วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม Nationalism Economics (Attitude Review Series)

ตอนที่ 5 เยอะเน๊อะ กิจกรรมการสร้างหนี้มันเยอะเน๊อะ


พี่...จะไปไหนอะ

อ๋อ...จะไป....

เปิดร้าน ซื้อเสื้อผ้า ซื้อนาฬิกา ซื้อมือถือ ซื้อแอลซีดี เที่ยวป่า อยากมีนา ดูเทนนิสไปซาฟารี ตีกอฟล์ ล่องเรือ ส่องสัตว์ ช็อปปิ้ง ดูทอล์โชว์ ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ดินเนอร์ ซื้อขนม อยากมีบัตร ไปเที่ยวอัมพวา อยากมีกล้อง เรียนทำครัว ทัวร์ธรรมมะ  เข้าสัมมนา ซื้อดอกไม้ให้แฟน เรียนเต้น แล้วก็ไปเกะ

วิกฤติเศรษฐกิจระดับมหภาคเราเจอหนี้สาธารณะ (กองทุนหนี้พอกพูนทวี เปิดจองแล้วทุกรัฐบาล)


วิกฤติเศรษฐกิจระดับจุลภาคเราเจอหนี้สินส่วนบุคคล หรือหนี้นอกระบบ (กองทุนผสมหนี้กลัดหนองในใส้เน่า เปิดจองซื้อเป็นแบบเฉพาะเจาะจง มีขั้นต่ำ หมดแล้วหมดตัว)

