เอเจนซีส์ – นักอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือน ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “เซาเดโลร์” (Soudelor) ทวีกำลังสู่ระดับ 5 กลายเป็นพายุหมุนที่มีอานุภาพร้ายแรงสุดในปีนี้ โดยกำลังมุ่งหน้าต่อไปยังจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น หลังจากที่ซัดถล่มหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาจนอ่วมอรทัย เมื่อวันจันทร์ (3 ส.ค.) ศูนย์เตือนภัยพายุไต้ฝุ่นร่วม (Joint Typhoon Warning Center) ได้จัดให้ไต้ฝุ่นเซาเดโลร์ซึ่งกำลังเคลื่อนมายังฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางถึง 354 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นไต้ฝุ่นที่มีความแรงสูงสุดระดับ 5 ร้ายกาจยิ่งกว่า “ไซโคลนแพม” ที่เคยซัดถล่มวานูอาตูจนมีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 15 คนเมื่อ 5 เดือนก่อน แม้จะยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากอิทธิพลของซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้ แต่มันก็ก่อความเสียหายอย่างหนักทั่วหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา หลังจากที่พัดขึ้นฝั่งเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (2) จนผู้สำเร็จราชการ ราฟ ทอร์เรส ต้องประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติขั้นร้ายแรง” ประชาชนเกือบ 400 คนบนหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาต้องไปอาศัยตามศูนย์พักพิงชั่วคราว เนื่องจากไต้ฝุ่นได้พัดบ้านเรือนพังเสียหาย และยังทำให้กระแสไฟฟ้า น้ำประปา และระบบกำจัดน้ำเสียขัดข้อง จอห์น เฮิร์ช ผู้อำนวยการสภากาชาดอเมริกันในกรุงไซปัน บอกกับสำนักข่าว แปซิฟิก เดลีนิวส์ ว่า “ผมเห็นเสาส่งไฟฟ้าใหญ่ๆ หักโค่น รถยนต์พลิกคว่ำ บ้านเรือนก็ถูกพายุพัดจนหลังคาเปิง” ถนนหลายสายบนเกาะไซปันซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงในชื่อเดียวกัน ไม่สามารถใช้สัญจรได้ ขณะเดียวกัน ที่เมืองฮากัตนาบนเกาะกวม สำนักงานอุตุนิยมวิทยาได้เตือนให้ชาวบ้านงดนำเรือเข้าไปใกล้ชายฝั่ง หรือกองหินปะการังที่โผล่พ้นน้ำ เนื่องจากอาจเกิดคลื่นพายุซัดฝั่งและคลื่นทะเลดูด (rip currents) ที่เป็นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นเซาเดโลร์จะทวีกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เคลื่อนผ่านทะเลเปิดในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นไต้ฝุ่นระดับ 4 หรือ 3 เมื่อขึ้นฝั่งที่ไต้หวัน จีน และหมู่เกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ในช่วงวันพฤหัสบดี (6) ไต้ฝุ่นและไซโคลนเขตร้อนจะเริ่มก่อตัวทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ซึ่งไซโคลนแพมจัดเป็นพายุที่ก่อความเสียหายร้ายแรงที่สุดในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา โดยนอกจากผู้เสียชีวิตที่วานูอาตูแล้ว ยังมีประชาชนอีกราว 75,000 คนที่ต้องย้ายไปอาศัยตามศูนย์พักพิง เนื่องจากบ้านเรือนถูกพายุพัดพังและพืชผลทางการเกษตรเสียหายเกือบทั้งหมด
เอเอฟพี - ในวันพฤหัสบดี (6
ส.ค.) ที่จะถึงนี้เป็นวันเปิดคลองสุเอซสายใหม่ที่มีความยาวร่วม 72
กม.อย่างเป็นทางการ ที่จะมีผู้นำชาติต่างๆ เข้าร่วม
รวมไปถึงประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ อองลองด์ เข้าร่วม
ผลงานที่น่าภาคภูมิใจของประธานาธิบดีอียิปต์ อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซีในโปรเจกต์ก่อสร้างไม่ถึงปีด้วยงบประมาณ
9 พันล้านดอลลาร์
เป็นเส้นทางสัญจรเลียบคลองสุเอซสายเก่าเชื่อมระหว่างทะเลแดงและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
โปรเจกต์คลองสุเอซสายใหม่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมในปีที่ผ่านมา
หลังจากที่ประธานาธิบดีอียิปต์ อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี
ชนะการเลือกตั้งทั่วไปหลังจากทำการยึดอำนาจขับไล่อดีตประธานาธิบดีมอร์ซีออกจากอำนาจ
2 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งคลองสายใหม่ที่มีความยาวร่วม 72 กม. ขนานคู่ไปกับคลองสุเอซเส้นเดิมที่ถูกขุดมาไม่ต่ำกว่า 100ปี เชื่อมระหว่างทะเลแดงและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และคาดว่าจะช่วยย่นระยะเวลาการรอของเรือสินค้าจาก 18 ชั่วโมง
ลดลงเหลือแค่ 11 ชั่วโมง และในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี (6) นี้ นอกจากบรรดาผู้นำชาติต่างๆที่จะเข้าร่วมแล้ว
คาดว่าจะมีประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ อองลองด์อยู่ในนั้น เอเอฟพีรายงานว่า
มีการคาดการณ์ว่า ก่อนปี 2023 จำนวนเรือสินค้าที่ใช้คลองสุเอซจะเพิ่มมากถึง
97 ลำต่อวันจากปัจจุบันที่มีจำนวนราว 49 ลำต่อวัน รายงานจากเว็บไซต์สำนักงานบริหารคลองสุเอซ “เป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะและนักลงทุนต่างชาติว่า
รัฐบาลอียิปต์มีความสามารถในการดำเนินการตามแผนงานที่ตั้งไว้ให้สำเร็จตามกำหนด”
Amr Adly จากศูนย์การศึกษาตะวันออกกลางคาร์เนกีให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี และยังให้ความเพิ่มเติมว่า “นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีมอร์ซีถูกโค่นอำนาจ
