วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดตัวห้างไฮเอ็นด์แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ กับ Central Embassy

โครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ที่สี่แยกเพลินจิต ติดกับเซ็นทรัลชิดลม

วิสัยทัศน์


นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2470 เซ็นทรัลกรุ๊ปได้เป็นผู้บุกเบิกและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกของไทยเรื่อยมา ด้วยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะสืบทอดเจตนารมณ์นี้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยทัศนคติอันเป็นสากลและทันสมัย
เปี่ยมล้นไปด้วยแรงดลใจ อีกทั้งตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี จะนำพาให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้นำเทรนด์และผู้นำความคิดทั่วโลก   ทัศนียภาพของกรุงเทพฯ จะได้รับการเปลี่ยนโฉมด้วยงานสถาปัตยกรรมอันตระการตา ด้วยการเลือกที่จะผสานเอาศิลปะและวัฒนธรรมเมืองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัว โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซีจะทำหน้าที่เป็นโฉมหน้าแห่งสไตล์และศูนย์การค้ารูปแบบใหม่ประจำ ประเทศไทย โดยยึดมั่นในแนวความคิดล้ำสมัยที่พร้อมจะเป็นทั้งแบบอย่าง, แรงบันดาลใจตลอดจนมอบความสุขให้แก่คนทุกคน

ที่ตั้ง

ด้วยตั้งอยู่ ณ แยกใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครและตั้งชื่อตามสถานทูตอังกฤษซึ่งเคยตั้งอยู่ในอดีต เซ็นทรัล เอ็มบาสซีได้ครอบครองอาณาบริเวณเป็นศูนย์การค้าเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางจุดตัดระหว่างถนนสายหลักอย่างวิทยุและเพลินจิต ที่ตั้งผืนงามแห่งนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องรับประกันการสัญจรอันพลุกพล่านจากย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท, สาทร, สีลม ฯลฯ กอปรกับการที่รายล้อมไปด้วยอาคารใกล้เคียงระดับหรูซึ่งรวมถึงที่อยู่อาศัย, อพาร์ตเมนท์, โรงแรม, อาคารสำนักงานและสถานที่สำคัญต่างๆ ความหลากหลายที่เกิดขึ้นจึงเอื้อต่อการเยี่ยมชมอย่างล้นหลามไม่ว่าจะเป็นจากชาวไทยหรือชาวต่างชาติ   เซ็นทรัล เอ็มบาสซีจะกลายเป็นศูนย์การค้าและศูนย์รวมทางวัฒนธรรมประจำเมืองกรุงเทพฯ ที่บรรดาผู้บริโภคระดับหรูไม่อาจพลาดที่จะเยี่ยมชม

รถไฟฟ้า

เซ็นทรัล เอ็มบาสซีอำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางสูงสุด เนื่องด้วยถือเป็นศูนย์การค้าเพียงแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี – สถานีชิดลมและสถานีเพลินจิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถสัมผัสประสบการณ์ความประทับใจของศูนย์การค้าและโรงแรมได้อย่างสะดวก ไร้ความยุ่งยาก

การเติบโตและความมั่งคั่ง

ณ แยกวิทยุ-เพลินจิต และบริเวณโดยรอบมีมูลค่าการเติบโตในปัจจุบันสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเชื่อว่าจะเป็นแยกธุรกิจการค้าที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ

ประมาณการณ์การเติบโตในพื้นที่:

• พื้นที่อาคารสำนักงานระดับหรู มีอัตราการเติบโต 15% หรือคิดเป็น 725,000 ตร.ม.

• จำนวนห้องพักโรงแรมระดับ 5 ดาว มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 5,000 ห้อง

• เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ระดับหรู มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 3,000 ยูนิต

• คอนโดมิเนียมระดับหรู มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 3,000 ยูนิต

กลุ่มของประชากรที่มีฐานะดีซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 80,000 คนซึ่งพักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นมากกว่า 100,000 คน ณ วันที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2556

คอนเซ็ปและการออกแบบ

เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปรียบประดุจงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอก ด้วยรับเอาแรงบันดาลใจจากวัดวาอารามไทยแบบดั้งเดิม ด้านหน้าของตัวอาคารซึ่งมีความยาวถึง 200 เมตรได้รับการประกอบขึ้นผ่านการเรียงซ้อนของแผ่นวัสดุที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง รังสรรค์ให้เกิดพื้นผิวด้านหน้าที่ยาวต่อเนื่อง ดุจพลิ้วไหว ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าของถนนเพลินจิตให้ก้าวสู่ระดับสากล การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีการออกแบบล้ำสมัยกับรูปทรงอาคารในสไลล์ต่อเนื่องเป็นที่มาของอาคารสูง 37 ชั้น ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนของศูนย์การค้าสูง 8 ชั้น, ระเบียงลอยฟ้าอันเขียวชอุ่มและโรงแรมระดับ world class ซึ่งได้รับการหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมีเอกลักษณ์ สัมผัสรายละเอียดการตกแต่งภายในที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านการเล่นลวดลาย เส้นสาย โค้งเว้า มุม และพื้นผิว ที่ไม่รู้จบ

