วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อเมริกันอันตราย ตอนที่ 2 โจทก์เก่ายังไม่จบไป โจทก์ใหม่กำลังตามล่า

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศอเมริกานั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นตำรวจโลกหรือขาเผือกมานับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งพัฒนาการนั้นเริ่มจากการที่อเมริกาเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยมีความชอบธรรมที่จะเข้ามาจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นผู้วางกรอบหรือกฏเกณฑ์การเมืองระหว่างประเทศ หรือเล่นบทพระเอก กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ ขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 1 ฝั่งประเทศโลกเสรีนิยม โดยมีประเทศเครือบริวารก็คือฝั่งยุโรปตะวันตก และประเทศที่พัฒนาแล้วเกือบทั้งหมด และเป็นอริหรือปรปักษ์กับประเทศสหภาพโซเวียด (ในยุคสงครามเย็น) ซึ่งเป็นผู้นำอันดับ 1 ฝั่งประเทศโลกสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) องค์กรอย่าง C.I.A  (Central  Intelligence Agency) ก็ถือกำเนิดในยุคนี้ ซึ่งเป็นองค์กรอันตราย คอยเผือกเรื่องชาวบ้าน ทั้งหาข่าว สืบข่าว แกะรอย ดักฟัง ตามล่า จับกุม ล่าหัว ล่าสังหาร บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ คล้ายๆ เป็นเครื่องมือหรือเป็นมือเป็นไม้ ในการปฏิบัติการทางลับให้อเมริกานอกราชอาณาจักร  (ถ้ามีเวลาจะเขียนเรื่องความชั่วของ C.I.A แยกออกมาเป็นตอนพิเศษ ขอดูเวลาก่อน)

โจทก์เก่าของสหรัฐ มีใครกันบ้าง

-ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โจทก์เก่าก็คือประเทศฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นต้น

-ยุคสงครามเย็น โจทก์เก่างอกขึ้นมาเพียบเลย ได้แก่ ประเทศในเครือสหภาพโซเวียด (ซึ่งส่วนใหญ่คือประเทศโลกคอมมิวนิสต์) เช่น โซเวียดและประเทศในเครือสหภาพโซเวียด,ประเทศแถบยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์,ยูโกสลาเวีย,เชคโกสโลวาเกีย (ปัจจุบันแยกเป็นหลายประเทศแล้ว) ประเทศในกลุ่มอาเซี่ยน อาทิ เวียดนาม,กัมพูชา ประเทศแถบลาตินอเมริกาบางประเทศ อาทิ คิวบา,เวเนซูเอล่า,โคลอมเบีย  ประเทศในแถบตะวันออกกลางบางประเทศ อาทิ อิรัก,อิหร่าน,ซีเรีย,เยเมน,อัฟกานิสถาน เป็นต้น ประเทศในแถบแอฟริกา อาทิ ลิเบีย,โซมาเลีย เป็นต้น

-ยุคจัดระเบียบโลกใหม่  ยุคนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ ปธน.กอร์บาชอฟของโซเวียด เชื่อในคำหวานของสหรัฐให้ทลายระบอบอำนาจจากคอมมิวนิสต์เป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดการแยกสลายสหภาพโซเวียดออกเป็นรัฐอิสระหลายๆ ประเทศ คงเหลือแต่เพียงรัสเซีย และแยกรัฐบริวารออกไปเป็นรัฐอิสระ มากมาย อาทิ อุซเบกิสถาน,ยูเครน,คาซัคสถาน,ทาจิกิสถาน เป็นต้น และเกิดการทลายกำแพงกรุงเบอร์ลินที่แบ่งแยกเยอรมันออกเป็นตะวันตก กับตะวันออก เกิดการรวมประเทศเยอรมันตามมา ยุคนี้ อเมริกาพยายามขายอุดมการณ์ประชาธิปไตย ควบคู่กันไปกับคำว่า โลกาภิวัฒน์ เพื่อให้ทุกประเทศเปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตย และเปิดประเทศให้เป็นทุนนิยม เพื่ออเมริกาจะใช้ทุนของตนที่ใหญ่กว่าเขมือบประเทศเหล่านั้นโดยง่าย ซึ่งระบบตลาดทุนของอเมริกาตอนนั้นกำลังเติบโตเต็มที่ อเมริกาใช้ทุนเป็นเครื่องมือหรืออาวุธในการล่าอาณานิคม เนื่องจากหมดยุคสงครามเย็น ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดสงครามแบบใช้อาวุธเข่นฆ่ากันแล้ว กลยุทธ์ใหม่จึงเปลี่ยนมาทำสงครามเศรษฐกิจแทน และเครื่องมือหรืออาวุธที่ได้เปรียบที่สุดก็คือ ทุน ซึ่งอเมริกามีความได้เปรียบสุด ณ ตอนนั้น จีนยังไม่ได้เปิดประเทศ และพอในปลายยุคนี้ จีนได้เปิดประเทศออกสู่โลก โดยใช้นโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ ก็คือ ยังคงใช้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่ใชระบบเศรษฐกิจควบคู่กันไประหว่างระบบเศรษฐกิจแบบผูกขาดควบคู่กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ตามแบบสากล เป็นกุศโลบายและมีวิสัยทัศน์ของเติ้งเสี่ยวผิง (แมวจะสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้) และการมาของจีนครั้งนี้ ทำให้จีนแผ่รัศมีความยิ่งใหญ่จนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเบอร์ใหม่ ควบคู่กับประเทศเกาหลีเหนือที่ก้าวขึ้นมาเป็นโจทก์ใหม่ แบบแพ็คคู่ของสหรัฐอเมริกา

