วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 10 สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (8)


โลกมายาฮอลลีวู้ด  ตอนที่  10  สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (8)
1.Steven Spielberg  
2.James Cameron
3.Ridley Scott
4.Christopher Nolan
5.Peter Jackson
6.Michael Bay
7.J J Abrams
8 Anthony & Joe Russo , Zack Snyder, Brian Singer
9.Guillermo del Toro
10.2 พี่น้อง Wachowski คือ Lana & Lilly Wachowski 




9. Guilermo del Toro

เกิด 9 Oct. 1964  อายุย่างเข้าวัย 54 ปี  เป็นชาวเม็กซิกัน อาชีพนักสร้างหนัง,เขียนบท,โปรดิวเซอร์ และอาชีพอยู่เบื้องหลังทำสเปเชียลเอ็ฟเฟคท์ ออกแบบแต่งหน้า
จุดเด่นของงาน เขาชอบทำหนังเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด หรือความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น งานวิชวลกราฟฟิก สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กค์ และแต่งหน้า

ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ Del Toro  แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้

1993    Cronos
1997    Mimic
2001    The Devil’s Backbone
2002    Blade
2004    Hell Boy
2006    Pan’s Labyrinth
2008    Hellboy 2 : The Golden Army
2013    Pacific Rim
2015   Crimson Peak
2017   The Shape of Water


เขาเคยได้รับรางวัลจากเวทีประกาศผลรางวัลดังนี้

-ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Shape of Water จากสถาบัน Academy Award ,BAFTA Awards, Golden Globe Awards, Critic’s Choice Movie Awards
-ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเรื่อง Pan’s Labyrinth จากสถาบัน Goya Award ,Hugo Awards, Saturn Awards, BAFTA Awards  นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง Cronos กับ Crimson Peak ก็ยังเคยได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ บ้างประปราย  etc.








เว็บไซต์ Goldderby.com ได้จัดอันดับ 10 หนังยอดเยี่ยมของ Del Toro เอาไว้ดังนี้

1.  Pan’s Labyrinth  (2006)
2.  The Shape of Water (2017)
3.  The Devil’s Backbone (2001)
4.  Pacific Rim (2013)
5.  Crimson Peak (2015)
6.  Hellboy 2 : The Golden Army (2008)
7.  Cronos  (1993)
8.  Hellboy (2004)
9.  Blade 2  (2002)
10.Mimic (1997)




10.2 พี่น้อง Wachowski คือ Lana & Lilly Wachowski 

Lana (ชื่อเดิม Andrew Pual) เกิด 21 June 1965, ส่วน Lilly (ชื่อเดิม Andy) 29 Dec 1967 อายุ 53 กับ 51 ปี ตามลำดับ  แม้จะไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดกัน แต่ทั้ง 2 คนพี่น้องมีรสนิยมคล้ายๆ กัน ตัดสินใจข้ามเพศในระยะเวลาไล่ๆ กัน และมักชอบอะไรคล้ายๆ กัน อาชีพเป็นผู้กำกับ เขียนบท และโปรดิวเซอร์  
จุดเด่นของงานหนัง 2 พี่น้อง Wachowski ก็คืองาน วิชวลเอ็ฟเฟ็คท์ และบทภาพยนตร์ที่สลับซับซ้อน เต็มไปด้วยปรัชญาแฝงเร้น ลึกซึ้ง จนบางครั้งก็เข้าถึงได้ยาก แต่งานของ 2 พี่น้องยังคงน่าติดตามเสมอ เขาได้ชื่อว่าเป็น ผู้ปฏิวัติวงการหนังแอ็คชั่นไซไฟแห่งยุค 90’s ให้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่เลยทีเดียว จากผลงานภาพยนตร์ The Matrix และกลายเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลติด 1 ใน 100 เรื่อง และยังติดอันดับหนังไซไฟยอดเยี่ยมตลอดกาลด้วย แม้เขาจะไปตกม้าตายจากภาพยนตร์เรื่อง Jupiter Ascending แต่เครดิตชื่อเสียงของเขาจาก The Matrix ก็ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้มากำกับซีรีส์ทางทีวี เรื่อง Sense 8 (2015-2018) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จตามคาด



ผลงานการกำกับของคู่พี่น้อง Wachowski แยกตามปีที่ออกฉายมีดังนี้

1996  Bound
1999  The Matrix
2003  The Matrix Reloaded
         The Matrix Revolutions
2008  Speed Racer
2012  Cloud Atlas
2015  Jupiter Ascending







หนังทุกเรื่องที่เขากำกับ เขาเขียนบทเองทุกเรื่อง จึงเชื่อมือได้ในเรื่องของบทภาพยนตร์ของคู่พี่น้องคู่นี้

ถามว่าหนังของคู่พี่น้อง Wachowski เคยได้รับรางวัลจากสถาบันประกาศรางวัลอะไรบ้างมั๊ย ตอบว่า มีเพียง 2 เรือ่งที่เคยได้รับ ก็คือ Bound กับ The Matrix ภาคแรก จากสถาบันแจกรางวัลย่อยๆ และ Saturn Awards

เว็บไซต์ Moviefone.com ได้จัดอันดับหนังของคู่พี่น้อง Wachowski ที่ดีที่สุดตลอดกาล ไว้ดังนี้

