เรื่องที่ 2 การค้าทาส การล่าทาส
หากประเทศมหาอำนาจอย่างยุโรปกับอเมริกาจะรังเกียจหรือต่อต้านการค้ามนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไร้มนุษยธรรม
ไม่อาจจะรับได้ จนต้องนำเรื่องนี้มาเป็นเกณฑ์วัดเพื่อพิจารณาประเทศที่มีสถิติการค้ามนุษย์
หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนมากๆ ด้วยการกำหนดบทลงโทษ ทั้งกีดกันการค้า หรือจำกัดโควตาการนำเข้าของสินค้าที่ผลิตด้วยแรงงานทาส
หรือเป็นประเทศที่ชอบละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่เป็นธรรม ก็ต้องถามย้อนกลับไปว่า
ประเทศใคร ไหนกันครับ ที่เป็นผู้ริเริ่มการค้าทาส (หรือภาษาแบบผู้ดีอังกฤษ
เรียกใหม่ว่า การค้ามนุษย์) ก็ไม่ใช่ประเทศของบรรดาเหล่าชาติตะวันตก
หรือประเทศต้นแบบประชาธิปไตยทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เหรอ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน
โปรตุเกส รวมถึงอเมริกา แล้วใยพวกท่านจึงชอบทำตัวเป็นพวก "ปากว่าตาขยิบ", "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” หรือเป็นพวก "เกลียดตัวกินไข่
เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง” ขอบอกว่าประเทศที่อ้างว่าเจริญแล้ว
และเป็นแม่แบบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือเป็นประเทศผู้สร้างกฏเกณฑ์ทางการค้าที่เป็นธรรมที่ให้ประเทศอื่นเดินตามนั้น
ล้วนแล้วแต่เคยทำชั่ว ทำสิ่งเลวร้ายที่ว่ามาก่อนแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ลองหาอ่านประวัติความเป็นมาของการล่าทาสดูก็จะรู้ว่า
ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่คอยตั้งมาตรฐานกีดกันทางการค้าจากฝั่งชาติตะวันตกทั้งสิ้น
เดินไปตามเส้นทางค้าทาส
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึง 19
เมืองวีดาห์เป็นศูนย์กลางการค้าทาสแห่งใหญ่ในแอฟริกาตะวันตก.
ปัจจุบันเมืองนี้อยู่ในสาธารณรัฐเบนิน
และเคยเป็นสถานที่ส่งออกทาสมากกว่าหนึ่งล้านคน. บ่อยครั้ง
ชาวแอฟริกาจับชาวแอฟริกาด้วยกันเองมาแลกกับสินค้าต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์, เสื้อผ้า, สร้อยข้อมือ,
มีด, ดาบ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปืน
ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากเนื่องจากสงครามระหว่างเผ่า.
ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 19
ชาวแอฟริกาประมาณ 12 ล้านคนถูกส่งตัวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานทาสในไร่นาและเหมืองแร่ของโลกใหม่.
หนังสือทาสในอเมริกา—ปี 1619-1877 (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า
ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของทาส “ถูกส่งไปบราซิลและอาณานิคมต่าง ๆ ของอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน,
และดัตช์ในแถบแคริบเบียน.” ราว ๆ 6 เปอร์เซ็นต์ถูกส่งไปที่อาณานิคมซึ่งภายหลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ.*
ในตอนเริ่มต้นของการเดินทาง
ทาสหลายคนซึ่งถูกล่ามโซ่, ถูกเฆี่ยน,
และถูกตีตรา ต้องเดินเป็นระยะทางสี่กิโลเมตรจากป้อมซึ่งปัจจุบันนี้ถูกบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์วีดาห์
ไปถึงบริเวณชายหาดซึ่งเรียกว่าประตูที่ไม่หวนกลับ.
ประตูนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางลำเลียงทาสและมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ไม่ใช่ตามตัวอักษร
เพราะทาสไม่ได้ออกเดินทางจากจุดเดียวกันทั้งหมด.
ทำไมการค้าทาสจึงแพร่หลายมากขนาดนั้น?
ประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่ารังเกียจ
ในช่วงแรก ๆ
ผู้ปกครองชาวแอฟริกาได้ขายพวกเชลยศึกให้แก่พวกพ่อค้าชาวอาหรับ. ต่อมา
บรรดาประเทศมหาอำนาจในยุโรปได้เข้าร่วมในการค้าทาส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการก่อตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา. ในช่วงนั้น
สงครามระหว่างเผ่าและเชลยศึกที่ถูกจับได้ทำให้มีทาสจำนวนมากมาย
ซึ่งสร้างรายได้งามให้แก่ทั้งผู้ชนะและผู้ค้าทาสที่ละโมบ. ยิ่งกว่านั้น
มีการจับทาสโดยการลักพาตัวหรือโดยการซื้อจากพ่อค้าชาวแอฟริกาซึ่งนำทาสมาจากดินแดนที่อยู่ห่างชายฝั่ง.
เกือบทุกคนถูกขายเป็นทาสได้
แม้กระทั่งชนชั้นสูงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระราชาอีกต่อไปแล้ว.
พ่อค้าทาสผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือฟรานซิสกู
เฟลิกส์ เดอ ซูซา ชาวบราซิล. ในปี 1788 เดอ
ซูซาเป็นผู้บังคับบัญชาป้อมปราการแห่งวีดาห์
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการค้าทาสในอ่าวเบนิน. ในตอนนั้น
วีดาห์อยู่ในอาณาจักรดาโฮมีย์. อย่างไรก็ดี เดอ ซูซากับกษัตริย์อะดันโดซันแห่งดาโฮมีย์เกิดความบาดหมางกัน.
ดังนั้น ขณะที่เดอ ซูซาอาจอยู่ในคุก
เขาได้คบคิดกับน้องชายของกษัตริย์และร่วมกันโค่นล้มบัลลังก์ในปี 1818. ด้วยวิธีนี้
ความสัมพันธ์ซึ่งให้ผลประโยชน์อย่างงามจึงเริ่มขึ้นระหว่างเกโซกษัตริย์องค์ใหม่และเดอ
ซูซา ซึ่งถูกแต่งตั้งให้ดูแลการค้าทาส.*
เกโซตั้งใจจะขยายอาณาจักรและต้องการอาวุธของชาวยุโรปเพื่อจะทำเช่นนั้นได้.
ดังนั้น เขาแต่งตั้งเดอ
ซูซาเป็นอุปราชแห่งวีดาห์เพื่อช่วยบริหารการค้าขายกับชาวยุโรป. เนื่องจากเป็นผู้ผูกขาดการค้าทาสในภูมิภาคนั้นของแอฟริกา
ไม่นานเดอ ซูซาจึงร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล และตลาดค้าทาสซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเขา
กลายมาเป็นศูนย์กลางสำหรับทั้งชาวต่างประเทศและคนท้องถิ่นที่รับซื้อทาส.
ทางเดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา
สำหรับนักท่องเที่ยวสมัยปัจจุบัน
การเยี่ยมชมเส้นทางค้าทาสวีดาห์จะเริ่มที่ป้อมของชาวโปรตุเกสที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่.
เดิมทีป้อมนี้ถูกสร้างในปี 1721 และปัจจุบันนี้เป็นพิพิธภัณฑสถานที่กล่าวข้างต้น.
เชลยที่ถูกจับเป็นทาสถูกกักตัวไว้ในลานใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง.
ส่วนใหญ่ถูกล่ามโซ่และต้องเดินเป็นเวลาหลายคืนกว่าจะมาถึงที่นี่.
ทำไมต้องเดินตอนกลางคืน? ความมืดทำให้เชลยหลงทิศและถ้ามีคนหลบหนีก็จะกลับบ้านได้ยากขึ้น.
เมื่อทาสกลุ่มใหม่มาถึง จะเปิดการประมูล
แล้วหลังจากนั้นผู้ซื้อจะตีตราทาสที่ตนซื้อมา. ทาสที่ถูกส่งออกจะถูกพาไปที่ชายทะเล
ลงเรือแคนูหรือเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่.
สถานที่อีกแห่งหนึ่งบนเส้นทางค้าทาสในประวัติศาสตร์คือบริเวณที่เคยมีต้นไม้แห่งความหลงลืม.
ทุกวันนี้มีอนุสาวรีย์อยู่ตรงจุดที่เคยมีต้นไม้อยู่.
พวกทาสที่เป็นผู้ชายถูกบังคับให้เดินรอบต้นไม้นั้นเก้ารอบ ส่วนผู้หญิงเจ็ดรอบ.
