วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 แนวหนังผีที่น่ากลัวที่สุด

 

1.ผีมีอิทธิฤทธิ์มาก และเป็นตัวเดินเรื่องหลัก   เช่น   Freddy ใน A Nightmare on Elm Street, ไอ้หัวตะปู ใน Hellraiser

 

2.หนังแนวบ้านผีสิง หรือมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ในบ้าน   เช่น The Amityville horror ,The Haunting , ลัดดาแลนด์ , Sinister, Insidious ,The Woman in Black  , An American Huanting , My House , The Haunting in Connecticut
 
 
3.เล่นกับความกลัว,สถานที่แคบๆ จำกัด หรือแนวจิตวิทยา อาทิ Phycho, The Exorcist ,Kairo (Pulse) ,1408 ,ตู้ซ่อนผี A Tale of Two Sisters, โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต ,ผีช่องแอร์

 
4.ผีที่สิงอยู่ตามพวกตุ๊กตาเด็ก หรือเด็กทารก หรือสิงอยู่ในสิ่งอื่นๆ  เช่น  Amen, The Conjuring, Poltergeist , Magic ,Trilogy of Herror,  Child’s Play, May,  Puppet Master, Dolly Dearest,  Dead Silence และ Annabelle , The Possession , Audrey Rose
 

 5.ผีดิบคืนชีพ,ซอมบี้,แวมไพร์  (แนวๆ นี้มีเยอะมาก)  อาทิ  Evil Dead, Dracula, The Walking Dead, 28 Days later , Dawn of The Dead,  Jason ใน Friday, Haloween, The Wolf, The Lost Boy
 

 6.ผีที่ผูกพันกับคนในบ้านหรือครอบครัว ติดตามคนในครอบครัว  เช่น The Ring, Ju-On (The Grudge) ,แม่นาคพระโขนง, เปนชู้กับผี ,Shutter, บอดี้ศพ 19

 

8.ผีอาฆาตมาดร้าย ตามเอาชีวิตคนที่ฆ่าตนเอง หรือเป็นตำนานบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น Sleepy Horror,

 9.ผีที่ไม่รู้ว่าตนเองตายแล้ว หรือมีจิตสัมผัส มองเห็นผีได้  เช่น   The Others, The Six Sense, The Eye ,

 

10.ผีเรียลลิตี้,ถ่ายทำออกมาเสมือนเหตุการณ์จริง ล่อหลอกคนดู  อาทิ The Blair Witch Project, Paranormal Activity 

 
 
 
ตัวอย่างหนังผีของคนไทย ที่กำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ 2 เรื่องล่าสุด
 
 
 

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (12) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 12


เรื่องที่ 12  สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ ปฏิบัติการพายุทะเลทราย

สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า สงครามอ่าว (Gulf War) หรือที่รู้จักกันว่า สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่หนึ่ง, ส่วนสงครามอิรักครั้งที่ 2 ที่ถูกเรียกกันด้วยความเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติการพายุทะเลทราย (สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 2) ซึ่งเป็นชื่อของปฏิบัติการเพื่อการรับมือทางทหาร เป็นความขัดแย้งทางทหารที่เริ่มโดยกองกำลังผสมจาก 34 ประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นผู้ดูแล กับอิรักและรัฐบาลร่วมที่ต้องการขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตหลังจากที่อิรักเข้ายึดครองคูเวต ในเดือนสิงหาคมปี 1990

กลับมาสู่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 เรื่องมันเกิดจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำของประเทศอิรัก ในขณะนั้นประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) ของอิรัก ต้องการบุกยึดครองประเทศคูเวต เนื่องจากเป็นทั้งประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของตนและยังมีบ่อน้ำมันดิบขนาดใหญ่อยู่มาก จึงใช้ข้ออ้างการที่คูเวตผลิตน้ำมันจนเกินโควตาของกลุ่มโอเปก ทำให้ระดับราคาน้ำมันโลกลดลง บวกกับการที่คูเวตแอบลักลอบสูบน้ำมันจากเขตรูเมียลาในอิรักอีกด้วย ดังนั้น ปธน.ซัดดัม ฮุสเซนจึงส่งกองทัพทหารราบนับแสนคน พร้อมด้วย รถถัง เครื่องบิน รวมถึงเรือรบ เข้าโจมตีอย่างเฉียบพลันต่อคูเวต ในวันที่ 2 สิงหาคม 1990 โดยใช้เวลาเพียง 2 วันก็สามารถยึดครองคูเวตได้สำเร็จ ในขณะที่เจ้าผู้ครองรัฐคูเวต นามว่า “เชคจา เบอร์ อัล-อาหมัด อัล-จาเบอร์ อัล-ซาบาห์” (Jaber Al-Ahmad Al-Jaber Al-Sabah) และเชื้อพระวงศ์ต้องหลบหนีลี้ภัยไปอยู่ซาอุดิอาระเบีย การบุกยึดครองบ่อน้ำมันในคูเวต และดูมีทีท่าจะรุกคืบไปยึดครองยังซาอุดิอาระเบียด้วยนั้น สร้างแรงกดดันต่อระดับราคาน้ำมัน เนื่องจากถ้าหากอิรักทำสำเร็จ จะสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันจำนวนมหาศาลของโลกไว้ ร้อนถึงชาติมหาอำนาจตะวันตกที่ต้องลุกขึ้นมาสกัดกั้น ในวันที่ 6 สิงหาคม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จึงมีมติคว่ำบาตรต่ออิรัก และขีดเส้นใต้ให้อิรักต้องถอนกองกำลังทหารออกจากคูเวต ก่อนวันที่ 15 มกราคม 1991

การรุกรานคูเวตโดยกองทัพอิรักที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 1990 ได้รับการประณามจากนานาชาติ และนำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทันทีโดยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ส่งกองกำลังทหารอเมริกันไปยังซาอุดิอาระเบียเกือบ 6 เดือนหลังจากนั้นพร้อมด้วยเรือรบ เครื่องบินรบ อาวุธยุธโธปกรณ์เต็มอัตราศึกเข้าประจำการที่ฐานทัพของซาอุดิอาระเบีย แล้วก็ขอแรงสนับสนุน กระตุ้นให้ประเทศอื่นส่งกำลังทหารของตนเข้ามายังสถานที่ดังกล่าวด้วย มีหลายประเทศเข้าร่วมกำลังผสมด้วย โดยมีกำลังทหารส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย สหราชอาณาจักรและอียิปต์เป็นผู้ให้ความร่วมมือหลัก ซาอุดิอาระเบียระดมทุนให้ประมาณ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในสงครามครั้งนี้

ปธน.ฮุสเซน ของอิรักได้ยื่นข้อเสนอให้อิสราเอลถอนกองกำลังทหารออกจากปาเลสไตน์ ซีเรีย และเลบานอน และให้สหรัฐต้องถอนกองกำลังทหารออกจากซาอุดิอาระเบีย แล้วใช้กองกำลังทหารจากชาติอาหรับเข้าไปประจำการแทน อีกทั้งยังยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบต่ออิรัก แต่ข้อเสนอทั้งหลายนี้ไม่ได้รับการตอบสนองจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐ

เมื่อถึงวันกำหนดเส้นตายแล้ว กองทัพพันธมิตรสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐ และมีซาอุดิอาระเบีย สหราชอาณาจักร อียิปต์ ฝรั่งเศส ซีเรีย คูเวต แคนาดา สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ และกาตาร์ เข้าร่วม ก่อตั้งกองกำลังผสมนานาชาติ กว่า 950,000 นาย (ในจำนวนนี้เป็นทหารอเมริกัน 70%) นำโดยนายพลเอก นอร์แมน ชวาร์ซคอฟ จูเนียร์ (Norman Schcwarzkopf. Jr.) เป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังผสม เข้าทำสงครามสู้รบกับอิรัก  ทางด้านกองทัพอิรัก มีกำลังทหาร 650,000 นาย โดยมี อาลี ฮัสซัน อัล-มาจิด (Ali Hassan Al-Majid) มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับซัดดัม ฮุสเซน เป็นผู้บัญชาการรบ โดยมีชาติพันธมิตรที่ส่งกองกำลังมาสนับสนุนกับฝ่ายอิรัก ก็คือ เยเมน จอร์แดน ซูดาน และลิเบีย

ความขัดแย้งระยะแรกเพื่อขับไล่กองทัพอิรักออกจากคูเวตเริ่มต้นขึ้นจากการปูพรมทิ้งระเบิดทางอากาศเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1991 ที่มีรหัสเรียกว่า “ปฏิบัติการพายุทะเลทราย” (Operation Desert Storm) มีการส่งฝูงบินทิ้งระเบิดกว่า 100,000 เที่ยว รวมน้ำหนักระเบิดกว่า 88,500 ตัน ตามด้วยการยิงขีปนาวุธ โทมาฮอว์ก จากฐานเรือประจัญบาน เป้าหมายคือการทำลายฐานทัพทางอากาศและต่อต้านอากาศยานของอิรัก ศูนย์บัญชการทางทหารและหน่วยทหารย่อยๆ ที่อยู่ในอิรักและคูเวต ตามมาด้วยการส่งกองกำลังโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แม้ว่าอิรักจะมีขีปนาวุธสกั๊ด (Scud) เข้าถล่มอิสราเอล เพื่อหวังให้อิสราเองเข้าร่วมสงคราม และลากเอาประเทศอื่นเข้าร่วมด้วย อันจะเป็นข้ออ้างที่ทำให้ชาติพันธมิตรอื่นลังเลไม่เข้าร่วม ซึ่งแผนการนี้สหรัฐมองออกจึงห้ามอิสราเอลไม่ให้ตอบโต้ แต่ใช้ขีปนาวุธแพทริออตของสหรัฐสกัดกั้นการถล่มยิงจากขีปนาวุธสกั๊ดแทน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กองกำลังผสมภาคพื้นดินก็สามารถรุกคืบเข้าสู่ตอนใต้ของคูเวต และเข้ายึดคูเวตซิตีกลับคืนเป็นผลสำเร็จ จากนั้นจึงผลักดันกองกำลังของอิรักให้ออกจากคูเวตจนสำเร็จ

 
สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังผสม ผู้ซึ่งปลดปล่อยคูเวตและรุกเข้าไปในพรมแดนอิรัก กองกำลังผสมยุติการรุกคืบ และประกาศหยุดหยิง 100 ชั่วโมงหลังจากการทัพภาคพื้นดินเริ่มต้นขึ้น การรบทางอากาศและพื้นดินจำกัดอยู่ภายในอิรัก คูเวต และพื้นที่บริเวณพรมแดนของซาอุดิอาระเบีย อย่างไรก็ตาม อิรักได้ปล่อยขีปนาวุธสกั๊ดต่อเป้าหมายทางทหารของกองกำลังผสมในซาอุดิอาระเบียและต่ออิสราเอล

ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซัดดัม ฮุสเซนสั่งถอนกองกำลังทหารออกจากคูเวต แต่ก็ได้สั่งเผาบ่อน้ำมันของคูเวตไปจำนวน 700 แห่งและยังวางทุ่นระเบิดไว้รายรอบบ่อน้ำมัน เพื่อให้ยากต่อการดับเพลิง ปธน.บุชได้สั่งให้กองกำลังผสมหยุดยิง และประกาศอย่างเป็นทางการว่าคูเวตได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์แล้ว