1.  The Matrix (1999)
2.   Bound (1996)
3.   Cloud Atlas (2012)
4.   V for Vendetta (2005)  เรื่องนี้เขาเขียนบทอย่างเดียว แต่ไม่ได้กำกับ
5.  The Matrix Reloaded (2003)
6.  Speed Racer (2008)
7.  The Matrix Revolutions (2003)
8.  Jupiter Ascending (2015)




บทความ : ค่าย Warner Brothers มีแนวคิดหยิบเอาหนังไซไฟชื่อดังมารีเมกใหม่ ก็คือ The Matrix



สื่อดัง The Hollywood Reporter  แอบไปสืบรู้มาว่า ค่ายหนังวอร์เนอร์  บราเธอร์ส ตั้งใจหยิบหนังดังเรื่อง The Matrix ที่สร้างปรากฎการณ์ความแปลกใหม่ หลังเข้าฉายเมื่อปี 1999 มาสร้างใหม่อีกครั้ง   โดยกำลังเจรจาให้ Zak Penn มารับบทหน้าที่เขียนบทให้     ทั้งยังเล็งจะให้ นักแสดงหนุ่มมาแรง ไมเคิล บี จอร์แดน  จากหนัง Fantastic Four  มารับบทนำอีกด้วย  แต่ที่แน่ๆ คือ สองพี่สอง Wachowski  ผู้ปลุกปั้นหนังเรื่อง The Matrix ขึ้นมา จะไม่มีเอี่ยวกับโปรเจ็ครีเมกนี้แม้แต่น้อย   ที่สำคัญ ยังไม่มีใครรู้ว่า โฉมใหม่ของ The Matrix เวอร์ชั่นรีเมก จะออกมาในรูปแบบไหน  เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น  และคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าโปรเจ็คนี้จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

แว่วว่าคนที่จุดประเด็นให้มีการรีเมกหนังเรื่อง The Matrix คนแรก คือ โจเอล ซิลเวอร์ โปรดิวเซอร์หนัง The Matrix เวอร์ชั่นต้นฉบับ    แต่จู่ๆ  โจเอล กลับเปลี่ยนใจขายลิขสิทธิ  The Matrix ให้กับทาง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส  ไปเมื่อปี 2012  จนทำให้เขาไม่สามารถมามีเอี่ยวกับโปรเจ็คนี้อีกต่อไป   เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะโจเอล มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับ พี่น้อง Wachowski  แต่ทาง วอร์เนอร์  อยากให้ พี่น้อง WAchowski ยอมรับในโปรเจ็คนี้  แม้พวกเขาอาจจะไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะรู้ดีว่า แฟนหนัง The Matrix เชื่อมั่นใจตัวสองพี่น้อง Wachowski  มากๆ นั่นเอง

หนังเรื่อง The Matrix ถือเป็นผลงานเซอร์ไพรส์ของค่ายวอร์เนอร์ บราเธอร์  เพราะนอกจากจะทำรายได้ถล่มทลายเกินคาด หลังเข้าฉายเมื่อปี 1999  แล้ว  ยังสร้างเทรนด์ใหม่ของหนังแอ็คชั่นสไตล์สุดล้ำ ผสานสเปเชียลเอฟเฟ็คตระการตา  โดยเฉพาะฉากสโลว์โมชั่นหยุดกระสุน ที่ถือเป็นฉากในตำนาน จนมีหนังอีกหลายเรื่องลอกเลียนแบบ   ถึงอย่างนั้น หนัง Matrix อีก 2 ภาคที่ออกฉายตามมา กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจให้คอหนังได้เท่ากับภาคแรก

ขอจบซีรีส์บทความในชุด “โลกมายาฮอลลีวู้ด”  ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณที่ติดตามอ่่าน



วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 9 สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (7)


โลกมายาฮอลลีวู้ด  ตอนที่  9  สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (7)

1.Steven Spielberg  
2.James Cameron
3.Ridley Scott
4.Christopher Nolan
5.Peter Jackson
6.Michael Bay
7.J J Abrams
8 Anthony & Joe Russo , Zack Snyder, Brian Singer
9.Guillermo del Toro
10.2 พี่น้อง Wachowski คือ Lana & Lilly Wachowski 


8. Anthony & Joe Russo , Zack Snyder, Brian Singer


8.1  Anthony & Joeseph Russo  2 คนนี้ไม่ได้เป็นคู่ฝาแฝด แต่อายุห่างกัน 1 ปี
Anthony เกิด Feb 1970 , Joseph เกิด Jul 1971  เป็นคู่พี่น้องที่ทำงานร่วมกัน เริ่มต้นจากงานด้านทีวีก่อน จากนั้นจึงชิมลางเป็นโปรดิวเซอร์ ,ผู้กำกับ ,เขียนบท ,เป็นนักแสดง และทำงานเบื้องหลังด้านตัดต่อภาพยนตร์ด้วย  เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนไม่ได้รู้จักคู่พี่น้องคู่นี้มาก่อน ไม่เคยรู้จักงานของเขามาก่อน แต่เขาเพิ่งมาโด่งดังและสร้างเครดิตให้กับงานขอเขาในช่วงยุค 2010’s (ไม่กี่ปีมานี้) นี่เอง จากการเข้ามานั่งคุมบังเหียนกำกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังให้กับค่าย Marvel และงานของเขาก็จมปรักอยู่กับการกำกับหนังแนวนี้เกือบทั้งหมด แต่ที่ทำให้เขามีเครดิตสร้างชื่อขึ้นมาก็เพราะ งานกำกับของเขาติดอันดับทำรายได้ในบ็อกออฟฟิซถล่มทลาย ทำให้ชื่อของเขาขายได้ และเป็นที่ไว้วางใจของสตูดิโอมาร์เวล ให้มากำกับหนังในจักรวาลของมาร์เวลอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังๆ   



