วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แมกเบธ ต้นแบบของความเป็นทรราช

วรรณกรรมเรื่อง แมกเบธ นี้เป็นบทประพันธ์ ของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดเรื่องนึง ซึ่ง ถูกนำไปทำเป็นบทละครเวทีมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะในอังกฤษและอเมริกา และในวาระโอกาสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเปิดตัวศูนย์ศิลปะการแสดงสดใส พันธุมโกมล จึงมีการหยิบเอาบทละครเรื่องชื่อเรื่องนี้ มาแสดงเป็นปฐมฤกษ์เปิดตัวศูนย์ศิลปะแห่งนี้ เราจึงอยากนำเรื่องราววรรณกรรมเรื่องนี้มาถ่ายทอดต่อลงในบล็อกของเรา เพื่อให้ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเนื้อหา เป็นวรรณกรรมที่มีคติสอนใจ และเข้ากับยุคสมัยประเทศไทยเวลานี้มาก ซึ่งเป็นวาระของการช่วงชิงอำนาจการปกครองกัน เมื่อได้อ่านจนจบ ท่านผู้อ่านก็จะทราบเองว่าการได้อำนาจมา มันไม่จีรังยั่งยืน หากการก้าวเข้าสู่อำนาจเป็นไปแบบไม่ชอบธรรมและถ้าผู้ใช้อำนาจนั้นไม่มีคุณธรรม ก็จะถูกเรียกขานเป็นทรราชย์ และวันนึงก็จะต้องมีคนมาโค่นล้ม ให้สูญสิ้นอำนาจเอง ซึ่งการสูญเสียนี้ก็จะสูญเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ทรัพย์สิน บริวาร หรือแผ่นดิน (เมือง,รัฐ) รวมถึงสูญเสียชีวิตด้วยในบางกรณี ขอเชิญท่านผู้อ่านเสพอรรถรสจากวรรณกรรมเรื่อง แมกเบธ ได้ ณ บัดนี้


แมกเบธ

สมัยที่กษัตริย์ดังแคนปกครองสก็อตแลนด์นั้น มีขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งนามว่า แมกเบธ นอกจากจะเป็นพระญาติสนิทของพระมหากษัตริย์แล้ว ยังเป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย เพราะเขาเป็นผู้ที่ฉลาดเฉลียวและมีความชำนาญในการรบอย่างยิ่ง และเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ได้แสดงความเก่งกล้าด้วยการเอาชนะกองทัพของทหารชาวนอร์เวย์


ขณะที่แมกเบธ และนายพลชาวสก็อตอีกท่านหนึ่ง มีนามว่า แบงคิโอ เดินทางกลับจากสนามรบผ่านสถานที่รกร้างด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด และในเย็นวันนั้น พวกเขาก็ได้เจอกับรูปลักษณ์แปลกประหลาด 3 รูป ซึ่งมีลักษณะคล้ายผู้หญิง แต่ว่ามีหนวดเครา ผิวหนังเหี่ยวย่น และเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ทำให้ดูแล้วไม่เหมือน*สรรคสัตว์ ที่ถือกำเนิดขึ้นจากพิภพนี้ (*สรรคสัตว์ หรือ creature หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น อาทิ คน สัตว์ หรือพืช)

แมกเบธ พูดกับพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าพวกมันแสดงอาการกราดเกรี้ยว แต่ละตัวก็ทำเป็นเอานิ้วมือโบกไปมาบนริมฝีปากเป็นเชิงว่าให้เงียบเสีย

ตัวแรกทักทาย แมกเบธ ก่อน ด้วยการเอ่ยชื่อของเขา “เจ้าศักดินาแห่ง*กลามิส” เขาประหลาดใจที่ว่า ‘สรรคสัตว์’พวกนี้รู้จักเขา (*กลามิส Glamis ในยุคนั้น เป็นเขตชุมชนหนึ่งที่อยู่ในแคว้นสก็อตแลนด์)

แต่ก็ยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อสรรคสัตว์รูปที่ 2 เรียกเขาว่า “เจ้าศักดินา แห่งคอวดอร์” เขาไม่ได้ท้วงติงสักนิดถึงเรื่องนี้

และก็ยิ่งอัศจรรย์เป็นทวีคูณ เมื่อสรรคสัตว์รูปที่ 3 กล่าวอวยชัยแก่เขา “ทรงพระเจริญ พระราชาแห่งอนาคต” การพยากรณ์กล่าวถึงอนาคตอย่างนี้ทำให้ แมกเบธ ประหลาดใจ ยิ่งนัก เพราะขณะที่พระราชโอรสของพระราชา ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นี้ เขาไม่สามารถหวังที่จะขึ้นครองราชย์ได้

แล้วรูปประหลาดเหล่านั้นก็หันมาทางแบงคิโอ และสัพยอกเขาว่า “เขาจะต่ำต้อยกว่า แมกเบธ แต่จะยิ่งใหญ่กว่า มีความสุขไม่มาก แต่จะสุขกว่าแมกเบธ !” แล้วพวกเขายังบอกว่า “ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นกษัตริย์ แต่ลูกชายของเขาก็จะได้เป็นพระราชาแห่งสก็อตแลนด์ในอนาคต” จากนั้นก็หายตัวไป