มูลเหตุจูงใจของสงครามอ่าวเปอร์เซียเกิดขึ้นได้อย่างไร

ตลอดช่วงเวลาของสงครามเย็น อิรักเป็นพันธมิตรสหภาพโซเวียตและมีประวัติความไม่ลงรอยกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐกังวลถึงตำแหน่งของอิรักต่อการเมืองอิสราเอล-ชาวปาเลสไตน์และการที่อิรักไม่เห็นด้วยกับสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์ สหรัฐเองก็ไม่ชอบการที่อิรักเข้าสนับสนุนกลุ่มอาหรับและปาเลสไตน์ติดอาวุธอย่างอาบูไนดัล ซึ่งทำให้มีการรวมอิรักเข้าไปในรายชื่อประเทศผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐในวันที่ 29 ธันวาคม 1979 สหรัฐยังคงสถานะเป็นกลางอย่างเป็นทางการหลังจากการรุนรานของอิหร่านกลายมาเป็นสงครามอิรัก-อิหร่าน แม้ว่าจะแอบช่วยอิรักอย่างลับ ๆ อย่างไรก็ดีในเดือนมีนาคม 1982 อิหร่านเริ่มทำการโต้ตอบได้สำเร็จ ปฏิบัติการชัยชนะที่ปฏิเสธไม่ได้ และสหรัฐได้เพิ่มการสนับสนุนให้กับอิรักเพื่อป้องกันไม่ให้อิรักถูกบังคับให้พ่ายแพ้ในความพยายามของสหรัฐที่จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอิรักอย่างเต็มตัว ประเทศอิรักได้ถูกนำออกจากรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย นั่นก็เพราะว่าการพัฒนาในบันทึกการปกครอง แม้ว่าอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ โนเอล คอช ได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า ไม่มีใครที่สงสัยในเรื่องที่อิรักยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายเหตุผลจริง ๆ คือเพื่อช่วยให้พวกเขามีชัยเหนืออิหร่าน เมื่ออิหร่านประสบกับชัยชนะในสงครามและปฏิเสธการสงบศึกที่ได้รับการเสนอขึ้นในเดือนกรกฎาคม การขายอาวุธให้กับอิรักก็ทำลายสถิติเมื่อปี 1982 แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ระหว่างสหรัฐกับอิรัก กลุ่มอาบูไนดัลยังคงได้รับการสนับสนุนอยู่ในแบกแดด เมื่อประธานาธิบดีอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ได้ขับไล่พวกเขาไปยังซีเรียตามคำขอของสหรัฐในเดือนพฤษภาคม 1983 รัฐบาลเรแกนได้ส่งโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ เพื่อพบกับประธานาธิบดีฮุสเซนเป็นทูตพิเศษและเพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่ก็ได้ผล แต่เมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุค ปธน.จอร์จ บุช ความสัมพันธ์ทางการฑูต และผลประโยชน์ทับซ้อนด้านพลังงานหรือน้ำมัน ระหว่างบุชกับกษัตริย์ซาอุเป็นไปอย่างเหนียวแน่นลึกซึ้ง และเมื่อซัดดัมมีทีท่าจะบุกยึดบ่อน้ำมันของซาอุ ทำให้สหรัฐไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและทำสงครามสั่งสอน

ความตึงเครียดกับคูเวต


เมื่ออิรักทำการหยุดยิงกับอิหร่านในเดือนสิงหาคม
1988 อิรักก็ประสบกับการล้มละลายอย่างแท้จริง โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ซาอุดิอาระเบียและคูเวต อิรักกดดันทั้งสองชาติให้ยกหนี้ทั้งหมด แต่ทั้งสองประเทศตอบปฏิเสธ อิรักยังได้กล่าวหาคูเวตว่าได้ผลิตน้ำมันโควต้าของโอเปก ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลง ซึ่งส่งผลให้อิรักประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจเพิ่มเข้าไปอีก การที่ราคาของน้ำมันตกลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอิรักอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลอิรักได้บรรยายว่ามันเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ ซึ่งอ้างว่าคูเวตเป็นต้นเหตุ โดยการเจาะท่อลอดข้ามพรมแดนเข้าไปในทุ่งน้ำมันรูมาเลียของอิรักความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศยังเกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างของอิรักที่ระบุว่า คูเวตเป็นอาณาเขตของอิรัก หลังจากได้รับเอกรารชจากสหราชอาณาจักรใน 1932 รัฐบาลอิรักได้ประกาศในัทันทีว่าคูเวตเป็นอาณาเขตโดยชอบธรรมของอิรัก เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอิรักเป็นเวลาหลายศตวรรษจนกระทั่งอังกฤษก่อตั้งคูเวตขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ดังนั้น จึงได้กล่าวว่า คูเวตเป็นผลผลิตจากลัทธิจักรวรรดินิยมของอังกฤษ อิรักอ้างว่าคูเวตเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดบาสราของจักรวรรดิออตโตมัน ราชวงศ์ที่ปกครองคูเวต อัลซอบะห์ ได้ตัดสินใจลงนามในข้อตกลงเป็นรัฐในอารักขาเมื่อ 1899 ซึ่งมอบหมายความรับผิดชอกิจการระหว่างประเทศให้แก่อังกฤษ อังกฤษเขียนพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และพยายามจำกัดทางออกสู่ทะเลของอิรักอย่างระมัดระวัง เพื่อที่ว่ารัฐบาลอิรักในอนาคตจะไม่มีโอกาสคุกคามการครอบครองอ่าวเปอร์เซียของอังกฤษ อิรักปฏิเสธที่จะยอมรับพรมแดนที่ถูกเขียนขึ้น และไม่รับรองคูเวตจนกระทั่งปี 1963  ในตอนต้นเดือนกรกฎาคม 1990 อิรักไม่พอใจกับพฤติกรรมของคูเวต อย่างเช่น ไม่เคารพโควต้า และคุกคามที่จะใช้กำลังทหารอย่างเปิดเผย วันที่ 23 กรกฎาคม ซีไอเอรายงานว่าอิรักได้เคลื่อนกำลังพล 30,000 นาย ไปยังพรมแดนอิรัก-คูเวต และกองเรือสหรัฐในอ่าวเปอร์เซียได้รับการเตือนภัย วันที่ 25 กรกฎาคม ซัดดัม ฮุสเซน พบกับเอพริล กลาสพาย เอกอัครราชทูตอเมริกันในกรุงแบกแดด ตามการแปลเป็นภาษาอิรักของการประชุมครั้งนั้น กลาสพายพูดกับผู้แทนอิรักว่า

การรุกรานคูเวต

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปี 1990 การเจรจาระหว่างอิรักกับคูเวตก็หยุดชะงัก อิรักส่งทหารจำนวนมากไปที่ชายแดน ในวันที่  2 สิงหาคมปี 1990 อิรักก็เริ่มการโจมตีหัวหอกคือคอมมานโดที่ส่งโดยเฮลิคอปเตอร์และเรือเพื่อเข้าโจมตีคูเวตซิตี ในขณะที่กองกำลังอื่นเข้ายึดสนามบินและฐานทัพอากาศอีกสองแห่ง กระนั้นคูเวตก็ไม่กองกำลังที่เตรียมพร้อมและไม่ได้ระวังตัว หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดสองวันกองทัพของคูเวตก็พ่ายแพ้ต่อรีพับลิกันการ์ดของอิรักและหนีไปยังซาอุดิอาระเบีย หลังจากชัยชนะของอิรักซัดดัม ฮุสเซนก็แต่งตั้งอลี ฮัสซาน อัลมาจิดให้เป็นผู้ว่าราชการแห่งคูเวตแทน

(เครดิต-อ้างอิงข้อมูล และคัดลอกข้อมูลบางส่วนจากบทความ สงครามอ่าวเปอร์เซีย ในหน้าเพจของ Myfirstbrain.com,  และข้อมูลจากวิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Martian ทิ้งฉันไว้กลางดาวอังคาร......(ได้ยังไง?)


The Martian (กุ้ตาย 140 ล้านไมล์) หรือชื่อไทยของผู้เขียน “ทิ้งไว้กลางดาวอังคาร” เป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับการผจญภัยบนอวกาศ ที่ช่วงหลังๆ มักทำออกมาหลายๆ เรื่อง ติดกัน นี้ (Moon, Gravity, Interstellar) แต่มีมุมมองหรือประเด็นที่ต้องการนำเสนอแตกต่างกัน เรื่องนี้นำเสนอในมุมมองของการช่วยเหลือลูกเรือคนหนึ่งที่ติดค้างอยู่บนดาวอังคาร และรอการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีมที่เดินทางกลับจากดาวอังคารไปแล้ว แต่เพิ่งรุ้ว่าเพื่อนที่ตกค้างอยู่ยังไม่ตาย จึงเกิดปฏิบัติการกลับไปช่วยเหลือ ในขณะที่ตัวมาร์ค วัตนีย์ (แมท เดม่อน) ตัวพระเอกของเรื่อง ก็ไม่นั่งรอชะตากรรมตามยถากรรม เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตรอด เริ่มด้วยการ สำรวจดูว่ามีเสบียงอาหารอะไรอยู่บ้าง มีวัสดุอุปกรณ์ที่จะกู้ชีพได้นานเท่าใด คำนวณวันเวลาที่หน่วยกู้ชีพจะทราบและมาช่วยเหลือตนเองได้กินเวลาเท่าไร (อีก 4 ปี) เขาเกิดไอเดียที่จะปลูกพืชบนดาวอังคาร (ปลูกหัวมัน) โดยใช้ความรู้ที่เขามีจากการเป็นนักพฤกษศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ การใช้ก้านไม้กางเขนมาเป็นเชื้อเพลงติดไฟ สันดาประหว่างออกซิเจนกับก๊าซไฮโดรเจนแท๊งค์เชื้อเพลง เพื่อจุดติดและทำปฏิกิริยาเคมีให้เกิดเป็นน้ำ (H20) ตามที่เราเคยเรียนมานั่นแหละ และเขาพยายามค้นหาดูว่าเมื่อปี 1976 เคยมีนักสำรวจอวกาศจากนาซ่าเคยมาทำการสำรวจแล้ว และได้ทิ้งเจ้าเครื่องแพทไฟน์เดอร์เอาไว้ ซึ่งเป็นต้นตอให้เขาลองทดลองใช้เจ้าเครื่องนี้ติดต่อกับกับเพื่อนที่อยู่นาซ่า จนสามารถสื่อสาร และพูดคุยความต้องการของเขาได้ โดยใช้รหัสเลข  และอาศัยการคำนวณองศาเป็นมุมและจังหวะที่หน้ากล้องของเจ้าเครื่องพาธไฟน์เดอร์หันไปในทิศใด วัตนีย์ก็เอาป้ายตัวอักษรไปวางให้ตรงกับมุมกล้องที่หันไปเพื่อจะสื่อข้อความกับทีมงานที่อยู่บนโลก นับว่าฉลาดมาก เขายังมีอารมณ์ขันกับการอำหัวหน้าลูกเรือของเขาว่ารสนิยมการฟังเพลงเชยมาก (ที่ทิ้งไฟล์เพลงเอาไว้แต่เป็นเพลงยุคดิสโก้) แต่ก็ช่วยให้ชีวิตบนดาวอังคารของเขาดูคึกคักได้อยู่ 