จุดเด่นของงาน ขอพูดโดยรวม (หมายถึงทั้ง 2 คนพี่น้อง) คงเป็นด้าน งานเทคนิค C.G การตัดต่อ เพราะโดยพล็อตเรื่อง เขาแทบจะฉีกจากพล็อตเรื่องในฉบับคอมมิคส์ไม่ได้เลย ตัวละครหลัก ผู้ร้าย เส้นเรื่อง มันถูกสร้างจากการ์ตูนคอมมิคส์ ที่ได้รับความนิยมมาก่อนแล้ว ยกเว้นในฉบับเกม หรือภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อเป็นเกม อันนั้นอาจจะพอดีไซน์ ครีเอท หรือเปลี่ยนเส้นเรื่อง ปรับการเล่าเรื่อง และพลิกตัวละคร คาแร็กเตอร์ใหม่หมดได้ แต่ยังต้องคงตัวละครหลักเอาไว้



ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของคู่พี่น้อง Rosso Brothers  แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้

2002   Welcome to Collinwood
2006   You,Me and Dupree    (เรื่องนี้พวกเขาร่วมกันกำกับ แต่ Joe เล่นในหนังด้วย)
2014   Captain America : The Winter Soldier  (เรื่องนี้พวกเขาช่วยกันกำกับ แต่ Joe เล่นในหนังด้วย)
2016   Captain America : Civil War     (เรื่องนี้พวกเขาช่วยกันกำกับ แต่ Joe เล่นในหนังด้วย)
2018   Avengers : Infinity War       
2019   Untitled Avengers Film  (หนังในชุด Avengers แต่ยังไม่กำหนดชื่อตอน หรือชื่อเรื่อง)



มีผลงานการกำกับหนังสั้น (Short Films) 2002 เรื่อง The Kiss, 2008  เรื่อง Cartuckers

ผลงานการกำกับภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์หรือทีวีซีรีส์ เรียงตามปี ที่ออกอากาศ มีดังนี้

2003   Lucky
2003-2005    Arrested Development
2004   LAX
2006   What  About  Brian
2007-2008   Carpoolers
2008   Courtroom K
2009   Untitled Family Pilot, Comedy Showcase
2010   Running Wild
          The Craesingly Poor Decisions of Todd Margatet
2011   The Council of Dads
2011-2012    Happy Endings  , Up All Night
2012   Animal Practice
2015   Agent Carter



8.2  Zack Snyder

เกิดวันที่ Mar 1,1966 อายุ 52 ปี เขาเกิดที่กรีนเบย์ วิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา อาชีพผู้กำกับ,โปรดิวเซอร์ และมือเขียนบท จัดเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือคนหนึ่งในฮอลลีวู้ด นึกอะไรไม่ออก บอก Zack Snyder ได้ อันนี้หมายถึงสตูดิโอที่เขาสังกัด ก็คือวอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิคเจอร์ส งานในช่วงหลังของเขาก็คือกำกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในฝั่ง D.C comics ที่ค่าย Warner ถือลิขสิทธิ์อยู่เกือบทุกเรื่อง มีข่าวว่าเขาทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของฝั่ง D.C แป๊กด้านรายได้มาหลายเรื่องแล้ว ทาง Warners อาจเปลี่ยนคนที่มาคุมบังเหียนกำกับเป็นคนใหม่ หรือจะเรียกใช้บริการของ Nolan ที่เคยกลับมาชุบชีวิต Batman ให้กลับมาประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ Nolan ปฏิเสธ เพราะไม่ได้ชอบกำกับหนังสไตล์ซุปเปอร์ฮีโร่เท่าไหร่นัก และมีโปรเจ็คท์ที่สนใจมากกว่า คือ 007 James Bond รออยู่  งานนี้ Warner จะเรียกใช้ผู้กำกับท่านใด เพื่อมาฟื้นศรัทธาบรรดาแฟนคลับของ D.C เพื่อต่อกรกับฝั่ง Marvel ได้มั๊ย ต้องติดตามต่อไป