โจทก์ใหม่ของสหรัฐ มีใครกันบ้าง ก่อนอื่นต้องบอกว่า โจทก์เก่าๆ ของสหรัฐอเมริกายังคงเดิม ที่เพิ่มเติมคือโจทก์ใหม่ๆ ที่หน้าตาจิ้มลิ้ม พริ้มเพรา เหลือเกิน อาทิ กลุ่มไอซิส จีน เกาหลีเหนือ กลุ่มประเทศมุสลิมอีกหลายประเทศ

-ยุคก่อการร้าย ได้แก่ บรรดาองค์กรหรือกลุ่มก้อนที่ไม่ใช่รัฐชาติ แต่กลายเป็น กองกำลังที่ไม่สังกัดรัฐบาล อาทิ กลุ่มอัลกอฮิดะห์ (กลุ่มอัลเคด้า), กลุ่มไอเอส (ไอซิส) ,กลุ่มตาลีบัน, กลุ่มฮิสบัลเลาะห์, กลุ่มโบโกฮาราม ,กลุ่มกองโจรแถบโซมาเลีย หรือ โลนวูฟล์ ต่างๆ เป็นต้น

-ประเทศที่เคยเป็นมิตรกลายเป็นศัตรู ส่วนประเทศที่เคยเป็นศัตรูกลับกลายเปลี่ยนเป็นมิตร เพียงเพราะผู้นำคนใหมมีแนวคิดที่เปลี่ยนไป หรือผลประโยชน์ขัดกัน อาทิ ประเทศที่เคยเป็นมิตรในอดีต กำลังเปลี่ยนเป็นศัตรูได้แก่ ฟิลิปปินส์,ซาอุดิอาระเบีย และประเทศที่เคยเป็นศัตรูกำลังเปลี่ยนเป็นมิตร อาทิ คิวบา,เวียดนาม,อิหร่าน เป็นต้น

