วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (ฝนถล่มนครมุมไบจมบาดาลจราจรอัมพาตทั้งเมือง,ชายผิวขาวกราดยิงโบสถ์คนผิวดำ,สถานการณ์เมอร์สในเกาหลีและไทย,รัสเซียเสริมเขี้ยวเล็บใหม่,กรีซลมหายใจรวยริน)


ไทม์สออฟอินเดีย - นครมุมไบและแถบชานเมืองเจอฝนถล่มแบบไม่ลืมหูลืมตาในวันศุกร์(19มิ.ย.) จนหลายพื้นที่จมอยูใต้ใช้บาดาล ชีวิตปกติตกอยู่ในภาวะชะงักงันหลังถนนหลายสายกลางสภาพทางทางน้ำ เช่นเดียวกับรถไฟที่ต้องหยุดให้บริการ ทำผู้โดยสารตกค้างหลายพันคน ขณะเดียวกันก็มีประชาชนถูกไฟฟ้าดูดตาย 2 ศพ ด้วยน้ำในแม่น้ำมีทีอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย สถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องยกเลิกการเรียนการสอน สำนักงานราชการและเอกชนเหลือผู้มาติดต่อธุระแค่เล็กน้อย ขณะที่ศาลสูงบอมเบย์และศาลอื่นๆก็ปิดทำการเช่นกัน "เมืองแห่งนี้ต้องเผชิกับฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มากกว่าระดับปกติที่เคยตกในเมืองรวมกัน10 วัน โดยรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกในมุมไบหนักถึง 283 มิลลิเมตร" นายอาจอย เมธา คณะเทศมนตรีของเมืองบอกกับผู้สื่อข่าว มีเค้าว่าประชาชนในมุมไบคงต้องเผชิญวิบากกรรมต่อไปอีกพักใหญ่ หลังดูเหมือนว่าสถานการณ์คงไม่คลี่คลายง่ายๆ ด้วยกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ ข้อมูลของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งประจำแผนกจัดการภัยพิบัติขององค์การเทศบาลบริหารมุมไบ ระบุว่าเด็กชายวัย 5 ขวบและหญิงชราวัย 60 ปี เสียชีวิตจากการถูกไฟดูดในเขตวาดาลา ตอนกลางของมุมไบ สนามบินมุมไบยังเปิดบริการตามปกติ แต่ปฏิบัติการต่างๆประสบปัญหาล่าช้าอย่างต่ำ 45 นาทีขึ้นไปและมีเครื่องบินอยู่ 3 ลำที่ต้องเบี่ยงไปลงจอดยังท่าอากาศยานอื่น สืบเนื่องจากฝนที่ซัดกระหน่ำเมืองหลวงทางการเงินของอืนเดียแห่งนี้มาตั้งแต่ช่วงค่ำวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.)นอกจากนี้แล้วยังเกิดความวุ่นวายด้านการสัญจนทางยานยนต์ ด้วยมีรายงานน้ำท่วมสูงระดับเอวในหลายพื้นที่และมันยังไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชนอีกด้วย เมธา บอกว่าคลื่นลมทะเลในมุมไบเมื่อวันศุกร์(19มิ.ย.) มีความสูงกว่า 3 เมตรและมีความเป็นไปได้ว่าในตอนบ่ายๆของวันเสาร์(20มิ.ย.) คลื่นลมทะเลจะมีความสูงกว่า 4 เมตร "ด้วยเหตุที่คาดหมายว่าะมีฝนตกหนักและคลื่นสูงในวันพรุ่งนี้ ประชาชนควรอยู่ห่างจากทะเลและไม่ควรออกไปเดินทอดน่อง นอกจากนี้แล้วก่อนออกจากบ้านก็ควรวางแผนการเดินทาง เลือกเส้นทางที่ปลอดภัย"ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ก่อน้ำท่วมขังในพื้นที่ราบต่ำของมุมไบและแถบชานเมืองเกือบทั้งหมด ทำให้การรถไฟต้องระงับให้บริการบางเส้นทาง ส่วนบางเส้นทางก็แล่นบริการได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ประชาชนที่ไม่ทราบเรื่องตกค้างอยู่ตามสถานีต่างๆเป็นจำนวนมาก  นายดาเวนธา ฟัดนาวิส มุขมนตรีของมุมไบร้องขอประชาชนอย่าได้เสี่ยงออกไปเผชิญอันตรายหากไม่จำเป็น และร้องขอให้ถอยห่างออกมาจากแนวชายฝั่งระหว่างคลื่นลมแรง เนื่องจากอาจถึงตายได้

รอยเตอร์ - ชายผิวขาววัย 21 ปีถูกตั้งข้อหาในฐานความผิดฆาตกรรม 9 กระทง ต่อกรณีลงมือโจมตีโบสถ์คริสเตียนเก่าแก่ขณะที่ผู้คนผิวสีกำลังสวดอธิษฐาน ในเมืองชาร์ลสตัน มลรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อช่วงค่ำคืนวันพุธ (17 มิ.ย.) จากการเปิดเผยของตำรวจท้องถิ่นในวันศุกร์(19มิ.