เอเอฟพี/รอยเตอร์
- กรีซ เมื่อวันอังคาร (30
มิ.ย.)
กลายเป็นประเทศพัฒนาชาติแรกในประวัติศาสตร์ที่ผิดนัดชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(ไอเอ็มเอฟ) หลังไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ 1,500 ล้านยูโร
ที่ครบกำหนดไปเมื่อเวลา 22.00 จีเอ็มที (ตรงกับเมืองไทย 05.00
น.ของวันพุธ)
การพลาดจ่ายเงินดังกล่าวถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
มีค่าเท่ากับผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งส่อนัยถึงการละเมิดพันธสัญญาของเอเธนส์
โดยทางแกร์รี ไรซ์ โฆษกของไอเอ็มเอฟบอกว่า “เราได้แจ้งแต่คณะกรรมการบริหารแล้วว่าตอนนี้กรีซค้างชำระหนี้
และจะได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจากไอเอ็มเอฟก็ต่อเมื่อเคลียร์หนี้ค้างชำระแล้วเท่านั้น” หลังจากพยายามตลอดทั้งวันในการกู้ชีพข้อตกลงช่วยเหลือทางการเงินกับสหภาพยุโรป
แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ กรีซได้ร้องขอนาทีสุดท้ายไปยังไอเอ็มเอฟ
สำหรับขอขยายเวลาชำระหนี้ที่ครบกำหนดตอน 22.00 จีเอ็มที
(ตรงกับเมืองไทย 05.00 น.ของวันพุธ) ออกไป
โดยไรซ์ยืนยันว่ามีคำขอดังกล่าวมาจริงและตอนนี้บอร์ดบริหารก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้
“คำร้องขอยืดเวลาชำระหนี้จะถูกส่งไปยังคณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม” กรีซพยายามทาบทามเหล่าเจ้าหนี้นานาชาติในนาทีสุดท้ายเพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงินในวันอังคาร
(30 มิ.ย.)
แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะปกป้องพวกเขาจากการกลายเป็นประเทศพัฒนาชาติที่ผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มไอฟ รัฐบาลฝ่ายซ้ายของกรีซร้องขอคู่หูยุโรปสำหรับแพกเกจช่วยเหลือ
2 ปีเพื่อชดเชยความจำเป็นทางการเงิน และในช่วงค่ำวันอังคาร (30
มิ.ย.) นายยานิส วารูฟาคิส รัฐมนตรีคลังกรีซ
บ่งชี้ในคำร้องขอต่อเหล่ารัฐมนตรีคลังยุโรปว่าบางทีเอเธนส์อาจยอมยกเลิกการจัดประชามติในวันที่
5 กรกฎาคม หากบรรลุข้อตกลง ความโกลาหลทางการทูตดังกล่าวคือความพยายามดึงเหล่าเจ้าหนี้คืนสู่การเจรจา
หลังการหารือที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 เดือนพังครืนลงโดยไม่ได้ข้อสรุปใดๆ
กระพือความเป็นไปได้ว่ากรีซอาจต้องออกจากยูโรโซน แม้สุดท้ายจะเป็นไปตามคาดหมายที่กรีซไม่สามารถจ่ายหนี้คืนแก่ไอเอ็มเอฟ
แต่กระนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปส่งสัญญาณว่าจะไม่ยอมแพ้ในการหาทางออกแก่กรีซง่ายๆ
ด้วยเหล่ารัฐมนตรีคลังจะประชุมกันในวันพุธ (1 ก.ค.)
เพื่อหารือถึงคำร้องขอเงินกู้ยืมล่าสุดของซีปราส
ซึ่งผลก็คือดึงทุกฝ่ายคืนสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง แหล่งข่าวคาดหมายว่าในวันพุธ
เหล่าเจ้าหนี้ที่จะหารือคำร้องขอของนายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ
ที่ขอเงินกู้ยืมรอบใหม่ 2 ปีเพื่อจ่ายหนี้ เป็นจำนวนเกือบ 30,000
ล้านยูโร นอกจากนี้ นายซีปราสยังต้องการปรับโครงสร้างหนี้
ประเด็นที่เหล่าเจ้าหนี้ไม่สู้เต็มใจประนีประนอม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการประชุมในวันพุธจะประสบความสำเร็จหรือไม่
เนื่องจากความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเอเธนส์กับสหภาพยุโรปอยู่ในภาวะขาดรุ่งริ่งตามหลังการเจรจาอันเผ็ดร้อน
ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็เสื่อมทรามลงไปอีก หลังจากเมื่อวันเสาร์ (27
มิ.ย.)