รัฐบาลอียิปต์ชุดใหม่ได้เข้ามายืนยันถึงความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และความสำเร็จในโปรเจกต์คลองสุเอซนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงความชอบธรรมในการปกครองประเทศของรัฐบาลอียิปต์ชุดใหม่นี้”
Adly กล่าว เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ซิซีได้กำหนดให้โปรเจกต์คลองสุเอซสายใหม่นี้ต้องเสร็จสิ้นภายใน
1 ปีถึงแม้ว่าในการคาดการณ์เริ่มแรกประเมินว่าอาจต้องกินเวลานานถึง
3 ปี และเป็นที่น่าสนใจในเรื่องงบประมาณดำเนินการขุดคลองสายนี้ซึ่งแหล่งข่าวอียิปต์เปิดเผยว่า
ทางอียิปต์สามารถหาเงินสดได้ภายในเพียงแค่ 6 วันโดยการขายใบอนุญาตการลงทุนให้กับนักลงทุนในประเทศ
ซึ่งรวมไปถึงการขุดดินแห้งระยะทาง 37 กม. และระยะทางอีก 35
กม.ของการขยายคลองและขุดให้ลึกลงจากคลองเส้นเดิมที่มีอยู่ก่อน เอเอฟพียังรายงานถึงบรรยากาศการเตรียมพร้อมถึงพิธีเปิดที่สุดอลังการจัดขึ้นที่เมืองท่าของอียิปต์
“อิสมาอิลิยา” (Ismailliya) และคาดว่าทางอียิปต์จะใช้ตำรวจถึง
10,000 นายในการเฝ้ารักษาความปลอดภัยทั่วทั้ง 6 จังหวัดในขณะที่ผู้นำอียิปต์กำลังทำพิธีเปิด นอกจากนี้
คาดว่าจะมีการจัดเรือรบราเฟล (Rafale) ที่ทางอียิปต์เพิ่งซื้อจากฝรั่งเศส
และฝูงเครื่องบินรบขับไล่ F-16 ที่เพิ่งได้รับมอบจากสหรัฐฯ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะอยู่ร่วมในพิธีเปิดครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
รอยเตอร์ – ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ที่ถูกทางการไทยส่งตัวกลับไปยังมณฑลซินเจียงเมื่อเดือนที่แล้ว
พยายาม “ทำร้าย” ตำรวจไทยและจีนระหว่างที่ถูกคุมตัวขึ้นเครื่องบิน
เนื่องจากเชื่อว่าพวกตนจะโดนประหารชีวิตเมื่อกลับถึงบ้านเกิด
รัฐบาลท้องถิ่นซินเจียงเผยวันนี้(4 ส.ค.) ที่ผ่านมามีมุสลิมอุยกูร์หลายพันคนพยายามหลบหนีความไม่สงบในมณฑลซินเจียงโดยใช้เส้นทางผ่านประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อไปยังตุรกี
ซึ่งมีชาวอุยกูร์พลัดถิ่นไปตั้งรกรากอยู่เป็นจำนวนมาก การที่รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์
109 คนคืนให้แก่จีนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อทางการตุรกี
ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนและสหรัฐฯก็แสดงความเป็นห่วงว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาจถูกจีนลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม
เว็บไซต์ เทียนซาน ด็อต เน็ต อ้างข้อมูลจากรัฐบาลท้องถิ่นซินเจียง ซึ่งระบุว่า
มีข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ 109 คนที่กำลังรอการเนรเทศกลับจีนว่า
พวกเขาจะถูกรัฐบาลจีนสั่งประหาร “มีใครบางคนปล่อยข่าวเพื่อยั่วยุให้ชาวอุยกูร์ทำร้ายตำรวจของไทยและจีน
ซึ่งกำลังคุมตัวพวกเขาขึ้นเครื่องบิน” ทางการซินเจียงเผย รายงานฉบับนี้ยังอ้างถึงชาวอุยกูร์ที่ชื่อ
กูดูซี ตัวฮูตียูซูฟู ซึ่งบาดเจ็บที่ศีรษะหลังถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลัง “สยบ” ที่สนามบิน
ทว่าสภาพจิตใจของเขาเริ่มผ่อนคลายขึ้นระหว่างเดินทางกลับ“ตำรวจมีทัศนคติที่ดีต่อพวกเรามาก พวกเขาพาผมไปหาหมอ และตอนนี้แผลของผมก็เริ่มหายดีแล้ว”
รายงานอ้างคำพูดของ กูดูซี
กระทรวงการต่างประเทศของไทยยืนยันว่า
ไม่มีการใช้กำลังเกิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ลี้ภัยอุยกูร์ทั้งหมดไปขึ้นเครื่องบิน “เราได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ซึ่งควบคุมตัวชาวอุยกูร์ทั้ง
109 คนแล้ว
ยืนยันได้ว่าไม่มีการใช้กำลังหรือการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศยังไม่อาจยืนยันสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ทั้ง 109
คน รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลและสื่อจีนแถลงเกี่ยวกับพวกเขา
เนื่องจากทางการจีนไม่อนุญาตให้เข้าไปสัมภาษณ์ชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้ตั้งแต่พวกเขาเดินทางกลับถึงซินเจียง ทางการจีนระบุว่า
ผู้ลี้ภัยอุยกูร์กลุ่มนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เมืองอุรุมชีเป็นส่วนใหญ่ “พวกเราอยู่สุขสบายดีหลังจากกลับมา”
กูลินิยาซี ชาวูตี หญิงชาวอุยกูร์คนหนึ่งบอกกับสื่อจีน “มันไม่เหมือนสิ่งที่เราได้ยินตอนอยู่ต่างประเทศว่าจะเกิดกับพวกเรา” รัฐบาลปักกิ่งกล่าวโทษกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ว่าเป็นต้นเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในมณฑลซินเจียงตลอด
3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยคน
ทั้งยังชี้ว่าชาวอุยกูร์ถูกแก๊งค้ามนุษย์ล่อลวงให้หลบหนีออกจากจีนเพื่อไปจับอาวุธสู้รบในซีเรียและอิรัก เมื่อเดือนกรกฎาคม
สื่อจีนรายงานว่า มีชาวอุยกูร์ที่ทางการไทยส่งตัวกลับอย่างน้อย 13 คนต้องสงสัยพัวพันกลุ่มก่อการร้าย
และยังเผยแพร่ภาพผู้ลี้ภัยเหล่านี้ขณะเดินลงจากเครื่องบินในสภาพมีถุงผ้าดำคลุมศีรษะ ดิลซัต ราซิต โฆษกสภาอุยกูร์โลก