ย.) ขณะที่สื่อมวลชนรายงานว่าเจ้าตัวสารภาพหวังใช้ปฏิบัติการของตนเองปลุกปั่นสงครามผิวสีในสหรัฐฯ  กรมตำรวจเมืองชาร์ลสตันบอกว่านอกจากข้อกล่าวหาข้างต้นแล้ว นายดีแลนด์ รูฟ ยังถูกตั้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนระหว่างก่ออาชญากรรมรุนแรงอีกด้วย ทั้งนี้เขามีกำหนดรับฟังการพิจารณาคำร้องขอประกันตัวในช่วงค่ำวันศุกร์(19มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่คาดหมายว่าเขาจะปรากฎตัวต่อศาลผ่านวิดีโอลิงค์  การแจ้งข้อหามีขึ้น 1 วันหลังจากนายดีแลนด์ รูฟ ถูกรวบตัวได้ในนอร์ทแคโลไลนา ห่างจากโบสถ์เอ็มมานูเอล แอฟริกัน เมโทดิสต์ เอปิสโคปัล เชิร์ช (โบสถ์เอ็มมานูเอล เอเอ็มอี) ที่เขาก่อเหตุกราดยิงนักแสวงบุญผิวดำเสียชีวิต 9 คน ไปทางเหนือราว 354 กิโลเมตร  เหยื่อของเหตุโจมตีครั้งนี้ แบ่งเป็นผู้หญิง 6 คนและชาย 3 คน โดย 8 รายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และไปสิ้นลมที่โรงพยาบาลอีก 1 คน นอกจากนี้แล้วยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน ขณะที่ ท็อดด์ รัตเทอร์ฟอร์ด ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรมลรัฐเซาท์แคโรไลนา เปิดเผยว่า ศิษยาภิบาลที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลโบสถ์แห่งนี้คือ คลีเมนตา พิงค์นีย์ ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาของมลรัฐด้วยนั้น เป็น 1 ใน 9 ผู้เสียชีวิต  เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนเหตุโจมตีของนายรูฟ ในฐานะ "อาชญากรรมจากความเกลียดชัง" เหตุนองเลือดซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางปีแห่งความยุ่งเหยิงในสหรัฐฯ จากกรณีตำรวจสังหารชายผิวดำไม่มีอาวุธหลายคน ซึ่งกระพือการโต้แย้งอย่างโกรธเกรี้ยวทั่วประเทศเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ทางผิวสี ใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจและระบบยุติธรรม ซีเอ็นเอ็นรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายคนหนึ่งเผยว่านายรูฟ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือโจมตีดังกล่าวและบอกว่าเป้าหมายคือตั้งใจจุดชนวนการเผชิญหน้าทางผิวสีครั้งใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตามโฆษกตำรวจชาร์ลสตันปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้  นิคกิ ฮาลีย์ ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา ให้สัมภาษณ์กับรายงานทูเดย์โชว์ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าเธออยากเห็นนายรูฟ ถุกดำเนินคดีตามกฎหมายรัฐและเชื่อว่าอัยการของรัฐจะแสวงหาโทษประหารชีวิตแด่ผู้ต้องสงสัยรายนี้ "แน่นอนว่ามันคืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง เรากำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สืบสวน เพราะว่าเราต้องสอบปากคำอย่างละเอียด พวกเขาบอกว่าพวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองปีศาจอยู่" อย่างไรก็ตามเซาท์แคโรไลนา เป็น 1 ใน 5 มลรัฐของสหรัฐฯ ที่ไม่มีกฎหมายอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ซึ่งสามารถกำหนดบทลงโทษเพิ่มเติมต่อการกระทำผิดทางอาญาใดๆ อันเนื่องจากผิวสี เพศและวิถีทางเพศของเหยื่อ  ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ว่าการโจมตีดังกล่าวกระพือด้านมืดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และเป็นตัวอย่างความอันตรายของกฎหมายพกพาอาวุธปืนเสรีของประเทศ ที่เหล่าผู้สนับสนุนสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนบอกว่าได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติเพิ่มเติม ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ  ในวันศุกร์(19มิ.ย.) ชาวบ้านในพื้นที่ ในนั้นรวมถึงเหล่าแม่ชี ไปรวมตัวที่โบสถ์เก่าแก่ อันเป็นสถานที่เกิดเหตุกราดยิง หลายคนสวดมนต์ภาวนาทั้งน้ำตาและวางดอกไม้ไว้ใกล้ๆแนวเทปสีเหลืองของตำรวจ ส่วนอีกฟากหนึ่งของแนวกั้น เหล่าเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายก็ยังคงทำงานรวบรวมหลักฐาน  เจอร์เมน เจนกินส์ นักสังคมสงเคราะห์วัย 25 ปี เชื่อว่าการหลั่งไหลออกมาร่วมไว้อาลัยของผู้คน แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายกระพือความไม่สงบทางผิวสีรอบใหม่ของนายรูฟนั้นล้มเหลว "ไมคิดว่า เขาจะประสบความสำเร็จในการก่อสงครามผิวสี" เจนกินส์ ซึ่งเป็นคนผิวดำกล่าว

