วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เซี่ยงไฮ้นครของคนบาป

เซี่ยงไฮ้นครของคนบาป


นารีพิศวาส ฆาตกรรม และสิ่งผิดกฎหมาย

อำนาจมืด มาเฟีย มิตรภาพและการหักหลัง ล้างแค้น ไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้ใดมีอำนาจ ผู้นั้นได้ครอบครอง


ซ่างไห่ หรือ เซี่ยงไฮ้ (จีน: 上海, พินอิน: Shànghǎi) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง เป็นเขตการปกครองระดับเขตการปกครองพิเศษแบบเทศบาลนคร ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับมณฑล พื้นที่อยู่ในมณฑลเจ้อเจียงแต่ไม่ได้ขึ้นกับมณฑล การปกครองขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง มีท่าเรือที่มีจำนวนเรือคับคั่งที่สุดในโลก ตามมาด้วยสิงคโปร์ และร็อตเตอร์ดัม เซี่ยงไฮ้ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง แต่ในปัจจุบันเซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุดในจีน เต็มไปด้วยร้านค้า สิ่งก่อสร้าง ถนนเต็มไปด้วยรถ จักรยาน และผู้คน สิ่งที่พบเห็นได้มากในเมืองนี้ จนอาจถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ คือต้นเมเปิลที่มีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งปลูกโดยในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเซี่ยงไฮ้
ซ่างไห่มีพื้นที่ของท่าเทียบเรือกว่า 13.6 ตร.กม. นับตั้งแต่ปีทศวรรษที่ 80 ท่าเรือขนส่งซ่างไห่เป็นท่าเรือ ขนาดใหญ่ติดอันดับโลก ที่มีสินค้าเข้าออกสูงกว่า 100 ล้านตัน ปลายปี พ.ศ. 2546 มหานครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครปารีสแห่งตะวันออก" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มมหานครไฮโซอันดับ 5 ของโลก รองจาก กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นิวยอร์ก ลอนดอน และ ปารีส รูปแบบการปกครองของมหานครซ่างไห่จัดอยู่ในกลุ่มเมืองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง ซึ่งไม่ขึ้นต่อมณฑลใด ๆ ทั้งสิ้น และปัจจุบันประเทศจีนมีเมืองที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ทั้ง สิ้น 4 เมืองด้วยกัน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจินและฉงชิ่ง มหานครซ่างไห่ ปัจจุบันนับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีน เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ของภูมิภาค ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การลงทุน รวมถึง ด้านแฟชั่น และการท่องเที่ยว โดยการผลักดันของรัฐบาลซึ่งให้นครเซี่ยงไฮ้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ และเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เซี่ยงไฮ้จึงนับเป็นความภูมิใจของชาวจีน โดยเฉพาะชาวเมืองซึ่งถือกันว่าเมืองของตนเป็นสัญลักษณ์ของจีนยุคใหม่ ในด้านความก้าวหน้า และทันสมัย เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ทั้งของจีนและตะวันตกได้อย่างกลมกลืน โดยจะเห็นได้จากอาคารสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคมตามเขตเช่าเดิมของชาวตะวันตก ซึ่งในปัจจุบันกลายมาเป็น สัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมือง ในเขตเมืองเก่าบริเวณสวน Yuyuan ที่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งยังคงไว้ด้านรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ขายของที่ระลึกและศิลปะต่างๆ นอกจากนั้นสถานที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยีอนเซียงไฮ้จะพลาดไม่ได้คือ ถนนหนานจิง อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญอันหนึ่งของซ่างไห่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและ เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยแหล่งร้านค้าสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายซื้อสินค้ามากมาย หนึ่งในย่านนั้นมีอาคารจินเหมาทาวเวอร์และ อาคารเซี่ยงไฮ้เวิร์ดไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศจีน นอกจากนั้นเซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองทันสมัยอันดับที่ 25 ของโลกจาก 53 เมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง มอสโก นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน และปารีส
ประชากรในเขตเซี่ยงไฮ้มีประมาณ 19,213,200 คน โดยอายุ 0-14 คิดเป็น 12.2% อายุระหว่าง 15-64 คิดเป็น 76.3% อายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็น 11.5%

ที่มา :เว็บไซต์วิถีพีเดีย,สารานุกรมออนไลน์
หมายเหตุ เป็นมุมมองภาพลักษณ์ที่มักเกิดขึ้นในภาพยนตร์ มิใช่มุมมองภาพลักษณ์จริง ซึ่งถือเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของจีนเมืองนึงและของโลก


เพิ่งจะผ่านวันชาติจีนแผ่นดินใหญ่ ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ถ้าจะพูดถึงเมือง 1 เมืองของจีน ที่พอจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง มั่งคั่งได้ดีที่สุด ก็น่าจะหมายถึง เซี่ยงไฮ้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความเป็นเมืองท่า อุตสาหกรรม การค้าพาณิชย์ ที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำให้เซี่ยงไฮ้ ถูกใช้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์จำนวนมากหลายๆ เรื่อง 1 ในนั้น ได้แก่ ภ.เรื่อง The Lady From Shanghai ,Flowers of Shanghai และ ภ.ซี่รี่ย์สุดฮิตในยุค 80’s ก็คือ The Bunds หรือชื่อไทย “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ผู้เขียนจึงขอนำเกร็ดเกี่ยวกับหนังทั้ง 3 เรื่องที่มีฉากหลังเป็นนครเซี่ยงไฮ้ มาเล่าสู่กันฟัง ถือเป็นการหวนรำลึกวันชาติจีน และเสี้ยวหนึ่งหรือมุมหนึ่ง ด้านมืด ของนครแห่งนี้ ครับ

The Lady From Shanghai ผู้ชายบินเข้ากองไฟ

ปี 1947

กำกับโดย ออร์สัน เวลส์ ผู้กำกับคนเดียวกับที่กำกับ ภ.เรื่อง Citizen Kane หนังที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดตลอดกาลเรื่องนึงในประวัติศาสตร์ของวงการฮอลลีวู้ด เรื่อง The Lady From Shanghai เป็นภ.แนว Film-Noir (ฟิมล์นัวร์) ที่ดีที่สุดเรื่องนึงในยุคปี 40’s มุ่งตีแผ่ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งตัวละครมักเป็น 1 หญิง 2 ชาย หรือไม่ก็ 2 หญิง 1 ชาย ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กัน และนำพาไปสู่จุดจบแบบคาดไม่ถึง ซึ่งภาพยนตร์แนวนี้จะมีตัวละครในแบบ Femme Fatale คือเป็นผู้หญิงร้ายลึกที่ใช้เครื่องเพศมาเป็นตัวหลอกล่อให้ชายหนุ่มมาตกเป็นเหยื่อของเธอ