ตัดสินใจนำข้อเสนอปฏิรูปแลกเงินช่วยเหลือของเหล่าเจ้าหนี้ไปให้ประชาชนลงประชามติในวันที่
5 กรกฎาคม
รอยเตอร์ – ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดวันนี้
(1 ก.ค.) เผย ประชาชนชาวกรีซส่วนใหญ่จะโหวต “โน” ไม่เอาแผนปฏิรูปรับเงินช่วยเหลือจากองค์กรเจ้าหนี้
ในการทำประชามติวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (5 ก.ค.)
แต่กระแสเริ่มแผ่วลงมา โดยมีคะแนนนำฝ่ายที่จะโหวต “เยส”
อยู่เพียงเฉียดฉิว
ภายหลังรัฐบาลเอเธนส์ประกาศมาตรการควบคุมเงินทุนและสั่งปิดธนาคาร ผลสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่
28-30 มิ.ย. และเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ Efimerida ton
Syntakton พบว่า ชาวกรีซ 54% ที่จะออกไปใช้สิทธิ์ลงประชามติในวันอาทิตย์นี้
ไม่เห็นด้วยกับการยอมรับเงื่อนไขปฏิรูปที่สหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(ไอเอ็มเอฟ) เสนอมา ขณะที่อีก 33% คิดว่ากรีซควรกัดฟันยอมรับเพื่อความอยู่รอด อย่างไรก็ดี
เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจในช่วงก่อนและหลังจากที่รัฐบาลกรีซได้ประกาศควบคุมเงินทุนและปิดสถาบันการเงินทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(28
มิ.ย.) พบว่าช่องว่างระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเริ่มจะ “แคบลง” ชาวกรีซ
57% ที่ตอบคำถามก่อนปิดธนาคาร ระบุว่าพวกเขาจะโหวต “โน” ในขณะที่ผู้โหวต “เยส”
มีเพียง 30% เท่านั้น แต่หลังจากที่มีการปิดธนาคาร
กลุ่มที่จะโหวต “โน” ลดลงมาเหลือ 46%
แต่พวกที่คิดจะโหวต “เยส” กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 37%
ผลสำรวจยังพบด้วยว่า กลุ่มที่สนับสนุนให้โหวต “โน” มากที่สุดคือฐานเสียงของพรรครัฐบาลฝ่ายซ้ายไซรีซา
(77%) พรรคขวาจัดโกลเดนดอว์น (80%) และพรรคคอมมิวนิสต์
เคเคอี (57%) ส่วนเสียงเชียร์โหวต “เยส”
เข้มแข็งเป็นพิเศษในกลุ่มฐานเสียงของพรรคกลางขวาประชาธิปไตยใหม่ (65%)
พรรคสายกลางโปรยุโรป โต โปตามี (68%) รวมถึงพรรคกลางซ้ายปาซ็อก
(65%) กระแสโหวต “โน” ค่อนข้างแรงในกลุ่มพลเมืองกรีซที่ว่างงาน (62%)
และในภาพรวมของประชาชนทุกกลุ่มก็ยังพบว่ามีผู้จะโหวต “โน” มากกว่า “เยส” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
คนวัยเกษียณที่รับเงินบำนาญ พนักงานบริษัท และแม่บ้าน หลังจากที่กลายเป็นชาติพัฒนาแล้วประเทศแรกในโลกที่ “ผิดนัดชำระหนี้” กับไอเอ็มเอฟ ล่าสุดวันนี้ (1
ก.ค.)
รัฐบาลกรีซได้พยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากหุ้นส่วนในยูโรโซนและธนาคารกลางแห่งยุโรป
(อีซีบี) โดยยื่นข้อเสนอกับกลุ่มรัฐมนตรีต่างประเทศยูโรโซน (ยูโรกรุ๊ป)
ว่าจะขอทำข้อตกลงเงินกู้ก้อนใหม่ในช่วงเวลา 2 ปี
และขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส
ของกรีซเองก็แบะท่าว่าอาจจะยอมยกเลิกแผนทำประชามติในวันอาทิตย์(5) หรือไม่ก็หนุนให้ประชาชนโหวต “เยส” หากการเจรจากับสหภาพยุโรปเป็นผลสำเร็จ
เอเจนซีส์ –
Süddeutsche Zeitung สื่อเยอรมันรายงานเอกสารลับ IMF ระบุ จากการประเมินของ IMF พบว่าถึงแม้เอเธนส์ยอมรับข้อเสนอมาตรการรัดเข็มขัดทั้งหมดจากกลุ่มเจ้าหนี้ต่างชาติ
“ทรอยกา” แต่ทว่าจะยังไม่สามารถช่วยให้กรีซออกจากเหววิกฤตหนี้ไปได้
โดยพบว่าในปี 2030 เพดานหนี้กรีซจะยังสูงถึง 118% ของตัวเลข GDP ในปีนั้น RT สื่อรัสเซียรายงานวันนี้(1)ว่า Süddeutsche Zeitung สื่อเยอรมันได้ตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารลับ
IMF ซึ่งมีการคาดการณ์ถึงวิกฤตหนี้สินกรีซว่า
จากการวิเคราะห์ทาง IMF เชื่อว่ากรีซจะยังคงเผชิญหน้ากับวิกฤตหนี้สิ้นที่ไม่แน่นอนต่อไปในปี
2030 โดยเพดานหนี้กรีซจะยังสูงถึง 118% ของตัวเลข GDP ในปีนั้น
ถึงแม้ว่าเอเธนส์จะรับปากตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเจ้าหนี้ “ทรอยกา”