2 นายพล ต่างก็ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับเทวีแห่งชะตากรรมทั้ง 3 หรือแม่มดกันแน่ ขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีผู้นำสาสน์จากพระราชาเดินทางมาถึงพวกเขา มาเพื่อที่จะแจ้งแก่แมกเบธว่า เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาแห่งคอวดอร์ ซึ่งก็เป็นการตอบรับคำทำนายของสรรคสัตว์อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก จนเขาเองก็ประหลาดใจ

เขานิ่งด้วยความฉงน ไม่สามารถเอ่ยตอบกับผู้ถือสาสน์นั้นได้ ความหวังเริ่มจุดประกายขึ้นในใจเขาว่า คำทำนายของสรรคสัตว์รูปที่ 3 นั้น อาจจะกลายเป็นจริง และวันหนึ่งเขาจะได้เป็นพระราชาแห่งสก็อตแลนด์


แมกเบธ หันมาทาง แบงคิโอ พร้อมกับเอ่ยว่า “ถึงจะมีแม่มดมาบอกให้สัญญากับท่าน ท่านก็คงไม่หวังว่า ลูกของท่านจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ใช่ไหม?” แบงคิโอ ตอบกลับว่า “มันอาจจะเป็นภาพลวงตาที่ทำให้ท่านมีความหวังในราชบัลลังก์ บ่อยครั้งไปที่ปีศาจแห่งความมืดได้บอกความจริงอะไรเราเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เรากระทำการอันยิ่งใหญ่”


คำทำนายของแม่มดได้จุดประกายแห่งความหวังขึ้นในใจ ให้กับแมกเบธ จนทำให้เขาไม่ใส่ใจในคำเตือนของแบงคิโอ เพราะขณะนั้น ความคิดของเขามุ่งอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะได้ครอบครองราชบัลลังก์สก็อตแลนด์?

เมื่อกลับมาถึงบ้าน แมกเบธได้เล่าคำทำนายของสรรคสัตว์รูปร่างแปลกประหลาดที่เขาไปประสบพบมา และความจริงบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วให้แก่ภรรยาฟัง ภรรยาของแมกเบธ เป็นคนที่ทะเยอทะยาน เมื่อนางได้ฟังเรื่องราวจากสามี นางก็ได้เตรียมการณ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นใหญ่ หล่อนพูดถึงแผนการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ดังแคน และเกลี้ยกล่อมแมกเบธ ผู้ซึ่งไม่เต็มใจจะกระทำการฆาตกรรม หล่อนบอกเขาว่า การฆาตกรรมพระราชาเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำเพื่อคำทำนายจะได้เป็นจริง


พระราชาทรงเสด็จเยี่ยมเยียนเหล่าขุนนางอยู่บ่อยๆ ในครั้งนี้กำลังเสด็จไปประสาทของแมกเบธ พร้อมราชโอรส 2 พระองค์ พระนามว่า มาล์โคล์ม และโดเนลเบน พร้อมด้วยเหล่าขุนนางข้าราชบริพารจำนวนนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าไปที่ปราสาทของแมกเบธ เพื่อแสดงความยินดีที่เขาประสบความสำเร็จในการศึกครั้งนี้

ปราสาทของแมกเบธ ตั้งสง่าและบรรยากาศก็สดชื่นร่มรื่นน่าอยู่ นกนางแอ่นทำรังบนผนัง ซึ่งรังของมันยื่นออกไปจากตัวตึก นกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ก็แต่ในที่ๆ อากาศดีเท่านั้น พระราชาทรงพอพระทัยกับปราสาท และความเอาใจใส่ เคารพนบนอบของหญิงเจ้าของบ้าน นางคือ คุณหญิงแมกเบธ หล่อนมีศิลปะในการซ่อนความทรยศด้วยการแย้มยิ้มที่ดูเหมือนดอกไม้ที่ไม่ประสา ขณะที่ตลอดเวลานาง คืองูร้ายภายใต้การเสแสร้ง

พระองค์ทรงพอพระทัยกับการต้อนรับจึงได้พระราชทานรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ถวายการต้อนรับ พร้อมกันนี้ก็ได้พระราชทานเพชรให้แก่ คุณหญิงแมกเบธ และตรัสว่า “นางเป็นเจ้าของบ้านที่ให้การต้อนรับขับสู้ได้ดีมาก”


พระราชาทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงเข้าบรรทมเร็วกว่าปกติ โดยมีมหาดเล็ก 2 คนนอนอยู่ข้างๆ อันเป็นธรรมเนียมปกติ ขณะนั้น มันเป็นเวลาเที่ยงคืน สรรพสิ่งเงียบสงัด และความฝันอันโหดร้ายก็เข้าสิงสู่ภวังค์อันหลับใหลของมนุษย์ ในตอนนี้ไม่มีใครคาดหวังว่า จะมีหมาป่าและฆาตกรกำลังคืบคลานเข้ามา

