วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

10 พฤติกรรมน้ำเน่าของนักการเมืองไทย (วงจรอุบาทว์ของนักการเมืองประเทศสาระขัณฑ์)

10 พฤติกรรมน้ำเน่าของนักการเมืองไทย ที่เข้ามาปกครองประเทศ มักทำกันเวลาเป็นรัฐบาล (วงจรอุบาทว์ของนักการเมืองประเทศสาระขัณฑ์)



1.ตั้งรัฐบาลโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกประชาชน คือเห็นโผ ครม.แล้วต้องร้องยี้ แบบที่เรียกว่า ตั้งคนไม่เหมาะสมกับงาน หรือไม่เหมาะกับความรู้ความสามารถ โดยชอบอ้างความเหมาะสม

2.งานแรกของการเข้ามาเป็นรัฐบาลก็คือ ต้องแก้รัฐธรรมนูญ (คือถ้ารัฐธรรมนูญมันพูดได้ มันก็คงบอกว่า กูผิดอะไรเนี่ย เอะอะ จะแก้กูอยู่นั่น ทุกยุคทุกสมัย) ของมันดีอยู่แล้ว แต่หากมันมีกฏหมายใดมาขวางการใช้อำนาจของตน ก็จะหาทางแก้หรือปรับเปลี่่ยน โดยยุคหลังนิยมฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แล้วร่างใหม่ โดยหาความชอบธรรมด้วยการ ให้มีการลงมติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างเสร็จแล้ว โดยที่คนที่ร่างรัฐธรรมนูญคือกลุ่มคนเดิมๆ หน้าเก่าๆ ตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหา ประชาชนไม่เคยมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ หรือเป็นคนกำหนดกรอบโครงสร้างแต่อย่างใด

3.ข้ออ้างในการเข้ามาเป็นรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ลำดับแรกมักจะอ้างเรื่องการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลก่อน และตามมาด้วยการโยกย้ายข้าราชการ โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ทำให้รัฐบาลใหม่ทำงานสะดวก ราบรื่น เพราะข้าราชการชุดเดิมเป็นคนของรัฐบาลก่อน หรือไม่สนองนโยบาย เกียร์ว่างกันบ้าง คือ ข้าราชการเป็นอาชีพที่เล่นเก้าอี้ดนตรีมากที่สุดของประเทศนี้ แต่พยายามจะไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลตัวเอง โดยชอบพูดว่า ถ้ามีหลักฐานก็เอามาให้ดู จะไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ใหญ่ขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยมีขบวนการคิดที่จะเล่นงานไอ้คนใหญ่คนโตเหล่านี้ได้เลย เพราะเป็นบิ๊กเนมผู้มีอำนาจใกล้ตัว หรือเป็นคนที่จัดตั้งรัฐบาลนั่นแหละ จึงเข้าอิหรอบ ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเองอยู่ร่ำไป

4.พอทำงานไปซักระยะ จะถูกติดตามตรวจสอบจากสื่อในทุกเรื่อง ทุกโครงการของรัฐบาล จนรัฐบาลรู้สึกอึดอัดที่ถูกจับตาและจับผิด สิ่งที่รัฐบาลมักทำก็คือ
-มุกทะเลาะกับสื่อ อ้างว่าสื่อถามคำถามไม่สร้างสรรค์ หรือมักตั้งคำถามชี้นำ หรือใส่ความรัฐบาล
-มักอ้างว่ารัฐบาลทำงานหนัก กว่าผลงานจะปรากฏ ต้องใช้ระยะเวลา หรือขอเวลาให้รัฐบาลทำงานก่อน อย่ามาจี้ หรือใจร้อน

5.พอสื่อขุดคุ้ย นักวิชาการออกมาติง กระแสเรื่องราวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริต หรือการทำงานของรัฐที่ผิดพลาดมากขึ้น รัฐบาลโดยผู้นำรัฐบาล จะออกมาเกรี้ยวกราดใส่สื่อ เกิดความไม่พอใจสื่อนั้น สื่อนี้ ที่คอยขุดคุ้ย วิเคราะห์เจาะลึก นำเสนอ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาลแบบเกาะติด สาวไส้อย่างตรงไปตรงมา เกิดอาการงอนสื่อ ในบางรัฐบาลถึงกับแทรกแซงการทำงานของสื่อ สั่งปิดสื่อ หรือกลั่นแกล้งไม่ให้สื่อนั้นเข้าทำเนียบ หรือตัดงบโฆษณา ที่เคยลงในสื่อนั้นออก สรุปคือสื่อคือคนผิด? เวลามีข่าวเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับรัฐบาล หรือบ้านเมือง

