วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

ยุทธจักรนักการเมือง ตอน ลำนำเพลงดาบ (1) อาบโลหิต พิชิตบัลลังก์ จากถัง สู่ชิง ตอนที่ 1

เรื่องของความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงอำนาจนั้น มันมีอยู่ในทุกจักรวรรดิ ทุกนครรัฐ ทุกชาติ มานับแต่โบราณกาลนานแล้ว ไม่ว่าสังคมบ้านเมืองนั้นจะปกครองด้วยระบอบอำนาจอะไรก็ตาม เหตุก็เพราะว่าระบบอำนาจนั้น ผู้ชนะจะได้ไปทั้งหมด ส่วนผู้แพ้ก็จะเป็นฝ่ายสูญเสีย คล้ายๆ zero sum game มันจะมีน้อยมากๆ ที่สังคมนั้นๆ ยอมให้มีผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมนั้นแบ่งเป็น 2-3 ฝ่าย เหมือนเขมรสามฝ่าย หรือสามก๊ก บางยุคสมัยในบางสังคมมีกษัตริย์ถึง 2 พระองค์ แต่นั่นต้องเกิดจากเงื่อนไข ข้อตกลงร่วมกันที่เป็นการประนีประนอมยอมความกันได้ หาไม่แล้วก็จะต้องฆ่าล้างโค่นบัลลังก์กันไปให้หมดสิ้นอำนาจกันไปข้างหนึ่งอยู่ดี

ในซีรี่ย์จีนนั้นมีอยู่มากมาย เหตุเพราะในสังคมประวัติศาสตร์ของจีนนั้นมีปรากฏเรื่องราวอย่างนั้น อาจมีเสริมเติมแต่งลงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจริง เขาถึงได้สะท้อนออกมาให้ได้ชมกัน ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง รัฐบาลจีนซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์คงไม่ปล่อยให้สร้างหรือนำมาฉายในประเทศของเขาหรอก ยิ่งในสังคมตะวันตกยิ่งมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะสังคมยุโรปตะวันตกนี่มากมายหลายรูปแบบมาก ถ้าเป็นในบ้านเราก็ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ยุคกรุงศรีอยุธยาจะเห็นชัด อย่างในเรื่อง ตำนานสมเด็จพระศรีสุริโยทัย เรื่องนั้นแสดงให้เห็นภาพที่ชัดที่สุด
มาถึงโลกภาพยนตร์จีน ซีรี่ย์จีน ตลอดจนนวนิยายจีน ที่ทำให้ผู้เขียนอินและซาบซึ้งดื่มด่ำในอรรถรสในการต่อสู้ ฟาดฟัน หั่นขาเก้าอี้ ขยี้หัวใจ ไล่ล่ากันมันส์ บรรลัยสุดๆ ก็ต้องเรื่องนี้ “ยุทธการล่าบัลลังก์”  เรื่องนี้เรื่องเดียว พลอยทำให้ผู้เขียนต้องไปควานหาซีรี่ย์จีนเรื่องอื่นๆ มาย้อนดูอีก อาทิ ศึกสายเลือด ศึกลำน้ำเลือด ศึกสองนางพญา ขุนพลตระกูลหยาง อุ้ยเสี่ยวป้อ  ปู้ปู้จิงซิน วีรบุรุษกู้พิภพ ตามด้วย ภ.สุภาพบุรุษตระกูลหยาง พยัคฆ์ร้ายกิโยติน หวงเฟยหง พยัคฆ์ผงาดวีรบุรุษกังฟู ฯลฯ บางเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย แต่ดูเอาสนุก  เป็นหนังจีนต่างยุคสมัยกัน แต่เกี่ยวโยงกันเสียเป็นส่วนใหญ่