เรื่องย่อมีอยู่ว่า มาร์ค วัตนีย์ (Matt Damon) ผู้ถูกทิ้งไว้บนดาวอังคารเพียงลำพัง หลังจากที่เขาถูกพายุฝุ่นพัดรุนแรง จนกระเด็นออกไปนอกสถานีฐานสำรวจ เหล่าลูกเรือต่างเชื่อว่าเขาเสียชีวิตแล้ว แต่เขาก็ฟื้นขึ้นมาได้ เมื่อพบว่าตอนนั้นยานและลูกเรือเพื่อนร่วมทีมของเขาได้บินออกจากดาวอังคารไปหมดแล้ว เหลือเพียงเขาที่ดันมีชีวิตรอดอยู่บนดาวอังคารตามลำพัง และตัดสินใจที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้กลับ "โลก" ซึ่งเป็นบ้านของเขา เขาทำทุกอย่างตั้งแต่การปลูกพืชไว้เป็นอาหารปะทังชีวิตให้อยู่จนถึงทีมกู้ชีพมาถึง การสร้างเครื่องผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากความร้อน (RTG) ด้วยตนเองแทนแบตเตอรี่สำรองที่มีใช้ไม่เพียงพอและต้องใช้อย่างประหยัด ,การผลิตน้ำจากเชื้อเพลิงถังไฮโดรเจน เพื่อใช้ในการปลูกผัก (ในเรื่องคือปลูกมันฝรั่ง) ,การค้นหาเครื่องแพตไฟน์เดอร์ไว้ติดต่อกับเพื่อนทีมงานที่ภาคพื้นดินบนโลก เป็นต้น ในส่วนของเพื่อนร่วมทีม และทีมงานภาคพื้นดินขององค์กรนาซ่าบนโลกนั้น จากตอนแรกที่ทุกคนเข้าใจว่ามาร์คได้เสียชีวิตแล้ว จนกระทั่ง (มีทีมงานหญิงคนหนึ่งตรวจพบการเคลื่อนไหวของภาพบนดาวเทียมบนพื้นผิวดาวอังคารว่ามีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว จึงพยายามจับสังเกตและคอยเฝ้าดู )ค้นพบว่าเขายังไม่ตายนั้น หนังก็ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของ "ความช่วยเหลือ" ที่มนุษย์มีให้กันในยามคับขัน (องค์กรอวกาศของจีนเข้ามามีส่วนในการยื่นมือจะให้ความช่วยเหลือโดยยานอวกาศของจีนกำลังแล่นอยู่ใกล้และมีเชื้อเพลิงหลงเหลืออยู่มากกว่ายานแอรีส 4 ของทีมสำรวจเพื่อนร่วมงานของวัตนีย์) (ซีนนี้เป็นความตั้งใจของทีมเขียนบทหรือไม่ที่ต้องการชูประเด็นความร่วมมือด้านมนุษยธรรมของมหาอำนาจจีน และอเมริกันในด้านอวกาศ โดยไม่แบ่งแยกอุดมการณ์ ความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจ 2 ฝ่าย) และก็สะท้อนให้เห็นถึงกำลังใจที่ชาวโลกมีส่วนร่วมกันเวลาที่มีวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ๆ ทุกคนบนโลกมีส่วนร่วมลุ้นจากการถ่ายทอดสด ทำเหมือนเรียลลิตี้โชว์ไปทั่วโลก ผ่านจอทัชสกรีนบิลบอร์ดใหญ่บนตึกไทม์สแควร์ในนิวยอร์ก ทำให้คนดูร่วมลุ้นปฏิบัติการช่วยเหลือมาร์ค วัตนีย์กลับสู่โลกโดยสวัสดิภาพ ฉากนี้เมื่อตัวละครมีชะตากรรมชีวิตที่รอดจากภยันตรายแล้ว ทุกคนในหน่วยงานนาซ่า หรือคนดูที่ชุมนุมกันอยู่เรือนแสนบนจตุรัสไทม์สแควร์และจตุรัสเทียนอันเหมิน ต่างส่งเสียงร้องดีใจกันสุดๆ (เราอาจเคยชินกับฉากดีใจแบบนี้ในหลายๆเรื่องของหนังผจญภัยอวกาศของฮอลลีวู้ด จนกลายเป็นท่าบังคับที่ต้องมี แต่มันดูเป็นหนังสูตรสำเร็จมากเกินไป) แต่เอาเถอะ หนังก็มีส่วนดีในหลายๆ ประเด็นที่ทำให้คนดูได้ฉุกคิด และได้ความรู้ หรือได้เรียนรู้ร่วมกันกับตัวละคร และบทสรุปประเด็นเนื้อหาในเรื่องนี้ก็คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น”  ตัวละครไม่เลือกที่จะฟูมฟายเอาแต่กล่าวโทษเพื่อนร่วมทีมของตนที่ทิ้งตนเองไว้กลางดาวอังคาร ตรงกันข้ามเขากลับพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และใช้สติกับความรู้เป็นเครื่องมือในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับคนอื่น และยังพยายามคิดค้นหาวิธี บอกไอเดียหรือแนวความคิดของเขา สื่อให้กับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมทีมได้รู้ว่าเขาจะทำอะไร เพื่ออะไร และจะเกิดผลอะไร ซึ่งเป็นการทำให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตเขาทำได้เร็วและง่ายขึ้น พยายามขจัดปัญหาและอุปสรรคที่จะทำให้การปฏิบัติการครั้งนี้ประสบผลสำเร็จได้เร็วที่สุด ระหว่างทางแม้จะเกิดปัญหา อุปสรรคขึ้นมากมาย เขาก็ไม่เคยย่อท้อ และพยายามจะอาศัยสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเท่าที่มีเหลืออยู่ในเวลานั้น มาถอดโจทย์แก้ปัญหาให้กับตนเอง เรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่าคือสิ่งที่เยี่ยมที่สุดของหนัง และเป็นสารที่ดีที่สุดในหนังที่ต้องการสื่อให้กับคนดูรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรในชีวิตคุณ ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่คุณทำให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ อย่ามัวแต่ไปนั่งหาสาเหตุหรือกล่าวโทษผู้ใด สิ่งที่คุณต้องทำในขณะนั้นก็คือ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยสติและความรู้ ประสบการณ์ องค์ความรู้รอบตัวและที่คุณมีอยู่สำคัญมาก และต้องทำอย่างระมัดระวังอย่างเร็วที่สุด จะทำให้คุณรอดชีวิตได้ในที่สุด ถ้ามัวตีโพยตีพาย ฟูมฟายกับคนรอบข้างหรือกับตัวเอง ก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือคลี่คลาย ตรงนี้ผู้เขียนขอปรบมือให้กับหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ชอบที่สุดในช่วง 2-3 เดือนนี้ที่ได้ดู จริงๆ ตัวหนังไม่ได้ทำให้เครียดหรือดราม่าอะไรเลย ทีมเขียนบทพยายามจะสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละครอย่างมาร์ค วัตนีย์และตัวละครประกอบอื่นๆ ให้ดูมีอารมณ์ขัน และมองโลกในแง่บวก ทำให้โทนหนังลดความซีเรียสหรือดราม่าลงได้ จึงทำให้หนังไซไฟอวกาศเรื่องนี้ ดูไม่เครียด ทั้งๆ ที่ตัวบทและสถานการณ์มันเคร่งเครียดมาก ต้องทำงานแข่งกับเวลาและเสบียงอาหารของพระเอกที่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ แมต เดม่อนในเรื่องนี้เล่นได้สมบทบาทและเป็นบทบาทที่ดีที่สุดของเขาด้วย (ในสายตาผู้เขียน) เขาแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกทั้งช่วงที่ตนเองได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในต้นเรื่อง ต้องช่วยเหลือทำบาดแผลให้ตนเอง การรับรู้ความรู้สึกว่าตนเองถูกเพื่อนทิ้งไว้กลางดาวอังคาร ความรู้สึกเหงาและหดหู่ การแสดงอารมณ์ขันหรือเล่นมุกในหลายซีน การแสดงในหลายๆ ฉากได้อารมณ์แบบเดียวกับทอม แฮ้งค์แสดงในเรื่อง cast away คือพูดและคิดอยู่กับตัวเอง การสบถด่าเพื่อนฝูงที่สนิทกัน การสบถด่าทีมงานหรือองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่ กร่นด่ารัฐบาล หรือแม้แต่พัฒนาการของร่างกายจากต้นเรื่องที่ร่างกายอวบอั๋น (ล่ำสัน) จนท้ายเรื่องต้องกลายเป็นคนผอมโซ เนื้อหนังเหี่ยวย่นผอมเกร็งลงอย่างเห็นได้ชัด (ไม่รู้ว่าพี่เขาลงทุนในการลดน้ำหนักในการแสดงเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เราเห็นถึงการทุ่มเทแสดงอย่างเต็มที่ของแมตในเรื่องนี้)

นักแสดงนำเรื่องนี้มาอย่างคับคั่ง อาทิ Jessica Chastain (Interstellar, Zero Dark Thirty), Kristen Wiig (Bridesmaid, The Secret Live of Walter Mitty), Chiwetel Ejiofor (12 Years a Slave), Sean Bean (GOT, LOTR), Sebastian Stan (Captain America) และ Matt Damon (Bourne, Elysium)  นักบินอวกาศ  แม็ตต์ เดม่อน รับบท มาร์ก วัทนีย์ , เจสสิกา แชสเทน รับบท เมลิสซา ลิวอิส , ไมเคิล เปญา รับบท ริค มาร์ติเน , เคท แมรา รับบท เบธ โจแฮนส์เซน , เซบาสเตียน สแตน รับบท คริส เบ็ค   และ แอคเซล แฮนนี รับบท อเล็กซ์ โวเกล  นาซาและนักวิทยาศาสตร์  เจฟฟ์ แดเนียลส์ รับบท เท็ดดี แซนเดอส์ , ชิวอิเทล เอจิโอฟอร์ รับบท วินเซนต์ กาปูร์ , ฌอน บีน รับบท มิตช์ เฮนเดอร์สัน ,  เบเนดิกต์ หว่อง รับบท บรูซ และ โดนัลด์ โกลเวอร์ รับบท ริช เพอร์เนล

ประวัติส่วนตัวผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์

ท่านเซอร์ ริดลีย์ สก็อตต์ (Sir Ridley Scott) เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 ในประเทศอังกฤษ เป็นผู้กำกับภาพยนตร์  ริดลีย์ สก็อตต์ เรียนจบด้านออกแบบกราฟิก เริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายออกแบบฉากที่บีบีซี และมาทำละครซีรีส์ หลังจากนั้นลาออกมากำกับโฆษณาและข้ามมาอเมริกา โดยกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกคือเรื่อง The Duellists หลังจากนั้นก็มีผลงานอยาง Alien (1979) , Blade Runner(1982), Legend, Black Rain, Thelma & Louise (1991), Gladiator(2000), Black Hawk Down (2001) ,Hannibal (2001), Matchstick Men (2003), Kingdom of Heaven (2005) และ American Gangster  (2007) ,ริดลีย์ สก็อตต์เป็นพี่ชายของโทนี่ สก็อตต์ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ ผลงานช่วงหลังที่สร้างชื่อให้เขาก็คือ Robinhood (2010), Prometheus (2012) ที่กำลังจะมีภาค 2 เร็วๆ นี้ , Exodus : Gods and King (2014) และ The Martian (2015)


