วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 8 สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (6)


โลกมายาฮอลลีวู้ด  ตอนที่  8  สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (6)

1.Steven Spielberg  
2.James Cameron
3.Ridley Scott
4.Christopher Nolan
5.Peter Jackson
6.Michael Bay
7.J J Abrams
8 Anthony & Joe Russo , Zack Snyder, Brian Singer
9.Guillermo del Toro
10.2 พี่น้อง Wachowski คือ Lana & Lilly Wachowski 


6. Michael Bay ผู้เขียนขอข้ามอันดับ 6 จะไม่ลงลึกในรายละเอียด เนื่องจากไม่ใช่ผู้กำกับสไตล์ที่ชอบ ถ้าเปรียบแล้ว Michael Bay  ก็คืออาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) ของฮอลลีวู้ด คืองานของผู้กำกับท่านนี้ จะเป็นหนังแอ็คชั่น แบบใช้สเปเชียลเอ็ฟเฟ็คท์ แบบบู๊ล้างผลาญ (ระเบิดเมือง เผารถ,เผาตึกเป็นว่าเล่น)  แต่ใช่ว่า ไม่มีงานของผกก.ท่านนี้ที่ชอบเลย ยังพอมีอยู่เหมือนกัน ในบางเรื่อง ของ Michael Bay ชอบงานในยุคแรกๆ ของเขาก็คือเรื่อง Bad Boys (1995) ,The Rock (1996)  ,Amageddon (1998) , Pearl Harbor (2001) ,The Island (2005) ส่วนงานที่สร้างรายได้และสร้างชื่อให้เขามากที่สุดอย่าง Transformers ผู้เขียนไม่ชอบและไม่ดูเลยซักภาค รู้สึกเป็นหนังที่แทบไม่มีบทหรือเส้นเรื่องให้จับต้องได้เลย เป็นต้น








7. J.J. Abrams  
เกิดวันที่ 27 Jun 1966 อายุ 52 ปี เกิดที่นิวยอร์ก อเมริกา  มีการระบุอาชีพของเขาไว้มากมาย อาทิ ผู้กำกกับภาพยนตร์,โปรดิวเซอร์,มือเขียนบท,นักแสดง,ผู้ควบคุมวง  เขาสมรสแล้วกับเคธี แม็คกราธ มีบุตรด้วยกัน3 คน  




เขาเริ่มมีเครดิตชื่อเสียงจากการเข้ามากำกับซีรีส์/เขียนบทเรื่อง Felicity,Alias และ Lost จนโด่งดัง เป็นมือเขียนบท ภ.ชื่อดังหลายเรื่อง อาทิ 
 Forever Young(1992),Amageddon(1998),Joy Ride (2001),Mission Impossible 3(2006) จนเขาได้รับความไว้วางใจจากสตูดิโอพาราเม้าท์ พิคเจอร์ ให้มากำกับภาพยนตร์ชุดแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Star Trek ให้กลับมาทันสมัยและเข้ากับยุคสมัย ตามรอยของ Nolan ที่เข้ามาชุบชีวิตภาพยนตร์ชุด Bat Man ของค่ายวอร์เนอร์ จนประสบความสำเร็จมาแล้ว โจทย์ยากของ J.J.Abrams จึงต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ ภ.ชุด Star Trek กลับมายิ่งใหญ่เทียบเคียง Star Wars ให้ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของ ภ.ชุด Star Wars แต่กลับต้องมารับผิดชอบโปรเจ็คท์คู่แข่งอย่าง Star Trek เขาจึงต้องเริ่มต้นกระบวนการความคิดใหม่ ตีความใหม่ และรีเฟรชภาพลักษณ์ Star Trek ให้ทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ยานอวกาศอันเชื่องช้า  เปลี่ยนความคลาสสิคัล ไซไฟอันเก่าโบราณคร่ำครึให้เป็น นีโอไซไฟแบบคัลท์ไซไฟ ให้เข้าไปอยู่ในหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ให้ได้ โปรเจ็คท์ Star Trek ฉบับรีบู๊ตจึงเริ่มขึ้นในปี 2009 เป็นปฐมบทฉบับรีบู๊ตที่ไม่มีชื่อตอน และเขาไม่ได้เขียนบทเอง รับหน้าที่กำกับอย่างเดียว ต้องถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากทีเดียว ด้วยทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ แต่ ภ.Star Trek เวอร์ชั่นนี้สามารถทำรายได้ไปจบที่ 385.7 ล้านเหรียญ และเป็นการกลับมาของ Star Trek ที่พอจะสู้กับ Star Wars ยุคใหม่ได้ ไม่อายสาวกคู่แข่ง 