(World Uighur Congress) ตำหนิทางการจีนว่า “ผูกขาด” การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ทั้ง 109
คน “รัฐบาลจีนใช้การโฆษณาชวนเชื่อเบี่ยงเบนความกังวลที่ชาวโลกมีต่อชะตากรรมของชาวอุยกูร์เหล่านั้น”
เขาระบุในอีเมล์ที่ส่งถึงรอยเตอร์
รอยเตอร์ – ญี่ปุ่นระบุในวันนี้
(4) ว่า พวกเขาจะระงับการก่อสร้างฐานทัพอากาศสหรัฐฯ
ที่ตกเป็นข้อพิพาทบนเกาะโอกินาวา
เป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจาระหว่างรัฐบาลกลางและเจ้าหน้าที่บริหารของเกาะนี้ที่คัดค้านการก่อสร้างดังกล่าว ชาวบ้านบนเกาะโอกินาวา
สมรภูมินองเลือดระหว่างกองกำลังสหรัฐฯและญี่ปุ่นเมื่อช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่
2 คัดค้านการรับรองทหารสหรัฐฯหลายหมื่นคนและการมีฐานทัพแดนอินทรีบนพื้นที่
18 เปอร์เซ็นต์ของเกาะนี้มานานแล้ว
ทาเคชิ โอนากะ ผู้ว่าการเกาะแห่งนี้ ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วจากจุดยืนต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ และกล่าวหานายกรัฐมนตรี ชิงโซะ อาเบะ ว่าเหยียดหยามเกาะแห่งนี้และประชาชนบนเกาะ รัฐบาลต้องการที่จะย้ายฐานทัพฟูเท็นมะของนาวิกโยธินสหรัฐฯไปยังพื้นที่อื่นบริเวณทางใต้ของเกาะ แต่ โอนากะ และชาวบ้านจำนวนมากต้องการให้มันถูกย้ายออกไปจากเกาะเลย โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า การระงับการก่อสร้างจะเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้ “หารือกันในประเด็นนี้อย่างละเอียด” แต่ สุกะ ระบุว่า จุดยืนของรัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลง การระงับการก่อสร้างดังกล่าวทำให้ประเด็นเร้าอารมณ์นี้หลุดออกจากการพิจารณาได้อย่างชะงัด ในขณะที่รัฐบาลกำลังผลักดันกฎหมายความมั่นคงอันอ่อนไหวผ่านรัฐสภา ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่คัดค้านกฎหมายความมั่นคงฉบับดังกล่าว ซึ่งอาจเปิดทางกองทหารญี่ปุ่นสามารถสู้รบในต่างแดนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นกุญแจที่จะสานฝันการมีกองทัพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของนายกรัฐมนตรี อาเบะ กฎหมายดังกล่าวผ่านสภาล่างแล้ว และถูกอภิปรายในสภาสูง แต่มันฉุดคะแนนนิยมของ อาเบะ ลงมาเหลือไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อัตซึโอะ อิโต นักวิจารณ์การเมือง กล่าวว่า อาเบะ ไม่สามารถใช้แนวทางแข็งกร้าวกับกรณีฐานทัพโอกินาวาได้ในตอนนี้ที่คะแนนความนิยมของเขาถูกสั่นคลอนจากกฎหมายความมั่นคง “รัฐบาลถูกต้อนจนมุมแล้วจริงๆ” เขากล่าว “ในตอนที่คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูง เขาเดินหน้าได้แม้จะเผชิญแรงต่อต้าน แต่ด้วยความนิยมที่ต่ำลง มันยากกว่าเดิมมากที่จะใช้แนวทางแข็งกร้าว” อิโต กล่าวว่า ด้วยอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่พลุ่งพล่านในโอกินาวา มันจึงไม่มีแนวโน้มเลยว่าการระงับการก่อสร้างจะทำให้การคัดค้านของผู้ว่า โอนากะ อ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ “รัฐบาลกลางพยายามที่จะยืดหยุ่น ด้วยหวังว่า โอนากะ จะตอบสนองด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น” อิโต กล่าว “แต่มันไม่มีแนวโน้มเลยว่า โอนากะ จะยอมถอยให้มากมาย ดังนั้นอาจเป็นไปได้ยากที่จะมีความคืบหน้า”
ทาเคชิ โอนากะ ผู้ว่าการเกาะแห่งนี้ ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วจากจุดยืนต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ และกล่าวหานายกรัฐมนตรี ชิงโซะ อาเบะ ว่าเหยียดหยามเกาะแห่งนี้และประชาชนบนเกาะ รัฐบาลต้องการที่จะย้ายฐานทัพฟูเท็นมะของนาวิกโยธินสหรัฐฯไปยังพื้นที่อื่นบริเวณทางใต้ของเกาะ แต่ โอนากะ และชาวบ้านจำนวนมากต้องการให้มันถูกย้ายออกไปจากเกาะเลย โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า การระงับการก่อสร้างจะเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้ “หารือกันในประเด็นนี้อย่างละเอียด” แต่ สุกะ ระบุว่า จุดยืนของรัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลง การระงับการก่อสร้างดังกล่าวทำให้ประเด็นเร้าอารมณ์นี้หลุดออกจากการพิจารณาได้อย่างชะงัด ในขณะที่รัฐบาลกำลังผลักดันกฎหมายความมั่นคงอันอ่อนไหวผ่านรัฐสภา ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่คัดค้านกฎหมายความมั่นคงฉบับดังกล่าว ซึ่งอาจเปิดทางกองทหารญี่ปุ่นสามารถสู้รบในต่างแดนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นกุญแจที่จะสานฝันการมีกองทัพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของนายกรัฐมนตรี อาเบะ กฎหมายดังกล่าวผ่านสภาล่างแล้ว และถูกอภิปรายในสภาสูง แต่มันฉุดคะแนนนิยมของ อาเบะ ลงมาเหลือไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อัตซึโอะ อิโต นักวิจารณ์การเมือง กล่าวว่า อาเบะ ไม่สามารถใช้แนวทางแข็งกร้าวกับกรณีฐานทัพโอกินาวาได้ในตอนนี้ที่คะแนนความนิยมของเขาถูกสั่นคลอนจากกฎหมายความมั่นคง “รัฐบาลถูกต้อนจนมุมแล้วจริงๆ” เขากล่าว “ในตอนที่คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูง เขาเดินหน้าได้แม้จะเผชิญแรงต่อต้าน แต่ด้วยความนิยมที่ต่ำลง มันยากกว่าเดิมมากที่จะใช้แนวทางแข็งกร้าว” อิโต กล่าวว่า ด้วยอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่พลุ่งพล่านในโอกินาวา มันจึงไม่มีแนวโน้มเลยว่าการระงับการก่อสร้างจะทำให้การคัดค้านของผู้ว่า โอนากะ อ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ “รัฐบาลกลางพยายามที่จะยืดหยุ่น ด้วยหวังว่า โอนากะ จะตอบสนองด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น” อิโต กล่าว “แต่มันไม่มีแนวโน้มเลยว่า โอนากะ จะยอมถอยให้มากมาย ดังนั้นอาจเป็นไปได้ยากที่จะมีความคืบหน้า”