คุณหญิงแมกเบธ ตื่นขึ้นมาวางแผนการลอบปลงพระชนม์พระราชา นางจะไม่เป็นผู้กระทำการที่ผู้หญิงไม่สมควรทำเด็ดขาด แต่นางก็เกรงว่า สามีของนางจะไม่กล้า นางรู้ว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังรู้ว่า ความแตกต่างระหว่างถูกและผิดเป็นอย่างไร และยังไม่กล้าพอที่จะกระทำการโหดร้ายในทางที่ความฝันอันน่าละอายสั่งการ นางเอาชนะเขาได้โดยการเสนอความคิดแห่งการฆาตกรรม แต่นางไม่แน่ใจว่า เขาจะมีความหนักแน่นในแผนการหรือไม่ นางเกรงว่าความรู้สึกอันนุ่มนวลอ่อนโยนจะมาทำให้เขาเปลี่ยนใจที่จะทำแผนลอบปลงพระชนม์ ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรค และจะทำให้คำทำนายของเหล่าปีศาจนั้นไม่เป็นความจริง นางถือดาบไปยังห้องบรรทมของพระราชาและแน่ใจว่า ทหารรับใช้ดื่มเหล้าไปมาก จึงหลับใหลไปด้วยความมึนเมา จนทำให้เกิดการละเลยไม่ใส่ใจในหน้าที่ที่จะทำการอารักขาพระราชา ณ ที่นั้น กษัตริย์ดังแคนกำลังบรรทมหลับสนิท นางมองดูพระองค์อย่างพินิจ มีบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของพระองค์เตือนให้นางระลึกถึงบิดาของนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพอที่จะปลงพระชนม์พระองค์ได้ในขณะนี้

นางกลับไปหาสามีและหารือกับเขา แมกเบธรู้สึกไม่แน่ใจ เท่าไหร่เกี่ยวกับการกระทำในครั้งนี้ เขาคิดว่ามีเหตุผลที่แน่วแน่ต่อต้านการฆาตกรรม ในประการแรก เขาไม่เพียงเป็นข้าแผ่นดิน หากแต่เป็นพระญาติสนิทของพระราชาอีกด้วย เขาเป็นผู้ที่กฏหมายมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลคุ้มครองพระราชา และมีหน้าที่ต้องขจัดฆาตกรทั้งหลาย ไม่ใช่ที่จะทิ่มแทงพระองค์ด้วยตนเอง จากนั้นจึงสำนึกได้ว่า พระราชาทรงเมตตาต่อเขาอย่างไร พระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎรและต่อตระกูลของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวเขาเอง กษัตริย์ดังแคน อยู่ในความดูแลอย่างพิเศษของสวรรค์ และหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกพันเป็นสองเท่ากับความตาย นอกจากนี้ เขายังเป็นที่โปรดปรานของพระราชา เขาจึงมีชื่อเสียงเกียรติยศที่ดีกว่าขุนนางคนอื่นๆ ทั้งหลาย แล้วเกียรติยศเหล่านี้จะถูกแปดเปื้อนด้วยการกระทำฆาตกรรมหรืออย่างไร?

คุณหญิงแมกเบธ รู้ว่า สามีของนางกำลังตกอยู่ในสภาพสับสนแก้ปัญหาไม่ตก เอนเอียงไปในทางที่ดีกว่า และตัดสินใจจะไม่ดำเนินการขั้นต่อไป นางเป็นผู้หญิงที่ไม่หวั่นไหวต่อจุดมุ่งหมายได้โดยง่ายอยู่แล้ว จึงเริ่มเป่าหูเขา ผสมด้วยอำนาจอันแข็งแกร่งของนาง นางยกเหตุผลสารพัดว่า ทำไมเขาจึงไม่สมควรผละจากสิ่งที่เขาได้กระทำไว้แล้ว และว่า มันจะง่ายอย่างไร มันจะเสร็จสิ้นเร็วเพียงใด โดยการกระทำเพียงชั่วคืนสั้นๆ จะนำไปสู่ค่ำคืนและวันเวลาแห่งราชบัลลังก์ จากนั้นก็แสร้งกล่าวหาว่า เขาเป็นคนขี้ขลาด นางกล่าวว่า นางมีลูก และรู้ว่าความรู้สึกนั้นนุ่มนวลเพียงใด เมื่อนางโอบกอดลูก แต่นางจะผละจากลูกขณะที่ลูกกำลังยิ้มกับนางอยู่ ถ้าเพียงแต่นางได้ให้สัญญาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่ แมกเบธ สัญญาว่า จะทำการปลงพระชนม์กษัตริย์ ดังแคน จากนั้นจึงกล่าวว่า “มันเป็นการง่ายมากที่จะโยนความผิดให้กับทหารที่ทำการอารักขาพระราชาซึ่งเมาหลับใหลอยู่ เป็นแพะรับบาปแทน นางทำให้เขาสับสน และเกลี้ยกล่อมให้เขารู้สึกกล้าพอที่จะกระทำการอันโหดร้าย จากนั้นนางก็ยื่นดาบให้เขา