และยิ่งเป็นการสร้างชื่อให้กับ J.J.Abrams ขึ้นไปอีก ตอกย้ำความสำเร็จมากขึ้นไปอีกกับ Star Trek : Into Darkness (2013) กลายเป็นว่าค่ายคู่แข่งอย่าง Disney รีบดึงตัวเขาไปกำกับ Star Wars : The Force Awakens ซึ่งเป็นภาคที่ 7 ของสตาร์วอร์ส แล้วเขาก็ไม่ทำให้สตูดิโอ Disney ผิดหวัง เมื่อ Star Wars ภาคนี้ประสบความสำเร็จถล่มทลาย ด้วยทุนสร้างจริง 258.6 บวกค่าการตลาดรวมแล้ว 306 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ไปจบ 2.068 พันล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นติดอันดับภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดของปี และสูงสุดตลอดกาล อันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่ Avatar กับ Titanic และพอเขารับงานของสตูดิโอคู่แข่งไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสกลับไปกำกับ ภ.ชุด Star Trek อีกเลย โปรเจ็คท์ Star Trek ที่เขาได้ปูพื้น สร้างรากฐานเอาไว้ก็ต้องให้ผกก.คนอื่นมาสานงานต่อ ,ภ.Star Trek : Beyond เขายังนั่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้ แต่เปลียนผู้กำกับเป็น Justin Lin ทุนสร้าง 185 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไปจบที่ 343.5 ล้านเหรียญ และภาพยนตร์ชุดนี้ ยังไม่มีข่าวคราวออกมาเลยว่า จะมีภาคต่อในอนาคตอีกหรือไม่ โปรเจ็คท์ถูกพับเงียบไป เนื่องจาก J.J.Abrams หนีไปทำงานให้สตูดิโอดิสนีย์แทน  




จุดเด่นของงานของ Abrams คือ เขาหาสมดุลของโปรดักชั่นกับบทภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว ไปด้วยกัน ไม่มีส่วนไหนเด่นกลบอีกด้านนึงจนกลายเป็นจุดอ่อน และเขากล้าที่จะคิดออกนอกกรอบเดิมๆ อะไรที่เป็นขนบเก่าๆ แต่ใช้ไม่ได้ผล หรือไม่เวิร์คแล้วในปัจจุบัน เขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่แค่เปลี่ยนเพื่อให้ดูรู้สึกแค่แปลกใหม่ แต่เขาคิดไปได้ไกลกว่านั้น ต้องเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดที่สามารถสร้างรากฐานและจุดยืนใหม่ๆขึ้นมา ทำให้ตัวหนังหรือซีรีส์มันมีเส้นเรื่องต่อยอดไปได้ไกลมากกว่านั้น ยกตัวอย่าง ซีรีส์ Lost , ภ.เรื่อง Star Trek (ฉบับรีบู๊ต)  และ Star Wars (Episode 7,9)  และข่าวดีสำหรับแฟนคลับของ J.J. Abrams เขาได้รับความไว้วางใจจากสตูดิโอดิสนีย์ให้กลับมานั่งแท่นผู้กำกับและเขียนบทด้วย ในโปรเจ็คท์ Star Wars Episode 9 ซึ่งยังไม่มีชื่อตอน คาดว่าจะกลับมายิ่งใหญ่ (อยู่ระหว่างเตรียมงาน) ภายหลัง Episode 8 The Last Jedi เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็คท์นี้



ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ J.J. Abrams แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้

2006   Mission Impossible 3
2009   Star Trek
2011   Super 8
2013   Star Trek : Into Darkness
2015   Star Wars : The Force Awakens
2019   Star Wars  Episode 9 (Next Project)