มีการบอกพวกเขาว่าที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน
และทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะก่อกบฏน้อยลง.
เส้นทางนี้ยังมีอนุสาวรีย์อีกแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเพื่อรำลึกถึงกระท่อมโซมาอี
ซึ่งไม่มีอีกต่อไปแล้ว. คำว่าโซมาอี หมายถึงความมืดทึบตลอดทั้งวันและคืนในกระท่อมเหล่านี้
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้เชลยที่ถูกขังไว้อย่างแออัดในนั้นคุ้นเคยกับสภาพที่เลวร้ายบนเรือ.
ที่จริง พวกเขาอาจถูกขังไว้ในกระท่อมหลายเดือนขณะรอการเดินทาง.
คนที่ตายระหว่างช่วงที่ทรมานนี้จะถูกโยนลงในหลุมศพรวม.
อนุสาวรีย์ที่เรียกว่าโซมาชี
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและการคืนดี ทำให้เราสะเทือนใจมาก.
ที่นั่นในเดือนมกราคมของทุกปี
ลูกหลานของทั้งทาสและพ่อค้าทาสได้มาอ้อนวอนขออภัยให้แก่ผู้ที่ได้ทำสิ่งไม่ยุติธรรม.
จุดสุดท้ายในเส้นทางนี้คือ
ประตูที่ไม่หวนกลับซึ่งรำลึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของทาสที่อยู่บนแผ่นดินแอฟริกา.
ประตูโค้งขนาดใหญ่นี้มีภาพนูนต่ำของเชลยชาวแอฟริกาสองแถวที่ถูกล่ามโซ่ซึ่งมาบรรจบกันบนชายหาด
โดยมีมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่เบื้องหน้า. เมื่อถึงที่นี่
กล่าวกันว่าเชลยผู้สิ้นหวังบางคนกลืนทรายเข้าไปเพื่อจะจดจำแผ่นดินเกิดของตน.
ส่วนบางคนเลือกความตาย โดยใช้โซ่รัดคอตัวเอง.
การเลิกทาส!
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19
เริ่มมีความพยายามจะเลิกทาส.
เรือบรรทุกทาสลำสุดท้ายที่ออกจากวีดาห์มาถึงเมืองโมบิล รัฐแอละแบมา ในเดือนกรกฎาคม
1860. แต่พวกเขาทำงานได้ไม่นานนัก เพราะรัฐบาลสหรัฐประกาศเลิกทาสในปี 1863.
ในที่สุด การใช้แรงงานทาสในซีกโลกตะวันตกก็สิ้นสุดลงในปี 1888 เมื่อบราซิลเลิกทาสเช่นกัน.*
ร่องรอยที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับการค้าทาสก็คือ
ชุมชนชาวแอฟริกาขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบด้านประชากรและวัฒนธรรมในหลายดินแดนของทวีปอเมริกา.
ร่องรอยอีกอย่างหนึ่งก็คือการแพร่หลายของลัทธิวูดู
ศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาซึ่งนิยมกันมากในเฮติ. สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าวว่า
“คำวูดู มาจากคำว่าโวดุน ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าหรือวิญญาณในภาษาของชนเผ่าฟอนแห่งเบนิน
(เมื่อก่อนคือดาโฮมีย์).”
น่าเศร้า
การบังคับใช้แรงงานทาสอย่างโหดร้ายยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้
แม้จะไม่ใช่ทาสในความหมายตรงตัว. ตัวอย่างเช่น
หลายล้านคนตรากตรำทำงานเยี่ยงทาสเพียงเพื่อจะอยู่รอดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่.
ส่วนบางคนต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้การปกครองที่กดขี่. (ท่านผู้ประกาศ 8:9)
และหลายล้านคนถูกกักขังอยู่ในคำสอนทางศาสนาผิด ๆ
และการเชื่อโชคลาง.
รัฐบาลมนุษย์จะปลดปล่อยประชาชนจากการเป็นทาสในรูปแบบเหล่านี้ได้ไหม? ไม่ได้. มีเพียงพระยะโฮวาพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ และแน่นอนพระองค์จะทำ!
อันที่จริง บางคนจะหันมานมัสการพระยะโฮวาอย่างที่ประสานกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล—ความจริงที่ทำให้มนุษย์เป็นอิสระ.
และคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์สัญญาว่า เมื่อถึงเวลา พวกเขาทุกคนจะได้ชื่นชมกับ “เสรีภาพอันรุ่งโรจน์แห่งเหล่าบุตรของพระเจ้า.”—โรม 8:21; โยฮัน 8:32
หมายเหตุ
ข้อความในกรอบวงเล็บนี้เป็นในส่วนของเชิงอรรถอ้างอิง ประกอบคำอธิบาย
(จากช่วงแรก ๆ ที่มีจำนวนไม่มาก ภายหลังประชากรทาสในสหรัฐมีเพิ่มขึ้น
ส่วนใหญ่เป็นเพราะการเติบโตของประชากรตามธรรมชาติ
เนื่องจากทาสเหล่านั้นมีลูกหลานของตัวเอง.
ชื่อ “เกโซ”
มีการสะกดหลายวิธี.
มีการพิจารณาทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการค้าทาสในบทความ“ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล:
พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการค้าทาสไหม?” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8
กันยายน 2001.
“มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์
อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา”
หลายคนเชื่อว่าพ่อค้าทาสจับทาสมาโดยการจู่โจมหมู่บ้านต่าง ๆ และจับตัวผู้คนตามใจชอบ. แม้ว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นจริง
แต่พ่อค้าทาสคงจะจับผู้คนไปถึงหลายล้านคนไม่ได้ “ถ้าไม่มีการร่วมมือจากเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ปกครองและพ่อค้าชาวแอฟริกา”
ดร. โรเบิร์ต ฮามส์
ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์แอฟริกาได้กล่าวไว้เช่นนั้นในการให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ.
เป็นเรื่องจริงที่ “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา”!—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม. )
(อ้างอิง : คัดลอกจากหน้าเพจของห้องสมุดออนไลน์ของว็อชทาวเวอร์
http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102011169 )
กรณีศึกษาเรื่องจริงจากบทความต่อไปนี้
ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยตกเป็นทาส (เหยื่อการค้ามนุษย์
ซึ่งเกิดโดยตรงในประเทศอเมริกา)
บทสัมภาษณ์โปรดิวเซอร์สารคดี "เจ้าชายผู้กลายเป็นทาส"
"Price Among Slaves" - Film sheds light on Islam
inU.S.
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล
สถานีโทรทัศน์ช่องพีบีเอส (PBS ช่อง 13 เป็นช่องเพื่อการศึกษา) ของอเมริกาเพิ่งฉายสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "Prince
Among Slaves" (เจ้าชายผู้กลายเป็นทาส) ไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ที่ผ่านมา สารคดีความยาว 1
ชั่วโมงเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงของเจ้าชายอาฟริกาผู้ถูกชาวผิวขาวนักล่าทาสจับมาขายในอเมริกาเมื่อปี
1788 และตกเป็นทาสยาวนานถึงกว่า 40 ปี ก่อนจะได้รับอิสรภาพ
และกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยนั้น
สารคดีโทรทัศน์ Prince Among Slaves ได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยมปี
2007 จากเทศกาล American Black Film Festival (ภาพยนตร์อเมริกันผิวดำ) กำกับการแสดงโดย แอนเดรีย คาอิน และบิล ดุก ผู้กำกับเจ้าของรางวัลเอ็มมี่ (Emmy
Award) โดยผ่านงานสร้างสรรค์ร่วมสมัย จดหมายเหตุ และไดอารี่
รวมทั้งการสัมภาษณ์นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง โดยมี มอส เดฟ (Mos Def), นักร้อง-นักแสดงอเมริกันผิวดำผู้เป็นมุสลิมใหม่, เป็นดารานำแสดง, และ อเล็กซ์ โครนีเมอร์ (Alex