และแล้ว แมกเบธ ก็คลานฝ่าความมืดไปยังห้องบรรทมอย่างเงียบๆ

กษัตริย์ดังแคนกำลังบรรทมอยู่ที่นั่น ขณะที่เขากำลังไปกระทำแผนโหดนั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขาเห็นดาบลอยอยู่ในอากาศ ด้ามมันยื่นมาทางเขา ปลายดาบมีหยดเลือดติดอยู่ แต่เมื่อเขาพยายามฉวยเอามา มันกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า เขาพยายามสลัดความกลัวออกไป เข้าไปในห้องบรรทมของพระราชาแล้วก็ลงมือแทงพระองค์ ขณะที่เขากำลังกระทำการฆาตกรรมนี้ ทหารองครักษ์คนหนึ่งก็ละเมอ หัวเราะขึ้น และอีกคนหนึ่งก็ละเมอตะโกนร้องขึ้น “ฆาตกรรม!” ทำให้เขาทั้งสองรู้สึกตัวขึ้น แต่ก็เพียงพึมพำสวดมนต์ คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พระเจ้าคุ้มครองเรา!” อีกคนหนึ่งตอบรับว่า “อาเมน” จากนั้นก็หลับต่อ

แมกเบธ ซึ่งยืนฟังพวกเขาอยู่ พยายามพูดว่า “อาเมน” ตาม ขณะที่ทหารองครักษ์กล่าวว่า “พระเจ้าคุ้มครองเรา!” แต่ขณะนั้นเขาต้องการคำอวยพอย่างยิ่ง คำพูดจึงติดอยู่ที่ลำคอ และก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงร้องว่า “อย่าได้นอนสลบไสล ตื่นได้แล้ว! แมกเบธ ฆาตกรรมคนกำลังหลับ คนหลับที่อยู่ในช่วงนิทรารมย์ และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย” แล้วก็ร้องต่อไปว่า “ตื่นได้แล้ว!” ไปทั่วทุกบ้าน “กลามิส ได้ถูกสังหารระหว่างนิทรารมย์ ดังนั้น คอวดอร์ ไม่ควรจะหลับใหลอีกต่อไป แมกเบธ สมควรตื่นได้แล้ว”


หลังจากปลงพระชนม์เสร็จ และด้วยจินตนาการอันน่ากลัวนี้ แมกเบธจึงไปหารือกับภรรยา ตอนแรก นางคิดว่า เขาทำแผนการล้มเหลว เนื่องจาก เขามาถึงในสภาพยุ่งเหยิง จนนางต้องบอกให้เขารู้ว่า เขาอยู่ในสภาพแย่ขนาดไหน นางสั่งให้เขาไปล้างคราบเลือดออกจากมือ ขณะที่นางเอาดาบจากเขาไปเช็ดบนตัวทหารองครักษ์เพื่อโยนความผิดให้พวกเขา

รุ่งอรุณมาเยือน ...พร้อมกับการสืบหาร่องรอยการลอบปลงพระชนม์ แมกเบธและคุณหญิงแมกเบธ แสดงสีหน้าเศร้าโศก ได้สมจริงสมจังมาก ข้อสงสัยก็ตกมาอยู่กับทหารองครักษ์ เนื่องจากเสื้อผ้าพวกเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดาบก็คงอยู่ในห้องนั้น จึงทำให้หลักฐานมัดแน่นขึ้น ข้อสงสัยในตัว แมกเบธ จึงไม่มี นอกจากนี้ เขายังมีหลายสิ่งที่จะต้องเก็บเกี่ยว และสำคัญกว่าองครักษ์หน้าโง่เหล่านั้น พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ของพระราชาได้หลบหนีไปได้ มาล์โคล์ม พระโอรสองค์โตหลบหนีไปยังประเทศอังกฤษ ขณะที่พระโอรสองค์เล็กโดเนลเบน หลบไปไอร์แลนด์

พระโอรสของพระราชาผู้สมควรจะได้สืบราชบัลลังก์ กลับต้องมาทิ้งราชบัลลังก์ให้ว่างลง ดังนั้น แมกเบธจึงเป็นผู้สืบราชบัลลังก์แทน เนื่องจากเป็นพระญาติที่เหลืออยู่คนเดียว และก็ได้รับการสถาปนาเป็นมกุฏกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ คำทำนายของปีศาจจึงกลายเป็นจริงอีกครั้ง ! ถึงแม้ว่าขณะนี้พวกเขากำลังปกครองสก็อตแลนด์ แต่แมกเบธกับภรรยา ของเขาก็ไม่ลืมคำทำนายของปิศาจที่ว่า ถึงแม้ แมกเบธ จะได้เป็นกษัตริย์ แต่ลูกของเขาก็จะไม่มีโอกาสสืบราชบัลลังก์ หากแต่เป็นบุตรของแบงคิโอ ที่จะได้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา ด้วยความคิดนี้ และการกระทำฆาตกรรมที่เพียงรังแต่ทำให้ครอบครัวแบงคิโอ จะได้ครองบัลลังก์ ก็ทำให้พวกเขาปวดร้าวมาก จนเขาต้องตัดสินใจที่จะฆ่า แบงคิโอ กับลูกชาย สิ่งนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้คำทำนายเกี่ยวกับแบงคิโอ เป็นจริงเหมือนกับเขา


ดังนั้น พวกเขาจึงเชิญเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาในงานเลี้ยง และเชื้อเชิญเป็นพิเศษไปแก่ แบงคิโอและบุตรชายชื่อเฟรียนซ์ ระหว่างทางไปปราสาทของแมกเบธ แมกเบธได้ว่าจ้างให้ฆาตกรกำจัดแบงคิโอกับลูกชาย แบงคิโอถูกแทงจนถึงตาย แต่ในขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนอยู่นั้น บุตรชายของเขา คือเฟรียนซ์ ก็หลบหนีไปได้ (ซึ่งในกาลต่อมานั้น เขาได้กลายมาเป็นพระอัยกาของกษัตริย์ที่ครองบัลลังก์สก็อต จนถึงสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก็อตแลนด์ และเป็นองค์แรก ของอังกฤษภายใต้การรวมตัวของมกุฏราชกุมารของทั้งอังกฤษ และสก็อตแลนด์)


ภายในงานเลี้ยง พระราชินี ผู้ซึ่งแสดงพระจริยวัตรได้งดงามและแสดงบทบาทของเจ้าภาพได้ดียิ่ง เอาใจใส่แขกทุกคนได้อย่างทั่วถึง แมกเบธพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเหล่าขุนนางทั้งหลายว่า คนทั้งหลายอยู่ภายใต้การปกครองของเขา ยกเว้น แบงคิโอ เขากล่าวว่า เขาจะต้องตำหนิ แบงคิโอ เสียแล้วที่เป็นคนไม่ตรงเวลา และจะไม่เห็นใจเขาด้วยที่ว่า ถ้าเขามาสายเพราะเกิดอุบัตเหตุ พอพูดถึงคำนี้ ผีของแบงคิโอ ก็เข้ามาปรากฏตัวในห้องและนั่งลงที่เก้าอี้ของแมกเบธ ถึงแม้ว่า แมกเบธจะเป็นคนกล้าหาญ และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับ สิ่งร้ายๆ อย่างไม่หวาดหวั่น แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขา ก็ขาวซีดด้วยความกลัวกับสิ่งที่เห็น เขายืนนิ่ง นัยน์ตาจ้องเขม็งไปที่วิญญาณนั้น


พระราชินีและเหล่าขุนนางซึ่งไม่มีผู้ใดมองเห็นอย่างเขา นอกจากเก้าอี้ที่ว่างเปล่า จึงคิดว่าเป็นความว้าวุ่นในจิตใจของเขา พระราชินีจึงเตือนสติเขาและกระซิบว่า นั่นเป็นเพียงจินตนาการเดิมเหมือนตอนที่ทำให้เขาเห็นดาบในอากาศ ขณะกระทำการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ดังแคน แมกเบธยังคงมองเห็นปิศาจและไม่สนใจในสิ่งที่ทุกคนพูด เขาพูดกับวิญญาณด้วยคำพูดที่สับสน แต่ความหมายกระจ่างชัดพอสำหรับพระราชินี จนพระนางรู้สึกวิตกว่า ความลับเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์จะถูกเปิดเผย พระนางจึงส่งแขกกลับบ้านอย่างรีบร้อน และเอ่ยขออภัยในการกระทำตัวเหมือนคนป่วยของ แมกเบธ แมกเบธเต็มไปด้วยจินตนาการที่น่ากลัว เวลาเข้านอนก็เต็มไปด้วยความฝันอันน่าสยดสยอง เรื่องที่น่ากลัวมากกว่า การฆาตกรรม แบงคิโอ ที่รบกวนจิตใจพวกเขาอยู่ นั่นคือ การหลบหนีไปได้ของเฟรียนซ์ บุตรชายของ แบงคิโอ ผู้ที่พวกเขาได้ตระหนักเดี๋ยวนี้ว่า จะเป็นพระราชบิดาของกษัตริย์องค์ต่อมาแทนบุตรชายของพวกเขา ความคิดอันขมขื่นนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจอยู่อย่างสงบได้

แมกเบธตัดสินใจค้นหาปิศาจอีกครั้ง เพื่อจะได้ทราบสิ่งเลวร้ายที่สุดที่มันจะเกิดขึ้น โดยจากคำบอกเล่าของปิศาจ

เขาพบแม่มดที่ถ้ำในป่าใหญ่ พวกแม่มดเหมือนรู้ว่า เขากำลังมา จึงวุ่นวายกับการเตรียมเวทมนตร์ และเครื่องเซ่นสรวงเรียกวิญญาณปิศาจเพื่อทำนายอนาคต ส่วนประกอบก็จะมี คางคก ,ค้าวคาว ,งู ,ตาจิ้งจก ,ลิ้นสุนัข ,ขาตุ๊กแก ,ปีกนกเค้าแมว ,เกล็ดของพญานาค ,ฟันของหมาป่า ,กระเพาะของปลาฉลาม ,ซากของปิศาจ ,รากของพันธุ์ไม้มีพิษ ,ถุงน้ำดีของแพะ ,ตับของฉลามยักษ์ ,กิ่งทาบของต้นยิวที่มีรากงอกเข้าไปในหลุมฝังศพ และนิ้วของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว ทั้งหมดนี้ถูกเตรียมขึ้นเพื่อทำการต้มในน้ำเดือดโดยใช้หม้อใบใหญ่ ซึ่งเมื่อร้อนแล้ว ก็จะทำให้เย็นโดยเลือดของลิงบาบูน จากนั้นก็รินใส่ในเลือดของหมูตัวเมียที่กินลูกตัวเอง แล้วก็โยนเข้าไปในเปลวเพลิงที่มีเชื้อเพลิง คือน้ำมัน ซึ่งมีเหงื่อของผู้ถูกฆาตกรรมแขวนคอผสมปนอยู่ด้วย ด้วยเวทมนตร์นี้ทำให้พวกเขา สามารถบังคับให้วิญญาณร้ายตอบคำถามได้