เรื่องน่ารู้ก่อนดู The Martian


1.ดัดแปลงมาจากนิยายวิทยาศาสตร์

The Martian เป็นนิยายแนววิทยาศาสตร์ของแอนดี้ เวียร์ นักเขียนชาวอเมริกันที่เดิมทีประกอบอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ ก่อนจะลาออกมาเป็นนักเขียน โดยหนังสือได้รับการตีพิมพ์ในปี 2011 และได้รับคำชื่นชมว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่สมจริงในแง่ของความถูกต้อง พร้อมทั้งยังแทรกสอดอารมณ์ขันและความบันเทิงได้อย่างลงตัว หนังสือมีเป็นภาษาไทยแล้วในชื่อ เหยียบนรกสุญญากาศ” 

2.เรื่องของชายผู้ถูกทอดทิ้งบนดาวอังคาร 

 ระหว่างภารกิจเดินทางสู่ดาวอังคาร มนุษย์อวกาศ มาร์ค วัทนีย์ (แมตต์ เดม่อน) ถูกคิดว่าเสียชีวิตหลังเกิดพายุรุนแรงและถูกทีมงานทิ้งไว้ แต่แวทนีย์กลับรอดชีวิตและพบว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังบนดวงดาวที่โหดร้าย เขามีเพียงเสบียงอันน้อยนิด วัทนีย์ต้องใช้ความฉลาด ไหวพริบ และความมุ่งมั่นเพื่อการอยู่รอดและหาทางส่งสัญญาณกลับมายังโลกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จากระยะทางที่ไกลนับหลายล้านไมล์ นาซ่าและทีมนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติต่างพยายามนำมาร์คกลับบ้าน

3.ดีไซน์ตัวละครไม่ให้ดาร์คจนเกินไป

 ตัวผู้เขียนอย่างแอนดี้ เวียร์นั้นต้องการให้หนังมีอารมณ์ของการแก้ปัญหาของตัวละคร โดยที่เขาไม่ต้องการให้นิยายออกมาดาร์คและเล่าเรื่องราวอันน่าหดหู่ของชายที่ต้องต่อสู้กับความเครียดและความโดดเดี่ยวบนดาวอังคาร ดังนั้นตัวละครของมาร์ค จึงเป็นคนที่มีความเข้มแข็งและมุ่งมั่นมากกว่าคนทั่วไป ตัวละครนี้คือนักบินอวกาศที่ได้รับเลือกให้ไปปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารนั่นหมายถงเขาชนะคนนับพันกว่าจะมาถึงจุดจุดนี้ 

4.อวกาศเคยทำแมตต์ เดมอนสติแตกมาแล้วครั้งหนึ่ง

 ถ้ายังพอจำกันได้ในปีที่แล้วหนังอย่าง Interstellar แมตต์ เดมอนโผล่ไปรับบทรับเชิญกับการที่เขาหลุดไปอยู่บนดาวอันไกลโพ้นจนสติแตกมาแล้วรอบนึง ผ่านมาอีกหนึ่งปีตัวเขาเองยังแอบรู้สึกเลยว่านี่ผมก็ถูกเอาไปทิ้งอยู่บนดวงดาวอีกแล้ว เดมอนเลยระบายความรู้สึกนี้ให้กับริดลีย์ สก็อตต์ฟังตอนที่ทั้งสองได้นัดพูดคุยกันครั้งแรก แต่ริดลีย์ตอบกลับมาว่า หนังเรื่องนี้มันคนละแนวกันเลยนะ หนังต้องออกมาสนุกแน่ มาทำงานด้วยกันเถอะ” 

(เครดิต @พริตตี้ปลาสลิด,เว็บสนุกดอทคอม)

เข้าไปอ่านเกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากหนังเรื่องนี้ในหน้าเพจของเด็กดีดอทคอมที่ลิ้งค์นี้เพิ่มเติม http://www.dek-d.com/writer/38581/

แถมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำเอาคิดถึงยุครุ่งเรืองของเพลงดิสโก้ ได้แก่

 
 

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (11) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 11


เรื่องที่ 11  ปริศนาการตายของ 2 ประธานาธิบดีสหรัฐ ลินคอล์น กับ เคนเนดี้


 
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกสังหาร มาจนกระทั่ง ปี 2007  นาน 44 ปีแล้ว แต่เรื่องราวการสังหารโหดยังไม่หายไป จากความทรงจำของประชาชนชาวสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับ การสังหารประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ในปี ค.ศ.1865 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวความบังเอิญอย่างน่าประหลาด ในกรณีฆาตกรรมประธานาธิบดีทั้งสองคน ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันนับร้อยปี  แต่เผอิญมีความเหมือนกันในหลายกรณีที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐคนที่ 16 ในปี 1860  ส่วนจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐคนที่ 35  ในปี 1960 นับเป็นระยะเวลาที่ห่างกันถึง 100 ปีเต็มพอดี
 
 

ประเด็นที่มีความคล้ายคลึงกันของเหตุการณ์ก็คือ

1.ประธานาธิบดีทั้ง 2 ท่าน ต่างเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิทธิเรียกร้องของพวกคนผิวดำเหมือนกัน

2.ประธานาธิบดีทั้ง 2 ท่าน ถูกลอบสังหารในวันศุกร์ ต่อหน้าภริยาของตน เช่นเดียวกัน

3.ภริยาของทั้ง 2 ปธน. ต่างก็สูญเสียบุตรชายไปในระหว่างที่พำนักอยู่ในทำเนียบขาวเหมือนกัน

4.ประธานาธิบดีทั้ง 2 ท่าน ต่างก็ถูกลอบสังหารด้วยกระสุนปืนที่ยิงจากข้างหลังทะลุศีรษะเหมือนกัน

5.ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกยิงในโรงละครฟอร์ดของ มหาเศรษฐีเฮนรี่ ฟอร์ด ส่วนประธานาธิบดีเคนเนดี้ เผชิญเหตุการณ์มรณะในรถยนต์นั่งฟอร์ดลินคอล์น ซึ่งผลิตโดยบริษัทรถยนต์ฟอร์ด ของเฮนรี่ ฟอร์ด เหมือนกันอีก

6.หลังจากการลอบสังหารแล้ว ผู้ทึ่ขึ้นสืบทอดอำนาจในตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากทั้ง 2 ท่าน แม้จะเป็นคนละช่วงเวลากัน แต่คนที่มาสืบต่อดันชื่อ “จอห์น”  เหมือนกันอีก  สมัยลินคอล์น ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทนเขา ชื่อ รองปธน.แอนดรูว์ จอห์นสัน (Andrew Johnson) ส่วนรองประธานาธิบดีสมัยเคนเนดี้ ชื่อ ลินดอน จอห์นสัน (Lyndon Johnson) ที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ รองประธานาธิบดีทั้ง 2 ท่านนั้นมาจากรัฐทางภาคใต้ และเคยผ่านการเป็นวุฒิสมาชิก (Senator) มาแล้วด้วยกันทั้งคู่

7.แอนดรูว์ จอห์นสัน เกิดในปี 1808 และ ลินดอน จอห์นสัน เกิดในปี 1908 อายุห่างกัน 100 ปีเต็มพอดี เช่นเดียวกัน ปธน. ลินคอล์น และเคนเนดี้ เฉกเช่นเดียวกัน

8.เลขานุการของประธานาธิบดีลินคอล์นมีชื่อแรกว่า “จอห์น” ส่วนเลขานุการส่วนตัวของประธานาธิบดีเคนเนดี้มีชื่อสกุลว่า “ลินคอล์น”

9.คนร้ายที่สังหารปธน.ลินคอล์น มีชื่อว่า “จอห์น วิลกีส์ บูธ (John Wilkes Booth) เกิดในปี 1839 ส่วนคนร้ายที่สังหารเคนเนดี้ มีชื่อว่า “ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) เกิดในปี 1939 อายุห่างกัน 100 ปีเต็มพอดี

10.มือสังหารทั้ง 2 คนต่างก็เป็นคนชาวรัฐทางภาคใต้ ที่มีแนวความคิดหัวรุนแรงด้วยกันทั้งคู่ มือสังหารทั้งสองคนต่างก็ถูกสังหารดับชีพก่อนที่จะถูกนำตัวไปพิจารณาโทษในศาล

11.บูธยิงลินคอล์นในโรงละคร แล้วหนีไปหลบซ่อนตัวที่โรงนา ส่วนออสวอลด์ยิงเคนเนดี้จากที่มุมตึกที่ในโรงเก็บสินค้า แล้วหนีเข้าไปซ่อนตัวในโรงหนัง

12.ชื่อของ “ลินคอล์น”  (Lincoln) และ “เคนเนดี้”  (Kennedy) ต่างก็สะกดด้วยตัวอักษร 7 ตัวอักษรเท่ากัน

13.ชื่อของ รองปธน. “แอนดรูว์ จอห์นสัน”  (Andrew Johnson) และ “ลินดอน จอห์นสัน”  (Lyndon Johnson)  ประกอบด้วยตัวอักษรนับได้ 13 ตัวอักษรเท่ากัน

14.ชื่อของมือสังหารทั้งสองคน คือ “จอห์น วิลกี้ส บูธ”  (John Wilkes Booth)  และ “ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์” (Lee Harvey Oswald) ล้วนประกอบด้วยตัวอักษรนับได้ 15 ตัวอักษรเท่ากัน

นี่เป็นความบังเอิญเกินไปมั๊ย ปริศนาการตายของ ปธน.ทั้งสองคน ผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ ว่าเป็นเรื่องให้ชวนน่าสนใจ ใคร่ศึกษาแล้ว แต่ประเด็นความบังเอิญ ความเหมือนกันอย่างแปลกประหลาดนั้น ดูน่าฉงนสนใจเสียยิ่งกว่า
(คัดลอกและอ้างอิงข้อมูลจากหนังสือ "ตำนานปริศนา"  โดยคุณอภินันท์ ชาติบุตร , สำนักพิมพ์บ้านหนังสือ , พฤศจิกายน
2550)

 
 

20 เรื่องที่เราควรรู้ (10) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 10


เรื่องที่ 10  วิกฤติการณ์เส้นยาแดงผ่าแปด อันมีความเกี่ยวข้องกับอเมริกา

อันสืบเนื่องมาจาก 2 เหตุการณ์นี้ ที่อยู่ในยุคร่วมสมัย ไม่นานมานี้เอง และถูกนำเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว ได้แก่  1.วิกฤติการณ์นิวเคลียร์ที่คิวบา จากภาพยนตร์เรื่อง  13 days,  2.วิกฤติการณ์      ชิงตัวประกันที่อิหร่าน  จากภาพยนร์เรื่อง Argo สาเหตุและที่มาของทั้ง 2 เหตุการณ์นี้เป็นอย่างไร ขอเริ่มที่

