วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทีมประสิทธิภาพแห่งปี 2017 (1) - ตอนบุคคลแห่งปี


บุคคลแห่งปี 2017

ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เพจหยิกแกมหยอก หาบุคคลแห่งปีที่เป็นผู้นำประเทศ หรือบุคคลระดับโลกไม่ได้ เพราะยังหาผู้ที่เหมาะสมยังไม่เจอ แต่ที่เล็งไว้ตอนต้นปี คือ นายกรัฐมนตรีของแคนาดา คือนายจัสติน ทรูโด นักการเมืองหนุ่มไฟแรง ติดดิน และมีแนวคิดที่เรียกว่าทันสมัย สอดคล้องกับโลกยุคใหม่มากที่สุด (เคยแบ็กแพ็คมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยด้วยตอนสมัยเรียนจบ ป.ตรีใหม่ๆ) กล้าประกาศนโยบายที่ตรงกับความต้องการของประชาชน กล้าแต่งตั้งคณะ รมต.ที่มีคุณสมบัติ และความสามารถตรงกับงานในกระทรวง โดยไม่สนใจกลุ่มทุน กลุ่มก้อน มุ้งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น (เรื่องนี้ถ้าผู้อ่านอยากรู้รายละเอียด ควรไปศึกษาเพิ่มเติมเอาเอง ว่าเขาทำอย่างไร) เรียกว่า เป็นผู้นำรุ่นใหม่ ที่สามารถพูดได้ว่าล้ำหน้าหลายประเทศที่เจริญแล้ว เรียกว่าตอบโจทย์วิสัยทัศน์ และภาวะผู้นำในโลกยุคปัจจุบันได้ตรงคอนเซ็ปต์ที่สุด (ไม่เหมือนบางประเทศที่ประกาศว่าจะนำพาประเทศไปเป็น 4.0 แต่ในคณะรัฐมนตรีของตนเต็มไปด้วยคนยุคไดโนเสาร์ 0.1 ทั้งนั้นเลย เปิดแท็ปเล็ตเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้, ประกาศว่าจะเข้ามาปราบคอรัปชั่นให้หมดสิ้นในยุคตัวเอง แต่ที่ไหนได้คนในรัฐบาลตัวเอง เต็มไปด้วยปัญหาคอรัปชั่นที่เกิดจากคนใกล้ตัวผู้นำทั้งนั้นเลย, ประกาศว่าในปีหน้าประเทศจะไม่มีคนจนเหลืออยู่ แต่ยังแจกบัตรคนจนอยู่ และคนจนยังมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่มีนโยบายส่งเสริมคนจนให้มีอาชีพ แต่มีนโยบายเอื้อนายทุนใหญ่ พวกเจ้าสัว เพียบเลย ,ไปเซ็นสัญญาความร่วมมือเรื่องโลกร้อน เรื่องจะดูแลสิ่งแวดล้อมกับ ตปท.เยอะแยะ แต่ตนเองกับจะส่งเสริมให้กฟภ.อนุมัติให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพาและกระบี่งี้ เกือบจะต่อสัมปทานบัตร เหมืองแร่ทองคำให้กับบริษัทอัครา ถ้าชาวบ้านในท้องที่กับนักวิชาการ เอ็นจีโอไม่มารุมต้าน ป่านนี้อนุมัติไปตั้งนานแล้ว ฯลฯ) รางวัลบุคคลแห่งปี ที่พิจารณาจากผู้นำตปท.ในโลก ให้ได้หลายคนเกือบทั่วโลกเลย ยกเว้นที่ประเทศไทย ที่ผู้นำประเทศนี้ยังไม่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์อะไรซักข้อเลยที่จะนำมาพิจารณาได้