เนื้อเรื่องว่าด้วย เรื่องราวของ ไมเคิล โอ ฮาร่า ที่ในค่ำคืนหนึ่ง เขาได้ไปช่วยเหลือผู้หญิงที่ชื่อ เอลซ่า ผู้หญิงแสนสวย ที่เขาหลงใหลในเสน่ห์ทั้งที่เพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ให้รอดพ้นจากการถูกปล้น ทั้งนี้เธอเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ พร้อมกับสามี อาเธอร์ แบนนิสเตอร์ ที่มีอาชีพเป็นทนายความ คู่สามีภรรยากำลังจะเดินทางไปยังซานฟรานซิสโกโดยทางเรือและเพื่อเป็นการตอบแทนที่โอฮาร่าช่วยแฟนสาวของตัวไว้ เบนนิสเตอร์ ก็ว่าจ้างให้โอฮาร่าทำงานบนเรือยอชท์สุดหรูของเขา และระหว่างนั้นเองที่ชายหนุ่มได้รู้จักกับ จอร์จ กริสบี้ เพื่อนทนายของแบนนิสเตอร์ ทั้งนี้กริสบี้ว่าจ้างให้โอฮาร่าทำทีเป็นว่ามีส่วนรู้เห็นในการแกล้งตายของตัวเขา เพื่อหวังได้เงินประกัน โอฮาร่าตัดสินใจรับข้อเสนอดังกล่าวเพราะว่าเขาต้องการเงินจากการว่าจ้างเพื่อพาเอลซ่าหนี แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อปรากฏว่ากริสบี้เสียชีวิตลงจริงๆ จากการถูกยิง ซึ่งนั่นก็ทำให้ไมเคิล โอฮาร่า

หนังได้ตัวออร์สัน เวลส์(ผู้กำกับ) มาแสดงนำคู่กับริต้า เฮย์วอร์ท นักแสดงสาวสวยที่เป็นภรรยาของเขาในช่วงเวลานั้น ซึ่งหลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉายได้ไม่นานทั้งคู่ก็เลิกรากัน ฉากจบของหนังเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมากที่สุด ออร์สัน เวลส์ใช้กรรมวิธีแบบเกินจริง มาเล่าเรื่องราวเพื่อแทนค่าอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร ทั้งนี้ให้ไมเคิล โอฮาร่าถูกจับไปซ่อนไว้ที่บ้านอลเวงภายในสวนสนุก แต่ละฉากก็แสดงความสับสน กดดันของพระเอก แต่ถ้าใครได้ดู ภ.เรื่องนี้ ซีนหนึ่งที่จะจดจำได้ติดตาก็คือ ฉากในห้องกระจก (ซึ่งถูกนำมาลอกเลียนแบบใน ภ.ยุคหลังหลายต่อหลายเรื่อง อาทิ Chicago ในปี 2002, Black Swan ในปี 2010 เป็นต้น) แนะนำ เนื่องจากเป็น 1 ใน 1001 movies you must see before you die ด้วยครับ

Flowers of Shanghai นาฏกรรมของนางโลม

ปี 1998

กำกับโดย หัวเสี้ยวเสียน ปรมาจารย์ภาพยนตร์แห่งไต้หวัน

ภ.เรื่องนี้เป็นแนว period ย้อนยุค โดดเด่นด้านการกำกับภาพ การวางคอนเซ็ปต์ของหนัง สไตล์การเล่าเรื่อง โทนสีของภาพ การตัดต่อลำดับภาพ (ใช้วิธีการ fade in fade out) ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นต้นตอของแรงบันดาลใจ ที่ทำให้ หว่องกาไว ได้รับอิทธิพล ไปกำกับ ภ.เรื่อง In the Mood for Love หนังปี 1998 เพราะมีสไตล์ที่คล้ายกันมาก เรื่องนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่ม ที่ชื่อเฮียหวังที่รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย กับหญิงคณิกา ในหอนางโลม เป็นความเสน่หาส่วนตัว คุณชายหวังจึงเสนอตัวที่จะปลดหนี้ให้กับนางคณิการูปงามคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็มีใจให้กับหญิงคณิกาอีกคน หญิงคณิกาคนที่ถูกช่วยเหลือจึงชอกช้ำด้วยหัวใจที่หลงรักคุณชายหวังไปเสียแล้ว พล็อตเรื่องนั้น เล่นตัวอย่างเอียงอายด้วยการให้ตัวละครหลัก(คุณชายหวัง) ค่อยๆ รู้ความในใจของนางเอก ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเดินหน้าอย่างเชื่องช้าและมั่นคง ราวกับผู้กำกับต้องการจะบอกให้คนดูค่อยๆ ดูชะตากรรมบางอย่างที่จะตามมาในท้ายเรื่อง