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ –
เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งช่วยเหลือประชาชนนับแสนคนในพื้นที่ห่างไกลของพม่า
ซึ่งประสบภัยจากฝนที่ตกลงมาไม่หยุด ส่งผลให้บ้านเรือนมากมายจมอยู่ใต้น้ำ
โดยยอดผู้เสียชีวิตจนถึงวันจันทร์ (3 ส.ค.)
เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 46 ราย
ขณะเดียวกันฝนฤดูมรสุมยังทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินถล่มในอีกหลายประเทศใกล้เคียง
ทั้งนี้อินเดียแถลงว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีคนตายจากอุทกภัยมากกว่า 120 คน ส่วนปากีสถานก็ระบุว่ามีอย่างน้อย 116 คน ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม
สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนหลายหมื่นหลัง ตลอดจนพื้นที่การเกษตร สะพาน และถนน
อีกทั้งยังขัดขวางความพยายามในการบรรเทาทุกข์ของทางการพม่า เจ้าหน้าที่กระทรวงบรรเทาทุกข์และย้ายถิ่นฐานระบุในวันจันทร์ (3)
ว่า พบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 46 ราย
และประชาชนกว่า 200,000 คนทั่วประเทศได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้
โดยที่รัฐบาลกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ พม่าเป็นประเทศที่กว้างใหญ่และยากจน
ระบบสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานด้อยประสิทธิภาพ
สำนักงานประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ (OCHA) ได้ออกคำแถลงเตือนภัยอย่างต่อเนื่องว่าอุทกภัยคราวนี้ร้ายแรงมาก
รวมทั้งชี้ว่าภาพรวมของภัยพิบัติครั้งนี้อาจยังไม่ปรากฏชัดเจนในช่วง 2-3 วันนี้ “เรื่องโลจิสติกส์มีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ทีมประเมินสถานการณ์ประสบความยากเย็นในการเข้าไปให้ถึงพื้นที่ต่างๆ
ซึ่งได้รับผลกระทบ” ปีแอร์ เปอรง โฆษกของ OCHA ประจำพม่าแถลงางด้านรัฐบาลพม่าได้ประกาศให้ 4 พื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
โดยที่ชาวบ้านถูกบังคับให้ต้องใช้เรือพาย ตลอดจนแพที่ทำขึ้นมาอย่างลวกๆ
เพื่อการหลบหนีกระแสน้ำซึ่งยังคงท่วมสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะที่อีกหลายหมื่นคนได้เข้าพำนักตามค่ายอพยพชั่วคราวแห่งต่างๆ
รวมทั้งที่เมืองกะเล ในเขตสะกาย
ซึ่งชาวบ้านเล่าว่าน้ำท่วมสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากชนิดไม่เคยพบเคยเจออย่างนี้มาก่อนเลย ช่างภาพผู้หนึ่งของเอเอฟพีซึ่งอยู่ในพื้นที่เมืองกะเลรายงานว่า
จนถึงเช้าวันจันทร์ (3) น้ำที่ท่วมท้นก็ยังมีระดับสูงมาก
โดยที่ชาวบ้านจำนวนมากต้องน้ำเอายางรถยนต์, เศษไม้ต่างๆ
ที่หาได้, ตลอดจนถังพลาสติกขนาดใหญ่ มาผูกเป็นแพ
เพื่อใช้เดินทางหลบหนีไปยังที่ปลอดภัย โกลบัล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์
สื่อของทางการพม่ารายงานเมื่อวันจันทร์ (3) ว่า
เกิดเหตุดินถล่มในรัฐชิน ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของเขตสะกาย ทำให้บ้านเรือน 700
หลังใน ฮาคา เมืองเอกของรัฐดังกล่าว ได้รับความเสียหาย
รวมทั้งถูกตัดขาดจากบริเวณอื่นๆ โดยรอบ นอกจากนั้นมีประชาชนกว่า 5,000 คนในอีกเขตต้องอพยพไปอยู่ในค่ายบรรเทาทุกข์ ขณะที่รัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตก
และมีผู้พลัดถิ่นราว 140,000 คน
ที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมโรฮินญาอยู่แล้ว
ก็เป็นอีกพื้นที่ซึ่งกำลังประสบอุทกภัยร้ายแรง ประธานาธิบดีเต็งเส่ง
ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์
แต่ยอมรับว่า ไม่สามารถเข้าถึงหลายพื้นที่ ทางด้านกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า
กำลังแจกจ่ายเวชภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงคลอรีนก้อน ให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ
แม้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า
เวชภัณฑ์เหล่านั้นจะส่งถึงพื้นที่ประสบภัยที่อยู่ห่างไกลหลายแห่งอย่างไร
เนื่องจากทั้งเรือและเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลมีเพียงจำกัด อย่างไรก็ตาม
กลุ่มให้ความช่วยเหลือระดับท้องถิ่นราว 60 กลุ่มได้ประชุมหารือกันในนครย่างกุ้งเมื่อวันจันทร์
และส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์การช่วยเหลือรับมือน้ำท่วมของรัฐบาลว่า
เป็นไปอย่างล่าช้าเหลือเกิน
เอเอฟพี/รอยเตอร์ –
คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการบินของมาเลเซีย ประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญของฝรั่งเศสเมื่อวันจันทร์
(3 ส.ค.)