6.พอไม่มีผลงานหนักๆ เข้า หรือผลงานไม่เข้าตาประชาชน

-ด้านเศรษฐกิจ จะโทษเศรษฐกิจโลกหรือต่างประเทศเป็นต้นตอที่ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศไม่ดีไปด้วย และมักแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ด้วยการแจกเงินประชาชน เพราะคิดอะไรไม่ออก แจกเงินคนจน ง่ายดี (ซึ่งเป็นประชานิยม ประชารัฐ หรือประชาสงเคราะห์ แล้วแต่จะใช้คำอะไร ก็อีหรอบเดียวกัน)
-ด้านการเมือง จะโทษนักการเมืองเก่า หรือรัฐบาลก่อนหน้า ว่าเป็นคนสร้างปัญหาเอาไว้ ให้ตนมาแก้ไข จึงยาก แล้วในบางรัฐบาลถึงกับกลาวว่า เป็นเพราะประชาชนโง่ เลือกนักการเมืองแบบเก่าๆ เข้ามา สร้างปัญหา โดยไม่มองตัวเองว่าก็ไม่ต่างกัน
-ด้านสังคม เวลามีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งในสังคม ข่าวอาชญากรรมในสื่อมากมาย จะโทษอิทธิพลของภาพยนตร์/ละครทางทีวี หรือละครน้ำเน่า เป็นต้นตอที่ทำให้คนในสังคมเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ซึ่งในความเป็นจริงคนที่ก่ออาชญากรรมโดยอ้างว่าได้รับอิทธิพลมาจากการดูละครหรือภาพยนตร์มีน้อยมาก ส่วนใหญ่มันเลวโดยสันดาน หรือตั้งใจที่จะก่ออาชญากรรมอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่หยิบยืมวิธีการจากภาพยนตร์หรือละครมาใช้เท่านั้น

7. ซื้อเวลาด้วยการปรับ ครม.ก่อน ในด่านแรก (ด้วยหน้าตาของโผ ครม.ใหม่ที่อาจจะหน้าตาดีกว่าเดิม แต่ประชาชนยังคงร้องยี้เหมือนเดิม) สาเหตุมักมาจากโพลสำรวจความนิยมชี้ว่าความนิยมในตัวรัฐบาลหรือผู้นำตกต่ำลง ไม่มีผลงาน หรือมีข่าว กระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลมากมาย แต่การปรับคณะรัฐมนตรีที่ได้ใหม่นี้ ยังคงเอาคนที่ไม่เหมาะสมกับงาน หรือความรู้ความสามารถมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเงื่อนไขในการปรับครม.นั้น แท้ที่จริงก็คือ การสับเปลี่ยนเพื่อคานอำนาจกันภายในมุ้ง เนื่องจากมีการเลื่อยขาเก้าอี้ หรือแทงข้างหลัง พร้อมที่จะทิ้งลำเรือรัฐนาวากัน หรือกลุ่มก้อนที่มีหลายกลุ่มที่หนุนหลังการจัดตั้งรัฐบาลนั่นเอง หรือ ปรับ ครม.ตามที่เคยให้สัญญากันไว้ ไม่ได้ปรับเพราะคำนึงถึงประชาชน หรือเพื่อสร้างผลงานใหกับประเทศชาติหรือประชาชนอย่างแท้จริง

8.เริ่มสร้างอีเว้นต์ เดินสาย เยือนต่างประเทศ หรือมีผู้นำจาก ตปท.มาเยือน จะออกข่าวใหญ่โต สร้างเครดิตด้วยการไปกล่าวปาฐกถา ตามงานซัมมิท มีทติ้ง ในเวทีสากลระดับโลก หรือเวทีสัมมนาในประเทศ สร้างภาพลักษณ์ ด้วยการมีซีนโชว์กึ๋น โชว์วิสัยทัศน์ ตามมาด้วยโปรเจ็คท์ขายฝัน เมกะโปรเจ็คท์ ที่จะผลาญเงินงบประมาณ สร้างหนี้สาธารณะในระยะยาว เพื่อสนอง need สนองกึ๋นตนเองว่าเป็นผู้นำที่มองการณ์ไกล สร้างอนาคต (หนี้บานตะไท) ไว้ให้ลูกหลาน