ยุทธการล่าบัลลังก์ เป็นนวนิยายที่ยังไม่ได้ถูกสร้างเป็นซีรี่ย์ แต่ตัวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการย้อนไปค้นคว้าศึกษาประวัติศาสตร์จีนในช่วงยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี เริ่มจากตัวละคร หลี่ซี พระเอกของเรื่อง เป็นตัวละครที่จิ่วถู ผู้เขียนสมมติขึ้น ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ หรือหากมีก็คงจะเป็นเพียงตัวแทนของลักษณะตัวละครหลายๆ ตัวที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์แต่จับมารวมกันเป็น 1 ตัวละคร นักวิเคราะห์หรือนักอ่านบางคนบอกว่า ตัวละครหลี่ซีก็คือตัวละครฉิวหยั่นเค่อ หรือขุนพลเคราดำในเรื่องศึกลำนำเลือด หรือนายพลจางซันหลาง  อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะวิเคราะห์กันไป แต่ตัวผู้เขียนคิดว่าต่อให้เป็นฉิวหยั่นเค่อจริง ก็เป็นตัวละครที่ไม่อยู่จริงอีกนั่นแหละ น่าจะจับเอาคาแรกเตอร์ของคนดี คนเก่งที่มีอยู่ทั่วไปในทุกสังคม ที่เป็นผู้ปิดทองหลังพระ ไม่อวดอ้าง ไม่เชลียร์ผู้ใหญ่ ไม่หวังอำนาจ แต่ทำดีเพราะอุดมการณ์รักชาติ ยอมเสียสละชีวิตเพื่อแลกกับความถูกต้องเป็นธรรม ฟังดูดีจริงๆ ถึงบอกว่าไม่มีตัวละครแบบนี้อยู่จริงในประวัติศาสตร์หรอก ถ้ามีก็มักถูกใส่ร้าย ถูกอุบายกลั่นแกล้งให้ตาย เช่น งักฮุย ขุนศึกตระกูลหยาง ตั้งแต่หยางเย่จนถึงลูกชายเกือบทุกคน  เรื่องนี้จิ่วถูเพียงสร้างตัวละครหลี่ซีขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเดินเรื่องประกบไปกับตัวละครสำคัญตัวอื่นๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความฟอนเฟะในระบบขุนนาง ตระกูลใหญ่ๆ ในราชสำนักตลอดจนที่มาที่ไปของสาเหตุแห่งการล่มสลายของราชวงศ์สุย บุคลิกลักษณะของฮ่องเต้สุยหยางตี้ ลักษณะอำมาตย์ใหญ่อย่างอวี้เหวินสู และเครือข่ายของเขา ลักษณะของนักการเมืองและเป็นขุนนางมักอ้างถึงความจงรักภักดีแต่แฝงอุดมการณ์มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างครอบครัวของถังกงหลี่เอียน และหลี่ซื่อหมิน และกุนซืออย่างฉางชุนอู๋จี๋ ที่ทั้งฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ระหว่างอวี้เหวินซื่อจี๋ กับหลี่ซื่อหมิน ใครคือมิตรที่น่าคบกว่ากัน คนแรกนั้นตอนแรกเหมือนไม่ใช่คนดี ส่วนคนหลังสร้างภาพว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ยืนข้างฝ่ายหลี่ซีมาตลอด หลี่ซื่อหมินนั้นพยายามวัดรอยเท้าหลี่ซีอยู่ตลอดเวลา แต่พอมาวันหนึ่ง เมื่อเขาได้ก้าวเป็นใหญ่ (ขึ้นเป็นฮ่องเต้ถังไท่จง) พอหลี่ซีแสดงจุดยืนถึงการไม่ต้องการรับใช้ราชสำนัก เขาก็ไม่ลังเลที่จะตัดความสัมพันธ์ไปเลยทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยเห็นหลี่ซีเป็นไอด้อลของตน อีกทั้งเป็นพี่เขยของเขาด้วย ความสัมพันธ์ของหลี่ซีกับฉีต้าเอี๋ยน (ฉีเม่ากง) มิตรภาพที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง แม้ว่าภายหลังต่างฝ่ายต่างยืนอยู่กันคนละอุดมการณ์และคนละฝ่ายกันแล้ว แต่ก็ยินยอมที่จะละเว้นชีวิต และพร้อมจะเจรจากันได้ คนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังใหญ่ป๋อหลิงจวิน อีกคนเป็นกุนซือใหญ่และผู้ช่วยผู้คุมกองกำลังกบฏหวากัง ผู้เขียนคิดว่าหลี่ซีนั้นเป็นเสมือนตัวแทนของปุถุชนคนทั่วไปที่เป็นเหยื่อของทุน อำนาจ หรือระบบอะไรก็ตาม แต่ข้อดีของเขาก็คือเขาเป็นคนที่พยายามจะเข้าใจพฤติกรรมของคน เรียนรู้นิสัยใจคอของคนที่เขาไปรู้จักและปฏิสัมพันธ์ด้วย เพื่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ เป็นคนที่เก่งและได้ดีเพราะถูกสถานการณ์บีบบังคับ หรือพาไปมากกว่า เรียกว่าเป็นวีรบุรุษโดยสถานการณ์ว่างั้น ผิดกับฉีต๋าเอี๋ยน (ฉีเม่ากง) หลี่มี่ ถังกงหลี่เอียน หลี่ซื่อหมิน อวี้เหวินสู อวี้เหวินซื่อจี๋  อาซือนากูทูลู  พวกนี้ฉลาดและวางแผน ทำอะไรก็จะคิดไปล่วงหน้า ประเมินแผนและมองไปข้างหน้า 2-3 ก้าวเสมอ ถ้าสถานการณ์พลิกผันเสียเปรียบหรือเปลี่ยนแปลงก็เตรียมแผนรองรับ หรือพลิกสถานการณ์แก้เกมได้ทันทุกเรื่อง ผิดกับพระเอกของเรื่องอย่างหลี่ซี ที่ดูๆไปทั้งโง่ ซื่อบื้อ ซื่อตรงตลอดแม้นถูกเขาหลอกประจำ ต้องซื้อประสบการณ์แลกเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเองเป็นคนใหม่ทุกครั้ง แม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม ความผิดหวังในรักครั้งแรกกับเถาเคอทัวซือ ครั้งที่สองกับหลี่ว่านเอ๋อ ทั้งสองคนเป็นคู่หมั้นหมาย แต่สุดท้ายด้วยการเมือง ทำให้หลี่ซีต้องกินแห้ว อดเชยชมทั้งสองคนเป็นภรรยา จึงได้รับบทเรียน พอมาถึงสือหลัน (เอ้อยา) กับหลี่ฉีเอ๋อ ทำให้เขาทนุถนอมและกล้าที่จะแสดงความรักตอบคนทั้งสอง  เรื่องคำพูดเปรียบเปรยที่ล่ำลือกันหนาหูว่า “ผลท้อผลหลี่ สายน้ำเชี่ยวรายรอบภูเขาหยาง”  ในเรื่องยุทธการล่าบัลลังก์ ผู้เขียนเองก็ตั้งข้อสังเกตเอาเองว่า มันเป็นคำกุศโลบายอย่างหนึ่งของถังกงหลี่เอียนหรือไม่ ที่ต้องการบอนไซ บ่อนทำลายฐานรากแห่งอำนาจของราชวงศ์สุยหรือไม่ เพราะตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าฮ่องเต้คนนี้มีจุดอ่อนอย่างไร และราชสำนักฟอนเฟะขนาดไหน การปล่อยข่าวลือเพื่อทำลายขวัญและทำให้ประชาชนพูดลือกันไปเรื่อยๆ จะทำให้ประชาชนเชื่อ และยิ่งมาตอกย้ำขึ้นในปลายรัชสมัยที่ ชาวบ้านได้รับความลำบากจากทางราชสำนัก โดยขุนนางขี้ฉ้อทั้งหลายต่างขูดรีดเอาเปรียบประชาชน ไหนจะเก็บเกี่ยวทำนาไม่ได้ แร้นแค้น ประชาชนเลยไปเข้ากับพวกโจรกลุ่มต่างๆ หรือค่ายกบฏหวากังของพวกหลี่มี่กันมากขึ้น ยังไม่นับพวกนายพลใหญ่ๆ ที่ตีตัวจากไปตั้งกองกำลังเป็นศัตรูกับราชสำนัก อย่างนายพลทหารเสือหลออี้ โต้วเจี้ยนเต๋อ
หลี่ซี จะเป็นคนเดียวกับตัวละครฉิวหยั่นเค่อ ในศึกลำน้ำเลือดหรือไม่