Kronemer), เจ้าของบริษัท Unity Productions Foundation (UPF) ผู้เป็นมุสลิมใหม่, เป็นโปรดิวเซอร์ของสารคดีเรื่องนี้
เรื่องราวของ Prince Among Slaves มาจากหนังสือชีวประวัติซึ่งเขียนโดย
ดร.เทอรรี่ อัลฟอร์ด
Prince Among Slaves เป็นเรื่องจริงสุดรันทดของ อับดุล-ราฮ์มาน, เจ้าชายอาฟริกันมุสลิม, ซึ่งโดนนักล่าทาสผิวขาวจับได้ในปี 1788
แม้เขาจะบอกว่าเขาเป็นเจ้าชายและพร้อมจะให้บิดานำค่าไถ่ตัวมาให้ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ
ท้ายที่สุดอับดุล-ราฮ์มานถูกนำตัวไปขายเป็นทาสในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา
เขาต้องผ่านความทุกข์เวทนาแสนสาหัส
จนในที่สุดตกเป็นสมบัติของชาวไร่ยากจนและอ่านหนังสือไม่ออกที่ชื่อ โทมัส ฟอสเตอร์
แห่งนัทเชส รัฐมิสซิสซิปปี
อับดุล-ราฮ์มานตกเป็นทาสถึง 40
ปีเต็มก่อนจะได้รับอิสรภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเขียนจดหมายร้องเรียนผ่านรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นเวลานาน (อับดุล-ราฮ์มานอ่านออกเขียนได้
แต่นายทาสเจ้าของไร่ของเขากลับไม่รู้หนังสือ) จากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัย
และเดินทางกลับอาฟริกาในสถานภาพของเจ้าชาย
สารคดีเรื่องนี้จบลงด้วยงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ของลูกหลานอับดุล-ราฮ์มานทั้งที่อาศัยในอาฟริกาและในอเมริกา
ที่เมืองนัทเชส รัฐมิสซิสซิปปี
อเล็กซ์ โครนีเมอร์
เจ้าของสารคดีโทรทัศน์เรื่องนี้หวังว่าตัวเองจะมีส่วนช่วยในการยุติการปะทะระหว่างอารยธรรม
ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสงครามที่เขาได้เผชิญในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาตั้งแต่วัยเด็ก
พ่อของอเล็กซ์เป็นชาวยิว
ส่วนแม่เป็นคริสเตียน อเล็กซ์ก็เลยเติบโตมาท่ามกลางความสับสนด้านศรัทธา
การที่แม่ของเขาเป็นมิชชันนารีโปรแตสแตนท์บอกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะตกนรกยิ่งทำให้ทัศนะด้านศาสนาของอเล็กซ์ยิ่งแย่ไปใหญ่
แต่เมื่อเขาได้แสวงหาความจริง
อเล็กซ์กลับได้พบสิ่งนั้นในอิสลาม
แม้อเลกซ์ซึ่งตอนนี้อายุได้
57 ปีบอกว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ชะตากรรมของชาวมุสลิมในสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์
9/11
ได้บังคับให้เขาต้องใช้ความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่จะทำให้ชาวอเมริกันได้รู้จักอิสลามเพิ่มขึ้น
เขาร่วมก่อตั้งมูลนิธิ Unity Productions Foundation(UPF) ซึ่งได้ผลิตสารคดีโทรทัศน์ที่ได้รับรางวัลหลายเรื่อง ซึ่งรวมทั้ง Muhammad: Legacy of a Prophet (มุฮัมมัด: มรดกแห่งศาสนฑูต) และCity of
Light: The Rise and Fall of Islamic Spain (อาณาจักรแห่งแสงสว่าง: ความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของอิสลามในสเปน)
และในสารคดีเรื่องใหม่ของเขา Prince Among
Slaves อเลกซ์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจของเขาและสารคดีเรื่องนี้
คำถาม: คุณหันมาให้ความสนใจในสารคดีเกี่ยวกับอิสลามได้อย่างไร
คำตอบ: มันเกิดขึ้นเมื่อปี