อันประกอบไปด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารกลางยุโรป ECB และ IMF ซึ่งมาตรการเหล่านี้รวมไปถึง มาตรการขึ้นภาษี
และการตัดลดงบประมาณใช้จ่ายประเทศเพื่อแลกรับความช่วยเหลือด้านการเงินในแพคเก็จช่วยเหลือ
5 เดือนมูลค่า 15.5 พันล้านยูโร ซึ่งจากการรายงานครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์เยอรมัน
Süddeutsche Zeitung ที่เป็นผู้ได้รับเอกสาร
หลังจากเอกสารลับเหล่านี้ได้ส่งไปยังคณะรัฐมนตรีเยอรมัน และสื่ออังกฤษ
เดอะการ์เดียน รายงานต่อในภาษาอังกฤษหลังจากได้เห็นเอกสารเหล่านี้ชี้ว่า
การคาดการณ์เหล่านี้ระบุอยู่ในเอกสารจำนวน 6 ชุด ที่ 1
ใน 6ของเอกสารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของดีลเจรจาขั้นสุดท้ายที่ทางกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกาได้ยื่นให้กับเอเธนส์ในวันศุกร์(26มิถุนายน)ที่ผ่านมา และการประเมินเหล่านี้ RT รายงานว่า
ได้สนับสนุนการตัดสินใจของเอเธนส์ในการไม่ตอบรับข้อเสนอของบรรดาเจ้าหนี้ต่างชาติ
ซึ่งพิสูจน์ว่าทางที่จะทำให้กรีซรอดพ้นจากหายนะวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่นี้ต้องมาจาก “มาตรการความช่วยเหลือผ่อนปรนหนี้อย่างจริงจัง” มากกว่าที่จะใช้
“มาตรการรัดเข็มขัด” กับกรีซ นอกจากนี้เดอะการ์เดียน
สื่ออังกฤษยังชี้เพิ่มเติมว่า เพราะการวิเคราะห์ของ IMF พบว่า
ข้อกำหนดตัวเลขเพดานหนี้สินต่ำกว่า 110% ของตัวเลขGDP
ตามที่เกณฑ์ระบุที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีการคลังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปในเดือนพฤศจิกายน
2012 กำหนดนั้น กรีซจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะในปี 2030
กรีซจะยังคงต้องแบกรับหนี้สินถึง 118% ของตัวเลข
GDP ในปีนั้นถึงแม้ทางเอเธนส์จะยอมรับข้อเสนอมาตรการรัดเข็มขัดทุกประการ และโดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน
กรีซต้องแบกรับตัวเลขหนี้สินถึง 175% ของ GDP และอีกทั้งตัวเลขหนี้นี้สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้ง่ายมาก
หากสภาพเศรษฐกิจของกรีซตกไปสู่สภาพเศรษฐกิจแบบถดถอย RT ยังรายงานต่ออีกว่า
ถึงแม้เมื่อพิจารณาในสถานการณ์ที่เป็นบวกมากที่สุด ในสถานการณ์ที่เอเธนส์จะสามารถทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจรุดหน้าได้ไม่ต่ำกว่า
4% ต่อปีอย่างคงที่ในเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า
โดย IMF วิเคราะห์ว่า ระดับเพดานหนี้สินของกรีซจะลดลงไปที่ 124%
เท่านั้นก่อนปี 2022
“เป็นที่เห็นได้ชัดว่า นโยบายที่ถดถอยและแปรปรวนในช่วงเดือนท้ายๆส่งผลต่อความสำเร็จในเป้าหมายตามประกาศปี
2012ของคณะรัฐมนตรีการคลังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
ที่ต้องการให้เพดานหนี้กรีซต่ำกว่า 110% ของตัวเลข GDP
ก่อนปี 2022 นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม” รายงานจากเอกสารลับ IMF
หัวข้อหัวข้อ “The Preliminary Debt Sustainability Analysis
for Greece” และนอกจากนี้ RT
ยังรายงานว่า ชุดเอกสารลับ IMF เหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังรัฐมนตรีเยอรมันทุกคนในคณะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี
อังเกลา แมร์เคิล เพื่อพิจารณาและอนุมัติ แต่ทว่ากลับไม่เคยเกิดขึ้นเนื่องจากนายกรัฐมนตรีกรีซ
อเล็กซิส ซีปราส ได้ปฎิเสธเงื่อนไขทั้งหมดของเจ้าหนี้ต่างชาติ
และประกาศให้ทำประชาพิจารณ์แทน ซึ่งในเอกสารลับ IMF ยังมีการบ่งชี้ด้วยว่า
หากจะสามารถช่วยกู้วิกฤตกรีซให้สำเร็จจากการปลอดหนี้สินแล้ว “จำเป็นต้องมีการถอย” และสื่อรัสเซียยังรายงานถึงเอกสารลับ IMF อีกชิ้น
ซึ่งเป็นเอกสารชิ้นที่ 3 เปิดเผยถึงรายละเอียดข้อตกลงเกี่ยวกับข้อตกลง
