วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

5 ปัญหาที่กัดกินประเทศไทยอยู่เวลานี้

1.ปัญหาด้านการเมือง หมายรวมไปถึงปัญหาด้านการต่างประเทศด้วย ทันทีที่ประเด็นเรื่อง พรบ.ปรองดอง และ ร่าง พรบ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ กระแสเริ่มซาลงไปจากหน้าสื่อ่ต่างๆ คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่อยู่ในสถานะนักโทษคดีอาญาที่หนีหมายศาลออกนอกประเทศ ไปตั้งแต่ถูกรัฐประหาร ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก นั่นคือ การเดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังความเคลือบแคลงสงสัยให้กับกลุ่มคนที่ต่อต้าน และเรียกร้องต้องการให้รัฐบาลไทยดำเนินการติดตามตัวคุณทักษิณมาลงโทษหรือมารับโทษในประเทศไทยให้จงได้ แต่กาลกลับกลายเป็นว่า คุณทักษิณได้รับอนุญาตจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนอนุมัติออกวีซ่าให้กับคุณทักษิณ ซึ่งก็มีการสันนิษฐานกันไปว่า น่าจะได้รับการอนุญาตจาก นางคริสตี้ ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐ ฯ ประจำประเทศไทยคงจะชงเรื่องให้กับ รมต.ตปท.ของสหรัฐอย่างนางฮิลลารี่ คลินตัน เซ็นอนุมัติ ซึ่งก็ทำให้สาธารณชนคิดไปได้ว่าสหรัฐอาจได้รับผลประโยชน์อะไรบางอย่าง จึงยินยอมให้ทักษิณเข้าประเทศได้ ทั้งๆที่ ไทยมีข้อตกลงกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนร่วมกับสหรัฐอยู่ และเมื่อตอนที่นายวิคเตอร์ บู้ธ ซึ่งเป็นอาชญากรสำคัญของรัสเซีย ถูกจับได้ในประเทศไทย สหรัฐก็มาล็อบบี้รัฐบาลไทยให้ส่งตัวให้กับสหรัฐ แต่ทำไมตอนนี้ทักษิณเดินทางเข้าสหรัฐ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีคดีข้อหาเกี่ยวกับการก่อการร้ายด้วย ซึงสหรัฐเป็นประเทศที่ต่อต้านการก่อการร้ายมาก แต่กลับไม่ส่งทักษิณกลับมาให้ประเทศไทย ที่มันน่าปวดใจก็คือ รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อเรื่องนี้ หรือไม่ทำจดหมายขอให้สหรัฐดำเนินการใดๆ ด้วย เพราะรัฐบาลชุดนี้คือ เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณทักษิณนั่นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่คุณทักษิณจำเป็นจะต้องรับทราบก็คือ ในประเทศสหรัฐฯ มีคนไทยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็ไม่ต้อนรับคุณทักษิณ เพราะคนส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน รักพระเจ้าอยู่หัว พอรับทราบข่าวว่าคุณทักษิณจะมาเหยียบที่สหรัฐฯ ชาวไทยที่นั่นส่วนใหญ่จึงออกมาต่อต้าน ประท้วงตามสถานที่ต่างๆที่คุณทักษิณไป บรรยากาศเก่าๆ อารมณ์ความรู้สึกสมัยที่แกเคยไปเดินพาราก้อน และสีลมซอยละลายทรัพย์จึงหวนกลับมาอีกรอบ นี่แหละหนอ ถ้าคุณเป็นนายกฯ ที่เคยทำดีต่อประเทศชาติ ทำไมเวลาไปไหน ถึงมีแต่คนขับไล่ไสส่ง อย่างกับตัวกาลกิณีก็ไม่ปาน สังเกตว่าแกไปเหยียบแผ่นดินไหน แผ่นดินนั้นมีเรื่องหมด ตอนที่อยู่ดูไบ ซักพักพอแกย้ายไปมอนเตรเนโกร ที่ดูไบก็ฟองสบู่แตก เจ้าผู้ครองนครรัฐดูไบ เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน เพราะลงทุนกับตึกเบิร์จดูไบไปเป็นแสนล้าน และเจ๊งหุ้นจากวิกฤติซับไพร์มกับวิกฤติยูโร จำต้องให้เจ้าผู้ครองรัฐอะบูดาบี มากอบกู้สถานะการเงินการคลังให้ เพราะดูไบเจ๊งกะบ๊ง และเมื่อไม่นานมานี้ แกไปเหยียบเกาะฮ่องกง พอบินออกไปไม่ทันไร ฮ่องกงก็โดนมรสุมวีเซนเต้เล่นงาน ส่วนที่จีนเมืองหลวงถึงกับน้ำท่วมทันที และนี่ไปอเมริกา คุณผู้อ่านก็ลองคิดเอาว่า ถ้าทักษิณบินออกจากอเมริกาเมื่อไร อะไรจะเกิดขึ้นกับอเมริกาอีก ไม่อยากจะคิดต่อเลย