จุดเด่นงานหนังของ Snyder อยู่ตรงงานกำกับศิลป์ทางด้านภาพ หรือการถ่ายภาพ ตัวอย่างจากงานหนังเรื่อง 300 ของเขาที่ย้อมสีภาพหนังโทนดาร์คหม่นอย่าง 300 ให้กลายเป็นสีสดทั้งเรือง แต่กลับกันหนังที่ควรมีโทนภาพสีสดอย่าง Watchmen เขากลับย้อมภาพให้เป็นหนังฟิล์มนัวร์ มืดและดาร์ค จนคนดูรู้สึกทึ่ง ในการคุมโทนของภาพหนัง 2 เรื่องนี้ ที่มันทำขัดแย้งกัน แต่ก็ได้งานที่ออกมาดีด้วยกันทั้งคู่ เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์หนังทั่วโลก ถึงความเอาใจใส่ในงานด้านภาพของ Snyder อย่างที่ไม่มีผู้กำกับคนไหน ให้ความสำคัญกันกับเรื่องแบบนี้ แต่นั่นแหละทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นงานที่ขึ้นหิ้งของเขาที่สุดแล้ว เพราะภายหลังต่อมาเขามารับหน้าที่รีบู๊ต ภ.ซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังของค่าย D.C/Warner อย่าง Superman (Man of Steel,Superman 75th Anniversary, Batrman vs Superman : Dawn of Justice, Justice Leaque) ปรากฏว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจ (ทั้งตัวบทหนัง,คำวิจารณ์และรายได้ที่แม้จะไม่มีเรืองไหนขาดทุนเลย แต่รายได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Marvel มันน้อยกว่ามาก) มันสู้ผลงานของ Christopher Nolan ที่มารีบู๊ตซุปเปอร์ฮีโร่อีกตัวจากค่ายเดียวกันไม่ได้เลย (Batman Begins,The Dark Knight,The Dark Knight Rises)  จะโทษ Snyder คนเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษทีมเขียนบทของค่าย D.C/Warner และความรีบเร่ง Warner ที่รีบเร่งในการเข็นโปรเจ็คท์ออกมาก่อนกำหนด 



โดยให้เวลากับบรรดาผู้กำกับน้อยเกินไป อย่างงานล่าสุด Justice Leaque ที่ว่ากันว่าออกมาไม่ดีนั้น เป็นที่ขัดข้องหมองใจของ Snyder เป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วงแรกที่ถ่ายทำไปแล้ว เขาวางโครงเรื่องไว้ดิบดี แต่เกิดเหตุที่บิดาของเขามาเสียชีวิตในช่วงนั้น ทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจจะถ่ายทำต่อ จึงขอหยุดกองถ่ายเพื่อให้เวลากับครอบครัว แต่ทางค่ายต้นสังกัด ต้องการเข็นโปรเจ็คท์หนังเรื่องนี้ให้เสร็จตามกำหนดการเดิม จึงสั่งเปลี่ยนผู้กำกับกลางครัน และเป็นผลให้ Justice Leaque ออกมาดูทรงแล้วไม่เข้มข้น อย่างที่คาด และถูกนักวิจารณ์สับเละ เป็นผลให้รายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยที่ Snyder มีชื่อเป็นผู้กำกับก็จริง แต่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมเกือบครึ่งค่อนเรื่องที่เหลือ ทำให้ตัวหนังพังอย่างที่เห็น และแม้ว่ามีข่าวจากทางต้นสังกัด D.C/Warner ว่าเขาอาจได้มานั่งแท่นกำกับในโปรเจ็คท์ภาคต่อ Justice Leaque 2 แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดว่าตัวเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เขาจะเป็นผู้เตรียมงานกับทีมเขียนบท และช่วงว่างนี้ เขาอาจมีงานกำกับหนังเรื่องอื่นที่ไม่อยู่ในหมวดของซุปเปอร์ฮีโร่ D.C มาคั่นขัดตาทัพไปก่อน ส่วนฮีโร่ตัวอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับ Superman เขาไม่ได้รับความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น Suicide Squad, Wonder Woman ,Aquarman, The Flash ฯลฯ เป็นผู้กำกับท่านอื่นๆ ดูแล   
ผลงานของ Snyder แยกตามปี ของหนังที่ออกฉาย มีดังนี้



2004  Dawn of the Dead
2006  300
2009  Watchmen
2010  Legend of the Guardians : The Owls of Ga’Hoole
2011  Sucker Punch
2013  Man of  Steel
         Superman 75th Anniversary
2016  Batman vs Superman : Dawn of Justice
2017  Snow Stream Iron
         Justice Leaque







นอกจากนี้เขายังมีผลงานกำกับมิวสิควีดีโอ เพลงดังๆ อยู่อีกหลายเพลง  

เขาเคยได้รับรางวัลหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง 300 จากเวที Hollywood Film Award และ Saturn Award ,รางวัลผู้กำกับแห่งปี จากเรื่อง Watchmen จากเวที Showest Award ,รางวัลหนัง top ten แห่งปี จากเรื่อง Wonder Woman ในฐานะโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้จากเวที American Film Institute

เว็บไซต์ Collider.com ได้จัดอันดับหนังยอดเยี่ยมของ Snyder ไว้ดังนี้

1.   300
2.   Dawn of the Dead (2004)
3.   Watchmen (Director’ Cut)
4.   Man of  Steel
5.   Justice Leaque
6.   Legend of the Guardians : The Owls of Ga’Hoole
7.   Batman vs Superman : Dawn of Justice
8.   Sucker Punch