เพื่อร่วมมือประสานงานการสอบสวนกรณีการหายสาบสูญของเที่ยวบิน MH370 ภายหลังจากการค้นพบชิ้นส่วนปีกเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่เกาะกลางมหาสมุทรอินเดีย
และถูกส่งมาวิเคราะห์ ณ ห้องแล็ปทางทหารของแดนน้ำหอม
ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งนักนิเวศวิทยาออสเตรเลีย
เชื่อว่าเพรียงที่เกาะอยู่บนชิ้นส่วนซึ่งพบกลางสัปดาห์ที่แล้วชิ้นนี้
อาจให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ คณะของมาเลเซียเดินทางถึงสถานที่ประชุมในกรุงปารีสก่อนเที่ยงวันจันทร์
เพื่อหารือกับฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาทำหน้าที่อัยการสอบสวน, ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ, และตำรวจที่รับหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีนี้
ตามกำหนดการที่วางไว้ ในวันพุธนี้ (5) เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค
ซึ่งรวมถึงตัวแทนจากบริษัทโบอิ้ง จะเริ่มการตรวจสอบชิ้นส่วนของปีก
ที่พบบนเกาะเรอูนิยง อาณานิคมของฝรั่งเศสในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันพุธที่แล้ว (29
ก.ค.) อีกทั้งได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า
เป็นชิ้นส่วนปีกของเครื่องบินโบอิ้ง 777 และเนื่องจากไม่มีโบอิ้ง
777 ลำอื่นตกในอาณาบริเวณแถบนี้ของโลก
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า มันอาจเป็นชิ้นส่วนของเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลนส์ที่หายไปตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ปิแอร์
บาร์การี อดีตผู้อำนวยการฝ่ายทดสอบของกรมสรรพาวุธฝรั่งเศส บอกว่า
ชิ้นส่วนดังกล่าวที่เรียกว่า flaperon (แฟลปเพอรอน)
ซึ่งได้ถูกจัดส่งไปยังห้องแล็ปของกระทรวงที่ชานเมืองตูลูส ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส
เพื่อตรวจวิเคราะห์ทั้งทางกายภาพและทางเคมี หาข้อพิสูจน์ว่าเป็นชิ้นส่วนของ MH370
หรือไม่นั้น จะมีการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่สามารถขยายได้ถึง
10,000 เท่า
เพื่อดูว่าชิ้นส่วนดังกล่าวได้รับความเสียหายอย่างไรด้วย อย่างไรก็ดี ฌอง-ปอล โทรอาเด็ก
อดีตผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนของฝรั่งเศส
เตือนครอบครัวผู้โดยสารและลูกเรือ MH370 อย่าคาดหวังว่า
การวิเคราะห์วัตถุเพียงชิ้นเดียวจะเปิดเผยปริศนาทั้งหมดของเที่ยวบินนี้ได้ ในอีกด้านหนึ่ง
นักนิเวศวิทยาในออสเตรเลียเชื่อว่า สัตว์น้ำเปลือกแข็งที่เกาะบนชิ้นแฟลปเพอรอนที่พบนี้
อาจเป็น “เพรียงคอห่าน” ไรอัน
เพียร์สัน นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธของออสเตรเลีย
ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับเพรียง ชี้ว่า
เปลือกเพรียงอาจบ่งชี้อุณหภูมิและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำในบริเวณที่เพรียงเกิดและในเส้นทางผ่าน
จึงเป็นข้อมูลที่อาจช่วยค้นหาตำแหน่งที่มา อย่างไรก็ตาม เพียร์สันย้ำว่า
แม้เทคนิคนี้ช่วยจำกัดวงการค้นหา MH370 ให้แคบลงเป็นสิบหรือร้อยกิโลเมตร
แต่คงไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้ ด้าน เมลานี บิชอป ศาสตราจารย์ชีววิทยา
มหาวิทยาลัยแมคควอรีของออสเตรเลีย เสริมว่า อายุของเพรียงซึ่งวิเคราะห์ได้จากอัตราการเติบโตและขนาด
อาจบ่งบอกได้ว่า แฟลปเพอรอนที่พบเป็นของ MH370 หรือไม่
กล่าวคือหากเพรียงเกิดก่อนที่ MH370 สูญหาย หมายความว่า
ชิ้นส่วนนั้นเป็นของเครื่องบินลำอื่น นอกจากนี้ นักนิเวศวิทยายังจะศึกษาว่า
เพรียงเกาะอยู่บนพื้นผิวแฟลปเพอรอนหรือเกาะอยู่ที่ด้านข้างเท่านั้น
ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวลอยอยู่เหนือผิวน้ำหรือจมอยู่ในน้ำ เจ้าหน้าที่สอบสวนของฝรั่งเศสยังน่าจะตรวจสอบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น
หนอนหลอด สาหร่ายสีแดง หรือหอย ซึ่งอาจให้เบาะแสบางอย่างขณะเดียวกัน
ที่เกาะเรอูนิยง ซึ่งเป็นสถานที่พบชิ้นส่วนปีกโบอิ้ง 777 ชาวบ้านจำนวนมากพากันออกค้นหาชิ้นส่วนเครื่องบินตามชายหาดจนดูราวกับการล่าสมบัติ
กระนั้น วัตถุโลหะชิ้นหนึ่งที่พบเมื่อวันอาทิตย์ (2) และแรกทีเดียวเชื่อว่า
เป็นชิ้นส่วนประตูเครื่องบินนั้น อาซารุดดิน อับดุล เราะห์มาน
อธิบดีกรมการบินพลเรือนของมาเลเซีย ซึ่งกำลังอยู่ในกรุงปารีส กล่าวในเวลาต่อมาว่า