ที่กล่าวมาคือโจทก์ ที่แปลว่า ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐอเมริกา แต่ทีนี้มาดู โจทย์ที่แปลว่าปัญหาหรือประเด็น,วาระ ที่สำคัญต่อประเทศสหรัฐอเมริกา หลักๆ เลยก็คือปัญหาด้านเศรษฐกิจภายในประเทศของเขาเอง ตั้งแต่ปัญหาการว่างงาน,ปัญหาเรื่องการที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากพิษเศรษฐกิจเรื้อรังนับแต่ช่วงแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส, ปัญหาเรื่องหนี้ (ทั้งหนี้สาธารณะจำนวนมากสุดในโลก กว่า 26 บิลเลียนดอลล่าร์สหรัฐ,ปัญหาการก่อหนี้จากการที่ไปก่อสงคราม ได้แก่ สงครามในตะวันออกกลาง ทั้งสงครามอิรัก,อัฟกัน,และในซีเรีย) ปัญหาการขาดดุลการค้า และดุลการชำระเงินมหาศาล อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจจีดีพีไม่โตมานาน บวกกับระดับราคาน้ำมันลดลงในช่วงหลายปีมานี้ รวมถึงตลาดทุนซบเซาทั่วโลก อเมริกามีหนี้สินล้นพ้นตัว จนจัดว่าน่าจะเป็นประเทศที่ควรล้มละลายได้นานแล้ว (ที่ผ่านมายังอยู่ได้เพราะพิมพ์แบ็งค์โดยไม่ต้องใช้ทุนสำรองค้ำประกันการพิมพ์แบ็งค์ธนบัตร) อาศัยความเป็นมหาอำนาจ และผู้นำในโลกเสรีและทุนนิยม กลยุทธ์ที่เขาใช้แล้วได้ผลก็คือ ใช้ตราสารทางการเงินดูดซับเงินจากทั่วโลกเพื่อเสริมความมั่งคั่งของเขา เช่น ออกบอนด์ (พันธบัตรรัฐบาล) ขายให้กับธ.ชาติของทั่วโลก,ใช้เงินดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของทั่วโลก (ตอนนี้จีนกับรัสเซีย รู้ทันและไม่ใช้เงินดอลล่าร์,ไม่สะสม,ไม่นำเป็นทุนสำรองแล้ว โดยหันมาใช้เงินหยวนกับรูเบิล แลกเปลี่ยนซื้อขายกันแทน) อเมริกาอาศัยความได้เปรียบในทรัพยากรของตลาดทุน ในการหากินกับตลาดทุนทั่วโลก โดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า กงอทุน Hedge Fund (กองทุนอีแร้ง) เที่ยวโฉบไปลงทุนเก็งกำไรในตลาดทุนที่สำคัญ เปิดใหม่ทั่วโลก ไล่ราคาเก็งกำไร หลังจากนั้นก็จะทุบขายเอากำไร และบินหนีออกไป โดยไม่มีตลาดทุนไหนทำอะไรได้ ควบคู่ไปกับการออกนวัตกรรมตราสารทางการเงินแปลกๆ ใหม่ๆ อาทิ ตลาดฟิวเจอร์,ออฟชั่น,ฟอร์เร็กซ์,ตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า,ทองกระดาษ,ยาง,พืชผลเกษตรบางตัว,เหล็ก,ดีบุก,เงิน,สินแร่ต่างๆ ฯลฯ เคยมีนักวิเคราะห์หลายท่านบอกตรงกันว่า อเมริกาไม่มีทางชำระหนี้ที่มหาศาลขนาดนี้ได้ด้วยเงินงบประมาณที่มีอยู่ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า ชาติไหนๆ ได้หมดหรอก ยกเว้นการก่อสงครามใหญ่ ให้เกิดขึ้น เนื่องจากจะสามารถขายอาวุธได้ขนานใหญ่ (อเมริกาเป็นประเทศผู้ผลิตและขายอาวุธรายใหญ่) การก่อสงครามนอกจากจะขายอาวุธได้ หากรบชนะยังได้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นผลตอบแทน และประเทศผู้แพ้สงครามต้องรับกรรมเป็นผู้จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม เศรษฐกิจทั่วโลกจะล่มสลาย ทำให้ชะลอการชำระหนี้หรือตัดเป็นหนี้สูญหรือนำค่าความเสียหายมาหักลบกลบกันได้ หรือต้องการ set zero หรือหักล้างหนี้กันไปทั้งสองฝ่าย นี่คือสาเหตุนึงที่ทำให้อเมริกามักอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งในหลายๆ ประเทศทั่วโลก จนก่อให้เกิดการสู้รบทำสงคราม เหตุใดอเมริกาเป็นตำรวจโลก จึงไม่เคยทำหน้าที่ของตำรวจเลย เคยเห็นบทบาทอเมริกาในการจับผู้ร้ายได้แล้วให้ไปขึ้นศาลโลกมั๊ย (มีกรณีของปธน.สโลโบตัน มิโลเซวิช ผู้นำยูโกสลาเวียที่โดนข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซิร์บ และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แต่ระหว่างติดคุกรอการพิจารณาคดีก็มาตายอย่างเป็นปริศนา และกรณีของซัดดัม ฮุสเซน ที่โดนจับตัวได้ก็ถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่กรณีซัดดัม ฮุสเซนถูกปรักปรำว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งๆ ที่ประเทศอิรักไม่มีนิวเคลียร์เลยซักลูก แต่ไปบอมบ์ประเทศเขาจนบัดนี้กลายเป็นประเทศยากจน ล่มสลาย ยังไม่ฟื้นเลย เป็นการหาเรื่อง หาแพะให้อิรัก จากกรณีเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอัลกอฮิดะห์ที่ไปก่อการร้ายตึกเวิลด์เทรด และกล่าวหาว่าอัฟกันให้ที่ซ่อนบิน ลาเดนและอิรักให้การสนับสนุนอยู่ แต่ประเด็นที่ใช้เป็นเหตุไปถล่มเขาก็คืออ้างว่าอิรักแอบมีนิวเคลียร์) นอกนั้นประเทศที่เป็นคู่กรณีกันในโลกนี้ อเมริกาไม่เคยทำตัวเป็นตำรวจ จับคู่กรณีแยกกัน ห้ามสู้รบกัน ตำรวจมาแล้ว จับหัวโจก ของ 2 ฝ่ายไปขึ้นศาลโลก ไม่มีเลย นอกจากจะไม่มีแล้ว ยังทำตัวเป็นคนคอยเสี้ยมอยู่ข้างหลัง หรือเป็นแบ็กให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างออกนอกหน้าอีกด้วย กรณีของบิน ลาเดนนั้นถูกศาลเตี้ยปลิดชีพโดยฝีมือ C.I.A. 
  