1998 ตอนนั้นผมกำลังถ่ายทำรายการสารคดี Hajj to Mecca (พิธีฮัจย์ที่เมกกะ) ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN)ซึ่งซีเอ็นเอ็นก็ได้แพร่ภาพสารคดีชุดนี้ออกไปทั่วโลก มีผู้ชมถึงกว่า 500
ล้านคน
นั่นแหละที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ในการถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้ชมจำนวนมากมายมหาศาลทั่วทุกมุมโลก
ก่อนเกิดเหตุการณ์
9/11 ชาวอเมริกันส่วนใหญ่แทบไม่รู้เรื่องของโลกภายนอก
อย่าว่าแต่เรื่องอิสลามหรือมุสลิมเลย
ชาวอเมริกันไม่รู้เรื่องศาสนาของโลกตะวันออกแม้แต่น้อย
เราก็เลยพยายามเติมช่องว่างตรงนี้
ถ่ายทอดเนื้อหาที่ช่วยให้ผู้คนได้เข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์และทีวีทั้งหลาย
เป้าหมายของเราคือสันติภาพผ่านสื่อมวลชน
คำถาม: การที่ในวัยเด็กคุณมาจากครอบครัวที่มีศาสนาหลากหลายช่วยในงานนี้ได้อย่างไร
คำตอบ: ช่วยได้มากเลยละ
ผมเข้าใจว่าไม่จำเป็นที่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งจะทำให้คนแต่ละคนเป็นคนดีหรือเลว
แต่เป็นที่ตัวคนๆ นั้น ความพยายามของเขาและข้อจำกัดของเขาที่นำเขาไปสู่ความเป็นคนดี
ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีข้อบกพร่อง แต่ศาสนานี่ละที่จะนำพาผู้คนไปสู่หนทางที่ดี
ทางนำที่ถูกต้อง
แต่กระนั้นก็ตาม
คุณจะเห็นว่ามีตัวอย่างมากมายที่คนทำผิดในนามศาสนา
คำถาม: ชาวอเมริกันก่อนสงครามรู้เรื่องอิสลามและมุสลิมอย่างไรบ้าง
คำตอบ: ก็รู้ละ
และรู้มากกว่าชาวอเมริกันในยุคปัจจุบันตั้งเยอะ
มีความสัมพันธ์มากมายของบรรดาบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและอเมริกายุคบุกเบิกกับอิสลามและโลกอาหรับ
โมร็อคโคเป็นประเทศแรกที่ประกาศรับรองประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจากอเมริกาประกาศตนเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับอังกฤษ
โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson ค.ศ.1743-1826) ประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐฯ
มีคัมภีร์อัล-กุรอานไว้ในห้องสมุดส่วนตัว
ดูสิ...ชายผู้ชาญฉลาดเหล่านี้ซึ่งได้ร่วมกันก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา
เป็นนักอ่านหนังสือตัวยง และพวกเขาอ่านตำราที่มาจากโลกอิสลามด้วย
คำถาม: สิ่งนี้ส่งผลต่อความคิดที่ว่าอเมริกาคือชาติยิว-คริสต์อย่างไร
คำตอบ: ผมว่าต้องดูด้วยว่าอิสลามได้มีบทบาทต่อการก่อตั้งประเทศอเมริกาอย่างไร
ซึ่งผสมปนเปกันไป
ความเชื่อมโยงของชาวมุสลิมในประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นของอเมริกาเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
อย่างเช่นทาสจากอาฟริกานั้นคาดว่ามีร้อยละ 25 ที่เป็นชาวมุสลิม
พวกเขานำวิทยาการที่เหนือกว่ามาเผยแพร่ให้กับนายทาสที่ซื้อตัวพวกเขา
นำความรู้ที่เป็นประโยชน์มาช่วยสร้างประเทศอเมริกา
อเมริกาเป็นหนี้บุญคุณทาสชาวมุสลิมแน่นอน
คำถาม: สารคดีเรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างไรบ้าง
คำตอบ: จำนวนมากบอกว่าพวกเขาไม่เคยตระหนักเลยว่าอเมริกาในยุคก่อตั้งนั้นมีมุสลิมจำนวนมากทีเดียวและก็เรื่องราวของเจ้าชายอับดุล-ราฮ์มานผู้กลายเป็นทาสก็บอกไว้แล้ว
เรื่องราวของเขาก็คือ เขาอาศัยในโลกที่เป็นสากล เรื่องราวยุคเริ่มต้น
เจ้าชายผู้กลายเป็นทาส และเรื่องราวของคนที่ตกจากที่สูงสุดลงสู่ที่ต่ำสุดเป็นเรื่องราวที่รันทดเสมอ.