1.วิกฤติการณ์นิวเคลียร์ที่คิวบา(Cuban Missle Crisis)คือการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกาฝ่ายหนึ่ง กับสหภาพโซเวียตและประเทศคิวบาอีกฝ่ายหนึ่ง ในช่วงเวลาที่สงครามเย็นอยู่ในช่วงความตึงเครียดจนเกือบจะกลายไปเป็นสงครามปรมาณู ชาวรัสเซียเรียกเหตุการณ์นี้ว่าวิกฤตการณ์แคริบเบียน ส่วนชาวคิวบาเรียกมันว่าวิกฤตการณ์เดือนตุลาคม เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในการเผชิญหน้าครั้งสำคัญในสงครามเย็นนอกจากการปิดล้อมเบอร์ลิน การเผชิญหน้าเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1962 เมื่อภาพถ่ายจากเครื่องบินสังเกตการณ์ ยู-2 ของสหรัฐอเมริกา เผยให้เห็นฐานปล่อยขีปนาวุธ กำลังถูกสร้างขึ้นในคิวบา ภายใต้การปกครองของฟีเดล กัสโตร เพื่อตอบโต้การสร้างฐานขีปนาวุธของสหรัฐอเมริกา ณ บริเวณพรมแดนของตุรกีและสหภาพโซเวียต ทางสหรัฐอเมริกาได้กำหนดมาตรการกักกัน ส่งเรือรบเข้าปิดล้อมคิวบา ห้ามเรือบรรทุกสินค้าทุกลำผ่านเข้ามาในน่านน้ำทะเลแคริบเบียน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1962 หลังจากการเผชิญหน้าผ่านการโต้ตอบทางการทูตอย่างดุเดือด ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1962 ทั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จอห์น เอฟ. เคนเนดี และนายกรัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต นิกิตา ครุสชอฟ ต่างตกลงยินยอมที่จะถอนอาวุธปรมาณูของตนออกจากตุรกีและคิวบาตามลำดับ จากการร้องขอของอู ถั่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาที่หวาดกลัวในการขยายคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต แต่สำหรับประเทศแถบละตินอเมริกา การเป็นมิตรกับสหภาพโซเวียตอย่างเปิดเผยนั้นถูกมองว่าไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ทำให้สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตเป็นศัตรูกันมานับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 การเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นนั้นยังเป็นการปฏิเสธลัทธิมอนโร ซึ่งป้องกันไม่ให้อำนาจในยุโรปเข้ามาแทรกแซงในเรื่องของทวีปอเมริกาใต้ ในปลายปี ค.ศ. 1961 ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายจอห์น เอฟ. เคนเนดีได้เริ่มปฏิบัติการมองกูซ เป็นหนึ่งในปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลของฟีเดล กัสโตร แต่ไม่ประสบความสำเร็จและสหรัฐอเมริกายังได้ออกมาตรการห้ามขนส่งสินค้าไปยังคิวบา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962สหรัฐอเมริกายังได้ทำปฏิบัติการลับและได้ส่งเจ้าหน้าที่ซีไอเอเข้าไป นายพลเคอร์ติส เลอเมย์ได้แสดงแผนการทิ้งระเบิดให้กับเคนเนดีในเดือนกันยายน ในขณะที่การบินสอดแนมและการก่อกวนขนาดเล็กจากฐานทัพเรือกวนตานาโมของสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่คิวบากล่าวโทษต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1962 รัฐบาลคิวบาได้เห็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าสหรัฐอเมริกาจะทำการรุกรานตน ผลที่ตามมาคือ กัสโตร และนายกรัฐมนตรีของสหภาพโซเวียต นิกิตา ครุสชอฟ ตกลงที่จะติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์อย่างลับ ๆ ในคิวบา ครุสชอฟรู้สึกว่าการรุกรานของสหรัฐอเมริกาต่อคิวบาเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และการสูญเสียคิวบาจะส่งผลร้ายแรงของการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในละตินอเมริกา เขากล่าวว่าเขาต้องการเผชิญหน้ากับอเมริกาด้วยขีปนาวุธ ความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1962 ในวันที่ 14 ตุลาคม การลาดตระเวนของสหรัฐอเมริกาไปพบเข้ากับฐานปล่อยขีปนาวุธที่กำลังถูกสร้างขึ้นในคิวบา

วิกฤตการณ์จบลงในอีกสองสัปดาห์ถัดมาในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1962 เมื่อประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ จอห์น เอฟ. เคนเนดี และเลขาธิการสหประชาชาติ อู ถั่น ได้ทำข้อตกลงกับสหภาพโซเวียตเพื่อรื้อการติดตั้งขีปนาวุธเพื่อแลกกับการที่สหรัฐอเมริกาจะยกเลิกการบุกคิวบา ครุสชอฟขอร้องว่าขีปนาวุธจูปิเตอร์ และธอร์ ในตุรกีจะต้องถูกนำออก แต่สหรัฐอเมริกาไม่ได้นำพวกมันออกจริง ๆ และการร้องขอของเขาถูกเพิกเฉยโดยคณะบริหารของเคนเนด เคนเนดีได้สั่งการควบคุมดูแลที่เข้มงวด และอ้างการร่วมมือจากรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งองค์การนานารัฐอเมริกัน เคนเนดีได้เรียกการประชุมฉุกเฉินขององค์กรนานารัฐอเมริกันและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว

ขีปนาวุธพิสัยกลางเอสเอส-3 ลูกแรกมาถึงในคืนของวันที่ 8 กันยายนและตามมาด้วยลูกที่สองในวันที่ 16 กันยายน ทางโซเวียตได้สร้างฐานยิงขีปนาวุธขึ้นมาเก้าแห่ง หกแห่งสำหรับขีปนาวุธเอสเอส-4 และอีกสามฐานสำหรับขีปนาวุธเอสเอส-5 ซึ่งมีพิสัยการยิงที่ 4,000 กิโลเมตร ตามแผนแล้วจะมีฐานยิงทั้งสิ้น 40 แห่งซึ่งเพิ่มขึ้นจากการโจมตีครั้งแรกถึง 70% ประชาชนของคิวบาได้รับรู้ถึงการมาของขีปนาวุธ โดยมีการรายงานกว่าพันครั้งที่ส่งไปถึงไมอามี่ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐคิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง  ในวันที่ 7 ตุลาคมประธานาธิบดีของคิวบาออสวัลโด ดอร์ติกอสได้กล่าวในการประชุมว่า "หากพวกเราถูกโจมตี เราก็จะทำการป้องกันตนเอง ข้าพเจ้าขอย้ำว่าเราจะป้องกันตัวเองด้วยอาวุธหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาวุธที่เรานั้นไม่อยากจะมีและไม่อยากจะใช้มัน" ปัญหามากมายนั้นแปลว่าสหรัฐยังหาขีปนาวุธเหล่านั้นไม่เจอจนกระทั่งถึงวันที่ 14 ตุลาคม เมื่อเครื่องล็อกฮีด ยู-2 ได้ทำการบินสอดแนมและถ่ายภาพบริเวณก่อสร้างฐานยิงเอสเอส-4 ได้จากซาน คริสโตบัลทางตะวันตกของคิวบา เคนเนดีได้เห็นภาพถ่ายในวันที่ 16 ตุลาคม เขาได้จัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง 14 คนและน้องชายของเขาโรเบิร์ต เมื่อเวลา 9.00 สหรัฐไม่มีแผนที่จะจัดการกับภัยคุกคามในคิวบา เพราะว่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐนั้นเชื่อว่าโซเวียตไม่ได้ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในคิวบา ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รวมกันหาทางออกอย่างเร่งด่วนขึ้นมา 5 วิธี ได้แก่   1.    ไม่ทำอะไรเลย  ,  2.    ใช้การเจรจาทางการทูตเพื่อกดดันให้สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธออก  ,  3.    ใช้การโจมตีทางอากาศต่อขีปนาวุธ  ,   4.    ใช้กองทัพเข้าบุก   ,    5.    ทำการปิดล้อมทางทะเลต่อคิวบา ซึ่งจัดว่าเป็นการปิดกันประเทศอย่างจำกัด