บรรดาแม่มด ถาม แมกเบธ ว่า อยากให้พวกนางตอบคำถามเขาเอง หรือจะให้เจ้านายใหญ่ตอบ (พวกเขา หมายถึงวิญญาณปิศาจ) แมกเบธ หาได้เกรงกลัวพิธีกรรมอันน่าสยดสยองนี้ไม่ เขากล่าวอย่างองอาจว่า “แล้วพวกเขาอยู่ไหน? ให้ข้าได้พบพวกเขาได้ไหม?” เหล่าแม่มดจึงเรียกวิญญาณร้ายออกมา

ปิศาจตนแรกลุกขึ้น มีลักษณะเหมือนศีรษะที่สวมหมวกเหล็ก มันเรียกชื่อแมกเบธ แล้วบอกเขาว่า “ให้ระวังเจ้าศักดินาแห่งไฟเฟ” แมกเบธเอ่ยขอบคุณ แต่ขณะเดียวกัน แมกเบธ ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอาฆาต แมกดัฟ แห่งไฟเฟ

ปิศาจตนที่ 2 มีท่าทางเหมือนเด็กที่เต็มไปด้วยเลือด เขาขานชื่อ แมกเบธ และบอกเขาว่า “ไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของมนุษย์คนใดที่ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ เพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้แมกเบธเจ็บปวดได้” และปิศาจยังแนะนำ แมกเบธให้อาบเลือด ให้ใจกล้าและหนักแน่น

“ถึงเวลาของเจ้าแล้ว แมกดัฟ” แมกเบธ ตะโกนก้อง “ทำไมข้าจะต้องเกรงกลัวเจ้า? ข้าจะทำให้แน่ใจเป็นสองเท่า ข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เพื่อข้าจะได้ตอบสนองหัวใจที่อ่อนล้าไม่ให้กลัว และสามารถนอนหลับทั้งๆ ที่สายฟ้าร้อง หรือพายุพัดกระหน่ำ!”

ปิศาจตนที่ 3 ปรากฏกายในลักษณะมกุฏราชกุมาร พร้อมถือต้นไม้ในมือ ขานเรียกชื่อ แมกเบธ และปลอบโยนเขาว่า “เขาจะไม่ถูกโจมตีจนกว่าป่าเบอร์แนมจะย้ายมาสู่ภูเขาดังซิแนน”

“วิเศษมาก!” แมกเบธ ร้อง “ใครจะสามารถขุดป่าทั้งป่า และเคลื่อนย้ายมันได้? ข้ารู้แล้วว่า ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ตามวันเวลาของมนุษย์ และจะไม่ปล่อยให้การตายอย่างทารุณมาทำให้ชีวิตสั้นลง แต่ข้าอยากจะทราบอะไรสักอย่าง จงบอกข้า ถ้าเจ้าสามารถตอบได้ว่า ทายาทของตระกูลแบงคิโอ จะได้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้หรือไม่?”

เป็นเวลาพอดีกับหม้อน้ำขนาดใหญ่จมลงไปในพื้นดิน ได้ยินแต่เสียงดนตรี เงาทั้ง 8 เงา รูปลักษณ์ราศีคล้ายกับบุคคลที่จะเป็นพระราชากรายผ่านแมกเบธ ท้ายสุดตามด้วยเงา แบงคิโอ เขาเดินทะลุกระจกที่แสดงให้เห็นถึงเค้าโครงรูปร่างหลายหลาก เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เขายิ้มให้กับ แมกเบธ พร้อมกับชี้มาทางพวกเขา แมกเบธรู้ว่ารูปร่างเหล่านี้ คือ บรรดาทายาทของแบงคิโอ ผู้ซึ่งจะได้ปกครองอาณาจักรสืบต่อจากเขาในสก็อตแลนด์ แล้วปิศาจทั้งหลายพร้อมด้วยเสียงดนตรีก็จางหายไป


ข่าวแรกที่แมกเบธได้ทราบหลังจากออกจากถ้ำแม่มด ก็คือแมกดัฟ เจ้าศักดินาแห่งไฟเฟ ได้เดินทางไปอังกฤษ เขาตั้งใจจะไปร่วมกองทัพกับมาล์โคล์ม ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระราชาที่ถูกลอบปลงพระชนม์ เพื่อยกกองทัพมาต่อสู้กับแมกเบธ แมกเบธปวดร้าวด้วยความโกรธ จึงสั่งฆาตกรไปที่ปราสาทของแมกดัฟ ทำการฆาตกรรมภรรยาและลูกๆ พร้อมทั้งข้ารับใช้ทุกคนในครอบครัวของแมกดัฟ การกระทำครั้งนี้ ทำให้เจ้าศักดินาแห่งสก็อตทั้งหลายโกรธ และเกลียด แมกเบธมาก หลายคนเดินทางไปร่วมทัพกับมาล์โคล์ม และแมกดัฟ ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมกำลังพลในอังกฤษขึ้นมาซึ่งเกือบจะเพียงพอแล้ว ที่เหลือก็แอบภาวนาให้พวกเขาประสบผลสำเร็จ เพราะพวกเขาเกรงกลัวแมกเบธ จึงไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในสมรภูมิที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ทุกคนเกลียดทรราช ไม่มีใครรักและนับถือแมกเบธ ทุกคนสงสัยเขาเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ดังแคน และเริ่มอิจฉาพระราชาผู้ทรงหลับไหลไม่ได้สติในหลุมฝังศพ กบฏได้กระทำการที่เลวร้ายต่อพระองค์ พระองค์ไม่มีความเจ็บปวดหรือถูกรบกวนโดยมีดสั้นยาพิษ หรือปัญหาใดๆ ในสก็อตแลนด์ หรือศัตรูต่างชาติอีกต่อไปแล้ว