สิ่งที่ผู้กำกับ หัวเสี้ยวเสียน ตั้งใจนำเสนอมากกว่าก็คืออารมณ์ลุ่มหลงในบรรยากาศหนึ่งซึ่งเป็นทั้งเรื่องรัก และเรื่องใคร่ และที่สำคัญ เขาไม่ทำให้เรื่องของนางโลมอันแสนงามคนหนึ่งนั้น กลายเป็น epic ด้วยการทำให้เธอเป็นอะไรที่น่าสงสาร ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม การไม่ผูกติดอยู่กับเงื่อนปม และข้อจำกัดใดๆ ทางศิลปะ ผู้กำกับระดับขึ้นหิ้งของไต้หวันยังเล่นชั้นเชิงกับคนดูอีกระดับนึง ในตอนต้นเรื่องที่ฉากต่างๆ อยู่ในห้องนั้น ตัวรองของหนังเอ่ยถึงกัญชา หรือยาสูบ (ประเภทฝิ่น) อันมีนัยถึงของมึนเมา หลังจากนั้นหนังก็โชว์เหนือด้วยการสอดรับ ไปตลอดทางกับธีมที่เรื่องต้องการจะพาไป เราจะเห็นว่าแม้แต่การใช้ฉากเข้าออก หรือการตัดต่อ ไวยากรณ์ของหนังเป็นไปอย่างนุ่มนวล ราวกับอารมณ์ที่ตกอยู่ในห้วงของการเสพของมึนเมา เป็นการเปรียบเปรยว่า เมื่อคนเราตกอยู่ในอารมณ์รักใคร่ จนยากจะถอนตัวไม่ขึ้น จนยากจะลืมตา ที่แท้เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ถูกเหวี่ยงไปมา สับสนและมึนงง จนไม่ต่างอะไรกับการตั้งวงเสพของมึนเมา ซึ่งอยู่ในอาการเดียวกันกับที่ตัวละครเป็น โลกของ flowers of shanghai จึงไม่ใช่โลกที่เกียวกับนางคณิกาแต่เพียงเท่านั้น ในความหมายนี้มันแยกตัวเองออกไปจากสังคม และคาแรกเตอร์ต่างๆ ของตัวละครเป็นหนึ่งเสมือนตัวแทนของเงื่อนไขทางสังคมที่แสดงออกมา

บทพูด ไดอะล็อก และเครื่องแต่งกายที่เรียงรายออกมา ไม่ได้แค่โชว์ความงดงาม อลังการของเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มีนัยทางอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครแฝงอยู่ด้วย อาทิ เช่น สีแดงที่แทนค่าอารมณ์ความปรารถนารุ่นแรง (passion) สีเทาอมเหลือง แทนค่า อาการกลืนไม่เข้า คายไม่ออก หรือหวานอมขมกล้ำกลืน การไม่ชี้ชัดไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการไม่เสนอทางออกชัดเจนออกมา ทำให้คนดูมีทางเลือกที่จะคิดอะไรมากกว่า 1 อย่าง และมันไม่จำเป็นว่า เราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่หนังคิดและต้องการบอกออกมาจริงๆ ผู้เขียนคิดว่า หว่อง กาไว คงได้รับอิทธิพลจากหนังเรื่องนี้มาเต็มๆ ไม่มากก็น้อย ที่เขานำมาใช้ในงาน In the Mood for Love ของเขา อย่างน้อยก็สไตล์ของหนัง ซึ่งบางครั้ง การที่ตัวละครไม่พูดอะไรก็ดีกว่าพูด และบางครั้งการที่ตัวละครไม่เคลื่อนไหว แต่เหมือนไม่เคยหยุดนิ่ง ให้ภาษาของภาพเป็นตัวถ่ายทอดความรู้สึกเอาเอง นี่แหละงานของผู้กำกับที่เรียกว่าชั้นครู ของจริง

(ที่มา : ถอดความบางส่วนจากคอลัมน์ cinema,section entertrend bizweek ตุลาคม 2550,พรทิพย์ แย้มงามเหลือ และคุณเรนนี เดย์)

The Bund เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

ปี 1980

กำกับโดย(ทีมผู้กำกับทั้ง 3 ภาค)   Chiu Chun-keung, Fok Yiu-leung, Tam Jui-ming, Lee Yiu-ming, Lau Si-yu

พระเอกในเรื่องคือสี่เหวินเฉียง เป็นคนมีอดีตที่สูญเสียและเจ็บช้ำ ซึ่งเขาอยากจะลืมให้หมด  เขาเคยเป็นนักศึกษาผลการเรียนระดับเกียรติยมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง  แต่ด้วยอุดมการณ์รักชาติบ้านเมือง และความร้อนแรงของอารมณ์ในวัยหนุ่ม จึงได้เข้าร่วมกลุ่มเป็นผู้นำในการประท้วงความไม่เป็นประชาธิปไตย ต่อต้านคอรัปชั่น และเรียกร้องให้ขับไล่บรรดาประเทศจักรวรรดินิยมต่างชาติ นักล่าเมืองขึ้นทั้งหลายที่กำลังรุมกินโต๊ะประเทศจีนอยู่ในขณะนั้นออกไปพ้นแผ่นดินจีนให้หมด  ผลที่ได้รับคือนักศึกษาถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายจนบาดเจ็บลัมตายและถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมาก นักศึกษาสาวเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคนรักของเขาถูกทหารรัฐบาลตีจนตายในที่ประท้วงนั้นเอง ตัวเขาก็ถูกจับเข้าคุก 3 ปี  เมื่อสี่เหวินเฉียงออกมาจากคุกเขาพยายามลืมความหลังที่เจ็บปวดทั้งหมด เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้ทำมานั้นล้วนไร้สาระ เขาได้เสียสละให้กับอุดมการณ์ความรักชาติมากเกินไป เขาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และมุ่งหน้าไปแสวงหาชีวิตใหม่ที่เซี่ยงไฮ้ นครใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพเป็นเขตปกครองของบรรดาประเทศนักล่าอาณานิคมชาติต่างๆ เขาตั้งใจว่าที่นี่เขาจะทำเพื่อตัวเองเท่านั้นจะไม่คิดถึงคุณธรรมความดีและชาติบ้านเมืองอีกต่อไป