อ่วมแน่ทั้งระดับประเทศและระดับส่วนบุคคล ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งกันอยู่นี้ นักการเมืองพยายามนำเสนอนโยบาย โครงการ หรือผลประโยชน์ต่างๆ นานา เพื่อจูงใจประชาชน ทั้งลดแลกแจกแถม ผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ ที่สัญญาว่าจะให้ หากเราไปเลือกเขาเป็นผู้แทน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในอดีตอย่าง 30 บาท รักษาทุกโรค(บัตรทอง) ,ธนาคารคนจน ,กองทุนหมู่บ้าน ,โครงการเอื้ออาทรต่างๆ ,โครงการเรียนฟรี 12 ปี ,โครงการรับจำนำข้าว ,ประกันรายได้ , โครงการ otop ให้ใช้น้ำ ใช้ไฟฟรี นั่งรถเมล์/รถไฟฟรี ฯลฯ เดี๋ยวนี้หนักข้อกว่านั้นอีกครับ อาทิ รัฐสวัสดิการรักษาฟรี , แจกบัตรเครดิตชาวนา , เรียนก่อนผ่อนทีหลัง ,ประกันรายได้ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ,รายได้ประจำ 15,000 บาทต่อเดือน ,สร้างรถไฟฟ้า 12 สาย (ในนี้มีรถไฟความเร็วสูงด้วย) โดยเก็บค่าโดยสารเพียง 20 บาทตลอดสาย , มีการลดการจัดเก็บภาษี vat ลง 2/% เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถามว่าล้วนเป็นโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินสูงมาก ไปถามนักวิชาการเศรษฐศาสตร์หรือผู้รู้ด้านเศรษฐกิจทั้งหลาย ล้วนตอบตรงกันว่าเป็นสิ่งที่นักการเมืองเพ้อฝัน แต่จะทำได้จริงนั้นต้องใช้เงินงบประมาณมหาศาล ซึ่งจะหามาจากไหน ไม่มีนักการเมืองคนไหนนำเสนอควบคู่กันมาด้วยเลย เพราะเงินงบประมาณรายรับทั้งปีของรัฐบาลมีเพียงปีละ 2ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบประจำ (จ่ายเงินเดือนช้าราชการและนักการเมือง ก็ปาเข้าไป สามสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะนายจ๋า) จะทำได้อย่างไร ก็คือต้องไปเพิ่มในส่วนของรายรับให้มากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีรัฐบาลชุดไหนจะมีน้ำยาหรือเก่งในทางหาเงินเข้าประเทศได้จริงๆ จะมีก็สมัยคุณทักษิณ แต่ในสมัยที่คุณทักษิณเป็นนายกนั้น ถือว่าโชคช่วยหลายประการ เช่น เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว และเศรษฐกิจโลกเวลานั้นดีมากๆ แต่ถ้าเป็นในยุคสมัยปัจจุบันมันจะต่างกันสุดขั้วและยากหรือโจทย์หินกว่าสมัยก่อนมาก ไอ้ครั้นจะมาเร่งเก็บภาษีกันเพิ่ม ก็ดูจะเป็นการรีดนาtalent กันมากไป เพราะยุคนี้ขึ้นชื่อเรื่องสรรพากรทำงานหนัก และผู้ประกอบการโอดครวญเป็นที่สุด เพราะเศรษฐกิจกำลังจะดีก็มาเจอพิษไข้การเมือง ทำให้ฟื้นไม่จริง ในขณะที่ค่าครองชีพถีบตัวขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง จึงเป็นโจทย์ยาก ดังนั้นการนำเสนอนโยบายประชานิยมให้แก่ประชาชนจึงเสมือนการให้ยาพิษหรือยาเสพติดแก่ประชาชน นอกจากจะเป็นการเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆแล้วยังเป็นการทรมานไม่ให้ตายไปเลย จากการเสพติดประชานิยมไปเรื่อยๆ ไอ้ครั้นจะเลิกก็เลิกไม่ได้เพราะคนมันเคยตัวไปแล้ว เลิกยาก ถ้าเลิกเดี๋ยวมีโวย อันนี้คือต้นตอของการสร้างหนี้ทั้งในระดับประเทศที่เรียกว่าหนี้สาธารณะ และถ้าเป็นหนี้ส่วนบุคคลที่ไปกู้ยืมมาแม้จะเป็นของรัฐ ก็ถือว่าคุณเป็นลูกหนี้อยู่ดี ต้องใช้คืนภายหลัง เรียกว่าหนี้ส่วนบุคคล บางรายหนักกว่านั้นมีหนี้สินสะสมอยู่เดิมก่อนจะมีประชานิยมเสียอีก หรือภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเยอะแหล่งเงินกู้ของภาครัฐมันไม่พอ ต้องหยิบยืมหนี้เงินกู้นอกระบบอีก ซึ่งดอกเบี้ยบานตะเกียงผิดกัน แม้ภาครัฐจะมีนโยบายที่จะให้รีไฟแนนซ์โอนยอดหนี้มาเข้าสถาบันการเงินของรัฐ แต่ดูเงื่อนไขและความสะดวกแล้วสู้เอกชนหรือนอกระบบไม่ได้จึงจำใจต้องเป็นหนี้นอกระบบต่อไป ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงเพื่อจะบอกว่าคนไทยและรัฐบาลไทยกำลังจะก้าวไปสู่หายนะในวันข้างหน้าจากการสร้างหนี้ แทนที่จะสร้างรายได้ หรือหารายได้เพิ่มและพยายามลดรายจ่ายหรือควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตนเอง โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาใช้ แต่เราคนไทยกลับไม่ได้นำมาใช้เลย ใช้คำว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยก็ว่าได้ มีแต่คำพูดที่สวยหรูที่พูดถึงยอมรับกัน แต่ในทางปฏิบัติไม่มีแมวตัวไหนเลยจะปฏิบัติจริงๆ จังๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรม (กล่าวโทษแต่เฉพาะภาครัฐและประชาชนที่ยอมเป็นหนี้นอกระบบนะครับ)ยังทำตัวโง่จนเจ็บ อยู่อย่างเดิม

ประเทศมาเลเซีย ผู้นำของเขาแสดงวิสัยทัศน์ว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020 ส่วนประเทศเวียดนาม ผู้นำของเขาแสดงวิสัยทัศน์เช่นเดียวกันว่า เวียดนามจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วเช่นกันในปี 2025 ส่วนประเทศไทย สาระขัณฑ์อย่างเรา ผู้นำประเทศกล่าวว่า ไทยจะเป็นหนี้แบบทบต้นในปี 2020 ครับ (อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว) หากเรายังเดินกันไปแบบนี้อยู่ ดูตัวอย่างอย่างประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ ฮังการี โปรตุเกส นั่นไง ที่กำลังประสบปัญหาอยู่ หรือในอดีตก็อย่าง ประเทศอาร์เจนติน่า เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ เราอยากเป็นเหมือนประเทศเหล่านั้นจัง เป็นไอด้อลด้านเศรษฐกิจของเราเหลือเกิน ครับพี่น้อง