ด้วยความเต็มใจหัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้ตกลงที่จะทำการเข้าโจมตีเต็มกำลังและเป็นการแก้ไขปัญหาเพียงทางเดียว พวกเขาเห็นพ้องกันว่าโซเวียตจะไม่ขัดขวางอเมริกาจากการเข้ายึดครองคิวบา เคนเนดีนั้นสงสัยในเรื่องนี้ เขาจึงกล่าวว่า  พวกเขาสามารถปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย ตามที่พวกเขากล่าว พวกเขาไม่สามารถยอมให้พวกเราจัดการกับขีปนาวุธของพวกเขา สังหารชาวรัสเซีย และไม่ทำอะไรเลย หากพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่างในคิวบา พวกเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างในเบอร์ลินแน่นอนเคนเนดีสรุปว่าการโจมตีทางอากาศจะเป็นการให้ "ไฟเขียว" กับโซเวียตในการเข้ายึดครองเบอร์ลิน เขาเสริมด้วยว่าในการทำเช่นนั้นพันธมิตรของสหรัฐจะคิดว่าสหรัฐเป็นคนจุดชนวนในการสูญเสียเบอร์ลิน เพราะพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาในคิวบาด้วยสันติวิธีได้ จากนั้นในการประชุมได้มีการหารือถึงผลที่จะกระทบความสมดุลทางยุทธศาสตร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่เชื่อว่าขีปนาวุธจะเป็นตัวถ่วงสมดุลอย่างมาก แต่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมโรเบิร์ต แมคนามาร่าไม่เห็นด้วยในเรื่องนั้น เขาเชื่อว่าขีปนาวุธจะไม่ส่งผลใด ๆ ในด้านยุททธศาสตร์ ส่วนฐานยิงอีก 40 ฐานนั้นจะสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในภาพรวมของความสมดุลด้านยุทธศาสตร์ สหรัฐนั้นมีหัวรบมากกว่า 5,000 หัวรบอยู่แล้วในขณะที่โซเวียตมีเพียง 300 เท่านั้น เขาสรุปว่าการที่โซเวียตมีเพิ่มขึ้นอีก 40 เป็น 340 ลูกนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงสมดุลด้านยุทธศาสตร์เลยแม้แต่น้อย ในปีค.ศ. 1990 เขาพูดซ้ำอีกว่า "มันจะไม่สร้างความแตกต่างใด ๆ กองทัพจะไม่เสียสมดุล ผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ทั้งเมื่อก่อนและในตอนนี้" อย่างไรก็ตามสภาความมั่นคงแห่งชาติก็เห็นด้วยว่าขีปนาวุธจะส่งผลกระทบในด้านสมดุลการเมือง อย่างแรกเคนเนดีได้ให้สัญญากับประชาชนอเมริกันไม่นานก่อนหน้านี้ว่า "หากคิวบานั้นมีความสามารถพอที่จะทำการโจมตีสหรัฐ สหรัฐก็จะทำการตอบโต้" ประการที่สองความน่าเชื่อถือของสหรัฐท่ามกลางเหล่าพันธมิตรและประชาชนอเมริกันจะได้รับผลกระทบในด้านลบหากพวกเขายอมให้สหภาพโซเวียตมาเปลี่ยนแปลงสมดุลด้านยุทธศาสตร์ด้วยการติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา เคนเนดีได้ชี้แจงหลังจากวิกฤตการณ์ว่า "มันอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสมดุลการเมือง มันอาจส่งผลให้เห็นในทางความเป็นจริง" ดังนั้นการบุกเต็มรูปแบบจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่ต้องมีใครลงมือทำอะไรสักอย่าง โรเบิร์ต แมคนามาร่าได้สนับสนุนการปิดกั้นทางทะเลด้วยการที่มันเป็นทางเลือกที่มีกำลังแต่ก็จำกัดทางกองทัพให้อยู่ในการควบคุม ตามกฎหมายนานาชาติแล้วการปิดกั้นนั้นเป็นการกระทำของสงคราม แต่เคนเนดีไม่คิดว่ามันมีข้อจำกัดเพียงเท่านั้น เขาคิดว่าสหภาพโซเวียตจะไม่ถูกกระตุ้นให้ทำการโจมตีเพราะเพียงแค่มีการปิดกั้นเท่านั้น ในวันที่ 19 ตุลาคม การบินสอดแนมของยู-2 แสดงให้เห็นฐานยิงขีปนาวุธสี่แห่ง ในส่วนหนึ่งของการปิดกั้นกองทัพสหรัฐได้เตรียมตัวพร้อมอย่างมากในการใช้กำลังบังคับในการปิดกั้นและพร้อมสำหรับการเข้าบุกคิวบา กองพลยานเกราะที่ 1 ถูกส่งไปที่จอร์เจียและกองทัพบกห้ากองพลเตรียมพร้อมที่จะเข้าบุก ฝ่ายศูนบ์บัญชาการยุทธศาสตร์ทางอากาศได้ส่งเครื่องบินทิ้งขนาดกลางบี-47 สตราโตเจ็ทไปยังสนามบินพลเรือนและเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักบี-52 สตราโตฟอร์เทรสเข้าสู่การเตรียมพร้อม ตามธรรมเนียมในทางปฏิบัติแล้วการปิดกั้นนั้นเป็นการขัดขวางเรือทุกประเภทไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ที่ถูกปิดกั้น และจัดว่าเป็นการกระทำของสงคราม การกักประเทศนั้นดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ในกรณีนี้จะมีการใช้อาวุธอย่างจำกัด เคนเนดีได้จัดการปราศรัยขึ้นซึ่งเขาได้กล่าวว่า "เพื่อหยุดการโจมตีเหล่านี้ การกักเรืออย่างเข้มงวดจึงจะเริ่มขึ้นในคิวบา" "1962 Year In Review: Cuban Missile Crisis" ในเอกสารของนายพลเรือแอนเดอร์สันได้แสดงความแตกต่างระหว่างการจำกัดการใช้อาวุธและการจำกัดทุกอย่าง โดยแสดงให้เห็นว่าการปิดกั้นแบบทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาตั้งใจจะทำ ด้วยการที่มันเป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในน่านน้ำสากล ประธานาธิบดีเคนเนดีจึงทำการอนุญาตกองทัพให้ปฏิบัติการภายใต้สนธิสัญญาการป้องกันของสหรัฐ เมื่อเวลา 19.00 ของวันที่ 22 ตุลาคม ประธานาธิบดีเคนเนดีได้ปราศรัยทางวิทยุโดยประกาศถึงการค้นพบตำแหน่งของขีปนาวุธ เพียงหนึ่งชี่วโมงหลังจากนั้นเมื่อเวลา 11:24 มีการส่งโทรเลขโดยจอร์จ บอลไปยังสถานทูตอเมริกาในตุรกีและสถานทูตอเมริกาส่งต่อให้กับนาโต้โดยระบุว่าพวกเขาต้องการยื่นข้อเสนอที่จะถอนขีปนาวุธออกจากตุรกีเพื่อแลกกับการที่อีกฝ่ายถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา ต่อมาในเช้าของวันที่ 25 ตุลาคมนักข่าวชื่อวอลเตอร์ ลิปป์แมนได้เสนอทางออกเดียวกันในหนังสือพิมพ์ของเขา ในช่วงที่วิกฤติยังดำเนินต่อไป ในค่ำนั้นโซเวียตได้รายงานถึงการแลกเปลี่ยนข้อตกลงผ่านทางโทรเลขระหว่างครุสชอฟและเบิร์ตแรนด์ รัสเซล ซึ่งครุสชอฟได้เตือนว่าการกระทำเยื่ยงโจรสลัดของสหรัฐจะนำไปสู่สงคราม อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 21:24 มีโทรเลขจากครุชเชฟถึงเคนเนดีซึ่งได้รับเมื่อเวลา 22:52 ซึ่งครุสชอฟได้บอกถึงการที่สหภาพโซเวียตจะปฏิเสธทุกการกระทำตามอำเภอใจของสหรัฐ และมองว่าการปิดกั้นทางทะเลเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวและเรือของพวกเขาจะได้รับคำสั่งให้เพิกเฉย ในคืนของวันที่ 23 ตุลาคมเหล่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้สั่งการฝ่ายบัญชาการยุทธศาสตร์ทางอากาศให้ไปยังเดฟคอน 2 (DEFCON 2) เพื่อเพียงยืนยันเวลา ข้อความและการโต้ตอบถูกส่งแบบถอดรหัสเพื่อทำให้หน่วยข่าวกรองของโซเวียตได้รับมัน เรดาร์เตรียมพร้อม แต่ละฐานต่อสายตรงสู่ศูนย์บัญชาการการป้องกันทางอากาศในอเมริกาเหนือ  เมื่อเวลา 01:45 ของวันที่ 25 ตุลาคมเคนเนดีได้ตอบโทรเลขของครุสชอฟด้วยการกล่าวว่าสหรัฐถูกบังคับให้ทำการหลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าไม่มีขีปนาวุธที่พร้อมโจมตีใด ๆ ในคิวบา และเมื่อการยืนยันเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาดเขาหวังว่ารัฐบาลของโซเวียตจะกระทำการที่จำเป็นเพื่อทำให้สถานการณ์กลับไปเป็นปกติ

เมื่อเวลา 07:15 เรือยูเอสเอส เอสเซ็กซ์และยูเอสเอส เกียร์ริ่งได้พยายามเข้าสกัดกั้นเรือชื่อบูชาเรสท์แต่ล้มเหลว เรือบรรทุกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางทหารจะสามารถผ่านการปิดกั้นไปได้ หลังจากวันนั้นเมื่อเวลา 17:43 ผู้บัญชาการการปิดกั้นได้สั่งการให้เรือยูเอสเอส เคนเนดีเข้าสกัดกั้นและเข้ายึดเรือของเลบานอน หลังจากที่เรือลำดังกล่าวถูกตรวจก็ผ่านไปได้

เมื่อเวลา 17:00 นายวิลเลียม คลีเมนท์ได้ประกาศว่าขีปนาวุธในคิวบายังคงทำงานอยู่ ต่อมารายงานนี้ได้รับการตรวจสอบโดยซีไอเอที่แนะว่าขีปนาวุธนั้นไม่เคยหยุดทำงานเลย เคนเนดีตอบโต้ด้วยการสั่งการให้เครื่องบินทุกลำติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์

เช้าวันต่อมาเคนเนดีได้รายงานต่อคณะกรรมการบริหารว่าเขาเชื่อว่าเพียงแค่การบุกก็เพียงพอแล้วในถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา อย่างไรก็ตามเขาถูกโน้มน้าวให้ใช้เวลาและใช้การเจรจาทางการทูต เขาเห็นด้วยและสั่งการให้การบินที่ระดับต่ำเหนือเกาะมีทุก ๆ สองชั่วโมง เขายังวางแผนให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ของคิวบาขึ้นมาหากเกิดการบุก

เมื่อมาถึงจุดนี้วิกฤตการณ์ยังคงเป็นการคุมเชิงอยู่ สหภาพโซเวียตไม่แสดงสัญญาณใด ๆ ที่ว่าพวกเขาจะยอมจำนนและยังเข้าการขัดขวางอีกด้วย สหรัฐไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อในทางตรงกันข้ามและยังอยู่ในช่วงแรกของการเตรียมเข้าบุก พร้อมกับการใช้นิวเคลียร์โจมตีโซเวียตในกรณีโซเวียตใช้กำลังทางทหารเข้าโต้ตอบ

การโจมตีคิวบาโดยตรงจะทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ อเมริกาพูดถึงการโจมตีดังกล่าวอย่างไม่รับรู้ความจริง สำหรับผมแล้วพวกเขาจะแพ้สงครามอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวแทนจากทั้งเคนเนดีและครุสชอฟได้ตกลงที่จะพบกันในร้านอาหารจีนชื่อเยนฉิงในคลีฟแลนด์พาร์คใกล้กับกรุงวอชิงตัน เคนเนดีแนะว่าพวกเขาจะยอมรับข้อเสนอของครุสชอฟเพื่อแลกเปลี่ยนขีปนาวุธ สมาชิกส่วนมากของเอ็กซ์คอมม์ (EXCOMM) ไม่รู้ว่าโรเบิร์ต เคนเนดีได้ประชุมกับสถานทูตของสหภาพโซเวียตในวอชิงตันเพื่อค้นหาว่าความตั้งใจเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ เอ็กซ์คอมม์นั้นมักไม่เห็นด้วยกับการยื่นข้อเสนอเพราะว่ามันจะเป็นการทำให้นาโต้เสื่อมลง และรัฐบาลตุรกีได้แถลงการซ้ำหลายครั้งว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแลกเปลี่ยนดังกล่าวเมื่อการประชุมดำเนินไปก็ได้มีแผนใหม่เกิดขึ้นและเคนเนดีก็ถูกโน้มน้าวอย่างช้า ๆ แผนใหม่นี้เป็นการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีเพิกเฉยต่อข้อความล่าสุดและตอบข้อความก่อนหน้าของครุสชอฟแทน เคนเนดีลังเลใจในตอนแรก เขารู้สึกว่าครุสชอฟจะไม่ยอมรับข้อเสนออีกต่อไปเพราะว่ามีข้อตกลงใหม่เกิดขึ้น แต่เลิลเวลลีน ทอมป์สันเถียงว่ายังไงครุสชอฟก็ต้องตกลงอยู่ดี ที่ปรึกษาพิเศษของทำเนียบขาวธีโอดอร์ ซอร์เรนเซ่นและโรเบิร์ต เคนเนดีออกจากการประชุมและกลับมาหลังจาก 45 นาทีผ่านไปพร้อมกับร่างจดหมาย ประธานาธิบดีทำการเปลี่ยนแปลงมากมาย พิมพ์ และส่งมันออกไป หลังจากการประชุมของเอ็กซ์คอมม์ก็มีการประชุมที่เล็กกว่าดำเนินต่อในห้องประชุม กลุ่มถกเถียงว่าจดหมายควรได้รับการเน้นคำพูดให้กับสถานทูตดอบรีนินที่กล่าวว่าหากขีปนาวุธไม่ถูกถอนออก จะมีการใช้กำลังทางทหารเพื่อนำมันออกแทน ดีน รัสก์ได้เพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีกด้วยว่าไม่มีส่วนใดในการตกลงที่พูดถึงตุรกี แต่จงเข้าใจด้วยว่าขีปนาวุธจะถูกถอนออกอย่างเต็มใจทันทีที่วิกฤตการณ์จบสิ้นแล้ว ประธานาธิบดีเห็นด้วยและส่งข้อความดังกล่าวออกไป  ตามการร้องขอ ฟอมินและสกาลีได้มาพบกันอีกครั้ง สกาลีถามว่าทำไมจดหมายทั้งสองฉบับจากครุสชอฟจึงแตกต่างกันนัก ฟอมินอ้างว่ามันเป็นเพราะ"การสื่อสารที่แย่" สกาลีตอบกลับว่าคำอ้างนั้นไม่น่าเชื่อถือและตะโกนว่ามันคือการหักหลัง เขาอ้างว่าการบุกจะเริ่มภายในหนึ่งชั่วโมง ซึ่งจุดนั้นเองฟอมินได้กล่าวว่าการตอบข้อความของสหรัฐถูกคาดการณ์โดยครุสชอฟไม่นานนัก และเขาผลักดันให้สกาลีบอกกับกระทรวงการต่างประเทศว่าไม่มีการทรยศใด ๆ ทั้งสิ้น สกาลีกล่าวว่าเขาไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อเขา แต่เขาก็ตกลงที่จะส่งข้อความดังกล่าว ทั้งสองแยกทางกันไป สกาลีรีบเขียนบันทึกส่งให้กับเอ็กซ์คอมม์ทันที  ภายในสหรัฐเป็นที่เข้าใจกันดีว่าการเพิกเฉยข้อเสนอครั้งที่สองและกลับไปใช่ข้อเสนอแรกจะทำให้ครุสชอฟต้องตกที่นั่งลำบาก การเตรียมการทางทหารยังคงดำเนินต่อไปและนายทหารอากาศถูกเรียกกลับฐานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการ ต่อมาโรเบิร์ต เคนเนดีได้แสดงความคิดของเขาว่า "เราไม่ได้ละทิ้งความหวังเสียหมด แต่ความหวังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจใหม่ของครุสชอฟในอีกไม่กี่ชั่วโมง มันคือความหวังไม่ใช่การคาดหมาย การคาดหมายคือการเผชิญหน้าทางทหารในวันอังคาร และอาจเป็นพรุ่งนี้"