ผลงานการกำกับภาพยนตร์ซีรีส์ชุดทางทีวี  แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้
1998-2002  Felicity
2001-2006  Alias
2004-2010  Lost
2006          Jimmy Kimmel  Live!
2007          The Office
2009          Anatomy of Hope
2010          Undercovers     

ในบรรดาหนังของ J.J. Abrams มีเรื่องใดได้รับรางวัลจากเวทีต่างๆ บ้าง ดังนี้

ปี 2005,2006 เวที ASCAP film & television ได้รับรางวัล Top TV Series ,เวที Directors Guild of America ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และเวที Emmy Award ได้รางวัล ผกก,ภาพยนตร์ซีรีส์ยอดเยี่ยม,เขียนบทยอดเยี่ยม จากเรื่องเดี่ยวกันทั้งหมดคือ Lost   ปี 2009,2010 เวที Scream Awards,SFX Awards ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่อง Star Trek, ปี 2011 เวที Scream Awards ,Bam Award ได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Super 8, ปี 2014,2016 เวที Saturn Award,Empire Awards,Jupiter Award ได้รางวัลบท,กำกับ,หนังไซไฟยอดเยี่ยม,หนังต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเรื่อง Star Wars : The Force Awakens เป็นต้น

เว็บไซต์ Ranker.com ได้จัดอันดับทีวีซีรีส์ของ J.J.Abrams ไว้ ว่าเรื่องใดคือที่สุดของเขาบ้าง  10 อันดับ ดังนี้

1.    Fringe
2.    Lost
3.    Person of Interest
4.    Alias
5.    Revolution
6.    Westworld
7.    11.22.63
8.    Almost Human
9.    Alcatraz
10.  Felicity  

  


7. David Fincher

เกิดวันที่ 28 Aug.1962  อายุ 56 ปี  เขาเกิดที่เดนเวอร์ โคโรลาโด สหรัฐอเมริกา นอกจากอาชีพผุ้กำกับ โปรดิวเซอร์ เขายังเคยเป็นผู้กำกับมิวสิควีดีโออีกด้วย จัดเป็นผู้กำกับที่ทำงานละเอียดเนี๊ยบอีกคนหนึ่ง และเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือ ชื่อชั้นและมีสไตล์เป็นของตนเอง ซึ่งเป็น ผกก.อีกคนหนึ่งที่ผู้เขียนชื่อชอบ แต่ที่ตอนแรกไม่ได้นำชื่อแกมาติดอันดับด้วย เพราะผลงานภาพยนตร์ของแกห่างหายไปในช่วง 3-4 ปีมานี้ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่แกกำกับก็คือเรื่อง Gone Girl (2014) ทำให้ตอนแรกต้องตัดชื่อแกออกไปจากลิสต์ 10 อันดับก่อน แต่พอไปดูโปรเจ็คทหนังที่เขาเตรียมจะทำต่อไปแล้ว ก็เลยต้องเอาชื่อเขากลับเข้ามาอยู่ในลิสต์ 10 อันดับเหมือนเดิม โดยให้อยู่ในอันดับ 7 ร่วมกับ J.J. Abrams


ถามว่าจุดเด่นงานหนังของ Fincher คืออะไร ขอบอกว่าคนนี้มาทางเดียวกับ Christopher Nolan และ Ridley Scott เลย เล่นกับด้านมืดในจิตใจมนุษย์เหมือนๆ กัน แต่งานของ David Fincher จะแตกต่างจาก Ridley Scott และ Nolan ก็คือ จุดเด่นตรง จะเน้นแนวทริลเลอร์ อาชญากรรมที่ตัวละครหลักมักเป็นโรคจิต มีการหักมุมจบ ที่คาดไม่ถึงนี่แหละ หรือจะเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า หนังมันเล่าเรื่อง ปูเรื่อง เส้นเรื่องมาถึงจุดนึง คนดูก็จะคิดว่าจะพาเราไปทางนี้ แต่สุดท้ายตอบจบ มันพาเราไปอีกทาง ซึ่งจะเรียกว่าหักมุม หรือทำให้คนดูงง หรือช็อคก็ว่าได้ นี่คือทางถนัดของ Fincher แล้วเขาก็นำวิธีการแบบนี้ไปใช้กับการกำกับทีวีซี่รีส์ด้วย จึงทำให้งานหนังของเขามันสนุก ดึงดูดความสนใจ และทำให้บรรดาแฟนนานุแฟน หลงรักในงานหนังของ Fincher แบบโงหัวไม่ขึ้น ผู้เขียนก็เป็น 1 ในจำนวนนั้น