ยุทธการล่าบัลลังค์เป็นเรื่องราวในช่วงประเทศจีนสมัยสุยที่กำลังเดินทางผิดจะเปิดศึกกับเกาหลีจนเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้ราชวงศ์นี้ต้องล่มสลาย เรื่องราวทั้งหมดเล่าผ่านสายตาของ หลี่ซีพระเอกของเรื่องที่เริ่มต้นหนีทหารแต่ชะตากรรมทำให้มันต้องกลายเป็นขุนศึกในยุคสมัยดังกล่าว ที่จะต้องต่อสู้ช่วงชิงและเอาชนะการรบทั้งในสนามรบและการเมืองในราชสำนักให้ได้ หลี่ซี พระเอกของเรื่องเป็นเด็กชายบ้านนอก ที่พ่อแม่วางแผนให้หนีการเกณฑ์ทหาร แต่สุดท้ายกลับต้องเข้าสู่แวดวงราชการ ไต่เต้าจากทหารชั้นผู้น้อยจนกระทั่งเป็นแม่ทัพใหญ่และได้ครอบครองเขตปกครองทั้ง 6 ที่กว้างใหญ่ของแผ่นดินจีนตอนปลายราชวงศ์สุย เขาทุ่มเทเรี่ยวแรงและเลือดเนื้อเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ที่กำลังจะล่มสลายลง แต่สุดท้ายหลี่ซีกลับโดนขุนนางในราชสำนักเดียวกันหักหลัง ปล่อยให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน ในห้วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ สือหลัน หรือที่เรียกว่า เอ้อยา ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของหลี่ซี แต่ด้วยศักดิ์ฐานะที่ต้อยต่ำจึงไม่ได้เป็นภรรยาหลวง ก็ได้เสี่ยงตายหลบหนีจากการจับกุมเป็นตัวประกันของผู้ที่คิดปองร้าย เพื่อมาเตือนภัยสามีไม่ให้หลงกลในแผนยืมดาบฆ่าคนของผู้อื่น หากทว่าจากการที่สือหลันซึ่งกำลังอุ้มครรภ์ทารกแปดเดือนเศษ แล้วยังต้องขี่ม้าฝ่าสายฝนมาเป็นระยะทางสองร้อยลี้ จึงทำให้นางไม่สามารถทนทานกับความเหนื่อยล้าได้ และต้องมาจบชีวิตอย่างหดหู่ในอ้อมกอดของสามีที่รัก พร้อมๆ กับการที่หลี่ซีได้รู้ความจริงในหลายๆ เรื่องเพราะถูกหักหลัง อาทิ เขารู้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่สามารถพิชิตชัยกองกำลังกบฏหวากังได้ เนื่องจากขุนนางในราชสำนักยอมซูเอี๋ยให้ หรือแม้แต่ทราบว่าถังกงหลี่เอียนคิดก่อการใหญ่ล้มล้างราชวงศ์สุย และตั้งตนเองขึ้นเป็นใหญ่แทน
นี่ใกล้จะจบตอนที่ 1 แล้ว ยังไม่ได้เข้าสู่เนื้อหาของราชวงศ์ชิงเลย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบทความนี้ ตอนแรกนี้ จึงขอเป็นตอนของยุทธการล่าบัลลังก์โดยเฉพาะก็แล้วกัน ท่านผู้อ่านที่งงๆ ไม่เคยล่วงรู้หรืออ่านเรื่องนี้มาก่อน ขอแนะนำให้ไปหามาอ่านก่อน ขอบอกว่า ยอดเยี่ยมในสามโลกเลย (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) พอคุณอ่านเรื่องนี้จบแล้ว คุณจะเข้าใจประวัติศาสตร์จีน และนวนิยายจีน หนังจีนอีกหลายเรื่องตามมาทีเดียว หรือถ้ายังไม่เข้าใจอีก อ่านซ้ำมันเข้าไปอีก ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ง่ายกว่าสามก๊กมาก แม้ตัวละครจะเยอะเหมือนกัน (ปล.ถ้าขี้เกียจก็อ่านเฉพาะไตรภาคแรกก็พอ มี 7 เล่ม)