แลนด์มาร์คใหม่แห่งโลกธุรกิจค้าปลีก

ร่วมสัมผัสจุดนัดพบทางวัฒนธรรมและค้นพบที่สุดแห่งแฟชั่น, ไลฟสไตล์, ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ความบันเทิง และการบริการ ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เลือก สรรมาเพื่อแนวคิดสมัยใหม่และการแสวงหาความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสานรวมเรื่องของคอนเซ็ปต์แปลกใหม่แหวกแนว เปิดโลกทัศน์สู่โปรแกรมอันนำสมัย ที่ผ่านการคิดค้นด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด

พาร์ค ไฮแอทต์

โรงแรมระดับโลกอันโดดเด่นด้วย Sky Bar พร้อมกับทัศนียภาพ ที่สวยงามของท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครและอาหารเลิศรส ที่ซึ่งลูกค้าจะได้พบกับการบริการอย่างเอาใจใส่และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งยังมีห้องพักที่กว้างขวางที่สุดในกรุงเทพและการบริการที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผู้ให้บริการด้านการต้อนรับที่หรูหรา เป็นที่ยอมรับ

ลูกค้าแถวหน้าระดับประเทศ

ในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศมีความรอบรู้และความต้องการสูงขึ้นซึ่งเป็นผลพวงจากการเติบโตของกรุงเทพมหานครสู่ฐานะของผู้นำภูมิภาค ทั้งด้านการค้าปลีก ธุรกิจ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ศูนย์การค้าใหม่ที่ครบครันและสอดคล้องกับวัฒนธรรมเมืองสมัยใหม่ได้ถือกำเกิดขึ้น ณ ปี พ.ศ. 2556 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จะต้อนรับศักราชใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมเมืองกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนนอกผู้มีมุมมองก้าวทันโลก ผู้บริหารต่างชาติพร้อมคู่ครองมีสไตล์ไปจนถึงลูกค้าหัวสร้างสรรค์และแฟชั่นนิสต้าผู้นำกระแส ต่างค้นพบสิ่งที่ตามหาได้ที่นี่ที่เดียว   เหล่านักช้อปตัวจริงผู้หลงใหลในเรื่องดีไซน์และเทคโนโลยีทันสมัยจะนำเอาประสบการณ์ชีวิตหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกและขับเคลื่อนให้กรุงเทพฯเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในเรื่องของวัฒนธรรมและการค้า

ลูกค้าแถวหน้าระดับภูมิภาคและทั่วโลก

ภายในระยะเวลาไม่นาน กรุงเทพฯได้ก่อร่างสร้างตัวสู่ฐานะผู้นำทางพาณิชย์ วัฒนธรรมและการค้าปลีกในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรดาผู้นำเทรนด์และความคิดระดับภูมิภาคและระดับโลกจึงถูกดึงดูดเข้าสู่ที่แห่งนี้อย่างน่าอัศจรรย์ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งมั่นที่จะขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับการตามหาสูงสุดในหมู่ผู้นำแฟชั่น ผู้นำเทรนด์ คนทำงานรุ่นใหม่ไฟแรง วัยรุ่น นักโฆษณา รวมไปถึงคนดังของสังคมและผู้บริหารระดับสูง การรวมตัวกันของเหล่านักช้อปตัวจริงซึ่งมีทั้งกำลังซื้อและอิทธิพลในสังคมสะท้อนให้เห็นถึงการบรรจบเรื่องของเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียงและเสน่ห์เย้ายวนใจ

ตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง – จีนแผ่นดินใหญ่

คนจีนรุ่นใหม่ถือเป็นผู้ชี้นำทิศทางที่มีอิทธิพลสูงสุดของสังคมเอเชียด้วยล้วนเป็นผู้มีฐานะดีมากหน้าหลายตาซึ่งกำลังมองหาโอกาสและสถานที่ใหม่ให้พวกเขาได้จับจ่ายใช้สอย ตั้งแต่เศรษฐีระดับท้องถิ่น แวดวงผู้บริหาร เรื่อยไปจนถึงผู้ทรงอิทธิพลในโลกสื่อและผู้นำเทรนด์ยุคใหม่ ประเทศจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของการหลอมรวมผู้บริโภคหลากหลายสายงานเข้าไว้ในที่แห่งเดียว การคลั่งไคล้ในเรื่องของความหรูหราและสไตล์อันมีระดับนับเป็นใบเบิกทางที่น่าดึงดูดใจ เมื่อรวมความปรารถนาที่จะใช้จ่ายและความหลงรักในเรื่องของไลฟสไตล์ การช้อปปิ้งและการกินดื่มเข้ากับ คุณค่าและเกียรติประวัติที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่อาจพลาดได้