2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ หมายรวมถึงนโยบายหาเสียงต่างๆ ที่รัฐบาลภูมิใจนักภูมิใจหนาว่าทำสำเร็จ มีการแถลงสรุปผลงานในรอบ 1 ปีกันด้วย แต่ที่ถูกรุมสับ วิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงไปทั่วทุกสารทิศก็คือ นโยบายจำนำข้าว ที่เป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอรัปชั่นอย่างหนัก มีการประเมินคร่าวๆจาก TDRI มาแล้วด้วยว่าทำให้เกิดการขาดทุนเสียหายคิดเป็นตัวเลขหลักแสนล้านบาทเข้าไปแล้วและอาจไม่ยุติแต่เพียงเท่านี้ หากว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้าต่อ และในงานเสวนา ปาฐกถางานหนึ่งที่จัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทยร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ จัดงานปกฐกถาใหญ่ระหว่างอดีตขุนคลังและขุนคลังคนปัจจุบันมาดีเบตกัน คือระหว่างคุณกรณ์ จาติกวณิช (อดีตรมต.คลังจากพรรคประชาธิปัตย์)กับคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง (รมต.คลังปัจจุบันจากพรรคเพื่อไทย) คุณกิตติรัตน์ก็ออกมายอมรับเองว่ามีการทุจริตจริงในโครงการรับจำนำข้าว มีการแอบอ้างสวมสิทธิ์ แต่เป็นในระดับปฏิบัติการไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ยังสามารถดูแลจัดการได้อยู่ และยังสนับสนุนให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไป โดยไม่ฟังเสียงท้วงติงจากทั้งนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ ภาคเอกชน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ แต่อย่างใด ผู้เขียนอยากจะบอกว่าถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือเป็นประเทศที่มีธรรมาภิบาลสูงอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น หล่ะก็ รัฐบาลแบบนี้ต้องลาออกทั้งคณะไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แต่เพียงรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้เท่านั้น แต่นี่ประเทศไทย ประเทศที่ผู้บริหารประเทศ นักการเมืองไร้ยางอายที่สุดในโลก ทำผิดโดนจับได้ว่าทำผิด ก็ยังหน้าด้าน และแถไปได้เรื่อยๆ ยังดันทุรังทำชั่วต่อไป ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบรรดาชาวนา เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเสียหายโดยตรงถึงไม่มาประท้วง และนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของความล้มเหลวในบรรดานโยบายประชานิยมทั้งหลาย ซึ่งยังมีอีกมากมาย และการผลาญเงินในรัฐบาลนี้ ยังไม่นับรวมการตั้งงบประมาณ ก่อหนี้สินเพิ่มมูลค่า 3.5 แสนล้าน มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ที่อ้างก่อหน้านี้ว่าต้องออกเป็น พรก.เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ทำไมผ่านมา 1 ปี แล้ว ยังไม่เห็นโครงการแก้ไขปัญหา หรือป้องกันใดๆ เป็นรูปธรรมชัดเจนเลย และที่แสบกว่านั้นก็คือยังไม่มีการเบิกงบประมาณไปใช้ด้วย แต่มีการตั้งรอเอาไว้ก่อน ทำอย่างนี้ก็แสดงว่าเห็นประชาชนคนไทยทั้งประเทศกินหญ้าแทนข้าวแล้วกระมัง ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยังนั่งบริหารประเทศไปเช่นนี้ คิดว่าประชาชนคงได้เห็นอีกหลายโปรเจ็คท์ หลายโครงการที่จะผุดขึ้นมาอีกมาก ที่ไม่เมกเซ็นท์ และก็จะผลาญเงินไปแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่ได้ก่อประโยชน์สูงสุดใดๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าเม็ดเงินที่เสียไป แต่เต็มไปด้วยช่องโหว่ของการทุจริตอีกจำนวนมาก และสิ่งที่จะตามมาก็คือหนี้สาธารณะที่จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งต่างชาติ (ADB,WorldBank,Moody’s,S&P) อาจลดเครดิตประเทศไทย ซึ่งจะทำให้การกู้ยืมมีภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และประเทศไทยอาจต้องเข้าโครงการ IMF อีกรอบก็เป็นได้ อีกทั้งการมานั่งเป็นประธานบอร์ดแบ็งค์ชาติของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร นั้นจะเป็นอุปสรรคในการบริหารงานของผู้ว่าแบ็งค์ชาติคนปัจจุบันหรือไม่ เพราะดร.