ขณะนั้นพระราชินีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในความโหดร้ายของแมกเบธ เพียงผู้เดียว พระนางมีความรู้สึกเหมือนกับแมกเบธที่ถูกตามล่าด้วยฝันร้าย ในที่สุดพระนางก็สิ้นพระชนม์ อาจจะเป็นเพราะพระนางปลงพระชนม์ตัวเอง เนื่องจากไม่สามารถทนความผิดและความเกลียดทั้งหลายได้

บัดนี้แมกเบธ จึงเหมือนเหลือตัวคนเดียว ปราศจากวิญญาณที่จะรักและเอาใจใส่อีกต่อไป แม้แต่เพื่อนที่เขาจะสามารถบอกเล่าถึงแผนการชั่วร้ายได้ เขาเลิกคิดที่จะอยากมีชีวิตอยู่ หากแต่ปรารถนาถึงความตาย แต่กองทัพของมาล์โคล์ม ที่ใกล้เข้ามากระตุ้นความกล้าหาญของเขาให้คืนมา เขาตัดสินใจที่จะสู้ตาย เขาแสดงความมั่นใจอย่างชัดแจ้ง “กับชุดเกราะของเขา” นอกจากนี้ยังได้แก่ คำทำนายของปิศาจได้ทำให้เขามั่นใจขึ้น เขายังจำคำพูดของปิศาจ ได้ว่า ไม่มีใครจะสามารถทำร้ายเขาได้ จนกว่าป่า เบอร์แนม จะถูกย้ายมาที่ภูเขา ดังซิแนน ซึ่งเขาคิดว่า ไม่มีวันเป็นไปได้ ดังนั้น เขาจึงพยุงตัวลุกขึ้นภายในปราสาทที่แข็งแรงหนาแน่นไม่มีทางที่จะพังทลายล่มสลายไปได้ของเขา เพื่อรอคอยกองทัพของมาล์โคล์ม


เกือบจะทันทีที่ทหารนำสาสน์มาพบเขา ด้วยใบหน้าซีดเผือดและสั่นสะท้านด้วยความกลัว แทบจะพูดไม่ออกว่าเขาได้พบเจออะไรมา เขากล่าวว่า ขณะที่เขากำลังยืนทำหน้าที่ดูแลสอดส่องบนเนินเขา เขามองเห็นป่าเบอร์แนม และดูเหมือนว่า ต้นไม้นั้นสามารถเคลื่อนไหวได้

“เจ้าคนโกหก!” แมกเบธ ตวาดด้วยเสียงอันดัง “ถ้าเจ้าโกหก ข้าจะแขวนคอเจ้าจนกว่าจะตาย ถ้าพูดความจริง เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” การตัดสินใจของแมกเบธเริ่มอ่อนลง และเขาเริ่มสงสัยในคำทำนายของปิศาจ เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว จนกว่าป่าเบอร์แนม จะถูกย้ายมาที่ภูเขาดังซิแนน และขณะนี้ต้นไม้ก็กำลังถูกเคลื่อนย้ายมา

“อย่างไรก็ตาม...” เขากล่าว “ถ้าสิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นจริง เราก็เริ่มใส่เสื้อเกราะ และก็จะออกไป ไม่มีเหตุผลใดที่จะวิ่งหนีหรืออยู่กับที่ ข้ากำลังเหนื่อยมาก และปรารถนาให้ชีวิตถึงจุดจบเสียที” ด้วยคำพูดที่สิ้นหวังนี้ เขาผลุนผลันออกจากปราสาทไป จากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้ทหารที่ส่งข่าวเข้าใจว่า ต้นไม้กำลังเคลื่อนย้าย


เป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายมากเมื่อกองทัพของ มาล์โคล์มมาถึงป่าเบอร์แนม เขาได้สั่งการให้ทหารแต่ละคนตัดกิ่งไม้ลงมาแล้วนำมาเป็นที่กำบังตัว เมื่อเหล่าทหารพร้อมด้วยกิ่งของต้นไม้กำลังเคลื่อนไหว ถ้ามองในระยะไกลก็จะดูคล้ายกับว่า ต้นไม้กำลังเคลื่อนไหว ดังนั้น คำพูดของปิศาจจึงเป็นจริง แต่ในทางที่แตกต่างจากที่ แมกเบธได้เข้าใจ