8.3  Bryan Singer

เกิดวันที่ 17 Sep.1965 อายุ 53 ปี เขาเกิดที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อาชีพ ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และนักเขียน เขาร่วมก่อตั้งบริษัท Bad Hat Harry Production เพือรับผลิตภาพยนตร์ และทีวีซีรี่ส์ จัดเป็นผู้กำกับมีฝีมืออีกท่านของฮอลลีวู้ด และมีงานกำกับอย่างต่อเนื่อง

จุดเด่นของงานหนัง บอกไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าเปรียบเป็นเชฟอาหาร ก็เรียกว่า เป็นเชฟที่ฝีมือดี มีรสนิยม ปรุงอาหารได้ถูกปากนักชิมและคนกินอาหารโดยทั่วไป ผู้เขียนชื่นชอบงานของเขาแทบทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนขี้เหร่ หรือว่าไม่ชอบเลย ซึ่งหาได้ยากที่จะมีผู้กำกับที่ทำหนังแล้วคนดูชอบทุกเรื่อง แต่นี่แหละในข้อดีก็มีข้อด้อยส่วนตัวก็คือ แต่ก็ไม่มีงานหนังเรื่องไหนของเขาที่จัดว่าขึ้นหิ้งเลยสักเรื่อง คือดีโดยเสมอภาคเท่าเทียมกัน หาเรื่องที่มันเด่น โดดออกมาจากเรื่องอื่น ยังไม่มี สำหรับผู้เขียนคนเดียวนะครับ อ้อ! อีกอย่าง เขามีความหลังฝังใจอะไรกับยิว,นาซี อะไรหรือเปล่า หนังเขาจะมีสอดแทรกเรื่องยิว,นาซี อยู่ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งถ้าใครชอบก็ชอบไปเลย ไม่ชอบก็อาจจะมองว่าเขาเป็นพวกต่อต้านนาซีหรือเปล่า
ผลงานหนังของ Bryan Singer แยกเป็นรายปีที่หนังออกฉาย มีดังนี้





1988   Lion’s Den
1993   Public Access
1995   The Usual Suspects
1998   Apt Pupil
2000   X-Men
2003   X2
2006   Superman Returns
2008   Valkyrie
2013   Jack the Giant Slayer
2014   X-Men : Days of the Future Past
2016   X-Men : Apocalypse
2018   Bohemian Rhapsody

ผลงานการกำกับทีวีซีรีส์ แยกตามรายปีที่ออกฉาย มีดังนี้
2004-2012   House
2007   Football Wives
2012   Mockingbird  Lane
2015   Battle Creek
2017   The Gifted





เขาเคยได้รับรางวัลจากเวีประกาศผลรางวัลดังนี้

-เวที Sundance Film Fest กับเวที Deauville American Film Fest  รางวัล แกรนด์จูรี่ไพร์ซ กับ อินเตอร์คริตกส์ไพร์ซ ให้กับ ภ.เรื่อง Public Access, เวที Tokyo กับ Seattlle International Film Fest,Empire Award  มอบรางวัลซิลเวอร์ไพร์ซ,ผู้กำกับยอดเยี่ยม,นิวคัมเมอร์ ให้กับ ภ.เรื่อง The Usual Suspects
-และยังมีเวที Empire Award กับเวที Saturn Award ให้รางวัลผุ้กำกับยอดเยี่ยม จากเรื่อง X-Men และ Superman Returns

เว็บไซต์ WhatCulture.com  ได้จัดอันดับ 10 หนังยอดเยี่ยมของ Singer เอาไว้ดังนี้
1.    X2
2.    The Usual Suspects
3.    X-Men : Days of Future Past
4.    X-Men
5.    Superman Returs
6.    Apt Pupil
7.    Valkyrie
8.    X-Men : Apocalypse
9.    Public Access
10.  Jack the Giant Slayer

 โปรดติดตามรายละเอียดของผู้กำกับท่านอื่น ในตอนถัดไป

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 8 สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (6)


โลกมายาฮอลลีวู้ด  ตอนที่  8  สิบอันดับผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของยุคนี้ (6)

1.Steven Spielberg  
2.James Cameron
3.Ridley Scott
4.Christopher Nolan
5.Peter Jackson
6.Michael Bay
7.J J Abrams
8 Anthony & Joe Russo , Zack Snyder, Brian Singer
9.Guillermo del Toro
10.2 พี่น้อง Wachowski คือ Lana & Lilly Wachowski 


6. Michael Bay ผู้เขียนขอข้ามอันดับ 6 จะไม่ลงลึกในรายละเอียด เนื่องจากไม่ใช่ผู้กำกับสไตล์ที่ชอบ ถ้าเปรียบแล้ว Michael Bay  ก็คืออาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) ของฮอลลีวู้ด คืองานของผู้กำกับท่านนี้ จะเป็นหนังแอ็คชั่น แบบใช้สเปเชียลเอ็ฟเฟ็คท์ แบบบู๊ล้างผลาญ (ระเบิดเมือง เผารถ,เผาตึกเป็นว่าเล่น)  แต่ใช่ว่า ไม่มีงานของผกก.ท่านนี้ที่ชอบเลย ยังพอมีอยู่เหมือนกัน ในบางเรื่อง ของ Michael Bay ชอบงานในยุคแรกๆ ของเขาก็คือเรื่อง Bad Boys (1995) ,The Rock (1996)  ,Amageddon (1998) , Pearl Harbor (2001) ,The Island (2005) ส่วนงานที่สร้างรายได้และสร้างชื่อให้เขามากที่สุดอย่าง Transformers ผู้เขียนไม่ชอบและไม่ดูเลยซักภาค รู้สึกเป็นหนังที่แทบไม่มีบทหรือเส้นเรื่องให้จับต้องได้เลย เป็นต้น