จึงต้องมองมายังบุคคลที่ไม่ใช่ผู้นำประเทศ แต่มีความสามารถในการทำประโยชน์ มีบทบาทหน้าที่หรือภารกิจสำคัญ ที่ทำให้กับสังคมประเทศ ซึ่งในต่างประเทศมีอยู่เยอะมาก (ไม่รู้จะพิจารณาผู้ใดดี) แต่พอย้อนมามองที่บ้านเมืองของเราเอง กลับพบเห็นบุคคลธรรมดาสามัญ ตัวเล็กๆ ในสังคม ลุกขึ้นมาทำประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อสังคม เล็กน้อยในกิจกรรม แต่ยิ่งใหญ่มากในการตอบแทนคืนสังคมไทย อาทิ จิตอาสาหลากหลายกลุ่ม หลากหลายวัย ที่ก้าวออกจากบ้านมาทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำความดี ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดลุยเดช บรมนาถบพิตร (ในหลวง ร.9) ที่เห็นเด่นชัดก็นับตั้งแต่ที่ทรงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2559 มาตลอดจนถึงช่วงงานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระบรมศพ ในเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2560 ที่เพิ่งผ่านไป ภาพเหล่านั้น ถูกแชร์ออกไปทั่วโลก ผู้คนทั่วโลกต่างมองเห็นว่า คนไทยช่างโชคดี มีกษัตริย์ที่เป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรมความดี และการเสียสละเพื่อสังคม พลอยสร้างแรงบันดาลใจให้พสกนิกรทั่วประเทศ ต่างลุกขึ้นมากระทำความดี ตอบแทนสังคม ซึ่งโดยหลักพื้นฐานแล้ว คนไทยเป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ยิ่งมาสมัครสมาน สามัคคีกันทำความดี อย่างเห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัด ก็ในช่วงย้อนไปตั้งแต่เหตุการณ์ที่ในหลวง ร.9 ทรงครองราชย์ครบรอบ 60 ปี  ตรงกับปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนไทยแตกแยก ทะเลาะกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จากปัญหาการเมืองในยุคนั้น ที่นักการเมืองที่เข้ามาปกครองประเทศสร้างปัญหาเอาไว้อย่างมากมาย แต่ประเทศไทยโชคดีที่มีในหลวง ทรงเป็นศูนย์รวมน้ำใจ ให้คนไทยกลับมาตระหนัก ถึงบทบาท หน้าที่ และการเสียสละ เพื่อช่วยให้สังคมดีขึ้น และกลับมาสู่จุดที่คนไทยเคยเป็น นั่นก็คือ คนไทยนั้นรักกัน

ปรากฏการณ์ของพี่ตูน บอดี้สแลม มีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังมองว่า ยังไม่เห็นเด่นชัดนัก เพราะจิตอาสา ที่เป็นพวกดารา เซเลป ต่างออกมาทำความดีกันเกือบจะทั้งวงการ แต่พอมาปีนี้ พี่ตูนและทีมงาน “ก้าวคนละก้าวฯ” คิดแคมเปญโครงการที่เรียกได้ว่า มันเกินกำลังทีคนๆ หนึ่งจะทำได้ แต่พอก้าวแรกที่พี่ตูนออกวิ่งจริงๆ ได้ปรากฏสู่สายตาชาวไทยทั้งประเทศ ผ่านเส้นทางมาแต่ละระยะ นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ อ.เบตง มันทำให้ภาพที่มันไกลและเบลอมาก เริ่มเห็นเด่นชัด และเห็นเค้าลางแห่งความสำเร็จ สมกับชื่อเพลงของพี่ตูนนั่นแหละ “แสงสุดท้าย” มันเห็นอยู่รำไร เกิดปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านตามท้องถิ่นที่พี่ตูนวิ่งผ่าน ออกมาต้อนรับ ร่วมบริจาค มีคนดังมาร่วมกิจกรรม ร่วมวิ่ง ร่วมบริจาค จนกลายเป็นกระแส talk of the town, viral marketing จนมันดังไกลไปต่างแดนแล้วในเวลานี้ เรียกได้ว่า ปีนี้ ถ้ารางวัลบุคคลแห่งปี จากทุกสถาบันไหนก็ตาม ไม่มีชื่อพี่ตูน เข้ารอบ หรือเข้าชิง ก็ต้องถือว่ากรรมการไม่มีวิสัยทัศน์แล้วหล่ะ มองไม่เห็นถึงปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติธรรมดาอันนี้เอาเสียเลย รางวัลบุคคลแห่งปี ของเพจหยิกแกมหยอก จึงต้องเป็น ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย ในปีนี้ แต่บังเอิญว่าในช่วง สัปดาห์ที่แล้วเกิดข่าวใหญ่ ช็อกวงการเมืองไทยและวงการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อข่าวการเสียชีวิต (อาสัญกรรม) อย่างกระทันหัน ของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กลายเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ไปทั้งประเทศและทั่วอาเซียนรวมถึงระดับโลก เพราะประเทศไทยและอาเซียนได้สูญเสียบุคคลที่เป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่า และมีความสามารถที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศไปอย่างน่าเสียดาย จึงเป็นที่มาที่ทำให้ เพจหยิกแกมหยอก ต้องถือโอกาสนี้ในการสดุดีคุณงามความดีและวีรกรรมที่ท่านได้ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไว้ ตอนสมัยที่เป็นเลขาธิการอาเซียน และไม่พลาดที่จะให้รางวัล บุคคลแห่งปี 2017 ร่วมกับพีตูน บอดี้สแลมในปีนี้ ไปพร้อมๆ กัน  