การที่อเมริกาจะได้ ปธน.คนใหม่ไม่ว่จะเป็นฮิลลารี คลินตันหรือโดนัลด์ ทรัมป์ จึงไม่มีอะไรที่ดีขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ (ยกตัวอยางโอบาม่า เคยหาเสียงว่าจะ change อเมริกาให้ได้ แต่อยู่มา 2 สมัย ไม่สามารถจะ change ให้ประเทศตัวเองและโลกดีขึ้นเลย แม้แต่กรณีเดียว ยก ต.ย.เรื่องจะถอนกองกำลังออกจากอิรักและตะวันออกกลาง แต่ทันทีที่ถอนกองกำลังจากอิรัก ก่อให้เกิดกลุ่มไอซิสขึ้นมา และความวุ่นวายในตะวันออกกลางก็เกิดขึ้นภายหลังสหรัฐลดกองกำลังลง พอมีเหตุสงครามกลางเมืองในซีเรีย นอกจะจะไม่ทำตัวเป็นตำรวจโลกคอยห้ามทัพ ยังเข้าไปมีส่วนอยู่เบื้องหลังกลุ่มกบฏที่ต่อต้านอำนาจ ปธน.อัลซาร์ อัล อัดซัด อีกด้วย เพราะอัดซัดไม่ลงให้กับสหรัฐ แต่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับรัสเซีย)  หากฮิลลารี คลินตันขึ้นมา นโยบายเขตเศรษฐกิจแบบ TPP ที่โอบาม่าได้ทำไว้ เธอก็คงไม่ยกเลิก และเผลอๆ จะเดินหน้าต่อและทำมากขึ้นอีกด้วย ต่อกรณีความลับลมคมในของฮิลลารี ต่อกรณีทูตสหรัฐที่ลิเบีย ถูกระเบิดพลีชีพสังหารตายในลิเบีย ยังคงเป็นความลับว่าเธอไปทำอะไร ให้เกิดเหตุนั้นขึ้น แล้วฮิลลารียังไม่สามารถพูดความจริงในเรื่องนี้กับชาวโลกได้ และกรณีอีเมลล์ฉาวที่เธอถูกโจมตีว่าไม่เหมาะควร นอกเหนือจากนี้มีคนบอกว่าเธออำมหิตกว่าผู้นำที่เป็นผู้ชายมากนัก ถ้าเธอขึ้นมาเป็น ปธน.สหรัฐไม่มีอะไรที่จะมารับประกันได้ว่าสงครามในซีเรียจะยุติได้ โดยสหรัฐไม่เข้าไปเผือก ในขณะที่ถ้าอเมริกาได้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นปธน.สหรัฐ ขวบปีแรกเขาก็คงสาละวนกับการแก้ปัญหาภายในก่อน ตามที่ได้เคยสัญญาหาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างงานให้คนสหรัฐ ต่อรองผลประโยชน์ให้สหรัฐได้เปรียบ เน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ลดงบประมาณทางการทหารลง ซึ่งคงจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเบื้องหลังของเขาก็คือพรรคริพับลิกัน ซึ่งมีพวกสายเหยี่ยวอยู่เยอะ และเบื้องหลังของเบื้องหลัง คือใหญ่กว่ารัฐบาลสหรัฐก็คือ องค์กรที่เรียกว่า C.F.R พวกนี้คือกลุ่มทุนชาวยิวที่ทรงอำนาจอยู่เบื้องหลังรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย คอยบงการยุทธศาสตร์สำคัญของอเมริกาในทุกเรื่องทั่วโลก (รายละเอียดเรื่องของ C.F.R. หาอ่านได้ในบทความนี้ที่ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ http://yikgamyok.blogspot.com/2015/11/20-13-13.html?zx=aec824ed1c7e415f  )  และเป็นตัวชี้ขาดยุทธศาสตร์ทั่วโลกให้เดินไปตามแผนที่ตัวเองวางเอาไว้ เป็นตัวเดินหมาก คุมเกม ทั้งผลประโยชน์และชี้ชะตาคนทั่วโลก ให้อยู่ในกำมือเขาอีกด้วย ทรัมป์หรือฮิลลารี จึงต้องเล่นไปตามเกมหรือบทบาทที่เขาวางเอาไว้เท่านั้น ไม่มีใครจะมาหักหรืองอกับองค์กรนี้ได้หรอก ใครจะมา ผู้เขียนจึงไม่เห็นว่าบทบาทของอเมริกาจะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันนี้เลย มีแต่จะหนักข้อขึ้นเท่านั้น เค้าลางของสงครามโลกใกล้มาถึงแล้ว จากกรณีล่าสุดที่โอบาม่าเจรจากับปูติน ขอให้ทำข้อตกลงหยุดยิงในซีเรีย แต่พอตกลงกันได้ ผ่านไปไม่กี่วัน ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งจากเครื่องบินลงตรงที่อยู่ของประชาชนชาวซีเรีย และรถขนส่งเสบีบงอาหาร เวชภัณฑ์และยารักษาโรค คนตายบาดเจ็บเพียบ แม้แต่โอบาม่าก็ไม่ทราบว่าใครสั่งให้ทิ้งระเบิด พอรู้ว่าใครเป็นผู้บงการ (กองทัพสหรัฐ) ก็น้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่โบ้ยความผิดไปให้รัสเซียว่าเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน ทำให้อเมริกาต้องลงมือ รัสเซียถึงกับอึ้ง เพราะรัสเซียไม่ได้ทำอะไรเลย แต่อเมริกาต่างหากที่อยู่ดีๆ ก็กลืนน้ำลายตัวเอง กระทำการฝืนข้อตกลงทิ้งระเบิด และคนตายเป็นผู้บริสุทธิ์มิใช่คนร้ายที่อเมริกาอ้างว่าเป็นพวกกลุ่มไอซิส พออเมริกาใส่ร้าย รัสเซียจึงต้องเอาภาพถ่ายจากดาวเทียมมายืนยันว่ามีรถต้องสงสัยวิ่งผ่านมาตรงบริเวณนี้ก่อนเกิดเหตุทิ้งระเบิด และพอขยายภาพถ่ายทางอากาศดู ก็โป๊ะแตกขึ้นมาว่ากองบัญชาการที่อ้างว่าเป็นกองบัญชาการของกลุ่มพวกไอซิส ทำไมมีทหารของซาอุดิอาระเบียและสหรัฐและพวกนาโต้อยู่กันเต็มเลย นี่เป็นการฉีกหน้าสหรัฐได้อยางแสบสันต์และแสบทรวงที่สุด แต่ไม่มีข่าวหรือสื่อของฝ่ายตะวันตกเล่นข่าวนี้เลย ทำให้ชาวโลกไม่รู้ว่าที่แท้แล้วอเมริกานี่แหละอยู่เบื้องหลังกลุ่มกบฏและกองกำลังไอซิสในสงครามกลางเมืองในซีเรีย ยังมีหน้ามาพูดอ้างว่าอยากเห็นสันติภาพของโลกให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะในซีเรีย เล่นตีสองหน้าอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวตอนหน้าจะมาพูดถึงคำพยากรณ์ในเรื่องสงครามโลกครั้งที่  3 กัน ว่ะจะมีอะไรที่ใกล้เคียงความเป็นจริงบ้าง    

หยิกแกมหยอก วิเคราะห์และเรียบเรียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น