ในวันที่เขามาถึงวันแรกก็ได้พบกับติงลี่คนหนุ่มหาบสาลี่ขายจากสลัมในย่านชานเมืองเซี่ยงไฮ้ เขาได้ขอไปพักในบ้านสลัมของติงลี่ก่อนเพื่อติดตามหาฟางเยี่ยนเหวินเพื่อนเก่าของเขาที่มาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้ ติงลี่ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เขาพบว่าติงลี่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างฝงจิ้งเหยา ซึ่งเป็นผู้ทีมีอิทธิพลมากที่สุดในเซี่ยงไฮ้ส่วนที่เป็นเขตเช่าของฝรั่งเศสในขณะนั้น  ฟางเยี่ยนเหวินดีใจมากที่ได้พบสี่เหวินเฉียงผู้ชายที่เธอรักมาตลอดชีวิต เธอรู้สึกแปลกใจที่สี่เหวินเฉียงเปลี่ยนแปลงไปมากจากคนที่เอ่ยปากแต่ละคำก็มีแต่คำว่าเสียสละ อดทน ทำเพื่อชาติบ้านเมือง  กลายมาเป็นคนที่มุ่งหน้าแต่จะหาความก้าวหน้าในชีวิตที่เซี่ยงไฮ้  สี่เหวินเฉียงเพียงบอกเธอว่า  “ทุกอย่างที่ฉันเคยทำมันไร้สาระ ฉันเสียสละให้มันมากเกินไป อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ในเซี่ยงไฮ้” ขณะนั้นฟางเยี่ยนเหวินมีอาชีพเป็นหญิงโสเภณีชั้นสูงที่โด่งดังในนครเซี่ยงไฮ้แล้ว เธอมีลูกค้าขาประจำที่เป็นบุคคลมั่งคั่งร่ำรวยและมีอิทธิพลเป็นจำนวนมาก สี่เหวินเฉียงขอพักอาศัยอยู่กับเธอที่บ้านของเธอก่อน ซึ่งเธอตกลงและยังช่วยหางานให้สี่เหวินเฉียงทำอีกด้วย โดยสี่เหวินเฉียงได้ไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงหนังเหม่ยหัวให้กับเถ้าแก่หลี่ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งของฟางเยี่ยนเหวิน

สี่เหวินเฉียงสามารถสร้างผลงานดีเด่นเป็นที่พอใจของเถ้าแก่หลี่มาก เช่นเขาสามารถแก้ปัญหาการถูกนักเลงโรงหนังข้างเคียงข่มขู่คุกขามได้อย่างเรียบร้อย สามารถนำฟีล์มหนังที่ถูกบุกแย่งคืนไปได้จากหัวหน้าแก็งค์ที่ขโมยไปได้ด้วยตัวเขาคนเดียวโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อใดๆ ผลงานครั้งนี้ทำให้สี่เหวินเฉียงมีชื่อเสียงขึ้นมาในวงการนักเลงในเซี่ยงไฮ้ว่าเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด และมีความกล้าหาญเป็นเยี่ยม

จากความสามารถของสี่เหวินเฉียงทำให้อาปิ่งลูกน้องเก่ามือขวาของเถ้าแก่หลี่ไม่พอใจและจ้างมือปีนคนนอกมาดักสังหารสี่เหวินเฉียง คนที่ถูกจ้างมาเผอิญเป็นติงลี่ซึ่งเมื่อพบว่าเป้าหมายเป็นสี่เหวินเฉียงเขาจึงชะงักการลงมือและทำงานไม่สำเร็จ เขาถูกอาปิ่งตามฆ่าปิดปากจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สี่เหวินเฉียงก็ตามไปช่วยมาได้ จากนั้นสี่เหวินเฉียงก็ชวนติงลี่มาพักอาศัยทำงานเป็นผู้ช่วยเขา ติงลี่บอกว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือทำอะไรก็ไม่เป็นจะช่วยอะไรสี่เหวินเฉียงได้ สี่เหวินเฉียงบอกว่าไม่เป็นไร ติงลี่เป็นคนฉลาดเขาจะสอนติงลี่เอง ต่อไปพวกเขาสองคนจะยิ่งใหญ่เหมือนฝงจิ้งเหยา

สี่เหวินเฉียงดำเนินแผนการต่อด้วยเล่ห์เหลี่ยมเชิงชั้นที่แยบยล จนสามารถทำให้อาปิ่งลงมือสังหารเถ้าแก่หลี่ได้ จากนั้นสี่เหวินเฉียงก็สังหารอาปิ่ง เมื่อโรงหนังเหม่ยหัวขาดผู้นำ บรรดานักเลงในแก็งค์จึงพากันยกให้สี่เหวินเฉียงเป็นผู้บริหารโรงหนังเหม่ยหัวคนต่อไป ถึงจุดนี้สี่เหวินเฉียงและติงลี่ก็สามารถสร้างอาณาจักรเล็กๆของตนเองขึ้นมาได้แล้ว

จากการที่ทั้งสองคนเข้าครอบครองเป็นผู้บริหารโรงหนังเหม่ยหัวทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับฝงจิ้งเหยาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิเก็บค่าคุ้มครองโรงหนังเหม่ยหัวอยู่ ฝงจิ้งเหยาได้ฟังเรื่องราวของสี่เหวินเฉียงมาว่าเป็นคนหนุ่มมีการศึกษาดี เฉลียวฉลาด เก่งกล้าสามารถจึงให้ความสนใจและแวะไปที่โรงหนังด้วยตนเองแต่ไม่พบ จึงได้เชิญทั้งสองคนไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เขาจัดขึ้น ในงานปาร์ตี้เมื่อเฝิงจิ้งเหยาได้พบกับสี่เหวินเฉียงและติงลี่ เขาก็รู้สึกถูกชะตาชอบใจคนหนุ่มทั้งสองคนนี้ และก็พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นกับแขกที่มาในงานซึ่งเป็นเพื่อนของฝงจิ้งเหยาซึ่งถูกตำรวจสอบสวนกลางของทางการจีนที่อยู่นอกเขตเซี่ยงไฮ้ติดตามจับกุมอยู่ในข้อหา “ขายชาติ” แม้จะเข้ามาในบ้านของฝงจิ้งเหยาไม่ได้แต่ก็ล้อมบ้านไว้เพื่อรอจับกุม สี่เหวินเฉียงจึงอาสาจัดการกับเจ้าหน้าที่ที่ล้อมนอกบ้านทั้งหมดให้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฝงจิ้งเหยาดีมากขึ้นอีก ฝงจิ้งเหยาออกปากชวนให้ทั้งสองคนมาทำงานกับเขา แต่สี่เหวินเฉียงบอกว่าเขาอยากจะค่อยๆเรียนรู้งาน และไต่เต้าสร้างฐานะของเขาขึ้นมาเอง ซึ่งฝงจิ้งเหยาก็ไม่ว่าอะไรและคอยให้การสนับสนุนกิจการของสี่เหวินเฉียงอยู่ห่างๆ