(อ้างอิง : คัดลอกจากหน้าเพจ
musachiza บทความชื่อ จากเจ้าชายในอัฟริกา
ต้องกลายเป็นทาสในอมริกา http://www.oknation.net/blog/musachiza/2011/08/09/entry-1 )
ปีนี้เป็นวาระ 207 ปี
ที่รัฐสภาอังกฤษได้ออกกฎหมายห้ามการค้าทาส เมื่อ ค.ศ.1807 การค้าทาสรุ่งเรืองในยุคของการค้นพบโลกใหม่
คือทวีปอเมริกา และการอพยพชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้
ซึ่งต้องการแรงงานในการบุกเบิก การทำเหมืองแร่ และเกษตรกรรม
และแรงงานส่วนใหญ่ก็คือ คนผิวดำที่ถูกนำตัวมาจากทวีปแอฟริกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-19
ประมาณว่ามีชาวแอฟริกา จำนวน 12-15 ล้านคน
ถูกส่งตัวลงเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังดินแดนอันห่างไกล โดย 85 เปอร์เซ็นต์ ถูกส่งไปยังบราซิล และอาณานิคมต่างๆ ของสเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส
และฮอลันดา ในทะเลแคริบเบียน และประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์
ถูกส่งไปยังสหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในความปกครองของอังกฤษ ภาพของทาสผิวดำที่เห็นจากหนังสือ
และภาพยนตร์ ก็คือมนุษย์ที่ถูกล่ามโซ่ ใส่ขื่อคา ถูกเฆี่ยนตี และทำร้ายร่างกาย
หรือทรมานด้วยวิธีการอันทารุณโหดร้าย
รวมทั้งถูกนาบด้วยเหล็กที่เผาไฟจนแดงเพื่อประทับตราของเจ้าของทาส
ไม่ต่างจากวัวควาย การค้าทาสเริ่มต้นด้วยสงครามระหว่างชนเผ่า
และผู้ที่ตกเป็นเชลยก็จะถูกขายแก่พ่อค้าชาวอาหรับ
ต่อมาชาติตะวันตกก็ได้เข้าร่วมในการค้าทาสอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทำให้สงครามระหว่างเผ่า นอกจากความขัดแย้งในเรื่องต่างๆ แล้ว
ยังกลายเป็นการหาสินค้าคือเชลย มาขายแก่พวกพ่อค้าทาส
เมื่อความต้องการทาสในทวีปอเมริกาสูงขึ้น ก็ทำให้เกิดการลักพาตัว
ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งทวีปแอฟริกา
และขบวนการล่าชนพื้นเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปในทวีปด้วยน้ำมือของคนแอฟริกันด้วยกันเอง
เพื่อนำมาขายแก่พ่อค้า ซึ่งบางครั้งก็เพียงแค่แลกเปลี่ยนกับของเล็กๆ น้อยๆ เช่น
เหล้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ มีด ดาบ และปืน การค้าทาสในสมัยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับการค้าปศุสัตว์
คนผิวดำทั้งที่เป็นเชลยและถูกจับมาจะถูกล่ามโซ่ติดกันและเดินทางเป็นระยะทางไกลในเวลากลางคืน
เพื่อให้หลบหนีได้ยาก จนมายังสถานที่เป็นศูนย์กลางการค้าทาส
ที่นั่นจะมีการประมูลทาส เมื่อประมูลได้แล้วเจ้าของก็จะประทับตราของตนลงบนตัวทาส
และส่งต่อไปยังชายทะเลเพื่อลงเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่ต่อไป สภาพในเรือก็อดอยาก
สกปรก แออัด และทุกข์เข็ญ จนหลายคนเสียชีวิตกลางทาง
ซึ่งก็จะถูกจับโยนลงทะเลเหมือนซากสัตว์
การค้าทาสเป็นการส่งเสริมให้มีการทำสงครามระหว่างเผ่า
การลักพาตัว
ขณะเดียวกันก็เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานโดยไม่สมัครใจของชาวแอฟริกันจำนวนมหาศาล
ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ของทวีปแอฟริกาโดยรวม
จากอดีตถึงปัจจุบัน และการค้าทาสก็เป็นอาชญากรรม
และความเลวร้ายที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการห้ามค้าทาสมาเป็นเวลา
207 ปีแล้ว แต่ปัจจุบัน การค้ามนุษย์ก็ยังดำเนินอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ด้วยรูปแบบและวิธีการที่เปลี่ยนไปตามสภาพของสังคม แต่ความทุกข์ทรมาน
ความปวดร้าวจิตใจ และการสูญเสียคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
ย่อมจะไม่ต่างไปจากทาสในสมัยก่อน หรอกครับ
“คุณประภัสสร เสวิกุล ได้กล่าวไว้ใน นสพ. คมชัดลึก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น