โกร่งมีนโยบายสุดโต่งที่จะให้ผ่อนคลายทางการเงิน ซึ่งจะขัดแย้งกับผู้ว่าแบ็งค์ชาติอย่างดร.ประสาร ที่มีนโยบายรักษาวินัยการเงิน ยังคงต้องดูแลภาพรวมของมาตรการทางการเงิน โดยมีเครื่องมือที่สำคัญก็คือการควบคุมดอกเบี้ยเป็นหัวใจหลัก แต่ในขณะที่ ดร.โกร่ง นั้นมีแนวความคิดสุดขั้วไปอีกด้านหนึ่งเลย คือต้องการให้นำเงินทุนสำรองของแบ็งค์ชาติมาใช้หรือลงทุนให้เกิดดอกออกผลมากกว่าที่จะเก็บเอาไว้ แค่นี้เราก็พอมองออกแล้วว่า การบริหารงานของแบ็งค์ชาตินับจากนี้มีตัวปัญหามาขัดแข้งขัดขาแน่ๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าใครจะมาดูแลเรื่องการเงินของประเทศให้รอดจากเงื้อมมือพวกผีห่า ซาตานเหล่านี้ได้

3.ปัญหาด้านสังคม ความเสื่อมทรุดของสภาพสังคมไทยมีมาอย่างยาวนานและฝังรากลึกสุดจะเยียวยามามาก นับแต่ประเทศเราหันเหทิศทางมาพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม เราจะเป็นนิคส์ (เสือตัวที่ 5) จำกันได้มั๊ย สุดท้ายแล้วเราเป็นได้แค่แมวตัวที่ 10 การหลั่งไหลของคนหนุ่มสาววัยแรงงานจากภาคเกษตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ได้ทำลายวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนไทยไปหมดสิ้น ภาคเกษตรและคนสูงอายุในชนบทถูกทอดทิ้ง ในขณะที่ในเมืองก็เข้ามาแออัดยื้อแย่งแข่งขันกันสูดอากาศเป็นพิษ แก่งแย่งกันบริโภคและมาแย่งกันเป็นลูกจ้าง มาทำงานในโรงงานเยี่ยงทาสในเมือง สุดท้ายเม็ดเงินที่ได้จากการเอาแรงงานเข้าแลกนั้นมาหมดไปกับของฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย การบริโภคนิยม การสร้างหนี้จากสินเชื่อเงินผ่อน บัตรเครดิตต่างๆ สุดท้ายแล้วผู้ใช้แรงงานก็มาถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างหรือนายทุน พอเศรษฐกิจดีก็รับทรัพย์อู้ฟู่กันไป แต่เมื่อไรเศรษฐกิจเสื่อมถอย เช่นในยุคปัจจุบันบางบริษัท บางโรงงานต้องปิดตัว ผู้ใช้แรงงานบางคนถูกลอยแพ บริษัทเอาตัวรอดด้วยการปิดบริษัทหนี ไม่ต้องรับผิดชอบกับแรงงานที่มีอยู่จำนวนมาก นโยบายเพิ่มค่าแรงของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้บริษัทต้องปิดตัวไปจำนวนมาก ผนวกรวมกับบริษัทที่เสียหายตอนน้ำท่วมใหญ่ปีกลายก็ถือโอกาสปิดตัวแบบถาวร แล้วย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นก็มี ทั้งหลายทั้งปวงของการพัฒนาประเทศไปอย่างไม่มีทิศทางทำให้ประเทศเราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ยังคงเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมแบบรับจ้างผลิตทำของให้คนอื่น หรือ OEM ที่อุตสาหกรรมเหล่านี้จากต่างชาติพร้อมจะย้ายไปประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้เสมอ หากเห็นว่าที่ไหนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าก็พร้อมจะย้ายหนีไปตั้งที่นั่น สิ่งที่พวกนายทุนต่างชาติทิ้งเอาไว้ให้เป็นอนุสรณ์แก่เราก็คือขยะทางอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม มลพิษและสุขภาพที่เสียไป ฝากไว้ให้แก่เราก็เท่านั้น ในขณะที่ SME เป็นฟันเฟืองที่จะขับเคลื่อนประเทศ แต่รัฐบาลชุดนี้กับไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือใส่ใจ ไปให้สิทธิประโยชนกับนายทุนกิจการใหญ่ๆ มากกว่า ทุกวันนี้เราเปิดดูหน้าหนังสือพิมพ์หรือทีวีก็จะพบแต่ข่าวอาชญากรรม ปล้น ขโมย ฆ่ากัน ข่มขืน ตีกัน ทะเลาะเบาะแว้ง การค้ายาบ้า บ่อนการพนัน เต็มทุกพื้นที่ มารศาสนา เยาวชนมั่วสุม ฯลฯ ซึ่งยังไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะตระหนักหรือให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้เลย