ตัวอย่างเช่น อธิบายถึงสถานการณ์ที่จะทำให้เอเธนส์สามารถได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 15
พันล้านยูโร ซึ่งในแผนการจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนที่จะสามารถเริ่มขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดในเดือนมิถุนายน
และจะเร็วที่สุดตราบเท่าที่รัฐสภากรีซโหวตอนุมัติตอบรับข้อเสนอเจ้าหนี้ต่างชาติ
แต่ทางกรีซต้องแลกกับการทำตามเงื่อนไขไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยตามเอกสารระบุว่า
ความช่วยเหลือก้อนนี้จะสามารถบรรเทาความต้องการเม็ดเงินของกรีซอย่างเร่งด่วนได้
ซึ่งพบว่า 93% ของจำนวนเงินทั้งหมดจะนำไปจ่ายคืนให้กับหนี้สินเดิมที่ถึงกำหนดชำระ นอกจากนี้ในเอกสารลับ IMF
ยังเปิดเผยถึงการปฎิรูปต่างๆที่กรีซจำเป็นต้องทำหากยอมรับเงื่อนไขของกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกา
โดยทางกลุ่มเจ้าหนี้ต้องการให้มีการปฎิรูปครั้งใหญ่ในประเทศเพื่อต้องการให้กรีซสามารถมีตัวเลขเหนือเป้าหมาย
1%, 2%, 3%, และ 3.5% ของตัวเลข GDPในปี 2015, 2016, 2017 และ 2018 ตามลำดับ จาการรายงานของสื่ออังกฤษ รวมไปถึงการปรับฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT
ใหม่เป็น 23% ที่รวมไปถึงร้านอาหารและธุรกิจการให้บริการจัดเลี้ยง
โดยทาง IMF ระบุว่าการปรับอัตรา VAT จะส่งผลถึง
1% ต่อตัวเลข GDP โดยรวม แต่อย่างไรก็ตาม
ยังมีการเสนอลดอัตรา VAT ลงเหลือ 13% จำกัดเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารพื้นฐาน
พลังงาน โรงแรม และอัตราการใช้น้ำ(ยกเว้นค่าใช้จ่ายสำหรับปล่อยน้ำเสีย) และอัตรา VAT
6% ในส่วนของยารักษาโรค หนังสือ และโรงละคร และโรงภาพยนตร์ เดอะการ์เดียนรายงานเพิ่มเติมว่า
มีการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจประกันภัย
และอีกทั้งกำหนดให้ยกเลิกการไม่เก็บภาษี VAT ในบางเกาะของกรีซ
ซึ่งแต่เดิมนั้น กลุ่มเจ้าหนี้ต่างชาติประสงค์จะให้มีระบบ VAT ของกรีซเป็นแบบ 2 ขั้นเท่านั้น
รอยเตอร์ – ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเดินทางข้ามทะเลเข้ามาในยุโรปมากกว่า
135,000 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2015 และภาระดังกล่าวส่วนใหญ่ตกอยู่กับบรรดาประเทศในยุโรปใต้
ทั้งนี้อ้างจากรายงานล่าสุดของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) “เหล่าผู้คนที่หมดหวังกำลังพึ่งพาอาศัยวิธีที่สิ้นหวัง
และโชคร้ายที่ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะยังคงพุ่งสูงต่อไปอีก” ไบรอัน
แฮนส์ฟอร์ด โฆษกของ UNHCR กล่าว จำนวนของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่เข้ามาในยุโรปในช่วง
6 เดือนแรกของปี 2015 เพิ่มขึ้นกว่า 80
เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2014 รายงานชิ้นนี้ของ
UNHCR ระบุ รายงานชิ้นนี้มีออกมาในขณะที่บรรดาผู้นำยุโรปยังคงไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขวิกฤติผู้อพยพนี้ที่กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ การเพิ่มจำนวนมากขึ้นของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ
ซึ่งส่วนมากเสี่ยงตายข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนมาด้วยเรือที่ไม่ปลอดภัย
มีผลกระทบหนักโดยเฉพาะกับประเทศในยุโรปใต้ รายงานระบุ กรีซ
ซึ่งเป็นจุดลงเรือที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2015 กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจและเพิ่งถูกประกาศว่าผิดนัดชำระหนี้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อเช้าวันนี้
(1) ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพกำลังไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่ทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่านจากกรีซ
และนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ทุกๆ วันจะมีผู้เดินทางเข้ามากว่า 1,000
คน “เทียบกับ 200 คนเมื่อ
2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น” รายงานระบุ นายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ของอิตาลีต่อว่าเหล่าผู้นำสหภาพยุโรป (อียู)
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากเรื่องความล้มเหลวในการตกลงกันเกี่ยวกับแผนการที่จะรับผู้แสวงหาที่พักพัง
40,000 คนจากอิตาลีและกรีซ “ในขณะที่ผู้อพยพเข้ามากำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ศักยภาพและปัจจัยแวดล้อมในการต้อนรับยังไม่เพียงพออย่างร้ายแรง” แฮนส์ฟอร์ด กล่าว “นี่เป็นปัญหาในภูมิภาคที่จำเป็นต้องใช้การตอบสนองและความสามัคคีในภูมิภาค” ซีเรีย
ซึ่งตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นประเทศที่มีผู้อพยพลี้ภัยมาขึ้นชายฝั่งของยูโรปมากที่สุดด้วยจำนวนเกือบ
44,000 คน รายงานชิ้นนี้ระบุว่า
ความไร้เสถียรภาพในลิเบียก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของจำนวนผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้นนี้
เอริเทรียและอัฟกานิสถานเป็นประเทศต้นทางอันดับที่ 2 และอันดับที่
3 ตามลำดับ รายงานระบุ อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นนี้เสริมว่า
การที่อียูจัดหาเงินทุนให้กับปฏิบัติการกู้ภัยเพิ่มขึ้นทำให้ตัวเลขการเสียชีวิตกลางทะเลลดลงนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
เอเจนซีส์ –
ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย
มีคำสั่งตรวจสอบสภาพความปลอดภัยฝูงบินของกองทัพอากาศที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน
หลังเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินขนส่งเฮอร์คิวลิส ซี 1-30 ร่วงใส่ชุมชนในเมืองเมดานบนเกาะสุมาตราเมื่อวานนี้
(30 มิ.ย.) ซึ่งล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย
142 คน เครื่องบินซึ่งบรรทุกผู้โดยสารรวม
122 ชีวิตประสบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง
และร่วงลงใส่ย่านที่พักอาศัยของประชาชน ภายหลังเดินทางออกจากฐานทัพได้ไม่กี่นาที
ซึ่งอาจเป็นอุบัติเหตุครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศอิเหนาที่มีสถิติความปลอดภัยย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ทวิ บาดาร์มันโต โฆษกกองทัพอากาศ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า
เวลานี้สามารถระบุเอกลักษณ์ผู้ตายได้แล้ว 42 ศพ
แต่คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอีก
เนื่องจากกองทัพเชื่อว่าคงไม่มีผู้โดยสารคนใดรอดชีวิต อุบัติเหตุสยองที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน ซี-130 ยิ่งเน้นให้เห็นถึงมาตรฐานความปลอดภัยการบินที่ตกต่ำของกองทัพอิเหนา
รวมไปถึงฝูงบินที่ถูกใช้งานมานาน “สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการขนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากเครื่องบินเฮอร์คิวลิส
จากนั้นจะต้องมีการประเมินศักยภาพของเครื่องบิน
และระบบป้องกันทางอากาศที่มีอายุการใช้งานยาวนานมากแล้ว” ประธานาธิบดี
วิโดโด แถลงผ่านสื่อทวิตเตอร์เมื่อค่ำวานนี้ (30) “ผมหวังว่าจะไม่เกิดหายนะเช่นนี้ขึ้นอีก”
ทั้งนี้
คาดว่าผู้นำอินโดนีเซียจะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอุบัติเหตุเครื่องบินตกภายในวันนี้
(1 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ระบุว่า เครื่องบินขนส่งลำนี้เกิดระเบิดกลางอากาศ
ก่อนจะตกใส่อาคารบ้านเรือนและโรงแรมแห่งหนึ่งภายในเขตชุมชนใหม่ของเมืองเมดาน
ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาเมืองใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะอินโดนีเซีย ล่าสุด
ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งในเครื่องบินและบนพื้นรวมทั้งสิ้นกี่คน เครื่องบินลำนี้ออกเดินทางจากฐานทัพเมืองเมดาน
เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองตันหยงปีนังบนหมู่เกาะรีเอา นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา สื่อท้องถิ่นระบุว่า
นักบินได้แจ้งขอบินกลับไปยังฐานทัพเพราะเครื่องยนต์ขัดข้อง
แต่ก็ประสบอุบัติเหตุตกเสียก่อน ข้อมูลจากเครือข่ายความปลอดภัยด้านการบิน (Aviation
Safety Network) ระบุว่า
เหตุเครื่องบินตกครั้งนี้อุบัติเหตุทางการบินขั้นร้ายแรงครั้งที่ 10 ที่เกิดขึ้นกับกองทัพและตำรวจอินโดนีเซียในรอบ 10 ปี กองทัพอากาศอินโดนีเซียสูญเสียเครื่องบิน
ซี-130 ไปแล้ว 4 ลำ
ซึ่งที่ผ่านมาอากาศยานรุ่นนี้ถูกใช้เพื่อการขนส่งข้ามหมู่เกาะต่างๆ
จากฝั่งตะวันตกไปจรดปลายสุดทางด้านตะวันออกของประเทศ ซึ่งคิดเป็นระยะทางกว่า 5,000
กิโลเมตร ล่าสุด กองทัพได้สั่งระงับการใช้งานเครื่องบิน ซี-130 ที่ยังเหลืออยู่ 8 ลำ
จนกว่าพนักงานสอบสวนจะระบุต้นตอของอุบัติเหตุที่เมืองเมดานได้
รอยเตอร์
- มีนักโทษราว 1,200 คน ในนั้นรวมถึงเหล่าผู้ต้องสงสัยอัลกออิดะห์
หลบหนีออกมาระหว่างเหตุปะทะกันในเรือนจำแห่งหนึ่งในตอนกลางของเยเมนเมื่อวันอังคาร
(30 มิ.ย.) ถือเป็นการแหกคุกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
เหตุการณ์นี้นับเป็นการแหกคุกครั้งใหญ่ที่สุดในปฏิบัติการหลบหนีออกจากเรือนจำของเหล่านักรบเยเมนหลายต่อหลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา
และเป็นการส่งสัญญาณซ้ำเติมความอ่อนแอของภาครัฐท่ามกลางสงครามกลางเมืองที่กำลังล้างผลาญประเทศแห่งนี้ “วันนี้กลุ่มผู้สนับสนุนอัลกออิดะห์โจมตีเรือนจำกลางในเมืองทาอิซและมีนักโทษอันตรายหลบหนีไปมากกว่า
1,200 คน” ซาบา
สำนักข่าวแห่งรัฐรายงานโดยอ้างคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรายหนึ่ง
แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกคนบอกกับรอยเตอร์ว่าผู้หลบหนีส่วนใหญ่ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกของอัลกออิดะห์
และพวกเขาหลบหนีท่ามกลางเหตุปะทะกันระหว่างพวกนักรบคู่สงครามในตัวเมือง พวกนักรบฮูตีมุสลิมชีอะห์บุกเข้ามายังเมือตาอิซ
ในเดือนมีนาคม ในการรุกคืบจากป้อมปราการในกรุงซานนา ลงไปทางใต้
ซึ่งกระตุ้นให้พันธมิตรนานาชาติที่นำโดยซาอุดีอาระเบียเข้าแทรกแซงทางทหาร
ทว่าแม้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศผ่านมาแล้ว 3 เดือน
แต่ก็ยังไม่สามารถผลักดันนักรบกลุ่มนี้รวมถึงกองทหารที่ยังภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี
อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ ถอยร่นกลับไปได้
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงบอกว่าพวกทหารที่เกี่ยวข้องกับนายซาเลห์
เป็นผู้เปิดทางให้พวกนักรบหลบหนีระหว่างที่พวกนักรบซึ่งได้รับฉายาจากเหล่าผู้สนับสนุนว่า
“คณะกรรมการประชาชน” รุกคืบเข้ามา “มีการสู้รบดุเดือดใกล้ๆกับเรือนจำกลาง
คณะกรรมการประชาชนเข้ามาควบคุมพื้นที่
แต่เป็นกองกำลังของซาเลห์ที่เปิดประตูเรือนจำ”
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ชายผู้หนึ่งจุดไฟเผาตัวเองบนขบวน “รถไฟหัวกระสุน” ที่กำลังแล่นตะบึงอยู่ในญี่ปุ่นเมื่อวันอังคาร (30 มิ.