7. J.J. Abrams  
เกิดวันที่ 27 Jun 1966 อายุ 52 ปี เกิดที่นิวยอร์ก อเมริกา  มีการระบุอาชีพของเขาไว้มากมาย อาทิ ผู้กำกกับภาพยนตร์,โปรดิวเซอร์,มือเขียนบท,นักแสดง,ผู้ควบคุมวง  เขาสมรสแล้วกับเคธี แม็คกราธ มีบุตรด้วยกัน3 คน  




เขาเริ่มมีเครดิตชื่อเสียงจากการเข้ามากำกับซีรีส์/เขียนบทเรื่อง Felicity,Alias และ Lost จนโด่งดัง เป็นมือเขียนบท ภ.ชื่อดังหลายเรื่อง อาทิ 
 Forever Young(1992),Amageddon(1998),Joy Ride (2001),Mission Impossible 3(2006) จนเขาได้รับความไว้วางใจจากสตูดิโอพาราเม้าท์ พิคเจอร์ ให้มากำกับภาพยนตร์ชุดแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Star Trek ให้กลับมาทันสมัยและเข้ากับยุคสมัย ตามรอยของ Nolan ที่เข้ามาชุบชีวิตภาพยนตร์ชุด Bat Man ของค่ายวอร์เนอร์ จนประสบความสำเร็จมาแล้ว โจทย์ยากของ J.J.Abrams จึงต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ ภ.ชุด Star Trek กลับมายิ่งใหญ่เทียบเคียง Star Wars ให้ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของ ภ.ชุด Star Wars แต่กลับต้องมารับผิดชอบโปรเจ็คท์คู่แข่งอย่าง Star Trek เขาจึงต้องเริ่มต้นกระบวนการความคิดใหม่ ตีความใหม่ และรีเฟรชภาพลักษณ์ Star Trek ให้ทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ยานอวกาศอันเชื่องช้า  เปลี่ยนความคลาสสิคัล ไซไฟอันเก่าโบราณคร่ำครึให้เป็น นีโอไซไฟแบบคัลท์ไซไฟ ให้เข้าไปอยู่ในหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ให้ได้ โปรเจ็คท์ Star Trek ฉบับรีบู๊ตจึงเริ่มขึ้นในปี 2009 เป็นปฐมบทฉบับรีบู๊ตที่ไม่มีชื่อตอน และเขาไม่ได้เขียนบทเอง รับหน้าที่กำกับอย่างเดียว ต้องถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากทีเดียว ด้วยทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ แต่ ภ.Star Trek เวอร์ชั่นนี้สามารถทำรายได้ไปจบที่ 385.7 ล้านเหรียญ และเป็นการกลับมาของ Star Trek ที่พอจะสู้กับ Star Wars ยุคใหม่ได้ ไม่อายสาวกคู่แข่ง 




และยิ่งเป็นการสร้างชื่อให้กับ J.J.Abrams ขึ้นไปอีก ตอกย้ำความสำเร็จมากขึ้นไปอีกกับ Star Trek : Into Darkness (2013) กลายเป็นว่าค่ายคู่แข่งอย่าง Disney รีบดึงตัวเขาไปกำกับ Star Wars : The Force Awakens ซึ่งเป็นภาคที่ 7 ของสตาร์วอร์ส แล้วเขาก็ไม่ทำให้สตูดิโอ Disney ผิดหวัง เมื่อ Star Wars ภาคนี้ประสบความสำเร็จถล่มทลาย ด้วยทุนสร้างจริง 258.6 บวกค่าการตลาดรวมแล้ว 306 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ไปจบ 2.068 พันล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นติดอันดับภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดของปี และสูงสุดตลอดกาล อันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่ Avatar กับ Titanic และพอเขารับงานของสตูดิโอคู่แข่งไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสกลับไปกำกับ ภ.ชุด Star Trek อีกเลย โปรเจ็คท์ Star Trek ที่เขาได้ปูพื้น สร้างรากฐานเอาไว้ก็ต้องให้ผกก.คนอื่นมาสานงานต่อ ,ภ.Star Trek : Beyond เขายังนั่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้ แต่เปลียนผู้กำกับเป็น Justin Lin ทุนสร้าง 185 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไปจบที่ 343.5 ล้านเหรียญ และภาพยนตร์ชุดนี้ ยังไม่มีข่าวคราวออกมาเลยว่า จะมีภาคต่อในอนาคตอีกหรือไม่ โปรเจ็คท์ถูกพับเงียบไป เนื่องจาก J.J.Abrams หนีไปทำงานให้สตูดิโอดิสนีย์แทน  




