกีและคืนสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.) หลังมิตรภาพระหว่างสองฝ่ายที่เริ่มดีขึ้น จากคำขอโทษช่วงต้นสัปดาห์ของผู้นำอังการาต่อกรณียิงเครื่องบินรบมอสโกตกเมื่อปีก่อน ปูตินลงนามยกเลิกคำสั่งห้ามขายแพ็กเก็จทัวร์ในตุรกี และสั่งให้รัฐบาลยอมให้เครื่องบินเช่าเหมาลำบินไปยังแดนไก่งวงอีกครั้ง ความเคลื่อนไหวนี้เป็นสัญญาณของการพลิกกลับอย่างฉับพลัน ตามหลังความสัมพันธ์อันเผ็ดร้อนหลายเดือนระหว่างมอสโกกับอังการา ต่อกรณีเครื่องบินรบรัสเซียถูกตุรกียิงตกตามแนวชายแดนซีเรียเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ประธานาธิบดีปูติน ให้สัญญาในวันพุธ(29มิ.ย.) ว่าจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายเรเซพ ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้น นอกจากนี้แล้วบุรุษเหล็กแห่งวังเครมลินยังสั่งให้รัฐบาลคืนสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติกับตุรกี ในความเคลื่อนไหวที่จะได้เห็นมาตรการห้ามนำเข้าอาหารบางอย่างจากตุรกีถูกยกเลิกเร็วๆนี้ เหตุเครื่องบินรบรัสเซียถูกยิงตกตามแนวชายแดนตุรกี-ซีเรีย ทำลายความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตระหว่างมอสโกกับอังการา และกระตุ้นสงครามน้ำลายอันเผ็ดร้อนระหว่างสองผู้นำ แต่ความสัมพันธ์อันตึงเครียดได้คลี่คลายลงไป หลังจากเมื่อวันจันทร์(27มิ.ย.) นายเออร์โดกัน ส่งหนังสือถึงผู้นำเครมลิน ที่ทางมอสโกบอกว่าในเนื้อหาได้ขอโทษต่อเหตุยิงเครื่องบินตกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน วิกฤตความสัมพันธ์กับมอสโก ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของตุรกี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียตามดินแดนต่างอากาศชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนลดลงอย่างฮวบฮาบ การยกเลิกคำสั่งห้ามขายแพ็กเก็จทัวร์ของมอสโก มีขึ้นหลงจากตุรกีถูกโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย 3 คน ถล่มสนามบินนานาชาติหลักในอิสตันบูลเมื่อวันอังคาร(28มิ.ย.) คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 44 ศพ (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากหน้าข่าวต่างประเทศ,คอลัมน์ข่างต่างประเทศ,MGR online)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น