ในระหว่างช่วงเวลานี้เอง   เจ้าหน้าที่กงสุลฝรั่งเศสต้องการกว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ในเขตเช่าฝรั่งเศสแต่ติดปัญหาที่มีเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งไม่ยอมขายไม่ว่าจะเสนอราคาเท่าใดก็ตาม ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ของคนฝรั่งเศสเดินหน้าไม่ได้  เขาจึงขอให้ฝงจิ้งเหยาช่วยเจรจาซึ่งก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน  ฝงจิ้งเหยาจึงใช้วิธีการจ้างมือปืนรับจ้างอาชีพภายนอกไปดักฆ่าเจ้าของโรงงานแห่งนี้   ซึ่งก็พอดีที่ลูกชายของเจ้าของโรงงานคือเฉินฮั่นหลิน   ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับฉิงฉิง  ลูกสาวของฝงจิ้งเหยาและเรียนโรงเรียนเดียวกันด้วย    ทั้งสองคนเดินทางกลับจากสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลายพร้อมกัน  ฝงจิ้งเหยาชวนสี่เหวินเฉียงที่เผอิญไปหาฝงจิ้งเหยาที่บ้านมาด้วยกัน  ที่สถานีรถไฟสี่เหวินเฉียงสังเหตุเห็นมือปืนซ่อนปืนไว้ในมือเดินเข้ามาทางกลุ่มผู้ที่มารอรับจึงได้เข้าขัดขวางทำให้มือปืนทำงานไม่สำเร็จ มือปีนจึงจับฉิงฉิงที่เดินอยู่ใกล้ตัวไว้เป็นตัวประกัน  สี่เหวินเฉียงได้อาสาเป็นผู้เจราจาต่อรองกับมือปืนอย่างสุขุมรอบคอบ  และชาญฉลาด จนสามารถช่วยฉิงฉิงออกมาได้

ฉิงฉิงประทับใจในตัวสี่เหวินเฉียงมาก จากนั้นสองหนุ่มสาวก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นแม้ว่าสี่เหวินเฉียงจะพยายามควบคุมตัวเองและปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดไม่ให้เกิดขึ้นแต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถห้ามหัวใจตนเองได้จนกลายเป็นความรักที่ซาบซึ้งผูกพันระหว่างกันขึ้นในที่สุด

ในระหว่างนั้นติงลี่เกิดไปหลงรักผู้หญิงที่เป็นเมียเก็บของนักเลงเจ้าถิ่นใกล้เคียงเข้าและเกิดปัญหาถึงขนาดไปฆ่านักเลงคนนั้นตาย ทำให้กลุ่มแก็งค์ต่างๆพากันใช้เป็นข้ออ้างร่วมมือกันกวาดล้างแก็งค์ของสี่เหวินเฉียงและติงลี่ โดยฝงจิ้งเหยาไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ เนื่องจากเป็นประเพณีปฏิบัติในวงการนักเลงเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และสี่เหวินเฉียงก็ไม่ใช่คนของเขาอีกด้วย เขาได้แต่ปรามว่าขอให้พวกแก็งค์ต่างๆพยามเว้นชีวิตคนแซ่สี่ไว้เท่านั้น

พวกแก็งค์ต่างๆลงมือรวดเร็วมากในการกวาดล้างแก็งค์ของสี่เหวินเฉียง เหตุการณ์ในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมน้ำมิตรที่เป็นข้อยึดเหนี่ยวสำคัญของโลกตะวันออก และแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนมีคุณธรรมของสี่เหวินเฉียง ในภาวะอับจนดังกล่าวสี่เหวินเฉียงตัดใจได้และบอกกับติงลี่ว่า “ไม่เป็นไร ไหนไหนเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราสองคนจะรับมันด้วยกัน” ทั้งสองต้องหลบซ่อนด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดฝงจิ้งเหยาก็ออกหน้าช่วยเหลือคนทั้งสองโดยรับเข้ามาทำงานให้กับเขา ทำให้แก็งค์ต่างๆต้องเลิกความพยายามในการติดตามสังหารคนทั้งสอง

ในการเข้ามาทำงานกับฝงจิ้งเหยาครั้งนี้ คนหนุ่มทั้งสองได้แสดงความสามารถและผลงานที่ยอดเยี่ยมในการทำงานให้สำเร็จได้ ทำให้ฝงจิ้งเหยาพอใจและไว้วางใจพวกเขามาก สี่เหวินเฉียงสามารถเจรจากับฝรั่งต่างชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และการจัดการกับนักเลงกลุ่มอื่นๆที่แข็งข้อได้อย่างดีโดยมีติงลี่เป็นกำลังสำคัญในการทำงาน ในระหว่างนั้นฝงจิ้งเหยาต้องการเข้าไปรับสัมปทานกิจการสาธารณูปโภคน้ำประปา แต่ก็ถูกฝรั่งอังกฤษหักหลังทำให้มีเรื่องขัดแย้งกัน แต่สี่เหวินเฉียงสามารถจัดการให้พวกอังกฤษต้องยอมทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการมอบสัมปทานกิจการน้ำประปาให้ฝงจิ้งเหยา

ในระหว่างนี้ก็มีเรื่องต่างๆเข้ามาทำให้สี่เหวินเฉียงไม่สบายใจและมีปัญหาคุกรุ่นภายในกับฝงจิ้งเหยามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องแรกก็คือหลูเชาเผิง เพื่อนเก่าของสี่เหวินเฉียงคนหนึ่งที่เคยต่อสู้ร่วมอุดมการณ์รักชาติมาด้วยกันสมัยเป็นนักศึกษา เขามาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ หลูเชาเผิงเป็นคนตรงที่ไม่ยอมก้มหัวให้อิทธิพลและอำนาจเงิน เขาเกาะติดและเขียนบทความโจมตีพฤติกรรมที่เลวร้ายของเฝิงจิ้งเหยา แม้สี่เหวินเฉียงจะพยายามเตือนให้เขาหยุดก็ตาม เรื่องสุดท้ายที่ทำให้ฝงจิ้งเหยาโกรธมากก็คือ เขาเขียนบทความโจมตีสี่เหวินเฉียงและฝงจิ้งเหยาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล้มบอลที่ทำให้ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นชนะทีมฟุตบอลจากอังกฤษได้ ทำให้ฝงจิ้งเหยาส่งคนไปสังหารหลูเชาเผยเสียชีวิต