จุดเด่นของงานของ Abrams คือ เขาหาสมดุลของโปรดักชั่นกับบทภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว ไปด้วยกัน ไม่มีส่วนไหนเด่นกลบอีกด้านนึงจนกลายเป็นจุดอ่อน และเขากล้าที่จะคิดออกนอกกรอบเดิมๆ อะไรที่เป็นขนบเก่าๆ แต่ใช้ไม่ได้ผล หรือไม่เวิร์คแล้วในปัจจุบัน เขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่แค่เปลี่ยนเพื่อให้ดูรู้สึกแค่แปลกใหม่ แต่เขาคิดไปได้ไกลกว่านั้น ต้องเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดที่สามารถสร้างรากฐานและจุดยืนใหม่ๆขึ้นมา ทำให้ตัวหนังหรือซีรีส์มันมีเส้นเรื่องต่อยอดไปได้ไกลมากกว่านั้น ยกตัวอย่าง ซีรีส์ Lost , ภ.เรื่อง Star Trek (ฉบับรีบู๊ต)  และ Star Wars (Episode 7,9)  และข่าวดีสำหรับแฟนคลับของ J.J. Abrams เขาได้รับความไว้วางใจจากสตูดิโอดิสนีย์ให้กลับมานั่งแท่นผู้กำกับและเขียนบทด้วย ในโปรเจ็คท์ Star Wars Episode 9 ซึ่งยังไม่มีชื่อตอน คาดว่าจะกลับมายิ่งใหญ่ (อยู่ระหว่างเตรียมงาน) ภายหลัง Episode 8 The Last Jedi เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็คท์นี้



ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ J.J. Abrams แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้

2006   Mission Impossible 3
2009   Star Trek
2011   Super 8
2013   Star Trek : Into Darkness
2015   Star Wars : The Force Awakens
2019   Star Wars  Episode 9 (Next Project)




ผลงานการกำกับภาพยนตร์ซีรีส์ชุดทางทีวี  แยกตามรายปี ที่ออกฉาย มีดังนี้
1998-2002  Felicity
2001-2006  Alias
2004-2010  Lost
2006          Jimmy Kimmel  Live!
2007          The Office
2009          Anatomy of Hope
2010          Undercovers     

ในบรรดาหนังของ J.J. Abrams มีเรื่องใดได้รับรางวัลจากเวทีต่างๆ บ้าง ดังนี้

ปี 2005,2006 เวที ASCAP film & television ได้รับรางวัล Top TV Series ,เวที Directors Guild of America ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และเวที Emmy Award ได้รางวัล ผกก,ภาพยนตร์ซีรีส์ยอดเยี่ยม,เขียนบทยอดเยี่ยม จากเรื่องเดี่ยวกันทั้งหมดคือ Lost   ปี 2009,2010 เวที Scream Awards,SFX Awards ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่อง Star Trek, ปี 2011 เวที Scream Awards ,Bam Award ได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Super 8, ปี 2014,2016 เวที Saturn Award,Empire Awards,Jupiter Award ได้รางวัลบท,กำกับ,หนังไซไฟยอดเยี่ยม,หนังต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเรื่อง Star Wars : The Force Awakens เป็นต้น

เว็บไซต์ Ranker.com ได้จัดอันดับทีวีซีรีส์ของ J.J.Abrams ไว้ ว่าเรื่องใดคือที่สุดของเขาบ้าง  10 อันดับ ดังนี้

1.    Fringe
2.    Lost
3.    Person of Interest
4.    Alias
5.    Revolution
6.    Westworld
7.    11.22.63
8.    Almost Human
9.    Alcatraz
10.  Felicity  

  


7. David Fincher

เกิดวันที่ 28 Aug.1962  อายุ 56 ปี  เขาเกิดที่เดนเวอร์ โคโรลาโด สหรัฐอเมริกา นอกจากอาชีพผุ้กำกับ โปรดิวเซอร์ เขายังเคยเป็นผู้กำกับมิวสิควีดีโออีกด้วย จัดเป็นผู้กำกับที่ทำงานละเอียดเนี๊ยบอีกคนหนึ่ง และเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือ ชื่อชั้นและมีสไตล์เป็นของตนเอง ซึ่งเป็น ผกก.อีกคนหนึ่งที่ผู้เขียนชื่อชอบ แต่ที่ตอนแรกไม่ได้นำชื่อแกมาติดอันดับด้วย เพราะผลงานภาพยนตร์ของแกห่างหายไปในช่วง 3-4 ปีมานี้ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่แกกำกับก็คือเรื่อง Gone Girl (2014) ทำให้ตอนแรกต้องตัดชื่อแกออกไปจากลิสต์ 10 อันดับก่อน แต่พอไปดูโปรเจ็คทหนังที่เขาเตรียมจะทำต่อไปแล้ว ก็เลยต้องเอาชื่อเขากลับเข้ามาอยู่ในลิสต์ 10 อันดับเหมือนเดิม โดยให้อยู่ในอันดับ 7 ร่วมกับ J.J. Abrams