ย.) สังหารทั้งตัวเขาเองและหญิงอีกผู้หนึ่ง พร้อมกับยังทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกหลายคน ในเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนกับเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของแดนอาทิตย์อุทัยซึ่งมีประวัติด้านความปลอดภัยอย่างน่าอิจฉามาหลายสิบปี สื่อญี่ปุ่นรายงานข่าวที่รวบรวมปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ชายผู้นี้ได้นำเอาของเหลวติดไฟได้มาราดรดตามตัว จากนั้นก็ใช้ไฟแช็กฉุดไฟเผาตนเอง ในตู้โดยสารตู้แรกของขบวนรถไฟซึ่งกำลังพุ่งผ่านแถบพื้นที่ชนบท ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 70 กิโลเมตร รายงานหลายกระแสกล่าวด้วยว่า ได้ยินเสียงระเบิดจากคอกสุขา ทำให้เกิดควันสีขาวปกคลุมตู้โดยสารคันหน้าสุด และก็ทำให้ขบวนรถไฟหยุดฉุกเฉิน ขณะที่บรรดาผู้โดยสารต่างพากันหลบหนีจ้าละหวั่นไปตามตู้โดยสารอื่นๆ สื่อระบุด้วยว่า พนักงานขับรถไฟขบวนนี้ซึ่งมีผู้โดยสารมากกว่า 800 คน ได้ออกมาตรวจที่เกิดเหตุหลังจากรถหยุด และพบร่างที่ยังติดไฟเผาไหม้อยู่ของชายผู้นั้น รถไฟขบวนนี้ซึ่งเป็นรถไฟหัวกระสุน “โนโซมิ” สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าในขณะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นนั้นกำลังแล่นด้วยความเร็วเท่าใด แต่กำลังวิ่งอยู่บนเส้นทางจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่เมืองโอซากา โดยตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมาในพื้นที่ของเขตโอดาวาระ คลิปวิดีโอจากภายในขบวนรถไฟภายหลังเกิดไฟไหม้ขึ้นแล้ว แสดงให้เห็นพวกผู้โดยสารพากันกระพริบตาและส่งเสียงไอขรมเนื่องจากควันไฟ ขณะคืบคลานไปตามทางเดินเพื่อหาทางหลบหนีไปสู่ที่ปลอดภัย หลายคนมีใบหน้าที่เปื้อนเขม่าดำ และบางคนมีท่าทีงุนงงและหงุดหงิด สื่อญี่ปุ่นรายงานปากคำของชายที่เห็นเหตุการณ์ผู้หนึ่งซึ่งเล่าว่า “ตรงบริเวณหน้าที่สุดของรถคันแรกเลย เขาเทและราดรด (ของเหลว) จากภาชนะพลาสติกใส่ตัวเขาเอง จากนั้นก็จุดไฟ” ส่วนผู้โดยสารอีกคนหนึ่งบอกว่าได้พูดกับชายผู้นี้ไม่กี่อึดใจก่อนที่เขาจะจุดไฟเผาตัวเอง “เขาบอกผมว่า 'หลบไปข้างหลังโน้น มันอันตรายนะ' ผมยังงงๆ อยู่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมก็หิ้วข้าวของของผมออกมา ตั้งใจว่าจะเดินไปข้างหลัง ตอนนั้นเองที่เขาดึงเอาแทงค์ทำด้วยพลาสติกใบหนึ่งออกมา” ชายผู้นี้เล่า “ข้างในนั้นใส่ของเหลวสีส้มเอาไว้ ผมคิดว่ามันน่าสงสัยมาก จึงถามเขาว่านั่นอะไร เขาก็ตอบว่า 'ช่างมันเถอะๆ หลบไปข้างหลัง'” รายงานหลายชิ้นบอกว่า ชายผู้ก่อเหตุอายุ 30 เศษ แต่ก็มีรายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า เขาเป็นชายชราวัย 71 ปี และได้พยายามเอาแบงก์ย่อยๆ ของเขามาแจกจ่ายให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก่อนจะจุดไฟเผาตัวเองด้วย ทางด้านเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในสำนักงานป้องกันอุบัติภัยในท้องที่เกิดเหตุ กล่าวว่าชายผู้นี้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งพบอยู่ที่ด้านตรงข้ามของตู้โดยสารคันดังกล่าว ถูกนำตัวไปโรงพยาบาลแต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมาเขาระบุด้วยว่า ยังมีชายอีก 3 คนที่อาการสาหัส แล้วมีอีก 3 คนซึ่งบาดเจ็บมากทีเดียว นอกจากนั้นมีผู้โดยสารคนอื่นๆ อีก 20 คนที่ต้องให้แพทย์รักษา ส่วนใหญ่ไม่สบายเนื่องจากสูดควันในขณะเกิดไฟไหม้เข้าไป ภายหลังจากขบวนรถหยุดฉุกเฉินแล้ว ในเวลาต่อมาก็ได้แล่นต่อไปยังสถานีที่อยู่ใกล้ที่สุด และภาพจากข่าวทีวีแสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เปลลำเลียงผู้โดยสารที่บาดเจ็บออกไป ทางด้านนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้ประกาศจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ประสานการตอบโต้รับมือของรัฐบาล และขบวนรถไฟหัวกระสุนทุกขบวนที่แล่นระหว่างโตเกียวกับเมืองนาโงยา ถูกสั่งหยุดเดินรถไปนานหลายชั่วโมง สำหรับแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการเผาตัวตายคราวนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน โดยที่ในญี่ปุ่นมีน้อยครั้งนักที่เกิดการฆ่าตัวตายเช่นนี้ในที่สาธารณะ แต่ที่เกิดขึ้นมามักเป็นการแสดงการประท้วงทางการเมือง เป็นต้นว่าในเดือนพฤศจิกายน 2014 มีรายงานว่าชายผู้หนึ่งได้เผาตัวตายที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งบริเวณใจกลางกรุงโตเกียว โดยดูเหมือนว่าเขาต้องการประท้วงคัดค้านการที่รัฐบาลอาเบะมีนโยบายเพิ่มขยายบทบาททางทหารของญี่ปุ่น ก่อนหน้านั้นในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ก็มีชายอีกผู้หนึ่งเผาตัวตายบนทางเดินเท้าในย่านชินจูกุ หนึ่งในย่านธุรกิจคึกคักที่สุดของโตเกียว หลังจากที่ได้กล่าวปราศรัยคัดค้านแผนการของอาเบะที่จะปฏิรูปรัฐธรรมนูญฉบับนิยมสันติของญี่ปุ่น
เอเอฟพี - สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีประกาศตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” เจ้าพ่อนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และดาราทีวีเรียลิตีโชว์ชาวอเมริกันซึ่งผันตัวมาเป็นผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ภายหลังจากมหาเศรษฐีรายนี้ออกมาวิจารณ์เหยียดหยามผู้อพยพเม็กซิกันว่าเป็นพวก “ตัวปัญหา” นั่นหมายความว่า เวทีประกวดขาอ่อนทั้งมิสยูเอสเอ และมิสยูนิเวิร์ส ที่ทรัมป์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดจะไม่ออกอากาศผ่านช่องเอ็นบีซีอีกต่อไป และตัวทรัมป์เองก็ต้องหลุดจากรายการเรียลิตีโชว์ “The Apprentice” ที่เขาเป็นดาราตัวเอกอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ 4 วัน สถานีโทรทัศน์ยูนิวิชันซึ่งเป็นเจ้าตลาดทีวีภาคภาษาสเปนในสหรัฐฯ ก็ออกมาตัดสัมพันธ์กับกองประกวดมิสยูนิเวิร์สเช่นกัน สัปดาห์ที่แล้ว เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์รายนี้ประกาศตัวจะชิงตำแหน่งผู้แทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 และใช้เวลา 45 นาทีพูดพล่ามโวยวายเรื่องต่างๆ ที่ระคายหูผู้ฟังทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกเป็นพลเมืองกลุ่มน้อยที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ และส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานผู้อพยพชาวเม็กซิโก ทรัมป์กล่าวว่า “ตอนเม็กซิโกส่งคนมาให้เรา พวกเขาไม่ได้คัดเอาพวกที่ดีที่สุดมา... แต่กลับส่งพวกที่สร้างปัญหา และพวกนั้นก็เอาปัญหามาทิ้งไว้ที่เรา ทั้งเรื่องยาเสพติด อาชญากรรม โจรข่มขืน” มิเกล อังเกล โอโซริโอ ชอง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเม็กซิโก ออกมาวิจารณ์คำพูดของ ทรัมป์ ว่าเต็มไปด้วย “อคติ” และ “หาสาระไม่ได้” กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกล้วนประณามคำพูดของ ทรัมป์ ส่วนตัวเก็งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตอย่าง ฮิลลารี คลินตัน ก็ถือโอกาสนี้ถล่มมหาเศรษฐีปากพล่อยว่าพูดจายั่วยุให้เกิดความแตกแยก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทรัมป์จะยังไม่สะทกสะท้านกับเสียงก่นด่าทั้งหลาย เพราะเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขายังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจังโก้จ่ายเงินสร้าง “กำแพง” กั้นระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกเสียด้วย “ผมจะต้องใช้วิธีรุนแรง ถ้าพวกเขาไม่ช่วยสนับสนุนหรือออกเงินสร้างกำแพง” ทรัมป์ กล่าวในรายการ State of the Union ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น “เราต้องรองรับคนสารพัดกลุ่มที่เดินทางข้ามแดนเข้ามา ซึ่งคนพวกนี้แย่... แย่มากๆ” “ผมไม่ได้หมายถึงชาวเม็กซิกันเท่านั้นนะ แต่หมายถึงทุกๆ กลุ่ม ซึ่งมีทั้งฆาตกรและพวกโจรข่มขืนด้วย” “เม็กซิโกปฏิบัติไม่ดีกับเรา ทำเหมือนเราเป็นพวกโง่เง่าเต่าตุ่น ซึ่งอันที่จริง... ผู้นำของประเทศเราก็เป็นอย่างนั้นเสียด้วย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น