ผลการตรวจสอบพบว่าแท้จริงเป็นเพียงชิ้นส่วนของบันไดใช้ภายในบ้าน เช่นเดียวกับชิ้นส่วนอีกชิ้นหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะเป็นโลหะบิดเบี้ยวติดอยู่กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นที่จับมีหนังหุ้มและอักษรจีน
2 ตัวสลักอยู่ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนบอกกันว่า
น่าจะเป็นกาต้มน้ำ
เอเอฟพี/รอยเตอร์ -
นายแพทย์ชาวอเมริกันอีกรายหนึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าสังหารสิงโตในซิมบับเวโดยไม่ได้รับอนุญาต
หน่วยงานอุทยานของประเทศนี้ระบุเมื่อวานนี้ (2 ส.ค.)
ไม่กี่วันหลังจากที่ข่าวการสังหารสิงโตซีซิลโดยทันตแพทย์ชาวอเมริกันรายหนึ่งได้สร้างกระแสความโกรธเคืองไปทั่วโลก ถ้อยแถลงของรัฐบาลระบุว่า
การเดินหน้ากวาดล้างนับตั้งแต่การสังหารซีซิลได้นำไปสู่การจับกุม เฮดแมน ซีแบนดา
ผู้จัดทริปล่าสัตว์ในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายการล่าสัตว์ รัฐบาลระบุว่า ลูกค้าของซีบันดาเป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันชื่อว่า
แจน แคสมีร์ ซีเอสกี ซึ่งเดินทางไปซิมบับเวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
“คดีของเฮดแมน ซีแบนดา มีความเชื่อมโยงกับสิงโตตัวหนึ่งที่ถูกสังหารโดยชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง (ซีเอสกี) ในเดือนเมษายน” แคโรไลน์ วาชายา-โมโย โฆษกของหน่วยงานอุทยานกล่าว ปรินซ์ มูปาซวีรีโว เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้าม กล่าวว่า ซีแบนดา ไม่มีใบอนุญาตสำหรับการล่าสัตว์ เว็บไซต์ Horns of Africa Safaris ได้ลงภาพชายคนหนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็น เซสกีกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูปกับสัตว์ต่างๆ ที่ทางเว็บไซต์ระบุว่าถูกเขาฆ่าด้วยธนู รวมถึงม้าลาย, ควายป่าแอฟริกา และนกกระจอกเทศ ด้านเว็บไซต์ของบริษัท Alaska Bowhunting Supply ก็ลงภาพชายคนหนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็นเซสกี ยืนข้างๆ กับซากช้างและมีข้อความใต้ภาพว่า “ช้างซิมบับเวตัวนี้เป็นช้างแอฟริกันตัวที่ 5 ที่ถูกล้มโดย นพ.แจน เซสกี”เมื่อวันเสาร์ (1) หน่วยงานอุทยานประกาศระงับการล่าสิงโต, เสือดาว และช้าง ในพื้นที่รอบๆ อุทยานแห่งชาติฮวาเง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ ซีซิล อาศัยอยู่ รัฐบาลระบุว่า พวกเขาได้จัดตั้งกองทุนอนุรักษ์และเฝ้าติดตามสัตว์ป่า และกำลังเรี่ยไรเงินบริจาคสำหรับปฏิบัติการเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์กิจกรรมต่างๆ ในอุตสาหกรรมการล่าสัตว์นี้ ก่อนหน้านั้นในวันอาทิตย์ (2) สำนักงานการบริหารจัดการสัตว์ป่าและอุทยานในซิมบับเว (ซิมปาร์ก) ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า เจริโช พี่น้องของ ซีซิล ถูกสังหารเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สิงโตชื่อ เจริโช ยังมีชีวิตอยู่และถูกเฝ้าสังเกตการณ์โดย เบรนท์ สตาเพเลียส จากโครงการวิจัยสิงโต” ซิมปาร์คสระบุในถ้อยแถลง การสังหารซีซิล สิงโตซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยแผงคอสีดำอันโดดเด่นของมัน ได้ก่อให้เกิดกระแสความโกรธเคืองไปทั่วโลก วอลเตอร์ พาลเมอร์ ทันตแพทย์ชาวอเมริกันยิงสิงโตตัวนี้ด้วยธนูนอกอุทยานฮวาเงเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม หลังจากยิงเจ้าแมวใหญ่ตัวนี้แล้ว พาลเมอร์ และ ธีโอ บรอนคอร์สต์ ไกด์ท้องถิ่นก็ตามรอยเจ้าสิงโตตัวบาดเจ็บตัวนี้อยู่นานถึง 40 ชั่วโมงก่อนที่จะปลิดชีวิตมันด้วยปืน บรอนคอร์สต์ มีกำหนดปรากฏตัวในศาลในวันที่ 5 สิงหาคมจากข้อหา “ล้มเหลวในการยับยั้งการล่าสัตว์ผิดกฎหมาย” โอปปาห์ มูชินกูรี รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของซิมบับเวได้ร้องขอให้สหรัฐฯ ส่งตัว พาลเมอร์ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้สามารถนำตัวเขามาดำเนินคดีได้