9.พอปลายรัฐบาล (ช่วงขาลง) เมื่อทำทุกอย่างแล้วไม่ได้ผล ก็จะงัดไม้เด็ด ที่จะเอาชนะใจ เอาคะแนนจากประชาชน ด้วยการออกมาพูดว่าจะปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ, ปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ อย่างจริงจัง (ซึ่งก่อนหน้านี้ อยู่มาจวนจะสิ้นรัฐบาล พูดให้ตายยังไง ก้นก็ไม่ขยับ ไขลานหยอดน้ำมันก็แล้ว ก็ยังเข้าเกียร์ว่าง เดินถอยหลังอยู่เป็นประจำ แต่พอมาช่วงนี้ จะขมีขมันออกข่าวเรื่องการปฏิรูปอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ไม่วายซื้อเวลาต่ออีก ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษางาน หรือตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาเพื่อทำงาน ทั้งๆ ที่ ถ้าตั้งใจจะปฏิรูปจริง มึงควรผ่านพ้นช่วงเวลาศึกษางานไปนานแล้ว และมันเป็นช่วงที่ต้องรื้อ ต้องลงมือทำเลย มิใช่ตั้งคณะกรรมการบ้าบอคอแตกอะไรอีก ขึ้นมาทำงาน แถมคนที่ตั้งมายังเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่อยู่ในปัญหาเองนั่นแหละ หาใช่คนที่อยู่วงนอก หรือภาคประชาชน นักวิชาการที่รู้จริงเรื่องปัญหามาทำงานหรือทำหน้าที่ปฏิรูปแต่อย่างใด สรุปคือซื้อเวลาต่อจนวินาทีสุดท้ายของรัฐบาล เพื่อจะได้จบรัฐบาลไปก็ยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลย เหมือนเดิม

10.ปลายรัฐบาลของจริง ทนเสียงโห่ไล่ โพลทุกโพลรวมหัวกันขยันทำกันจัง ออกมาชี้ว่า หมดความนิยม กระแสขาลงเต็มที่ เสียงยี้ เสียงกร่นด่าเต็ม 2 รูหู งัดไม้ตาย กลยุทธ์สุดท้าย เพื่อซื้อใจประชาชนหนสุดท้าย ด้วยการเดินสาย ประชุม ครม.สัญจร ไปตามต่างจังหวัด เพื่อให้ดูเหมือนรัฐบาลเข้าถึงประชาชน เป็นรัฐบาลติดดิน ลงไปรับฟังปัญหา แก้ไขปัญหาให้ประชาชนถึงถิ่น (แต่ทำไมมึงคิดช้า ทำช้าขนาดนี้ อยู่จนคนเขาโห่ไล่แล้ว ค่อยลงไปโอ๋ เอาใจเขา) ยังจำโมเดลอาจสามารถ ของรัฐบาลทักษิณได้มั๊ย และแล้วรัฐบาล คสช.ก็เลียนแบบเขาบ้าง ครม.สัญจรโคราชและภาคอีสาน (ภาคอีสานจะเป็นสมรภูมิที่นักการเมืองจะไปทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ขอคะแนนสงสาร และพูดตอแหลให้ฟังมากที่สุด สงสารคนอีสานที่สุด)  เพราะเห็นว่าทักษิณทำแล้วได้ผล ทางที่ดี ควรมีซีน กินไก่โชว์ นั่งช้าง ทำพิธีไสยศาสตร์ต่อกรรม ต่อดวงชะตาด้วย นะท่านผู้นำ ถึงจะครบสูตรสำเร็จ

ต่อคำถามที่ว่า แล้วรัฐบาลนี้กระแสความนิยมจะลดลงเหมือนที่โพลเขาทำสำรวจมาจริงเหรอ ก็ดูว่า รัฐบาลนี้มีพฤติกรรมอะไรที่มันต่างจากนักการเมืองเก่า ที่ตนเองไปทำรัฐประหารมาบ้างหล่ะ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในพฤติกรรมของรัฐบาลอยู่แล้ว 

โอ้ มายกอด , โอละพ่อ , เอวัง ด้วยประการฉะนี้







บทวิเคราะห์โดย หยิกแกมหยอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น