เมื่อเวลา 20:05 จดหมายถูกร่างขึ้นมาก่อนที่จะถูกส่ง ในจดหมายมีข้อความดังนี้ "เมื่อข้าพเจ้าได้จดหมายของท่าน ตามข้อเสนอของท่าน ซึ่งดูเหมือนเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งจะเป็นดังนี้ 1) ท่านจะต้องยินยอมที่จะถอนระบบอาวุธออกจากคิวบาภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ และสัญญาว่าจะไม่นำเอาอาวุธเช่นนั้นเข้ามาในคิวบาอีก 2) ในทางเราจะยินยอมตามข้อตกลงผ่านทางสหประชาชาติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการดำเนินการรับผิดชอบการกระทำต่อไปนี้ (a) เพื่อที่จะยกเลิกการกักกัน และ (b) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการบุกคิวบา"

เมื่อจดหมายถูกส่งออกไปก็มีข้อตกลงเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามตามที่โรเบิร์ต เคนเนดีบันทึกเอาไว้ ว่ามีการคาดหวังเล็กน้อยที่ว่าจดหมายนั้นจะได้การตอบรับ เมื่อเวลา 21:00 เอ็กซ์คอมม์ทำการประชุมอีกครั้งเพื่อทบทวนการกระทำสำหรับวันต่อไป มีการร่างแผนสำหรับการโจมตีทางอากาศเข้าใส่ฐานขีปนาวุธและเป้าหมายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่คลังปิโตรเลียม แมคนามาร่ากล่าวว่าพวกเขาต้องมี 2 สิ่งที่พร้อมเสมอ นั่นคือรัฐบาลสำหรับคิวบาและแผนสำหรับการโต้ตอบสหภาพโซเวียตในยุโรป เพราะว่าพวกโซเวียตต้องทำอะไรสักอย่างในยุโรปแน่นอน

เมื่อเวลา 24:00 ของวันที่ 27 ตุลาคม สหรัฐได้รายงานต่อนาโต้ว่าสถานการณ์กำลังสั่นลง สหรัฐอาจพบว่ามันจำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในตะวันตกให้ใช้กำลังทางทหารหากจำเป็น เพื่อเพิ่มความมั่นใจ เมื่อเวลา 06:00 ซีไอเอได้รายงานว่าขีปนาวุธทุกลูกในคิวบาพร้อมใช้งานแล้ว

ในวันที่ 27 ตุลาคม กองทัพเรือสหรัฐได้หย่อนระเบิดน้ำลึกหลายชุดเข้าใส่เรือดำน้ำของโซเวียตในเขตกักกัน โดยไม่ระวังว่ามันจะติดตั้งตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมได้รับคำสั่งให้โจมตีเมื่อถูกระเบิดน้ำลึก

จุดจบของวิกฤติการณ์ในปี 1962


หลังจากไตร่ตรองอย่างหนักระหว่างสหภาพโซเวียตและคณะรัฐมนตรีของเคนเนดี เคนเนดีเห็นด้วยอย่างลับ ๆ ที่จะถอนขีปนาวุธทั้งหมดในตุรกีตามแนวชายแดนโซเวียตเพื่อแลกกับการที่ครุสชอฟนำขีปนาวุธออกจากคิวบา

เมื่อเวลา 09:00 ของวันที่ 28 ตุลาคม มีข้อความใหม่จากครุสชอฟถูกกระจายเสียงทางวิทยุของมอสโคว์ ครุสชอฟได้กล่าวว่า "รัฐบาลของโซเวียตได้ตกลงที่จะหยุดการสร้างฐานยิงอาวุธ และได้ประกาศคำสั่งใหม่ให้รื้อถอนอาวุธที่พวกท่านมองว่าเป็นภัยคุกคามและส่งพวกมันกลับสหภาพโซเวียต"

เคนเนดีตอบรับในทันทีด้วยการแถลงการทางจดหมายว่ามันเป็นการช่วยรักษาความสงบ เขายังว่าต่อด้วยว่าจดหมายฉบับก่อน ๆ ที่ว่า "ข้าพเจ้าตัดสินใจส่งจดหมายให้ท่านในวันที่ 27 ตุลาคมและการตอบรับของท่านในวันนี้เป็นการยืนยันสัญญาของรัฐบาลทั้งสองซึ่งควรจะคงอยู่ต่อไป... สหรัฐจะทำการแถลงในขอบข่ายงานของสภาความมั่นคงเพื่ออ้างอิงถึงคิวบา มันจะเป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่รุกล้ำเขตแดนและอำนาจของคิวบา ซึ่งจะไม่ก้าวก่ายงานภายในประเทศ ไม่ใช่เพื่อการรุกรานและไม่ใช่เพื่ออนุญาตให้ใช้อาณาเขตของสหรัฐเป็นหัวหอกในการโจมตีคิวบา และจะยับยั้งผู้ที่วางแผนจะโจมตีคิวบาผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากข้อตกลงของเคนเนดีและคุรสชอฟคือมันได้ทำให้ตำแหน่งของกัสโตรแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในคิวบา ซึ่งเขาจะไม่ถูกรุกล้ำโดยสหรัฐ มันเป็นไปได้ที่ครุสชอฟนำขีปนาวุธเข้าคิวบาเพียงเพื่อที่จะทำให้เคนเนดีถอนขีปนาวุธออกจากตุรกี และโซเวียตนั้นไม่มีเจตนาในการเริ่มสงครามนิวเคลียร์หาพวกเขามีอาวุธน้อยกว่าฝ่ายอเมริกา อย่างไรก็ตามเนื่องมาจากการถอนขีปนาวุธออกจากตุรกีไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะในเวลานั้น ครุสชอฟจึงดูเหมือนว่าพ่ายแพ้และกลายเป็นคนอ่อนแอ แนวคิดคือเคนเนดีมีชัยในการแข่งขันทางอำนาจและครุสชอฟก็ต้องอับอาย อย่างไรก็ดีครุสชอฟก็ยังครองอำนาจไปอีก 2 ปี  (คัดลอกและอ้างอิงจาก เว็บวิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)

 
2.วิกฤติการณ์ชิงตัวประกันที่อิหร่าน  หรือ เหตุการณ์จับตัวประกันชาวอเมริกันในอิหร่าน ปี ค.ศ. 1979

สัมพันธภาพระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย หลังจากการปฏิวัติศาสนาในอิหร่าน และอิทธิพลของอเมริกันในประเทศนี้ก็เปลี่ยนเป็นลบ ตราบจนถึงปัจจุบัน ความจริงสหรัฐอเมริกามีความสนใจและเคยมีผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ ทั้งทางด้านความเป็นแหล่งพลังงานน้ำมันขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง  ในปัจจุบัน อิหร่านเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งยิ่งทำให้เป็นที่กังวลของมหาอำนาจตะวันตก อย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ กลุ่มสหภาพยุโรป และรวมถึงอิสราเอล แต่ทั้งหมดนี้ การเผชิญหน้ากัน และความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอาจคลี่คลายลงไปในยุคที่อิหร่านได้เปลี่ยนผู้นำทางการบริหารใหม่ 

เช้าตรู่ของวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 กลุ่มนักศึกษาปฏิวัติมุสลิมเคร่งศาสนาที่โกรธสหรัฐอเมริกาที่รับตัวอดีตกษัตริย์พระเจ้าซาห์ โมฮัมเม็ด เลซาร์ ปาห์เลวี (Shah Pahlavi) ที่ป่วยรักษาโรคมะเร็งอยู่ในสหรัฐให้กลับไปรับโทษทัณฑ์ที่อิหร่าน แต่กลับขอมาลี้ภัยในแผ่นดินสหรัฐอเมริกาได้ จึงฝ่ากองกำลังของนาวิกโยธินสหรับ เข้าไปจับตัวเจ้าหน้าที่ผู้ที่ทำงานในสถานฑูตสหรัฐในกรุงเตหะราน (Tehran) ผู้ที่อยู่ในสถานทูตอเมริกัน 52 คน ถูกกักตัวไว้นาน 444 วัน กลุ่มนักศึกษาได้เรียกร้องและกดดันรัฐบาลอิหร่านต่อสหรัฐให้ส่งตัวพระเจ้าซาห์ ปาห์เลวี กลับอิหร่าน แต่รัฐบาลสหรัฐในเวลานั้นกลับปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยอ้างว่าพระเจ้าซาห์ยังอยู่ในสถานภาพเป็นคนไข้รักษาตัว เหตุการณ์นี้ได้สร้างรอยร้าวขึ้นใหญ่หลวง ทำให้อิหร่านงดส่งน้ำมันไปยังสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐก็ตอบโต้ด้วยการอายัดทรัพย์สินของอิหร่านที่มีอยู่ในสหรัฐทันที กว่า 2 แสนล้านบาท นับเป็นความรุนแรงที่ทำให้มีการตัดความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน และอิทธิพลของอเมริกันต่อชาวอิหร่านสายกลางได้สิ้นสุดลง นายกรัฐมนตรี Mehdi Bazargan ผู้ไม่เห็นด้วยกับการจับตัวประกันได้ลาออกในเวลาต่อมา ส่วนฝ่ายที่จับตัวประกันให้เหตุผลว่า เป็นการตอบโต้ต่อสหรัฐ อันเป็นผลจากการที่สหรัฐหนุนหลังให้มีการรัฐประหารล้มอำนาจของนายกรัฐมนตรี Mosaddeq ในอิหร่านในปี ค.ศ. 1953 โดยกล่าวว่า ท่านไม่มีเหตุผลใดที่ได้จับประเทศอิหร่านเป็นตัวประกันในปี ค.ศ. 1953” นอกจากนี้ ชาวอิหร่านบางส่วนกังวลว่าสหรัฐอเมริกาจะวางแผนรัฐประหารในปี ค.ศ. 1979  สหรัฐยังได้ส่งกองเรือไปประชิดทะเลอาหรับ จากความกดดันของสหรัฐ ทำให้อัลยาโตเลาะห์ โคไมนี ยอมปล่อยตัวประกันชาวผิวสีออกมาก่อน 3 คน และยอมปล่อยชาวผิวสีออกมาอีก 10 คนในระลอกสอง กลุ่มประชาชนในอิหร่านที่ไม่พอใจพากันไปประท้วงที่สถานฑูตสหรัฐในประเทศต่างๆ พยายามหาพันธมิตรแนวร่วม ไปฟ้องศาลโลก และสหประชาชาติด้วย

อิหร่านมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งจะสถาปนาอิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลามหรือรัฐเทวธิปไตย รัฐธรรมนูญใหม่นี้ได้รับการตอบรับประชาชนอย่างท่วมท้นกว้างขวาง 99.60 ของประชากรทั้งหมด ผลการเลือกต้งประธานาธิบดีคนแรกที่ได้ อะโบลฮัสซัน บันนิซัดร์ (Abolhassan Bannisadr) อดีต รมว.คลังที่กลายมาเป็น ปธน. เมื่ออิหร่านมีผู้ปกครองโดยชอบธรรม การตัดสินใจหรือกดดันจากกลุ่มนักศึกษาจึงกลับไปขัดแย้งกับรัฐบาลของตนแทน ด้านสหรัฐก็ลดท่าทีแข็งกร้าวต่อรัฐบาลอิหร่าน

ในที่สุดตัวประกันการทูตของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการปล่อยตัว แต่การกักตัวทูตและผู้ทำงานการทูตในครั้งนั้น นับเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายนานาชาติ เป็นการรุกล้ำเขตที่ถือเป็นอธิปไตยของประเทศ ส่วนในช่วงการกักตัวประกันไว้ในสถานทูต สหรัฐอเมริกาได้ใช้ความพยายามช่วยตัวประกัน โดยมี ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์” (Operation Eagle Claw) ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1980 แต่ล้มเหลว ทำให้เสียทหารไป 8 นาย และต้องล้มเลิกแผนงาน เหตุวิกฤติจบลงในที่สุด เมื่อมีการลงนามในสัญญา Algiers Accords ในประเทศอัลจีเรียในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1981 และมีการปล่อยตัวประกัน ในข้อตกลง มีการปล่อยตัวคนอเมริกันที่ถูกกักตัวในอิหร่าน และอีกด้านหนึ่ง มีการปล่อยตัวคนสัญชาติอิหร่านที่ต้องโทษในสหรัฐอเมริกา  แต่สนธิสัญญานี้ครอบคลุมเพียงด้านกฎหมาย แต่ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1980 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสัมพันธ์กับอิหร่าน ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1981 รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์สหรัฐในอิหร่าน และสถานทูตปากีสถานในกรุงวอชิงตันดีซี ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอิหร่านในสหรัฐอเมริกา แต่เพื่อเป็นการตอบโต้ต่ออิหร่าน จึงมีการลงโทษทางเศรษฐกิจ ทรัพย์สินของรัฐบาลอิหร่านในต่างประเทศ ในธนาคารต่างประเทศถูกอายัด มีการห้ามทุกประเทศทำการค้าขายกับอิหร่าน ด้วยเหตุดังกล่าว อิหร่านจึงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ฝ่ายรัฐบาลกลับยิ่งใช้นโยบายกร้าวต่อประชากรที่เอนเอียงไปทางการรับวัฒนธรรมตะวันตก และกลุ่มที่เรียกร้องเสรีภาพ  สังคมอิหร่านเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่ในอิหร่าน ประธานาธิบดีสายเหยี่ยวที่กร้าวต่อตะวันตกหมดอำนาจไป ส่วนผู้ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามารับตำแหน่งคนใหม่ ฮัสซัน รูฮาห์นี (Hassan Rouhani) ประธานาธิบดีคนที่ 7 ของอิหร่าน ซึ่งเป็นพวกเดินสายกลาง และต้องการมีสัมพันธภาพใหม่กับทางตะวันตก  คงจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังความขัดแย้งแตกหักตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 และสืบเนื่องยาวนาน นับเป็นเวลาถึง 34 ปีแล้ว

ต่อมาในวันที่ 23 กรกฏาคม 1980 พระเจ้าซาห์แห่งอิหร่านก็ได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งในตับและตกเลือด เมื่อประชาชนทราบข่าวต่างพากันดีใจ แต่โฆษกรัฐบาลประกาศว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ทำให้สถานการณ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านต้องเปลี่ยนไป และรัฐสภาอิหร่านจะเป็นผู้พิจารณาคดีตัวประกันที่ถูกควบคุมอยู่เอง ซึ่งสหรัฐก็ยอมอ่อนข้อร่วมมือตั้งคณะกรรมการสอบสวนความสัมพันธ์ในอดีตของสหรัฐ กับพระเจ้าซาห์ ต่อมาอิหร่านก็ได้ร่างเงื่อนไขออกมา 4 ข้อ เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับตัวประกัน 52 คนของสหรัฐ

ภูมิหลังประเทศอิหร่าน


อิหร่าน (Iran) หรือที่รู้จักกันในนาม เปอร์เชีย” (Persia) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (Islamic Republicof Iran) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 จัดเป็นประเทศหนึ่งในเอเซียตะวันตก (Western Asia) มีเขตแดนทางเหนือติดกับประเทศอาร์เมเนีย (Armenia), อาเซอร์ไบจัน (Azerbaijan) และเติร์กเมนิสตาน (Turkmenistan), และทางเหนือติดกับคาซัคสถาน (Kazakhstan) และรัสเซีย (Russia) ตลอดไปจนถึงทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) และอ่าวโอมาน (Gulf of Oman) ในทางตะวันตกติดกับอิรัค (Iraq) และทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับเตอรกี (Turkey) อิหร่านจัดเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ 1,648,195 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 18 ของโลก มีความหลากหลายทางชนชาติ (Ethnically diverse) มีประชากร 77 ล้านคน มีพื้นที่เป็นภูเขามาก นับเป็นเขตที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์การเมือง (geopolitical significance) ด้วยมีพื้นที่สัมผัสทาง 3 เขตของเอเชีย อิหร่านมีเมืองหลวงและมีประชากรมากที่สุด ชื่อ เตหะราน (Tehran) นับเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศ อิหร่านจัดเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค มีผลต่อความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจโลก เพราะความเป็นแหล่งพลังงานปิโตรเลียม ทั้งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติขนาดใหญ่ มีแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่เป็นที่ 4 ของโลก อิหร่านเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดี ด้วยมีผลิตผลน้ำมัน มีรายได้ปราชาชนต่อหัว/ปี ที่ประมาณ USD13,000 จัดอยู่ในระดับกลางค่อนข้างสูงของโลก ใกล้เคียงกับมาเลเซีย บราซิล และเมกซิโก  อิหร่านยังเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง มีราชวงศ์แรกที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงราชวงศ์อีลามไมท์ (Elamite kingdom) ในช่วง 2800 ปีก่อนคริสตกาล ในยุค Iranian Medes อิหร่านได้มีการรวมประเทศเป็นอาณาจักรในปี 625 ก่อนคริสตกาล ไซรัสมหาราช (Cyrus the Great) ได้ก่อตั้งอาณาจักรอาเมนิด (Achaemenid Empire) ในช่วง 550-330 ปีก่อนคริสตกาล มีอาณาบริเวณใหญ่สุดในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล นับเป็นอาณาจักรโบราณขนาดใหญ่เหยียดยาวจากหุบเขาอินดัส (Indus Valley) ไปทางตะวันออก ถึง เธรส (Thrace) และมาซีดอน (Macedon) ทางตะวันออกเฉียงเหนือไปจนจรดกรีก (Greece) นับเป็นอาณาจักรใหญ่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น  ในช่วง 633 หลังการเริ่มคริสตกาล กองทัพมุสลิมได้บุกอิหร่าน และได้ปกครองเขตนี้ในปี ค.ศ. 651 ในปี ค.ศ. 1501 ได้เกิดราชวงศ์ซาฟาวิด (Safavid dynasty) ที่ได้ส่งเสริมอิสลามนิกายชีอะ (Twelver Shia Islam) ถือเป็นศาสนาหลักของอาณาจักร นับเป็นช่วงสำคัญของประวัติอิสลามในประเทศอิหร่าน  ในปี ค.ศ. 1906 อิหร่านได้มีการปฏิวัติรัฐธรรมนูญ (Persian Constitutional Revolution) ทำให้ประเทศมีรัฐสภาเป็นครั้งแรก โดยมีระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในปี ค.ศ. 1953 ด้วยอิทธิพลของสหรัฐกับอังกฤษ ได้มีการก่อรัฐประหาร ซึ่งทำให้อิหร่านค่อยๆกลายเป็นรัฐเผด็จการ ประชาชนเริ่มปฏิเสธอิทธิพลของต่างชาติ และเมื่อมีการปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolution) ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1979 จึงได้เกิดสาธารณรัฐอิสลาม (Islamic republic) ปฏิเสธวัฒนธรรมตะวันตก และเกิดการต่อต้านสหรัฐอเมริกา จนถึงระดับจับตัวนักการทูตเป็นตัวประกันในปี ค.ศ. 1979 ดังได้พรรณนามาแล้ว  อิหร่านเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง สหประชาชาติ (United Nations - UN), ประเทศผู้ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement - NAM), องค์การความร่วมมือศาสนาอิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation  - OIC) และองค์การประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียม (Organization of the Petroleum Exporting Countries - OPEC) ระบบการปกครองของอิหร่านปัจจุบัน อาศัยรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1979 ซึ่งมีองค์ประกอบของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (parliamentary democracy) ผสมกับอำนาจจากศาสนจักร (Religious theocracy) โดยมีฝ่ายศาสนาเป็นผู้บริหารประเทศ อำนาจสูงสุดอยู่ภายใต้ผู้นำสูงสุด (Supreme Leader) อันมาจากฝ่ายศาสนา ศาสนาอย่างเป็นทางการของอิหร่านคือชีอะ (Shia Islam) และมีภาษาเปอร์เซีย (Persian) เป็นภาษาทางการ (คัดลอกและอ้างอิงข้อมูลจากเพจของคุณประกอบ คุปรัตน์ http://pracob.blogspot.com/2013/09/1979.html,และเพจของ myfirstbrain.com)