ข้อมูลจาก www.centralembassy.com

แถลงข่าว กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--เซ็นทรัลรีเทล


เซ็นทรัลรีเทล มั่นใจทิศทางเศรษฐกิจไทยปีกระต่ายรุ่งหลังเปิดตัวอภิมหาโปรเจคยักษ์ใหญ่แห่งปี Central Embassy
เผยทุ่มงบลงทุนปี 54 กว่า 13,300 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มในจีน พร้อมวางยุทธศาสตร์ทางการค้าแนวใหม่ รุกขยายสาขาแถบแนวชายแดน ช่วยดึงรายได้เข้าประเทศ รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งเป้าสิ้นปียอดขายทะลุกว่า 100,000 ล้านบาท   แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 เซ็นทรัลรีเทลยังคงปักหลักเดินหน้าไม่หยุด ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2554 เผยแผนการลงทุนอัดงบเพิ่มอีก 13,300 ล้านบาท ผุดสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ประเดิมเปิดตัวโครงการใหญ่ Central Embassy โปรเจคแรกแห่งปี ที่จะพลิกโฉมวงการค้าปลีกของกรุงเทพฯ เตรียมอวดโฉมห้างเซนรูปแบบใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม พร้อมเปิดตัวโครงการห้างสรรพสินค้าสาขาที่ 4 ในประเทศจีน คาดสิ้นปีเป้าโต 10.1%


นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2553 ว่า “เซ็นทรัลรีเทล มีรายได้รวมทั้งสิ้น 97,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 จากปีก่อน แม้ว่าบริษัทฯ จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ยังมีปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น นั่นคือการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งได้แก่ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จังหวัดตรัง ร้านเพาเวอร์บาย อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง รวมถึงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่เมืองหังโจว ประเทศจีน”  

ผลงานความสำเร็จที่ชัดเจนของเซ็นทรัลรีเทลในการบริหารจัดการในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้จาก
? การปรับปรุงสาขาหลักให้สวยงามและทันสมัย สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้างเซ็นทรัลสรรพสินค้าสาขาชิดลม ปรับเพิ่มโซนใหม่ “ลักซ์โซน” (Luxe Zone) อีกทั้งสาขาปิ่นเกล้าและบางนา ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาราชบุรีและหาดใหญ่ รวมถึงเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ปรับโฉมให้สวยงาม หาสินค้าได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า
? การขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ตรัง ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ร้านไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง (เดือนมกราคม 2553) ร้านเพาเวอร์บาย สาขาหัวหิน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (เดือนธันวาคม 2553) และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาหังโจว ประเทศจีน ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
? การขยายธุรกิจใหม่ Financial Services เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นธุรกิจขายและให้บริการด้านประกันภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน “Central Smart Insure” ความสุขที่รับประกันได้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี
? การรุกธุรกิจออนไลน์ ซึ่งมาแรงและอยู่ในกระแสของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการท่องไปในโลกไซเบอร์ เราได้เปิดให้บริการช็อปปิ้งออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.central.co.th และ www.tops.co.th เพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าสามารถช็อปปิ้งได้ทุกที่และทุกเวลา หลังจากเปิดให้บริการได้ไม่นาน ลูกค้าต่างให้ความสนใจและมีผลตอบรับที่ดี

“ในสิ้นปี 2553 เซ็นทรัลรีเทลมีจำนวนร้านค้าทั้งสิ้น 441 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่รวม 1.8 ล้านตารางเมตร และคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนสาขาในประเทศได้ถึง 525 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับปี 2554 เราตั้งเป้าหมายว่าจะมียอดขายถึง 108,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 10.1 ส่วนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายสาขาสู่จังหวัดยุทธศาสตร์หลักการค้าตามแนวชายแดนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ และเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) รวมถึงการลงทุนในโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซีเป็นหลัก”

การลงทุนในปี 2554 บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์หลักไว้ 4 แนวทาง คือ

1. การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน

บริษัทฯ มีแผนการลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ การพัฒนาโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี การเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันอีก 3 สาขา ที่จ.เชียงราย จ.พิษณุโลก และพระราม 9 ร้านท็อปส์ เดลี่ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 100 สาขาภายในปีนี้ ร้านเพาเวอร์บาย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดสาขาที่หัวหิน จะให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนร้านไทวัสดุเตรียมเปิดเพิ่มอีก 6 สาขา โดยสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาคือ สาขาร่มเกล้า ส่วนสาขาบางนาจะพร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายนนี้   สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ยังคงเน้นที่ประเทศจีนเป็นหลัก และมีแผนการเปิดที่แน่นอนภายในปีนี้ 2 สาขา คือ ห้างเซ็นทรัล และห้างเซน สาขาเสิ่นหยาง ประมาณไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2554 ตามลำดับ ล่าสุด เซ็นทรัลรีเทลได้เซ็นสัญญากับผู้บริหารโครงการศูนย์การค้ามิกซ์ซี เปิดห้างเซ็นทรัลเพิ่มอีก 1 สาขา ที่เมืองเฉิงตู นับเป็นสาขาที่ 4 ในประเทศจีน และยังมีอีก 2 โครงการ ที่กำลังจะเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน ได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,170 ล้านบาท

2. การปรับปรุงสาขาเดิม

บริษัทฯ ตั้งงบประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นหนักไปที่ห้างเซน ให้กลับมายิ่งใหญ่และสวยงามกว่าเดิม เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค (Landmark) ของสี่แยกราชประสงค์ รวมถึงห้างเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว พร้อมเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2554 นอกจากนี้ยังมีที่สาขาชิดลมและพระราม 2

3. การควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition)

บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา

4. การพัฒนาระบบเทคโนโลยี IT

เพื่อช่วยให้การบริหารงานของบริษัทในเครือเกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น โดยเตรียมงบประมาณไว้ที่ 500 ล้านบาท

อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้เซ็นทรัลรีเทลประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relations Management: CRM) ในปี 2553 บริษัทฯ ได้เปิดตัวบัตรสปอต เดอะวันการ์ด (SPOT The1Card) กลยุทธ์รวม 2 บัตรไว้ในบัตรเดียว เพื่อตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ของนักช็อป อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการพกพาและเหนือระดับสำหรับการ ช็อปปิ้ง ขณะนี้มีฐานสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านคน และสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายรวมเพิ่มขึ้นถึงกว่าร้อยละ 80

ในปีที่ผ่านมา บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงยึดมั่นแนวทางการสนับสนุนสินค้าแบรนด์ไทยเพื่อการส่งออก ด้วยการผนึกกำลังกับกระทรวงพาณิชย์ และบริษัทคู่ค้าในธุรกิจแฟชั่นแบรนด์ไทยที่ทำธุรกิจร่วมกับเซ็นทรัลรีเทลมายาวนานกว่า 60 ปี จัดงาน “Thailand Fashion Expo 2010” เพื่อประกาศความพร้อมและศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ผลักดันกรุงเทพมหานครให้เป็น “ศูนย์กลางแฟชั่นโลกแห่งเอเชีย” โดยบริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะสนับสนุนให้กลุ่มคู่ค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME สินค้าแบรนด์ไทย เติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัทฯ สามารถขยายการผลิตสู่การส่งออกได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องการเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนมีงานทำ อุตสาหกรรมภายในประเทศมีการขยายตัว สินค้าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ และที่สำคัญที่สุด คือ สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อการเปิดเสรีทางการค้ามาถึงในปี พ.ศ.2558

นายทศ จิราธิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) อีกด้วย ซึ่งบริษัทฯ ยึดมั่นพันธกิจที่ว่า “การดำเนินธุรกิจที่ดีจะต้องทำควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม”ล่าสุดบริษัทฯ ได้สนับสนุนโครงการเซ็นทรัลอาสาพัฒนาชุมชน “เซ็นทรัลซำสูงโมเดล” ของชาวบ้าน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น ด้วยการเป็นช่องทางกระจายผลผลิตผักปลอดสารพิษจากชาวบ้าน นำมาจำหน่ายที่ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชุมชนให้ดีขึ้น สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด โดยการส่งเสริมการปลูกผักพื้นบ้านปลอดสารเคมี รวมถึงช่วยชาวบ้านจัดตั้งโรงแพ็คผักตามมาตรฐาน GMP และโรงสีข้าวชุมชน เพื่อช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้ประชาชนในชนบทมั่นคงและมั่งคั่งยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้ ชาวบ้าน อ.ซำสูง สามารถดำเนินการจัดแพ็คบรรจุผักปลอดสารพิษให้ได้คุณภาพมาตรฐานและส่งมาจำหน่ายที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง 7 สาขา ได้ถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจึงเชื่อมั่นว่า หากรายได้ของประชาชนในต่างจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อประชาชนมีรายได้มากขึ้น กำลังซื้อก็สูงขึ้น และแน่นอนว่า จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจค้าปลีกและเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตและก้าวไกลได้ในที่สุด





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น