ปัญหาต่อมาก็คือสหรัฐอเมริกาไม่ชอบใจประวัติที่อื้อฉาวของฝงจิ้งเหยา จึงขัดขวางไม่ให้ฝงจิ้งเหยาได้รับเลือกเป็นประธานคนจีนในเขตเช่ารวม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ฝงจิ้งเหยาต้องการมาก ฝงจิ้งเหยาจึงต้องสานสัมพันธ์กับฝ่ายญี่ปุ่นซึ่งกำลังต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเซี่ยงไฮ้มากขึ้น และมีเป้าหมายไกลไปถึงขนาดต้องการยึดครองประเทศจีนทั้งประเทศ

ฝงจิ้งเหยาสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นทั้งทางการค้า และการประสานอิทธิพลเข้าด้วยกันโดยมีข้อแลกเปลี่ยนสำคัญคือให้ญี่ปุ่นช่วยสนับสนุนตนให้ได้ตำแหน่งประธานคนจีนในเขตเช่ารวม ซึ่งสหรัฐอเมริกาขัดขวางเขาอยู่ ประเด็นขัดใจครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสายลับญี่ปุ่นที่มาเจรจางานกับสี่เหวินเฉียงถูกชาวจีนผู้รักชาติจากสำนักจิงอู่บุกสังหารแต่พลาดท่า ทำให้ญี่ปุ่นชักปืนจะยิงคนจีนผู้รักชาติคนนั้น สี่เหวินเฉียงจึงต้องลงมือช่วยคนจีนคนนั้นทำให้พวกญี่ปุ่นโกรธมาก เมื่อฝงจิ้งเหยาถามว่าทำไมถึงทำโง่ๆแบบนั้น เขาตอบว่า “ผมทนเห็นญี่ปุ่นฆ่าคนจีนตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้”

เรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้สี่เหวินเฉียงทนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งที่กำลังใกล้ถึงวันแต่งงานระหว่างเขากับฉิงฉิงแล้วก็ตาม คือการที่ฝงจิ้งเหยาสบคมกับญี่ปุ่นลักลอบนำอาวุธสงครามเข้ามาในประเทศจีน สี่เหวินเฉียงรู้ดีว่าอาวุธสงครามเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ฆ่าชาวจีนผู้รักชาติในพื้นที่ต่างๆที่ญี่ปุ่นกำลังขยายอิทธิพลรุกรานจีนอยู่ และที่สำคัญก็คืออาวุธล็อตแรกที่นำเข้ามานี้จะถูกนำไปใช้ฆ่าผู้คนในสำนักมวยจิงอู่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รักชาติที่ทำการต่อสู้กับอิทธิพลของญี่ปุ่นที่แทรกซึมเข้ามาในเซี่ยงไฮ้มาโดยตลอด สี่เหวินเฉียงแอบประสานงานกับเฉินฮั่นหลินซึงเป็นตำรวจสันติบาลในขณะนั้นให้หาทางจัดการกับอาวุธสงครามเหล่านั้นเสีย ซึ่งเฉินฮั่นหลินได้แอบเข้าไปเก็บอาวุธเหล่านั้นไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเขายังต้องการกวาดล้างแก็งค์มังกรฟ้า (องค์กรลับของญี่ปุ่น) ไปด้วยพร้อมกัน จึงบอกให้สำนักจิงอู่นำคนเข้ามาล้อมทำร้ายพวกญี่ปุ่นโดยไม่ทราบว่าสี่เหวินเฉียงก็อยู่ที่นั่นด้วย ผลการปะทะคือพวกญี่ปุ่นเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคุณนายทากาดามิหรือ (ซากายูริ ผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งของแก็งค์มังกรฟ้าและยอดมือสังหารของญี่ปุ่นซึ่งได้ฆ่าคนจีนผู้รักชาติไปแล้วเป็นจำนวนมาก) เรื่องนี้ทำให้ฝงจิ้งเหยาและญี่ปุ่นโกรธมาก ฝงจิ้งเหยาสั่งการให้ฆ่าสี่เหวินเฉียงทันที

สี่เหวินเฉียงได้รับบาดเจ็บและหนีไปซ่อนตัวที่สลัมบ้านเดิมของติงลี่ ติงลี่ตามไปแต่ไม่ฆ่าสี่เหวินเฉียงเขาเพียงตัดนิ้วก้อยไปให้ฝงจิ้งเหยา และยังให้เงินติดกระเป๋าและตั๋วรถไฟหนีออกจากเซี่ยงให้สี่เหวินเฉียงด้วย ฝงจิ้งเหยาโกรธติงลี่มากแต่ก็ไม่ฆ่าเขาเพราะยังเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของติงลี่อยู่
ที่ฮ่องกงสี่เหวินเฉียงได้พบกับอาตี้และครอบครัว สี่เหวินเฉียงมองไม่เห็นอนาคตที่จะได้กลับไปเซี่ยงไฮ้อีก และพร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจและต้องการจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบสมถะที่ฮ่องกง เขาจึงแต่งงานกับอาตี้ผู้หญิงพื้นบ้านที่น่ารักและมีอุปนิสัยดีงามที่พบที่นั่น ฉิงฉิง ไม่เชื่อว่าสี่เหวินเฉียงเสียชีวิตแล้วจนกระทั่งเดินทางไปฮ่องกงและพบว่าสี่เหวินเฉียงยังไม่ตายและได้แต่งงานแล้ว เธอพยายามตัดใจจากเขา แต่ก็ยังไม่สามารถรับรักจากติงลี่ที่แอบหลงรักเธอมานานแล้วได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตามฝงจิ้งเหยายังคงอาฆาตสี่หวินเฉียงอยู่ และส่งมือปืนรับจ้างบุกไปฆ่าสี่เหวินเฉียงซึ่งเผอิญไม่อยู่บ้าน พวกมือปีนฆ่าอาตี้ น้องชายและ พ่อของอาตี้ตายอย่างทารุณ ทำให้สี่เหวินเฉียงเสียใจมากอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้วแต่ฝงจิ้งเหยาก็ยังตามมาทำร้ายเขาอีก เขาตั้งปฏิญาณว่า เขาจะต้องล้างแค้นฝงจิ้งเหยาให้ได้