และขณะนี้สมรภูมิที่ดุเดือดก็เริ่มขึ้น แมกเบธได้รับการสนับสนุนจากผู้เรียกตัวเองว่า ‘เพื่อน’ มาช่วยรบอย่างกล้าหาญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเกลียด แมกเบธ ผู้เป็นทรราช จึงเอนเอียงไปทางฝ่ายของมาล์โคล์ม และแมกดัฟ แมกเบธ ยังรบอยู่ด้วยความกล้าหาญและรบอย่างบ้าระห่ำ ด้วยอารมณ์เดือดของเขา เขาฟาดฟันผู้ที่เข้าใกล้เขาออกเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับแมกดัฟ แมทเบธนึกถึงคำเตือนของปิศาจให้ระวังแมกดัฟ มากกว่าคนไหน ดังนั้นเขาจึงทำท่าจะถอยหนี แต่แมกดัฟผู้ซึ่งกำลังจ้องมาที่เขาตลอดเวลาได้กระโจนมาทันทีแล้วก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

แมกดัฟกล่าวอย่างขมขื่นเกี่ยวกับการฆาตกรรมภรรยาและลูกๆ ของเขา แมกเบธซึ่งก็รู้สึกผิดพออยู่แล้วกับการเสียชีวิตของครอบครัวนี้ อยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่แมกดัฟ ก็ยังยั่วอารมณ์เขา และเรียกเขาว่า ทรราช ฆาตกร สุนัขแห่งขุมนรก และคนชั่วช้า

แมกเบธ จำคำพูดของปิศาจได้ว่า ไม่มีใครที่ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติจะสามารถทำลายเขาได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างมั่นใจ และกล่าวต่อแมกดัฟว่า “เจ้ากำลังเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ แมกดัฟเจ้าจะสังหารก็แต่อากาศเท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก ข้ามีชีวิตที่มีมนตร์ขลัง ซึ่งใครที่กำเนิดโดยวิธีธรรมชาติจะไม่สามารถคร่าชีวิตข้าได้”

“เสียใจกับเวทมนตร์ของเจ้าเสียจริง” แมกดัฟกล่าว “ปิศาจจอมโกหก นั่นควรจะบอกเจ้าด้วยว่า ข้าไม่ได้ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติเลย หากแต่โดยวิธีผ่าตัด หมอนำข้าออกมาสู่โลกภายนอกก่อนเวลากำหนดคลอด”

“ข้าขอสาปแช่งเจ้าปิศาจที่บอกข้าอย่างนี้ !” แมกเบธ กล่าวด้วยอาการสั่นเทิ้ม และรู้สึกว่า ความเชื่อมั่นครั้งสุดท้ายของเขาได้อันตรธานหายไป “และข้าขอเตือนว่า อย่าให้ใครเชื่อในถ้อยคำกล่าว พล่อยๆ ของพวกแม่มด ปิศาจที่หลอกลวง ที่หลอกให้เราเชื่อในคำพูดที่มีความหมายเป็นสองนัย ขณะที่พวกเขารักษาสัญญาตามลำดับ แต่พวกเขาก็ยังทำให้เราผิดหวังด้วยความหมายที่ผิดไป ข้าจะขอสู้ตาย!”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” แมกดัฟ กล่าวด้วยความเยาะเย้ยเหยียดหยาม “พวกเราจะนำเจ้าไปออกงานในฐานะมนุษย์ แสดงเป็นตัวประหลาด เราจะติดป้ายที่เขียนว่า ‘ท่านทั้งหลาย ขอเชิญชมทรราช’ ”

“ไม่มีทาง!” แมกเบธ กล่าว พร้อมกับความกล้าแกร่งกลับมาอย่างสิ้นหวัง “ข้าจะไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาที่ต้องก้มหน้าจุมพิตผืนดินเบื้องหน้าฝ่าเท้าของ เจ้าหนุ่มมาล์โคล์ม นั่น ไหนจะต้องถูกทุบตีด้วยความโหดร้ายจากไม้ถูพื้น ถึงแม้ว่าป่าเบอร์แนม จะย้ายมาสู่ภูเขาดังซิแนน และเจ้าผู้ซึ่งไม่ได้ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติก็ต่อต้านข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังจะสู้!” พร้อมคำพูดอันกราดเกรี้ยว เขากระโจนเข้าใส่แมกดัฟ


หลังการต่อสู้อย่างดุเดือด ในที่สุดแมกดัฟก็เอาชนะแมกเบธได้ เขาตัดศีรษะของแมกเบธ และนำถวายต่อกษัตริย์หนุ่มที่สืบราชบัลลังก์ถูกต้องตามกฏหมาย คือ มาล์โคล์ม ต่อมาพระราชาองค์ใหม่นามว่า มาล์โคล์ม ก็เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา ท่ามกลางความปิติยินดีของเหล่าขุนนางและพสกนิกรทั้งหลาย คืนความสันติสุขมาสู่แผ่นดินอีกครั้ง

(ที่มา : สืบสานวรรณคดีเชกสเปียร์ เล่ม 1 สำนักพิมพ์คลาสสิค แปลและเรียบเรียง จาก Tales from Shakespeare ; First Published in U.K. 1807 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น