เอเอฟพี - เกาหลีใต้เผยในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าการแพร่ระบาดของเมอร์ส ที่คร่าชีวิตประชาชนไปแล้ว 24 ศพ มีท่าทีเริ่มลดลงแล้ว หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่คนเดียว ถือเป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชมไทยรับมือกับผู้ติดเชื้อรายแรกของประเทศได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ด้วยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่คนเดียวในวันศุกร์(19มิ.ย.) ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลางในเกาหลีใต้ นับตั้งแต่ตรวจพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เพิ่มเป็น 166 คน ถือเป็นการแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดนอกเหนือจากซาอุดีอาระเบีย ในส่วนของจำนวนประชาชนที่ถูกกักกันก็ลดลงจากวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ร้อยละ 12 เหลือ 5,930 คน หนึ่งวันหลังจากไทยยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  รัฐบาลของประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อการตอบสนองที่ไม่เพียงพอในช่วงแรกๆ แต่ มากาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก(WHO) มองในแง่บวกอย่างระมัดระวังเมื่อวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ต่อประสิทธิภาพของเกาหลีใต้ในการยับยั้งการแพร่ระบาด หลังจากเดิมที WHO ได้ให้คำจำกัดความการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ว่าเป็นเหมือนสัญญาณปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น  หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งซึ่งถูกปิดตายตามมาตรการกักกันโรค กลับมาเปิดการเข้าออกและอนุญาตให้ชาวบ้านราว 102 คนได้ใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง "ดูเหมือนว่าการแพร่ระบาดเริ่มลดลงแล้ว" เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขรายหนึ่งในกรุงโซลบอก "แต่เราต้องรอดูว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ตามโรงพยาบาลต่างๆหรือไม่"  สำหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุดเป็นชายวัย 62 ปี ที่ติดไวรัสระหว่างดูแลสมาชิกของครอบครัวที่ป่วยด้วยเชื้อร้ายนี้ ณ ศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ศูนย์กลางของการแพร่ระบาด ซึ่งในบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีกว่าครึ่งที่ได้รับเชื้อในโรงพยาบาลดังกล่าว โรงพยาบาลแห่งนี้ถึงขั้นต้องระงับให้บริการผู้ป่วยที่ไม่ได้ติดเชื้อเมอร์สตั้งแต่วันอาทิตย์(14มิ.ย.)ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันพุธหน้า(24มิ.ย.) ส่วนคนไข้ที่อื่นๆก็ถูกย้ายไปยังศูนย์แพทย์อื่นหลายแห่ง ปัจจุบันยังเหลือผู้ป่วยเมอร์สอยู่ในโรงพยาบาลซัมซุง 112 คน ขณะที่ 30 คนฟื้นไข้และได้รับอนุญาตกลับบ้านแล้ว หมู่บ้านแจงด็อค ในเมืองซันชาง ทางใต้ของกรุงโซล กลับสู่ภาวะปกติแล้ว หลังมาตรการปิดกั้นเส้นทางที่บังคับใช้มานาน 2 สัปดาห์ตามหลังมีชาวบ้านวัย 72 ปีคนหนึ่งถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเมอร์ส ถูกยกเลิกในวันศุกร์(19มิ.ย.) ส่วนหมู่บ้านอีกแห่งที่อยู่ภายใต้มาตรการกักกันโรค ก็คาดหมายว่าจะดำเนินการแบบเดียวกันในวันจันทร์(22มิ.