ในช่วงเวลานั้นมีผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งจากปักกิ่งคือ เนี๊ยเหยินหวัง ต้องการเข้ามายึดครองพื้นที่ในเซี่ยงไฮ้แข่งกับฝงจิ้งเหยา คนคนนี้มีกองทัพจีนหนุนหลังและอ้างอุดมการณ์รักชาติบังหน้า แต่จิตใจจริงแท้ก็ไม่ได้ต่างจากฝงจิ้งเหยา สี่เหวินเฉียงจึงได้โอกาสกลับมาเซี่ยงไฮ้อีกครั้งโดยมาทำงานให้กับเนี๊ยเหยินหวัง ด้วยความที่สี่เหวินเฉียงรู้จุดอ่อนในกิจการของฝงจิ้งเหยาและกลไกการทำงานของฝงจิ้งเหยาเป็นอย่างดี เขาจึงสามารถช่วยเนี๊ยเหยินหวังค่อยๆทำลายกิจการค้า และอิทธิพลของฝงจิ้งเหยาให้ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆได้

ติงลี่พยายามสร้างความสัมพันธ์กับฉิงฉิง เอาอกเอาใจดูแลนางอย่างดีที่สุด แล้วโอกาสของเขาก็มาถึงเมื่อพวกของเนี๊ยเหยินหวังวางแผนสังหารฝงจิ้งเหยา แต่กลับเป็นติงลี่และฉิงฉิงอยู่ในรถ ติงลี่ต่อสู้ปกป้องฉิงฉิงจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก่อนเขาจะเข้าสู่ห้องผ่าตัดนั้นเขาขอฉิงฉิงว่าถ้าเขาไม่ตายขอให้ฉิงฉิงยอมแต่งงานกับเขา ซึ่งฉิงฉิงรับปากเขาด้วยความสงสาร

แม้ว่าฉิงฉิงจะแต่งงานกับติงลี่แล้ว  แต่ในใจลึกๆนางก็ยังลืมสี่เหวินเฉียงไม่ได้ ในขณะเดียวกันติงลี่เองก็ไม่พอใจที่ได้พบความจริงข้อนี้  แต่แทนที่เขาจะใจเย็นๆค่อยๆปรับความเข้าใจกันเขากลับแสดงอาการหึงหวงและพูดจารุนแรงแสดงอาการไม่สุภาพกับฉิงฉิงอยู่บ่อยๆ  ดังนั้นขณะที่ฉิงฉิงเองพยายามทำใจและพยายามปฏิบัติต่อติงลี่ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพบกับพฤติกรรมหึงหวงก้าวร้าวเกินเหตุเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงทำให้เธอเลิกคิดที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสกับสามี   ในที่สุดทั้งสองคนก็แยกกันอยู่และไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันเลย เพียงเป็นสามีภรรยาในนามเท่านั้น

ด้วยอำนาจอิทธิพลที่เนี๊ยเหยินหวังมีอยู่ร่วมกับแผนการต่างๆของสี่เหวินเฉียงซึ่งรู้ข้อมูลภายในทางธุรกิจของฝงจิ้งเหยาเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถสลายอิทธิพลบารมีของฝงจิ้งเหยาลงได้เรื่อยๆ   ทางด้านการเมืองและภาพพจน์พวกเขาก็สามารถปลุกปั่นบรรดานิสิตนักศึกษา  และสหภาพแรงงานต่างๆให้ออกมาเดินขบวนต่อต้านและประจานว่าฝงจิ้งเหยาเป็นคนขายชาติ เป็นสุนัขรับใช้ญี่ปุ่นเข่นฆ่าคนจีน   ออกข่าวและบทความทางหนังสือพิมพ์เปิดโปงพฤติกรรมมาเฟียผิดกฎหมายต่างๆของฝงจิ้งเหยา  ด้านการเงินก็ปล่อยข่าวทำลายความเชื่อถือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ของฝงจิ้งเหยาและประสานกับธนาคารต่างๆ      ไม่ให้ปล่อยสินเชื่อให้ฝงจิ้งเหยา  ที่สำคัญคือพยายามบีบคั้นให้ฝงจิ้งเหยาลงมือใช้กำลังบุกสังหารเนี๊ยเหยินหวัง  ซึ่งติงลี่คัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ฝงจิ้งเหยาก็ยังคงดำเนินการ  ซึ่งแน่นอนมีการวางแผนตั้งรับไว้แล้วเป็นอย่างดี  การลอบสังหารครั้งนี้เป็นการบุกสังหารในงานเลี้ยงระดับนานาชาติซึ่งทำไม่สำเร็จและมีพยานหลักฐานโยงไปถึงฝงจิ้งเหยา   ทำให้ฝรั่งเศสเนรเทศฝงจิ้งเหยาออกจากเขตเช่าฝรั่งเศสและเป็นการสิ้นสุดความรุ่งโรจน์ในชีวิตของฝงจิ้งเหยา

ในสภาพการหมดสิ้นอำนาจและอิทธิพลของฝงจิ้งเหยานั้น ติงลี่ก็แสดงตัวตนจริงๆของเขาที่ซ่อนอยู่โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเหนือชั้นกว่าที่ทุกๆคนคิดไว้มากนัก แม่เขา สี่เหวินเฉียง ฝงจิ้งเหยา ผู้คนรอบกายเขา ล้วนมีความเห็นว่าเขาเป็นคนบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ค่อยยั้งคิด มักชอบใช่แต่กำลัง ไม่ฉลาดนัก คนที่รักเขาโดยเฉพาะแม่เขาและสี่เหวินเฉียงถึงกับกังวลว่าเขาจะดูแลชีวิตตัวเองต่อไปให้ดีได้อย่างไร? แต่เมื่อถึงเวลาที่ฝงจิ้งเหยาหมดสภาพลงและเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ติงลี่ก็แสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา เขาลอบยักยอกเงินทองทรัพย์สมบัติ โฉนดที่ดินต่างๆของฝงจิ้งเหยาเอาไว้เป็นของเขาเองจำนวนมาก รวมทั้งสร้างเครือข่ายขุมกำลังของตัวเองเอาไว้ด้วย แต่ฝงจิ้งเหยาก็ไม่ทำอะไรติงลี่เพราะไม่อยากให้ลูกสาวเขาเป็นหม้าย นอกจากนี้เขายังขอให้ฝงจิ้งเหยาเซ็นมอบอำนาจการบริหารกิจการทั้งหมดให้เขาด้วยซึ่งฝงจิ้งเหยาไม่ยอมเพราะต้องการให้ติงลี่ถอนตัวออกจากวงการนักเลงเพื่อให้สามารถดูแลลูกสาวของเขาให้มีความสุข