4.ปัญหาด้านความมั่นคง ซึ่งคงจะโฟกัสไปยังปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหารกับปัญหาชายแดนภาคใต้ 3 จว. ซึ่งปะทุรุนแรงขึ้นมาอีก โดยที่รัฐบาลเองก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้ วิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลเวลาภาคใต้มีเรื่องก็คือ จัดงบประมาณลงไปเพิ่ม,ส่งกำลังพลลงไปเพิ่ม,ตั้งศูนย์ประสานงานหรือบัญชาการการแก้ไขปัญหาชื่อยาวๆ แปลกๆ แต่ก็ทำงานไม่ประสานงานกับใครทั้งสิ้น ข้อเสนอของพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณีกับเฉลิม อยู่บำรุง ที่ให้ปฏิบัติการแบบใช้กำลังลงไปปราบปรามสู้รบนั้น ตกยุคแล้ว เพราะวิธีการดังกล่าวเคยใช้มาแล้วแต่ไม่ได้ผล และรังแต่จะสร้างปัญหารุนแรงขึ้นไปอีก ก็ไม่ทราบว่าทำไมคนระดับนี้ถึงมีวิธีคิดที่ไม่สร้างสรรค์และย่ำอยู่กับที่ แต่ก็ยังทำอวดเก่งอยู่เสมอ ส่วนปัญหาข้อพิพาทด้านดินแดนบริเวณเขาพระวิหารนั้น ล่าสุดมีคำสั่งให้ทหารไทยถอนทหารออกจากบริเวณที่เป็นพื้นที่พิพาท พื้นที่ทับซ้อน แต่โดยพฤตินัยแล้ว กัมพูชาอาศัยทหารปลอมมาเป็นชาวบ้านบ้าง นักบวชบ้างเพื่อที่จะคงทหารเอาไว้เพื่อเอาเปรียบไทย ในขณะที่กระบวนการตัดสินของศาลโลกก็ดำเนินไป หรือว่าในที่สุดจุดจบของเรื่องนี้ก็คือไทยจะต้องเสียดินแดนจำนวนมากให้กับกัมพูชา ในยุคสมัยของรัฐบาลชุดนี้จริงๆ  สุดท้ายก็คือเรื่องกระบวนการล้มเจ้า หรือจาบจ้วง ล่วงละเมิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำลายสถาบันกษัตริย์ ซึ่งยังคงมีอยู่ และก็ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้จะจริงใจ จริงจัง ในการจัดการกับพวกจ้องล้มสถาบันเลย  ยังคงเห็นหน้าไอ้พวกนิติราษฏร์ยังมาชูคอวิพากษ์วิจารณ์ศาลอยู่เลย กรณีของอีป้ามหาภัยคนนั้นเรื่องไปถึงไหนแล้ว ถ้าไม่มีกลุ่มคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันไปกดดันที่สนามบินวันนั้น ป่านนี้คงจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว คล้ายๆ ไอ้พวกใจ อึ้งภากรณ์ ,จักรภพ เพ็ญแข เป็นแน่

5.ปัญหาการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก ที่เราเห็นก็คือ ไม่มียุคใดสมัยใดจะมีการใช้กำลังคนไปกดดัน ข่มขู่ ศาลสถิตยุติธรรม อย่างหน้าด้าน ไร้ยางอาย และก็ป่าเถื่อนเป็นที่สุด วิธีการอย่างนี้หน่ะหรือเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย มันคือศาลเตี้ยหรือเผด็จการมากกว่า อีกทั้งสมัยนี้เขาใช้เงินเป็นพาหะในการซื้อตัวพวกผู้พิพากษา อัยการ ทนาย เพื่อมาเป็นพวกตน จึงทำให้คนที่ทำงานในอาชีพที่ต้องรักษากระบวนการยุติธรรมจึงมีอุดมการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดหลักการ ตัวบทกฎหมาย แต่ยึดที่ตัวเงินหรืออำนาจมืดที่มีทุนสามานย์คอยบงการ มาเป็นตัวการทำลายเสาหลักคือสถาบันตุลาการซะป่นปี้ในยุคนี้ น่ากลัวมากถ้าประเทศนี้เงินสามารถซื้อความยุติธรรม ศาลสามารถเปลี่ยนแปลงคำตัดสินที่ควรจะเป็นไปตามรูปคดีจากขาวเป็นดำ หรือจากดำเป็นขาวได้ ประเทศนี้คงจะต้องใช้วิธีศาลเตี้ยมาแก้ปัญหากันเอง หรือเราอยากเป็นอย่างประเทศเม็กซิโก รวันดา กันหล่ะครับท่านผู้ชม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น