คำคม (Quote) ที่ได้จากยุทธนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องยุทธการล่าบัลลังก์ นี้มีมากมาย ได้แก่
ชีวิตคนคล้ายสุราไหหนึ่ง ต้องผ่านการบ่มของกาลเวลา ค่อยกลั่นเป็นรสชาติที่กลมกล่อม คนหนุ่มเฉกเช่นสุราที่เพิ่งปรุงเสร็จ ต่อให้กลั่นกรองจากยอดเสบียงและสายน้ำแร่ ยังแฝงรสฝาดอย่างที่สลัดไม่ออก

พาหนะ (ม้า) ต้องผสมพันธ์จากสายพันธ์ชั้นดี แต่คนมิใช่พาหนะ เป็นพยัคฆ์หรือหมาใน ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง

สภาพเป็นจริงต่างจากที่ท่านนึกฝันไว้ ท่านไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลง ก็ต้องหาทางปรับตัว ขอเพียงปรับตัวคุ้นเคย ก็จะเดินขึ้นไปทีละก้าว ไม่เช่นนั้นต้องถูกคนเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าตลอดไป

ความรักคล้ายกองไฟ ทีใช้สะกดสุนัขป่ามิให้เข้าใกล้ ทางหนึ่งต้องการความอบอุ่น อีกทางหนึ่งไม่ทราบว่า เปลวไฟใช่แผดเผาตนเองเป็นเถ้าถ่านหรือไม่

เรื่องราวในโลกไม่สมปรารถนาเสียแปดเก้าส่วน ดึงดันแข็งขืนไม่แน่ว่าจะมีความสุข มิสู้ถอยหนึ่งก้าวเห็นฟ้ากว้างไพศาล 

ก่อนที่จะล่วงรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย รอยยิ้มเป็นโลห์ป้องกันที่ดีที่สุด

หลังจากที่ขึ้นเป็นขุนนางชั้นสูง คิดอ่านทำการใดต้องใคร่ครวญให้มาก ศึกษาดูให้มาก บางครั้งคำพูดที่กล่าวโดยไม่ตั้งใจ จะกำหนดชีวิตของผู้อื่น บางครากระทำเรื่องราวโดยไม่เจตนา จะตกเป็นเป้่าอิจฉาของผู้อื่นไปตลอดชีวิต

มีเรื่องบางประการไม่ได้อยู่ที่ท่านทำอย่างไร หากแต่ขึ้นอยู่กับผู้อื่นเข้าใจการกระทำของท่านอย่างไร

เมื่ออยู่ในสมรภูมิ หากเวทนาต่อศัตรูเท่ากับโหดร้ายต่อตนเอง

ตระกูลขุนนางชั้นสูง คิดรักษาชื่อเสียงไว้ ต้องระมัดระวังทุกวิถีทาง ทั้งไม่เพาะความแค้นกับผู้คนโดยง่ายดาย และไม่หยิบยื่นพระคุณให้แก่ผู้คนโดยพร่ำเพรื่อ หากคิดสนับสนุนผู้คน คนพวกนั้นต้องเป็นพวกเดียวกัน ภายหน้าต้องให้ผลตอบแทนแก่ตระกูลสิบเท่าจนถึงร้อยเท่า และอย่าให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเห็นว่า ชื่อเสียงได้มาโดยไม่ยากเย็น เพราะจะไม่ยอมตอบแทนบุญคุณให้กับตระกูล

คลื่นลมที่สมควรมา สุดท้ายต้องมาถึง หากว่าหลบไม่พ้น มิสู้เผชิญหน้าแต่เนิ่นๆ

ยามมิเหลือสิ่งใด นอกจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้วหามีอันใดสิ้น และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ขายไม่ได้ เพราะถ้าเราเอาแต่ก้มหัวให้กับใคร หากก้มหัวนานไป จะกลายเป็นหลังค่อมงองุ้ม

บนเส้นทางชีวิต อุปสรรคถือเป็นอาจารี มันสู้แพ้แล้ว แต่ก็เรียนรู้มากมาย

งานหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ควรต้องแบ่งออกเป็นสี่ประเภท คือ หนัก เบา เร็ว ช้า

พวกเราเมื่อไม่มีต้นทุนในการเอ่ยปากได้อย่างเต็มที่ (หมายถึง เป็นคนไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลใหญ่) การนิ่งเฉยเป็นวิธีอยู่รอดที่ดีที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อาจบางทีไม่เพียงวัดจากความผิดถูกชั่วดี บางครั้งยอมถอยอย่างชาญฉลาดสักครึ่งก้าว รักษาทางลงให้แก่กันและกัน ยอมรับความผิดพลาดบางประการ กลับช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแนบแน่นกว่าเดิม