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่เมื่อสี่เหวินเฉียงมาขอให้เขาเปิดโอกาสให้สี่เหวินเฉียงเข้าถึงตัวฝงจิ้งเหยาได้ เขาจึงเปิดโอกาสด้วยการวางแผนให้สี่เหวินเฉียงมีโอกาสเข้าถึงตัวฝงจิ้งเหยาได้ โดยเขาให้โอกาสทั้งสองคนดวลปืนกันด้วยเกมรัสเซี่ยนรูเล็ต ซึ่งทำให้สี่เหวินเฉียงสามารถสังหารฝงจิ้งเหยาล้างแค้นให้ครอบครัวของเขาได้  หลังจากที่สี่เหวินเฉียงฆ่าฝงจิ้งเหยาล้างแค้นได้สำเร็จแล้ว เขากลับควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้และกลับไปตามง้อฉิงฉิงอีก ซึงแน่นอนฉิงฉิงไม่ยอมกลับมาคืนดีกับเขาอีกและตัดสินใจเดินทางไปฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามฉิงฉิงยังคงให้เขาไปส่งเธอที่สโมสรละครและยังคงเก็บหนังสือที่มีรูปถ่ายคู่ของทั้งสองคนไว้นำติดตัวไปฝรั่งเศส ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาให้สี่เหวินเฉียงตัดสินใจตามฉิงฉิงไปฝรั่งเศสก่อนที่เขาจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

เมื่อกำจัดฝงจิ้งเหยาแล้วเนี๊ยเหยินหวังก็ไม่เห็นประโยชน์ของ สหภาพแรงงานต่างๆ และพรรคจิงอู่ อีกต่อไป เขาตระบัดคำมั่นสัญญาต่างๆที่เคยให้ไว้กับคนเหล่านี้จนหมดสิ้น ทำการกวาดล้างเข่นฆ่าผู้นำสหภาพแรงงานต่างๆ พรรคจิงอู่ และจะกำจัดสี่เหวินเฉียงเป็นคนต่อไปหลังจากที่ใช้สี่เหวินเฉียงกำจัดติงลี่ลงได้แล้ว ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดสุญญากาศขึ้นในเซี่ยงไฮ้จากการล่มสลายของฝงจิ้งเหยาซึ่งเนี๊ยเหยินหวังกำลังก้าวขึ้นมาแทนที่ สี่เหวินเฉียงกับติงลี่จึงได้ตกลงร่วมมือกันสู้กับเนี๊ยเหยินหวังและสามารถสังหารเนี๊ยเหยินหวังได้แต่ก็เป็นสาเหตุให้ฟางเยี่ยนเหวินเสียชีวิต

ภายหลังจากการเสียชีวิตของฝงจิ้งเหยา ฉิงฉิงก็เดินทางไปฝรั่งเศส สี่เหวินเฉียงร่วมกับติงลี่เข้าครองอำนาจในเซี่ยงไฮ้แทนฝงจิ้งเหยาทั้งหมด ติงลี่ได้เป็นประธานคนจีนในเขตเช่ารวมแทนฝงจิ้งเหยา สถานการณ์ในเซี่ยงไฮ้สงบเงียบมาก สี่เหวินเฉียงไม่ต้องการอยู่เซี่ยงไฮ้ต่อไปเพราะเขาคิดจะตามไปง้อฉิงฉิงที่ฝรั่งเศสและเขาคิดว่าถ้าอยู่เซี่ยงไฮ้ต่อไปนานๆอาจเกิดปัญหากับติงลี่ก็ได้เพราะว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ วันสุดท้ายก่อนไปจากเซี่ยงไฮ้เขาไปกินมื้อค่ำฉลองกับติงลี่และบอกติงลี่ว่าเขากำลังจะไปจากเซี่ยงไฮ้แต่ไม่บอกว่าจะไปไหน เมื่อเขาเดินพ้นประตูไนท์คลับออกมา ก็ถูกกลุ่มคนร้ายบนรถเก๋งที่จอดรออยู่วิ่งผ่านมาใกล้และรัวยิงด้วยอาวุธสงครามใส่สี่เหวินเฉียงจนล้มลงและสิ้นใจในวงแขนของติงลี่ที่ตามออกมา ก่อนตายเขาจึงค่อยบอกติงลี่ว่าเขากำลังจะไปฝรั่งเศส

เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ปี 1980 นี้ สร้างโดย TVB ฮ่องกง นำแสดงโดย โจวเหวินฟะ,หลี่เหลียงเหว่ย,เจ้าหย่าจือ,โอวหยางเพ่ยซัน  เรื่องนี้เป็นซีรี่ย์มหากาพย์ 3 ภาค เฉพาะภาคแรกถูกนำกลับมาสร้างใหม่หลายเวอร์ชั่น อาทิเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้หักเหลี่ยมมังกร ปี 2007  พล็อตเรื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก ภ.เรื่อง The God Father  แต่เนื้อหาไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาพสังคมเซี่ยงไฮ้และชาวจีน แต่เนื้อหาเข้มข้น หักเหลี่ยม เฉือนคม และมีหักมุม ชิงรักหักสวาท ถือว่าครบรส ผู้เขียนยอมรับว่าเป็นซีรี่ย์ที่ดีที่สุดของฮ่องกงเรื่องนึงเลยทีเดียว มีความสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งการแสดง บท ประเด็นข้อคิดที่ได้จากเรื่อง จนทุกวันนี้หนังแนวเจ้าพ่อนี้ ยังหาเรื่องใดเทียบเคียงเรื่องนี้ยังไม่ได้เลย ยกให้เป็นซีรี่ย์ในดวงใจเรืองนึง ในโอกาสนี้ช่อง ACT Channel ทางเคเบิลทีวี ได้นำกลับมาฉายใหม่ จึงน่าติดตามมากๆ และถ้าเป็นในรูปแบบ DVD ลิขสิทธิ์ เห็นมีวางขายในร้าน J-Bics , Shibuya ด้วย ผู้อ่านสามารถหาซื้อมาดูหรือ Loadbit ก็ได้ ในยูทูปก็น่าจะมี ขอจบด้วยเพลงนำประกอบ ภ.ซีรี่ย์เรื่องนี้ที่โด่งดัง


 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น