2 บุคคลแห่งปี 2017  คือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ นายอาทิวราห์ คงมาลัย


ประวัติโดยย่อของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีบิดาเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม ศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2515 (ก่อนหน้านี้ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เคยศึกษาที่ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 ปี) ปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2517)

และปริญญาเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2522) ต่อมา ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2518-2529

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นคนที่เรียนเก่ง มีแนวคิดดี ทักษะการพูด พูดจาฉะฉาน มีสติปัญญาดี วิถีชีวิตของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ จึงมีความน่าสนใจตรงที่เป็นตัวอย่างแก่เด็กบ้านนอกที่เป็น นักแสวงหาจากปักษ์ใต้เช่นเดียวกับ นายชวน หลีกภัย  หรือนายหัวชวนเพราะว่าล้วนแต่เกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่มีความมุ่งมั่นและครอบครัวมีการวางรากฐานทางด้านการศึกษาให้แก่ลูกๆ จนได้ดี

ซึ่งหลังจากอาชีพการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็ผันตัวมาเป็นนักการเมือง โดยที่เคยดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และยังเป็นอาจารย์พิเศษประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

และตำแหน่งล่าสุด ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งมีวาระ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จนสิ้นสุดวาระเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ซึ่ง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้นั่งทำงานที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้
*หลังจากคนไทยคนแรกคืออดีตเอกอัครราชทูตและอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แผน วรรณเมธี (ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสภากาชาดไทย) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2532-2536

ชีวิตผมไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่เราต้องปรับโครงสร้างทางสังคมต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องให้โอกาสตัวเองได้หวัง ได้ฝัน และก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ไปได้ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง

เมื่อได้ยินชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เราจะนึกถึงชายมุสลิมคนหนึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน แต่อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ ดร.สุรินทร์ ยังได้ทำหน้าที่สำคัญต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องนโยบายต่างประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2540-2544 ในฐานะรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ไทยได้มีบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลกทั้งในเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอินโดนีเซียกับติมอร์-เลสเตที่บานปลายจนเป็นสงคราม มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงเป็นผู้ผลักดันให้ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO และบทบาทในฐานะเลขาธิการอาเซียน ก็คือผลงานของชายมุสลิมธรรมดาคนหนึ่งจากแดนใต้ที่มุมานะจนมีตำแหน่งสำคัญในระดับโลกชายผู้มีชื่อว่า ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ประวัติการศึกษาและชีวิตครอบครัว
“We dare to dream. We care to share.”         
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2492 เป็นคนบ้านตาล ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พ่อชื่อ ฮัจยี อิสมาแอล แม่ชื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ  เป็นลูกชายคนโตจากทั้งหมด 11 คน มีคุณตาชื่อ ฮัจจียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปอเนอะบ้านตาลหรือ โรงเรียนประทีปศาสน์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามของเอกชน ส่วนคุณตาทวดของ ดร.สุรินทร์ เป็นผู้บุกเบิกชุมชนมุสลิมใน จ.นครศรีธรรมราช ชื่อ อิหม่ามตูวันฆูอัลมัรฮูม ฮัจยีซิดฎิก พิศสุวรรณ ดร.สุรินทร์มีชื่อในภาษาอาหรับว่า อับดุลฮาลีม บินอิสมาแอล พิศสุวรรณ ซึ่งแปลว่า ผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น โกรธยาก อภัยเร็ว
          ในเรื่องการศึกษานั้น ดร.สุรินทร์เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล มัธยมศึกษาจาก โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา โรเงรียนเบญจมราชูทิศ และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตามลำดับ ในระดับปริญญาตรีได้ศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยเรียนปี 1-2 และได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อ ปี 3-4 ด้านรัฐศาสตร์ที่ Claremont Men’s College, Claremont University และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่นั้น และศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกที่ Harvard University ด้านรัฐศาสตร์ โดยได้รับทุนจาก Rockefeller ภายใต้การสนับสนุนของ อ.เสน่ห์ จามริก
          ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ สมรสกับ อลิสา พิศสุวรรณ (ฮัจยะห์อาอีชะฮ์) เมื่อ พ.ศ.2526 มีลูกชายด้วยกัน 3 คน โดยคนโตชื่อ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ คนที่สองชื่อ ฮุสนี พิศสุวรรณ และคนสุดท้องชื่อ ฟิกรี่ พิศสุวรรณ

หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ
          หลังจากจบการศึกษาปริญญาเอกจาก Harvard University ดร.สุรินทร์ ต้องกลับมาเป็น อาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่ได้รับไปศึกษาในระดับปริญญาโทและเอก โดยเป็นอาจารย์เมื่อปี พ.ศ.2525 ต่อมาใน พ.ศ.2529 ชีวิตการเป็นนักการเมืองของ ดร.สุรินทร์จึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อสัมพันธ์ ทองสมัคร มาโนชย์ วิชัยกุล และคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราชจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาหา ดร.สุรินทร์ ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ สมัคร ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในตอนแรกนั้น ดร.สุรินทร์ ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ในเวลาต่อมาก็ตอบรับคำที่จะลงสมัครและก็ได้รับเลือกตั้งในที่สุด เมื่อได้เป็น ส.ส. ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ มารับหน้าที่เป็นเลขานุการประธานสภาฯ หลังจากนั้นเมื่อมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ.2531 ดร.สุรินทร์ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกครั้งและได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการให้กับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุที่ ดร.สุรินทร์ ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้วทางผู้ใหญ่ในพรรคจึงเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยงานในกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 เมื่อชวน หลีกภัยได้รับการเลือกตั้งจากสภาฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร.สุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 พ.ศ.2535-2538) และในปี พ.ศ.2540 เมื่อประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ และในครั้งนี้ชวน หลีกภัยได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรีชวน 2 ครั้งนี้ได้แต่งตั้งให้ ดร.สุรินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 พ.ศ.2540-2544) และได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในช่วงหลังวิกฤตเพื่อนำพาประเทศกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงมีการผลักดันบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสมาชิกภายในอาเซียนอีกด้วย (จะอธิบายในส่วนผลงานที่สำคัญในทางการเมือง) ต่อมาในปี พ.ศ.2551 ประเทศไทยได้รับสิทธิในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ทำการสรรหาบุคคลที่ประเทศไทยจะส่งไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว และในที่สุด จึงได้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2555 ในระหว่างการเป็นเลขาธิการอาเซียนนั้น ดร.สุรินทร์ ได้ดำเนินการเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียนให้สามารถประกาศใช้ได้ และยังรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อประชาชนในประเทศสมาชิกตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน หลังจากหมดวาระ ดร.สุรินทร์ ก็ยังทำงานในการเผยแพร่และให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนต่อไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบตำแหน่งธรรมศาสตราภิชาน ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.สุรินทร์

ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง
          ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้มีบทบาททางอย่างสำคัญในเรื่องการต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีผลงานที่โดดเด่นอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน โดยในเรื่องแรกนั้น ในปี พ.ศ.2540 ดร.สุรินทร์เป็นผู้รณรงค์หาเสียง และสนับสนุน ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ขณะนั้นให้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization; WTO) ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นต้องแข่งกับ       ไมค์ มัวร์ (Mike Moore) อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในการแข่งขันการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO นี้มีการแข่งขันอย่างดุเดือดมากถึงขั้นมีการเดินขบวนนำพวงหรีดไปวางไว้ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยจนอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ จนในท้ายที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับแมเดลีน อัลไบรท์ (Madeleine Albright) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในเรื่องดังกล่าวจนนำไปสู่ข้อเสนอของ ดร.สุรินทร์ ที่ให้ผลัดกันเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO คนละ 3 ปี โดยให้ ไมค์ มัวร์ ได้เป็นก่อนแล้วตามด้วย ดร.ศุภชัยในวาระต่อไปอีก 3 ปี
          ในเรื่องที่สอง ดร.สุรินทร์ เป็นคนสำคัญที่ไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลือจากญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพ ไทย-ฟิลิปปินส์ เพื่อไปรักษาสันติภาพในติมอร์-เลสเต (Timor-Leste) หรือ ติมอร์ตะวันออก (East Timor) ซึ่งเพิ่งแยกตัวออกและจากอินโดนีเซีย และในขณะนั้นเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายจนบานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่างอินโดนีเซีย-ติมอร์-เลสเต จนนำไปสู่การฆ่าพลเมืองติมอร์-เลสเต จำนวนมาก ประชาคมโลกต้องการให้เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของออสเตรเลีย แต่ออสเตรเลียก็กลัวที่จะเข้าไปแทรกแซงเพราะอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในท้ายที่สุดจึงประสานให้ไทย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนช่วยเป็นแกนหลักในการขอความช่วยเหลือจากประเทศในอาเซียนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว แม้แต่โคฟี อันนัน (Kofi Annan) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ บิล คลินตัน (Bill Clinton) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ขอความช่วยเหลือให้ไทยช่วยเป็นแกนนำหลักในการแก้ปัญหาดังกล่าว ในท้ายที่สุดก็ได้ข้อยุติโดยมีฟิลิปปินส์กับไทยที่พร้อมจะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพจำนวน 3,400 นาย ไปที่ติมอร์-เลสเต แต่ด้วยที่ทั้งไทยและฟิลิปปินส์ประสบปัญหาในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (วิกฤตการเงิน พ.ศ.2540) อยู่จึงไม่มีงบประมาณในการสนับสนุนการส่งกองกำลังดังกล่าวได้ ในที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้ไปเจรจาของบประมาณสนับสนุนดังกล่าวจากญี่ปุ่น และญี่ปุ่นได้อนุมัติเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การส่งกองกำลังร่วมไทย-ฟิลิปปินส์เพื่อไปรักษาสันติภาพที่ติมอร์-เลสเตประสบความสำเร็จในที่สุด
          หลังจากครบวาระของรัฐบาลชวนหลีกภัย 2 (พ.ศ.2540-2544) ดร.สุรินทร์ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ในทางการเมือง จนในปี พ.ศ.2551 เป็นวาระที่ไทยจะต้องเป็นเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้มีการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งดังกล่าว และได้มีมติให้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2551-2555 ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศให้สัตยาบันต่อกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) จนแล้วเสร็จในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และได้ประกาศใช้ในที่สุด นอกจากนี้แล้ว ดร.สุรินทร์ยังได้รณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทั้ง 10 ชาติตระหนักและรู้จักอาเซียนให้มากขึ้นอีกด้วย
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงพยาบาลรามคำแหง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัย สิริอายุรวม 68 ปี 
(เครดิตข้อมูลและภาพจาก tnews.co.th, เว็บไซต์ Bugaboo.tv)



นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ พี่ตูน บอดี้สแลม
ย้อนวัยเด็กชายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครในประเทศไทยที่ไม่รู้จัก ตูนบอดี้สแลม นักร้องนำและนักดนตรีของวงบอดี้สแลม เรียกว่าวงนี้เล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็มันส์ อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นหลานของแอ๊ด คาราบาว และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ตั๊ก บงกช อีกด้วย แต่หลายคนอาจไม่คุ้นกับชื่อ อาทิวราห์ คงมาลัย

ชื่อ : อาทิวราห์ คงมาลัย
ชื่อเล่น : ตูน
เกิดวันที่ : 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
เป็นคนจังหวัด : สุพรรณบุรี
ในปี พ.ศ. 2549 รางวัล อาทิวราห์ คงมาลัย ได้รับรางวัล ลูกกตัญญูดีเด่นเนื่องในวันแม่แห่งชาติ 

ด้านการศึกษา 

สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1

ประสบการณ์ทำงาน  เคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินกัมพูชาแอร์ไลน์ ได้ประมาณ 2 ปี