ถามว่าจุดเด่นงานหนังของ Fincher คืออะไร ขอบอกว่าคนนี้มาทางเดียวกับ Christopher Nolan และ Ridley Scott เลย เล่นกับด้านมืดในจิตใจมนุษย์เหมือนๆ กัน แต่งานของ David Fincher จะแตกต่างจาก Ridley Scott และ Nolan ก็คือ จุดเด่นตรง จะเน้นแนวทริลเลอร์ อาชญากรรมที่ตัวละครหลักมักเป็นโรคจิต มีการหักมุมจบ ที่คาดไม่ถึงนี่แหละ หรือจะเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า หนังมันเล่าเรื่อง ปูเรื่อง เส้นเรื่องมาถึงจุดนึง คนดูก็จะคิดว่าจะพาเราไปทางนี้ แต่สุดท้ายตอบจบ มันพาเราไปอีกทาง ซึ่งจะเรียกว่าหักมุม หรือทำให้คนดูงง หรือช็อคก็ว่าได้ นี่คือทางถนัดของ Fincher แล้วเขาก็นำวิธีการแบบนี้ไปใช้กับการกำกับทีวีซี่รีส์ด้วย จึงทำให้งานหนังของเขามันสนุก ดึงดูดความสนใจ และทำให้บรรดาแฟนนานุแฟน หลงรักในงานหนังของ Fincher แบบโงหัวไม่ขึ้น ผู้เขียนก็เป็น 1 ในจำนวนนั้น

ผลงานของภาพยนตร์ Fincher โดยแยกตามรายปี ที่หนังออกฉาย มีดังนี้

1992   Alien 3
1995   Seven
1997   The Game
1999   Fight Club
2002   Panic Room
2007   Zodiac
2008   The Curious Case of Benjamin Button  
2010   The Social Network
2011   The Girl with the Dragon Tattoo
2014   Gone Girl

ส่วนผลงานการกำกับทีวีซีรีส์ แยกตามรายปี ที่ซีรีส์ออกฉาย มีดังนี้

2013-ปัจจุบัน    House of Cards  (กำกับ 2 episodes)


2017-ปัจจุบัน    Mindhunter    (กำกับ 4 episodes)



ถ้าจะว่าถึงความสำเร็จด้านรางวัลก็นับว่ามีมากพอสมควร แยกตามผลงานหนัง ดังนี้

-The Curious Case of Benjamin Button  ได้รางวัลจากเวที London Film Critics,และเวที National Board of Review, Vancouver Film Critics, และเวที Saturn Award
-The Social Network ได้รางวัลจากเวที Boston Society of Film Critics, Cesar Award, Chicago Film Critics Association, Dallas-Fort Worth Film Critics ,Florida Film Critics, Las Vegas Flim Critics,London Film Critics, Los Angeles Flim Critics,National Board of Review,National Society of Film Critics ,San Francisco Film Critics, Toronto Film Critics, Vancouver Flim Critics, Critics’s Choice Movie , Golden Globe Award ,Sattlelite Award ,BAFTA Award เรียกได้ว่า ภ.เรื่องนี้ เป็นหนังที่ทำให้ Fincher ได้รับรางวัล และประสบความสำเร็จมากที่สุด
-Gone Girl และ The Girl with the Dragon Tattoo ได้รางวัลจากเวที Saturn Award
-ทีวีซีรี่ส์ House of Cards ได้รับรางวัลจาก Peabody Award ,เวที Primetime Emmy Award




และเว็บไซต์ Tasteofcinema.com  ได้จัดอันดับ 10 หนังยอดเยี่ยมที่สุดของ David Fincher มีดังนี้

1.    Se7en  (1995)
2.    Fight Club (1999)
3.    Zodiac (2007)
4.    The Girl with the Dragon Tattoo (2011)
5.    The Social Network (2010)
6.    Gone Girl (2014)
7.    The Curious Case of Benjamin Button (2008)
8.    The Game (1997)
9.    Panic Room (2002)
10.  Alien 3 (1992)



ความคืบหน้าล่าสุดของ David Fincher ก็คือเขาจะมารับผิดชอบกับโปรเจ็คท์หนังซอมบี้ เรื่อง World War Z ภาค 2 โดยจะร่วมงานกับ Brad Pitt นักแสดงคู่บุญของเขา ในฐานะที่โปรเจ็คท์หนังเรื่องนี้ มี Brad Pitt เป็น 1 ในทีมโปรดิวเซอร์ของหนังด้วย และเขาก็สนิทกับ David Fincher

-Fincher ร่วมตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์สำหรับเกม ร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent
-ควมสำเร็จของทีวีซีรีส์ทั้ง 2 เรื่อง (House of Cards,Mindhunter)  ทำให้เขากำลังจะมีโปรเจ็คท์หนังชุดใหม่ที่สร้างให้กับ Netflix ตามมาอีกหลายเรื่อง และเป็นแนวถนัดของเขา ตอนนี้ยังไม่ประกาศออกมาว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง

อ่านบทสัมภาษณ์และบทความ “เจาะลึกผู้กำกับเจ้าของผลงาน Fight Club,Gone Girl และ The Social Network ว่าทำไมหนังของเขามันข่างแปลกเสียนี่กระไร!  บนหน้าเพจของนิตยสาร PlayBoy ตามลิ้งค์นี้ http://playboy.co.th/magazine/view/davidfincher







บทความโดย บล็อกหยิกแกมหยอก