ในแวดวงราชการ การถอยอย่างมีหลักการไม่ได้หมายถึงการอ่อนข้อ หากเป็นรูปแบบการรุกอีกชนิดหนึ่ง หากว่าเอาแต่อแข็งกระด้าง กลับเป็นเหตุให้เรื่องราวที่ไม่ควรเลวร้ายกลายเป็นเลวร้ายกว่าเดิม

ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลง ผู้คนในโลกนี้มีแต่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน ปรับตัวไม่หยุดหย่อนจึงมีชีวิตที่ดีขึ้น

วิธีการที่สร้างความกระทบกระเทือนแก่ข้าสึก ถือเป็นวิธีอันเหมาะสม ไม่ว่าอยู่ในสมรภูมิหรือนอกสมรภูมิล้วนสามารถใช้ออก บางครั้งกลอุบายนอกสมรภูมิยังได้ผลกว่าวิธีการในสมรภูมิ มิหนำซ้ำจ่ายค่าตอบแทนน้อยนิดยิ่ง

หากบอกว่าความเที่ยงตรง ดีงาม ซือสัตย์และจริงใจในนิสัยใจคอของคนล้วนเป็นความผิด เพราะมันอาจจะเป็นอาวุธที่คนอื่นใช้มาทำร้ายตัวเรา

ข่าวลือเบื้องนอก ท่านยิ่งใส่ใจ ผู้อื่นยิ่งบรรลุเป้าหมาย

หากคิดจะทำการ ก่อนอื่นต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม

ความต้องการของผู้คนคล้ายไม่มีขีดจำกัด ยิ่งได้รับมากมาย ยิ่งคาดหวังมากกว่านี้

คนผู้หนึ่งมีขีดความสามารถหรือไม่ ต้องดูว่าที่ข้างกายมันมีสหายเยี่ยงไร ?

ในการทำศึกกับศัตรูที่มีไพร่พลมากกว่า เราต้องค้นหาจุดอ่อนให้พบ และอาศัยความเร็วในการจู่โจมใส่จุดอ่อนนั้น อาจจะไม่ใช่เพื่อชนะศึก แต่เพื่อตีฝ่าวงล้อมเอาตัวรอดไปได้

ความประหวั่นลนลานจึงเป็นอาวุธสังหาร ในสภาพที่ใช้คนน้อยจู่โจมพวกมาก อย่างได้ผลกว่าใช้หอกยาวฆ่าคนอีก

ในสายตาของตระกูลใหญ่มีแต่ บ้านไม่มี ประเทศ

ศัตรูของศัตรู คือ พันธมิตรของตนเอง

คนเรายิ่งประสบความสำเร็จ ยิ่งได้รับการยกย่อง ยิ่งต้องสำรวจตัวเอง

คิดช่วงชิงแผ่นดิน ต้องพี่งพาจังหวะเวลา ชัยภูมิพื้นที่และจิตใจคน

ยุทธการชั้นเลิศ คือ พิชิตด้วยกลอุบาย

บนเส้นทางแห่งการเติบใหญ่ของแต่ละคน ต้องผ่านด่านที่ยากก้าวข้ามไปบ้าง ผู้อื่นไม่อาจช่วยเหลือได้ มีแต่ขบคิดเข้าใจด้วยตนเอง ค่อยเงยหน้าก้าวขึ้นบันไดที่สูงกว่านี้ได้

สำหรับศัตรูที่ยังไม่เผยตัวตนชัดเจน นอกจากใช้กำลังเพื่อแสดงให้เห็นว่าอย่ามารุกราน แต่อีกทางคือการหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ เพือสร้างความพะวักพะวนแก่มัน

สำหรับกับคนหนุ่ม ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่พบกับความเพลี่ยงพล้ำ หากแต่อยู่ที่ไม่สามารถรับบทเรียนจากความเพลี่ยงพล้ำนั้นได้

ตำราพิชัยสงครามบอกว่า จังหวะเวลามิสู้ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศมิสู้ความสามัคคีโดยรวม

ผู้ที่จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้นั้น มิใช่ว่าจะคิดแต่พิชิตแผ่นดินอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักพิชิตใจผู้คน และต้องรู้จักปกป้อง ปกครองแผ่นดินที่ตัวเองมีด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น