ความสามารถด้านดนตรี

อาทิวราห์ คงมาลัยหลังได้รางวัลชนะเลิศจากเวทีการประกวดฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ดครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2539) และเซ็นสัญญากับทางค่ายเพลง มิวสิก บั๊กส์ และวางจำหน่ายอัลบั้มชุดที่ ละอ่อน ในปี 2540 และ อัลบั้มชุดที่ เทพนิยายนายเสนาะ ในปี 2542 หลังจากนั้นสมาชิกวงก็ได้แยกย้ายกันไปเรียนต่ออ ก่อนที่สมาชิกบางส่วนในวงได้ไปศึกษาเรียนต่อ และในเวลาต่อมานี้ อาทิวราห์ และ ธนดล ช้างเสวกรัฐพล พรรณเชษฐ์ ได้ก่อตั้งวงใหม่ขึ้นมา บอดี้แสลม

ความสามารถด้านกีฬา

ด้านกีฬา อาทิวราห์ คงมาลัย เป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันรายการเทเบิลเทนนิสชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2554 และ 2555  โดยในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เป็นฝ่ายแพ้วัชรพล ราชโหดี 3-2 เกม และปีถัดมา ได้จับคู่กับอดีตนักกีฬาทีมชาติไทย อย่างสุริยะ พ่วงสมบัติ ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ในประเภทชายคู่ อย่างไรก็ตามทั้งคู่เป็นฝ่ายแพ้ที่ 2-3 เกมในรอบคัดเลือก
ในปี พ.ศ. 2557 อาทิวราห์ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 42 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเข้าร่วมทีมเทเบิลเทนนิสของจังหวัดเจ้าภาพ และเป็นตัวแทนนักกีฬากล่าวคำปฏิญาณตนในพิธีเปิด
นอกจากนี้แล้ว อาทิวราห์ยังเป็นแฟนประจำสุพรรณบุรีเอฟซี และทอตนัมฮอตสเปอร์ ชื่นชอบในการเล่นฟุตบอล, ปั่นจักรยาน รวมถึงยังเคยลงแข่งขันไตรกีฬา
ด้านสังคม

ในปี พ.ศ. 2559 อาทิวราห์ คงมาลัย ได้สร้างสุดยอดปรากฏการณ์ทางสังคม โดยทำโครงการ ก้าวคนละก้าว เพื่อโรงพยาบาลบางสะพานเพื่อนำเงินบริจาคมอบให้โรงพยาบาลบางสะพานในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ โดยได้วิ่งจากกรุงเทพมหารนครสู่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 1-10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 วันละ 40 กิโลเมตร รวมระยะทาง 400 กิโลเมตร

ในปี พ.ศ. 2560 อาทิวราห์ คงมาลัย  ได้สร้างสุดยอดปรากฏการณ์ทางสังคมอีกครั้ง กับ โครงการ ก้าวคนละก้าวเพื่อ11โรงพยาบาลทั่วประเทศ” “ก้าวแรกเริ่มต้นในวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เวลา 6นาฬิกา 9 นาที โดยเริ่มทำการวิ่งระยะไกล จากเบตง ไปแม่สาย ระยะทาง 2,191 กม. เพื่อระดมทุนสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการรักษาและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ให้แก่ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ
ด้านความรัก

ด้านชีวิตรัก  คบกับสาว ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ 6 ปี (คู่รักสายบุญ) ที่คอยเป็นกำลังใจและดูแลกันไม่ห่าง อีกทั้งก้อยยังเป็นอีกแรงใจหนึ่ง และทีมงานในโครงการการกุศลทุกโครงการที่ตูนเป็นริเริ่มหรือเป็นหัวหอกหลัก

ผลงานเพลง
ในนามวงละอ่อน
อัลบั้ม ละอ่อน (พ.ศ. 2540)

-ตั้งวงบอดี้สแลม ผลงานในนามวงบอดี้สแลม

อัลบั้ม บอดี้สแลม (พ.ศ. 2545)
อัลบั้ม ไดรฟ์ (พ.ศ. 2546)
อัลบั้ม บีลีฟ (พ.ศ. 2548)
อัลบั้ม เซฟมายไลฟ์ (พ.ศ. 2550)
อัลบั้ม คราม (พ.ศ. 2553)
อัลบัม ดัม-มะ-ชา-ติ (พ.ศ. 2557)


ผลงานการแสดง
-เก๋า..เก๋า (The Possible) (ศิลปินรับเชิญ) (พ.ศ. 2549)
-ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ (ศิลปินรับเชิญ) (พ.ศ. 2554)

ผลงานโฆษณา
-กาแฟเบอร์ดี้
-โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy s8 (พ.ศ. 2560)
-เครื่องดื่ม M150

7 เรื่องน่ารู้ของผู้ชายชื่อ "ตูน บอดี้สแลม" เกี่ยวกับ ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย

ถือเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่เป็นไอดอลของใครหลายคนเลยก็ว่าได้ สำหรับตูน บอดี้สแลม  เพราะหนุ่มคนนี้นอกจากเป็นนักร้องขวัญใจมหาชน เขายังช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ อย่างโครงการล่าสุด วิ่งมาราธอนการกุศล  'ก้าวคนละก้าว' เพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลนให้โรงพยาบาลบางสะพานจ.ประจวบคีรีขันธ์
1. ตูน บอดี้สแลม มีชื่อจริงว่า อาทิวราห์ คงมาลัย เกิดเมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ปัจจุบันอายุ 37 ปี ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นนักร้องนำและนักดนตรีวงบอดี้สแลม อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นหลานของแอ๊ด คาราบาว และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ตั๊ก บงกช อีกด้วย
2. สำหรับการศึกษา ตูน บอดี้สแลม สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี เข้าที่จะเข้ามาศึกษาต่อที่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก่อนที่จะเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1
3. เมื่อจบการศึกษาเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินกัมพูชาแอร์ไลน์ ได้ประมาณ 2 ปี
4.ด้านเส้นทางในวงการเพลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งวัยรุ่นโดยตูนเข้าประกวดเวทีฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2539 และเซ็นสัญญากับทางค่ายเพลง มิวสิก บั๊กส์ และวางจำหน่ายอัลบั้มชุดที่ 1 ละอ่อน ในปี 2540 และ อัลบั้มชุดที่ 2 เทพนิยายนายเสนาะ ในปี 2542 หลังจากนั้นสมาชิกวงก็ได้แยกย้ายกันไปเรียนต่อ และในเวลาต่อมา ตูนกับเพื่อนที่เหลือได้ก่อตั้งวงใหม่ขึ้นในชื่อ บอดี้แสลม
5. ตูน บอดี้สแลม เป็นแฟนบอลสุพรรณบุรีเอฟซี และทอตนัมฮอตสเปอร์ ชื่นชอบในการเล่นฟุตบอล ปั่นจักรยาน  เทเบิลเทนนิส วิ่ง รวมถึงยังเคยลงแข่งขันไตรกีฬาอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2557 ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 42 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเข้าร่วมทีมเทเบิลเทนนิสของจังหวัดเจ้าภาพ และเป็นตัวแทนนักกีฬากล่าวคำปฏิญาณตนในพิธีเปิดด้วย
6. มาที่เรื่องราวของรอยสักกันบ้าง ตูน บอดี้แสลม สักลายหมูป่า บริเวณหน้าอกด้านขวา และหัวไหล่ ต้องบอกว่าขนาดสักมานานแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมีหนุ่มๆ หลายคนสักตามลายของ ตูน บอดี้สแลม อยู่เลย
7. ด้านความรัก ตูน คบหาดูใจกับนักแสดงสาว ก้อย รัชวิน เป็นระยะเวลาพอสมควร โดยทั้งคู่มักจะทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอยู่เสมอ โดยล่าสุด หนุ่ม ตูน บอดี้สแลม ได้ วิ่งมาราธอนการกุศล 10 วัน 400 กม. จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในโครงการ 'ก้าวคนละก้าว' ในวันที่ 1 – 10 ธันวาคม 2559 นี้ เพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลนให้โรงพยาบาลบางสะพาน ล่าสุดเดินทางเข้าเขต จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้ว โดยตลอดทางมีแฟนเพลงให้กำลังใจและร่วมบริจาคเงินสมทบจำนวนมาก
(เครดิตข้อมูลและภาพจาก sanook.com, teen.mthai.com)


บทวิเคราะห์โดย บล็อกหยิกแกมหยอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น