“คดีของเฮดแมน ซีแบนดา มีความเชื่อมโยงกับสิงโตตัวหนึ่งที่ถูกสังหารโดยชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง (ซีเอสกี) ในเดือนเมษายน” แคโรไลน์ วาชายา-โมโย โฆษกของหน่วยงานอุทยานกล่าว ปรินซ์ มูปาซวีรีโว เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้าม กล่าวว่า ซีแบนดา ไม่มีใบอนุญาตสำหรับการล่าสัตว์ เว็บไซต์ Horns of Africa Safaris ได้ลงภาพชายคนหนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็น เซสกีกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูปกับสัตว์ต่างๆ ที่ทางเว็บไซต์ระบุว่าถูกเขาฆ่าด้วยธนู รวมถึงม้าลาย, ควายป่าแอฟริกา และนกกระจอกเทศ ด้านเว็บไซต์ของบริษัท Alaska Bowhunting Supply ก็ลงภาพชายคนหนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็นเซสกี ยืนข้างๆ กับซากช้างและมีข้อความใต้ภาพว่า “ช้างซิมบับเวตัวนี้เป็นช้างแอฟริกันตัวที่ 5 ที่ถูกล้มโดย นพ.แจน เซสกี”เมื่อวันเสาร์ (1) หน่วยงานอุทยานประกาศระงับการล่าสิงโต, เสือดาว และช้าง ในพื้นที่รอบๆ อุทยานแห่งชาติฮวาเง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ ซีซิล อาศัยอยู่ รัฐบาลระบุว่า พวกเขาได้จัดตั้งกองทุนอนุรักษ์และเฝ้าติดตามสัตว์ป่า และกำลังเรี่ยไรเงินบริจาคสำหรับปฏิบัติการเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์กิจกรรมต่างๆ ในอุตสาหกรรมการล่าสัตว์นี้ ก่อนหน้านั้นในวันอาทิตย์ (2) สำนักงานการบริหารจัดการสัตว์ป่าและอุทยานในซิมบับเว (ซิมปาร์ก) ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า เจริโช พี่น้องของ ซีซิล ถูกสังหารเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สิงโตชื่อ เจริโช ยังมีชีวิตอยู่และถูกเฝ้าสังเกตการณ์โดย เบรนท์ สตาเพเลียส จากโครงการวิจัยสิงโต” ซิมปาร์คสระบุในถ้อยแถลง การสังหารซีซิล สิงโตซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยแผงคอสีดำอันโดดเด่นของมัน ได้ก่อให้เกิดกระแสความโกรธเคืองไปทั่วโลก วอลเตอร์ พาลเมอร์ ทันตแพทย์ชาวอเมริกันยิงสิงโตตัวนี้ด้วยธนูนอกอุทยานฮวาเงเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม หลังจากยิงเจ้าแมวใหญ่ตัวนี้แล้ว พาลเมอร์ และ ธีโอ บรอนคอร์สต์ ไกด์ท้องถิ่นก็ตามรอยเจ้าสิงโตตัวบาดเจ็บตัวนี้อยู่นานถึง 40 ชั่วโมงก่อนที่จะปลิดชีวิตมันด้วยปืน บรอนคอร์สต์ มีกำหนดปรากฏตัวในศาลในวันที่ 5 สิงหาคมจากข้อหา “ล้มเหลวในการยับยั้งการล่าสัตว์ผิดกฎหมาย” โอปปาห์ มูชินกูรี รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของซิมบับเวได้ร้องขอให้สหรัฐฯ ส่งตัว พาลเมอร์ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้สามารถนำตัวเขามาดำเนินคดีได้
เอเอฟพี - ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินของมาเลเซียได้เข้าร่วมประชุมผู้ดำรงตำแหน่งเดียวกันของฝรั่งเศสในวันจันทร์ (3 ส.ค.) เพื่อร่วมมือกันสืบสวนเรื่องเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการพบชิ้นส่วนเครื่องบินโบอิ้ง 777 จนทำให้เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ซึ่งรวมถึงที่มาจากบริษัทโบอิ้ง จะเริ่มทำการตรวจสอบชิ้นส่วนปีกในวันพุธ ที่พบบริเวณเกาะเรอูนียงในมหาสมุทรอินเดียเมื่อสัปดาห์ก่อน ชิ้นส่วนปีกที่มีความยาวประมาณ 2 เมตร ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ซึ่งน่าจะมาจากเที่ยวบินมรณะของมาเลเซียแอร์ไลน์ เนื่องจากเท่าที่ทราบขณะนี้ไม่มีโบอิ้งลำอื่นตกในพื้นที่แถบนั้น MH370 ได้บินออกนอกเส้นทางอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน แล้วก็หายไปจากจอเรดาร์ ทำให้หลายชาติร่วมกันออกตามหาเสียยกใหญ่แต่ก็ไร้ผล ถือเป็นหนึ่งในการหายไปอย่างลึกลับมากที่สุดของประวัติศาสตร์การบิน จากนั้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทางการมาเลเซียก็ได้ประกาศว่าผู้คนที่อยู่บนเที่ยวบิน MH370 ทั้งหมด 239 ชีวิตได้ตายแล้ว ชิ้นส่วนปีกที่ถูกพบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กำลังถูกวิเคราะห์ในเมืองตูลูส ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เพื่อจะพิสูจน์ให้ได้ว่านี่เป็นชิ้นส่วนของ MH370 เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส ระบุว่า การตรวจสอบทำโดยกล้องอิเลคตรอนไมโครสโคป ซึ่งสามารถขยายภาพได้ถึง 10,000 เท่าของปกติ เพื่อจะพยายามทำความเข้าใจว่ามันเสียหายได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนบรรดาครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า อย่าคาดหวังจนเกินไปสำหรับสิ่งที่จะได้รับการเปิดเผยจากการตรวจสอบชิ้นส่วนแค่ชิ้นเดียว อย่าคาดหวังว่าจะมีปาฏิหารย์ใดๆ จากการวิเคราะห์ครั้งนี้
รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – ไฟป่าทางเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย รู้จักในนาม “ไฟป่าร็อกกี” ไหม้ต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 5แล้ว ล่าสุดเมื่อวานนี้(2) พื้นที่เผาไหม้ไฟป่าขยายเป็น 2 เท่า หรือราว 54,000 เอเคอร์ จากเดิม 27,000 เอเคอร์ในเย็นวันเสาร์(1) แต่ทว่าความสามารถในการควบคุมกลับทำได้เพียงแค่ 5% เท่านั้น ส่งผลทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 24 หลังถูกไฟเผาไหม้จนราบเป็นตอตะโก และต้องมีการสั่งอพยพผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ไฟป่าแคลิฟอร์เนียล่าสุดในวันอาทิตย์(2) ได้กินพื้นที่ถึง 54,000 เอเคอร์ทางตะวันออกของเมืองโลเวอร์ เลก( Lower Lake) เมืองที่ห่างจากเมืองซานฟรานซิสโกไปทางเหนือราว 110 ไมล์ และต้องใช้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทั่วรัฐแคลิฟอร์เนียถึง 9,000 คนในการเข้าควบคุม ซึ่งไฟป่าลูกนี้ถือว่ารายแรงที่สุดในบรรดาไฟป่าครั้งใหญ่ 20 แห่งที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี(30 กค.)ไฟป่าอีกลูกได้ทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานสหรัฐฯเสียชีวิตใกล้กับพรมแดนติดรัฐโอเรกอน ซึ่งไฟป่าลูกนี้ได้ขยายขนาดกินพื้นที่เพิ่มเช่นกัน แต่ยังคงมีขนาดเล็กกว่าไฟป่าใกล้กับเมืองโลเวอร์ เลก ที่รู้จักในนาม “Rocky Fire” หรือไฟป่าร็อกกี ที่ปะทุขึ้นในวันพุธ(29 กค.)ในเลกเคาน์ตี (Lake County) แดเนียล เบอร์แลนต์ (Daniel Berlant) โฆษกแผนกป่าไม้และป้องกันไฟป่าแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ Cal Fire ให้ความเห็นว่า “ถือเป็นไฟป่าที่ไหม้กินพื้นที่เร็วที่สุด” พื้นที่ร่วม 20,000 เอเคอร์ของป่า scrub oak ถูกไฟป่าเผาทำลายภายในเวลา 5 ชม.ในคืนวันเสาร์(1) บ่งบอกถึงการที่เผาไหม้ในความเร็วที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาจำกัด เบอร์แลนต์เสริม และกล่าวต่อว่า ก่อนเย็นวันอาทิตย์(2) ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่เพิ่มเติมอีก 7,000 เอเคอร์ ในพื้นที่บริเวณตะวันออกเรียบชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเหนือ Cal Fire แถลงเพิ่มเติมว่า และคาดกันว่า ไฟป่าลูกนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับสิ่งปลูกสร้างจำนวน 6,300 หลัง และทำให้ต้องมีการสั่งปิดถนนระหว่างรัฐทั้งสองด้าน และรอยเตอร์รายงานว่า มีประชาชนในพื้นที่จำนวนไม่ต่ำกว่า 12,000 คนได้รับคำสั่งอพยพออกนอกพื้นที่ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ผจญเพลิงประจำรัฐสามารถควบคุมพื้นที่ไฟป่าได้แค่ 5% เท่านั้นของการเผาไหม้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา และมีรายงานว่า ในช่วงก่อนคืนวันอาทิตย์(2) เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจำนวน 2,700 คน หรือ คิดเป็น 1 ใน 3 ของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทั้งหมดทั่วแคลิฟอร์เนียร่วมมือพยายามควบคุมไฟป่าร็อกี้ ด้านหัวหน้า Cal Fire เคน พิมล็อตต์ (Ken Pimlott) กล่าวว่า ไฟป่าขนาดใหญ่ร่วม 20 ลูกเผาไหม้ทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรัฐโกลเดนสเตทแห่งนี้กำลังประสบปัญหาภัยแล้งสาหัส เกิดขึ้นหลังจากมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้ “เรากำลังระดมทรัพยากรบุคคลเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาครั้งนี้ โดยมีการเคลื่อนพลทหารเนชันแนลการ์ดรัฐแคลิฟอร์เนียมาเสริม พร้อมกับเจ้าหน้าที่จากรัฐอื่นๆ และจากหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำนักงานป่าไม้สหรัฐฯ U.S. Forest Service” พิมล็อตต์ให้สัมภาษณ์กับ CNN สื่อสหรัฐฯในวันอาทิตย์(2) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรัฐเซาท์ดาโกตา เดวิด รูห์ล (David Ruhl) วัย 38 ปี ต้องจบชีวิตในวันพฤหัสบดี(30 กค.) ด้วยไฟป่า ฟ็อก (Frog Fire) ที่ไหม้ลามไปทั่วอุทยานแห่งชาติโมด็อก (Modoc)ใกล้พรมแดนรัฐแคลิฟอร์เนียติดรัฐโอเรกอน
หมายเหตุ อ้างอิง : คัดลอกข่าวแปลจากคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ เว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น