เมื่อตอนปี 2540 ที่ไทยเผชิญกับวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น ต้นตอเศรษฐกิจพังมาจากเงินกู้ภาคเอกชน จุดกำเนิดจากการเปิดเสรีทางด้านภาคการเงิน หรือ BIBF จนต้องมีการปิด 56 ไฟแนนซ์ ควบรวมกิจการสถาบันการเงิน มีปรส. มีกฎหมายล้มละลาย มีกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ หรือ letter of intent ประเทศไทยต้องก้าวเข้าสู่โปรแกรมนวดหน้า สปาเท้าที่เรียกว่า IMF ที่นำธุรกิจและสินทรัพย์ดีๆ ของไทยไปขายทอดตลาด ให้ต่างชาติอย่าง เลห์แมน บราเธ่อร์ มางาบเอาผลประโยชน์ไปเต็มๆ โดยฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็น รมว.คลังสมัยนั้น ซึ่งทำให้เอกชนไทยหลายคนล้มทั้งยืน ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือคุณศิริวัฒน์ แซนด์วิช (ขออภัยที่เอ่ยนาม เพราะคุณคือฮีโร่ของคนยุคปี 40) บางส่วนก็ล้มบนฟูกก็มี หรือบางท่านบางธุรกิจก็ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ขอยกตัวอย่าง

แต่ในยุคปี 2554ถึงปี 2560 นี้ นิยายน้ำเน่าเรื่องเก่ากำลังจะกลับมาฉายใหม่อีกแล้ว แต่งวดนี้มีการเปลี่ยนเวอร์ชั่น ผู้ร้ายจะไม่ใช่ตัวเดิมแล้ว มีการเปลี่ยนบทเล็กน้อยคือต้นตอเศรษฐกิจจะมาจากภาครัฐแทน (เพราะเอกชนเขามีภูมิคุ้มกันมากขึ้นหรือเจ็บแล้วกูจำ) งวดนี้เราจะไม่ได้เห็นสถาบันการเงินของบ้านเราพังครืนลงไปเหมือนคราวที่แล้วหรอก เพราะมันได้กลายไปเป็นของต่างชาติไปหมดตั้งนานแล้ว แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือรัฐวิสาหกิจดีๆ ของไทยจะกลายไปเป็นของเอกชนหรือต่างชาติกันหมดเนี่ยสิ น่าเป็นห่วง ตัวอย่างชัดๆ ก็คือ ปตท.เสร็จไปแล้ว คำถามก็คือทุกวันนี้คนไทยได้ใช้น้ำมันถูกลงจริงมั๊ย จากการแปรรูปไปเป็นบริษัทมหาชน จริงอย่างที่เขาบอกตอนแปรรูปหรือไม่ คนไทยรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลหน้าโง่ทุกสมัย ไม่สามารถหวังพึ่งพาได้อยู่แล้ว และงวดนี้หากประเทศไทยต้องเข้าคอร์ส International Mother & Father School แล้วหล่ะก็ คงต้องหมดอิสรภาพทางการเงินแบบหมดตัวเป็นแน่ มันคงปอกลอกเราจนหมดตัว เหลือแต่ตอเป็นแน่ ทรัพย์สินดีๆ ในประเทศจะถูกขายหรือแปรรูปไปให้ต่างชาติหมด แล้วประชาชนคนไทยก็คงต้องมีต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เราดูตัวอย่างจากประเทศกรีซ รอเอาไว้ได้เลย


http://www.huffingtonpost.com/news/greece

(คำเตือน : การเป็นหนี้มีความเสี่ยง ผู้อยากเป็นหนี้โปรดใช้วิจารณญาณศึกษาความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการเป็นหนี้ให้รอบคอบก่อนการเป็นหนี้ทุกครั้ง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น