ผลงานของภาพยนตร์ Fincher โดยแยกตามรายปี ที่หนังออกฉาย มีดังนี้

1992   Alien 3
1995   Seven
1997   The Game
1999   Fight Club
2002   Panic Room
2007   Zodiac
2008   The Curious Case of Benjamin Button  
2010   The Social Network
2011   The Girl with the Dragon Tattoo
2014   Gone Girl

ส่วนผลงานการกำกับทีวีซีรีส์ แยกตามรายปี ที่ซีรีส์ออกฉาย มีดังนี้

2013-ปัจจุบัน    House of Cards  (กำกับ 2 episodes)


2017-ปัจจุบัน    Mindhunter    (กำกับ 4 episodes)



ถ้าจะว่าถึงความสำเร็จด้านรางวัลก็นับว่ามีมากพอสมควร แยกตามผลงานหนัง ดังนี้

-The Curious Case of Benjamin Button  ได้รางวัลจากเวที London Film Critics,และเวที National Board of Review, Vancouver Film Critics, และเวที Saturn Award
-The Social Network ได้รางวัลจากเวที Boston Society of Film Critics, Cesar Award, Chicago Film Critics Association, Dallas-Fort Worth Film Critics ,Florida Film Critics, Las Vegas Flim Critics,London Film Critics, Los Angeles Flim Critics,National Board of Review,National Society of Film Critics ,San Francisco Film Critics, Toronto Film Critics, Vancouver Flim Critics, Critics’s Choice Movie , Golden Globe Award ,Sattlelite Award ,BAFTA Award เรียกได้ว่า ภ.เรื่องนี้ เป็นหนังที่ทำให้ Fincher ได้รับรางวัล และประสบความสำเร็จมากที่สุด
-Gone Girl และ The Girl with the Dragon Tattoo ได้รางวัลจากเวที Saturn Award
-ทีวีซีรี่ส์ House of Cards ได้รับรางวัลจาก Peabody Award ,เวที Primetime Emmy Award




และเว็บไซต์ Tasteofcinema.com  ได้จัดอันดับ 10 หนังยอดเยี่ยมที่สุดของ David Fincher มีดังนี้

1.    Se7en  (1995)
2.    Fight Club (1999)
3.    Zodiac (2007)
4.    The Girl with the Dragon Tattoo (2011)
5.    The Social Network (2010)
6.    Gone Girl (2014)
7.    The Curious Case of Benjamin Button (2008)
8.    The Game (1997)
9.    Panic Room (2002)
10.  Alien 3 (1992)



ความคืบหน้าล่าสุดของ David Fincher ก็คือเขาจะมารับผิดชอบกับโปรเจ็คท์หนังซอมบี้ เรื่อง World War Z ภาค 2 โดยจะร่วมงานกับ Brad Pitt นักแสดงคู่บุญของเขา ในฐานะที่โปรเจ็คท์หนังเรื่องนี้ มี Brad Pitt เป็น 1 ในทีมโปรดิวเซอร์ของหนังด้วย และเขาก็สนิทกับ David Fincher

-Fincher ร่วมตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์สำหรับเกม ร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent
-ควมสำเร็จของทีวีซีรีส์ทั้ง 2 เรื่อง (House of Cards,Mindhunter)  ทำให้เขากำลังจะมีโปรเจ็คท์หนังชุดใหม่ที่สร้างให้กับ Netflix ตามมาอีกหลายเรื่อง และเป็นแนวถนัดของเขา ตอนนี้ยังไม่ประกาศออกมาว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง

อ่านบทสัมภาษณ์และบทความ “เจาะลึกผู้กำกับเจ้าของผลงาน Fight Club,Gone Girl และ The Social Network ว่าทำไมหนังของเขามันข่างแปลกเสียนี่กระไร!  บนหน้าเพจของนิตยสาร PlayBoy ตามลิ้งค์นี้ http://playboy.co.th/magazine/view/davidfincher







บทความโดย บล็อกหยิกแกมหยอก




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น