ย.) เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่แล้ว  ในกรุงเทพฯ ทางการไทยเผยในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าญาติๆ 3 คนของชายชาวโอมานวัย 75 ปีที่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเมอร์ส มีผลตรวจ 2 รายออกมาเป็นลบ ส่วนอีกคนยังสรุปไม่ได้ อย่างไรก็ตามนพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกกับเอเอฟพีว่า "เราจะตรวจเช็กทั้ง 3 อีกครั้ง" แต่ก็ไม่ได้ให้กรอบเวลาใดๆ  เอเอฟพีรายงานว่าไทยที่ตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง แถลงพบคนไข้ที่มีผลตรวจเมอร์สออกมาเป็นบวกรายแรกในวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ไม่กี่วันหลังจากเขาเดินทางเข้าประเทศพร้อมกับครอบครัวเพื่อรักษาโรคหัวใจ และจนถึงช่วงค่ำวันศุกร์(19มิ.ย.) นพ.สุรเชษฐ์ เผยว่าอาการของคนไข้ทรงตัว  ด้านโฆษกกระทรวงสาธารณสุขบอกกับเอเอฟพีว่าทางการไทยกำลังสังเกตอาการประชาชน 85 คนที่สัมผัสกับชายชาวโอมานคนดังกล่าว ในนั้นรวมถึงคนที่อยู่บนเที่ยวบินเดียวกัน ในโรงพยาบาลหรือที่บ้านของพวกเขา  ส่วนผศ.นพ.มนต์เดช สุขปราณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สถานพยาบาลที่ชายชาวโอมานเข้ารักษาตัวเป็นแห่งแรก เผยว่าได้กักกันโรคเจ้าหน้าที่ 58 คน แต่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเมอร์สรายใหม่  ในเวลาต่อมาที่เจนีวา คริสเตียน ลินด์เมเออร์ โฆษกขององค์การอนามัยโลก แถลงยกย่องไทยที่ลงมือและเฝ้าระแวดระวังอย่างทันทีทันใด ในการกักกันโรคผู้ป่วยเมอร์สรายแรกและญาติๆของเขา


ความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ในการเสริมเขี้ยวเล็บด้วยการประกาศเพิ่มจำนวนของ ขีปนาวุธข้ามทวีปอีกเกือบครึ่งร้อยลูก เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากสหรัฐอเมริกาและบรรดาลิ่วล้อที่เป็นประเทศสมาชิกในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) รวมอยู่ด้วยเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับสหรัฐอเมริกาและความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกได้ก้าวเข้าสู่ภาวะเสื่อมทรามลงถึงขีดสุด จากผลพวงของวิกฤตทางการเมืองในยูเครนจากการที่ผู้นำและรัฐบาลที่มีความใกล้ชิดกับมอสโกถูกโค่นอำนาจโดยฝ่ายที่โปรตะวันตก และความขัดแย้งระหว่างชาวยูเครนทั้งฝ่ายที่ฝักใฝ่ตะวันตกกับฝ่ายนิยมรัสเซีย ที่ในที่สุดแล้วก็ได้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในพื้นทื่ภาคตะวันออกของประเทศ  นอกจากนั้น การลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ใน สาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียซึ่งตามมาด้วยการแยกตัวของไครเมียออกจากยูเครน เพื่อไปผนวกรวมเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ยิ่ง โหมกระพือเชื้อไฟแห่งความตึงเครียดให้รัสเซียและโลกตะวันตกยิ่งมองหน้ากันไม่ติดมากกว่าเดิม ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของบารัค โอบามาได้ดำเนินการหลายอย่าง เพื่อคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและหาทางสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลมอสโกภายใต้การนำของวลาดิมีร์ ปูตินในทุกช่องทาง แต่ทว่าสิ่งที่กลายเป็น ฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่จุดแตกหัก คือ การที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลอเมริกันตกเป็นข่าวว่าเตรียมประกาศแผนติดตั้ง อาวุธหนักและนำทหารจากเมืองลุงแซมกว่า 5,000 ชีวิตเข้าประจำการในประเทศแถบยุโรปตะวันออกและรัฐแถบทะเลบอลติก ตามรายงานของสื่อดังอย่าง นิวยอร์กไทม์สแต่ไหนแต่ไรมา เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า ยุโรปตะวันออกและรัฐแถบทะเลบอลติก คือ อาณาบริเวณที่เปรียบเสมือน สวนหลังบ้านของรัสเซียดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด หากแผนการติดตั้งอาวุธหนัก และนำกำลังทหารสหรัฐฯเข้ามาประจำการในดินแดนแถบนี้ จะสร้างความขุ่นเคืองอย่างใหญ่หลวงให้กับรัสเซีย ถึงขั้นที่ทำให้วลาดิมีร์ ปูตินออกอาการฉุนขาด จนต้องประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีปซึ่งรองรับการติดหัวรบนิวเคลียร์ครั้งใหญ่รวดเดียวถึง 40 ลูกเป็นอย่างน้อย  ปูติน ผู้นำรัสเซียให้เหตุผลว่า รัสเซียจำเป็นต้องป้องกันตนเองหากถูกคุกคาม ถึงแม้การขยับตัวล่าสุดของพญาหมีขาวในคราวนี้ จะถูกฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวหาว่า มอสโกกำลังรื้อฟื้น สถานะสงครามเย็นที่ทำให้โลกกลับเข้าสู่ ยุคแห่งความหวาดระแวงกันอีกครั้ง แต่หากจะมองอย่างเป็นกลางแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สหรัฐอเมริกาและลิ่วล้อในยุโรป ดูจะเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อสงครามเย็นรอบใหม่นี้ขึ้นมาก่อน และการขยับบทบาทของนาโตในระยะหลัง ที่พุ่งเป้าเข้าประชิดเขตแดนของรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปลุกให้รัสเซียเริ่มการตอบโต้แบบ แรงมา-แรงไปในคราวนี้  วลาดิมีร์ ปูตินประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental ballistic missile : ICBM) รุ่นใหม่ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 40 ลูกที่มีพิสัยทำการตั้งแต่ 5,500 กิโลเมตรขึ้นไป เข้าสู่คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของตนภายในสิ้นปี 2015 นี้ และว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ เมด อิน รัสเซียนี้ สามารถทำลายระบบป้องกันขีปนาวุธที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุดของโลกตะวันตกได้ในชั่วพริบตา ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อคโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute :SIPRI) บ่งชี้ว่า ในเวลานี้รัสเซียมี หัวรบนิวเคลียร์ในความครอบครองราว 7,500 หัวรบ โดยที่ในจำนวนนี้มีอยู่ 1,780 หัวรบที่ติดตั้งเข้ากับขีปนาวุธแล้วและอยู่ในสภาพ พร้อมกดปุ่มยิงความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่รัสเซียเป็นฝ่าย ออกหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้ หลังจากที่เอาแต่เก็บตัวเงียบและปล่อยให้ตัวเองถูก รุมกินโต๊ะมานานเป็นแรมปีทั้งจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก และที่น่าติดตามมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือวิธีการเดินหมากของรัสเซียที่มิใช่การเลือกใช้หมากธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเดินเกมด้วย หมากนิวเคลียร์ซึ่งทำเอาสหรัฐฯและโลกตะวันตกเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข และอาจต้องเริ่มกลับมาทบทวนบทบาทของตนในช่วงที่ผ่านมาว่า คิดดีแล้วหรือที่เลือกเป็นปฏิปักษ์กับมอสโก ด้วยการเอาชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเสี่ยงกับ สงครามนิวเคลียร์ที่สักวันหนึ่งอาจเกิดขึ้นจริง หาใช่เป็นแต่เพียง คำขู่อย่างในยุคสงครามเย็นอีกต่อไป
เอเอฟพี - การเจรจาอันเคร่งเครียดของเหล่าผู้นำยูโรโซนเพื่อหาทางฝ่าทางตันวิกฤตหนี้กรีซ ยุติลงโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ ในวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.) ขณะที่ไอเอ็มเอฟเตือนเอเธนส์ว่าจะไม่เลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้แก่กรีซในช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่อเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเอเธนส์อาจผิดนัดชำระหนี้และออกจากยูโรโซน  เข็มนาฬิกาแห่งวิกฤตขยับใกล้เวลาเที่ยงคืนทุกขณะ หลังจากที่ประชุมของเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศยูโรโซนในลักเซมเบิร์ก ล้มเหลวในการหารือฝ่าทางตันข้อตกลงปฏิรูปที่อาจช่วยหลุดพ้นหายนะจากกรณีที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน ไม่มีข้อตกลง ณ ที่ประชุมยูโรกรุ๊ปวาลดิส ดอมโบรฟสกีส์ รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปบอกหลังจากโต๊ะประชุมต้องยุติลง ตามหลังการหารือในประเด็นกรีซราวๆ 90 นาที แต่เขาบอกว่า มันเป็นสัญญาณที่แข็งกร้าวสำหรับกรีซว่าต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการเจรจาขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่งพูดกับเอเอฟพีว่าผลลัพธ์ของการหารือครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า  อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานอียู แถลงอย่างรวดเร็วว่าจะจัดประชุมซัมมิตฉุกเฉินของเหล่าผู้นำ 19 ชาติสมาชิกยูโรโซนที่บรัสเซลส์ในวันจันทร์หน้านี้ (22 มิ.ย.) โดยบอกว่ามันเป็นเวลาที่ต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน สำหรับหยิบยกสถานการณ์ของกรีซมาพูดคุยกันในระดับผู้นำสูงสุดทางการเมือง ทั้งนี้ซัมมิทดังกล่าวจะมีขึ้นก่อนหน้าที่ประชุมเหล่าผู้นำอียูทั้ง 28 ประเทศ ซึ่งกำหนดไว้ในวันพฤหัสบดี(25มิ.ย.)และวันศุกร์ (26 มิ.ย.)  อเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีซ้ายจัดของกรีซ ปฏิเสธปฏิรูปในด้านบำนาญและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามคำเรียกร้องของเหล่าเจ้าหนี้นานาชาติเพื่อแลกกับการขยายเวลาโครงการเงินช่วยเหลืออันมหาศาลจากอียูและไอเอ็มเอฟ โดยเหล่าเจ้าหนี้ปฏิเสธจ่ายเงินงวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรจากโครงการช่วยเหลือเดิม หากไม่มีข้อตกลงปฏิรูปใดๆ และกรีซจะไม่เหลือเงินสดอีกเลย หากไม่มีข้อตกลงขยายโครงการกู้ยืม นายเจอโรน ดิจเซลโบลม ประธานยูโรกรุ๊ปแถลงกับผู้สื่อข่าวว่าเวลาใกล้หมดแล้ว และบอกว่าตอนนี้ลูกบอลอยู่ทางฝั่งของกรีซ ส่วนปิแอร์ มอสโกวิซี กรรมาธิการเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป เรียกร้องประนีประยอมอย่างสมเหตุสมผลเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะอันเกี่ยวพันกับเอเธนส์ หากไม่ได้รับเงินช่วยเหลืองวดสุดท้าย นั่นเท่ากับว่ากรีซจะไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 1,6000 ล้านยูโรคืนแก่ไอเอ็มเอฟในวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับโครงการช่วยเหลือหมดอายุลง ในขณะที่นายใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คริสติน ลาการ์ด แถลงกร้าวเตือนรัฐบาลกรีซในวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.) ว่า ไม่สามารถเลื่อนการจ่ายหนี้ก้อนโตที่ถึงกำหนดในสิ้นเดือนนี้ได้อีกแล้ว ลาการ์ดประกาศออกมาเช่นนี้ ในเวลาเดียวกับที่ อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกรีซ แถลงว่าเธอยังคงเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงเพื่อช่วยชีวิตกรีซให้พ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจตามมาด้วยการที่เอเธนส์ถูกขับออกไปจากการใช้สกุลเงินยูโร ทั้งนี้ถ้าเอเธนส์ยอมอ่อนข้อประนีประนอม  อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นดังกล่าวสวนทางกับอารมณ์แห่งความมืดมัวที่ปกคลุมการประชุมในลักเซมเบิร์ก ด้วยเหล่ารัฐมนตรีหลายคน เริ่มพูดคุยอย่างเปิดเผยถึงกรณีความเป็นไปได้ต่างๆ อย่างเช่นกรีซต้องออกจากยูโรโซนหากผิดนัดชำระหนี้ หากปราศจากเงินช่วยเหลืองวดสุดท้ายและพลาดเส้นตายชำระหนี้ของไอเอ็มเอฟ ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่กรีซถูกโดดเดี่ยวทางการเงินเพียงลำพัง และด้วยเงินทุนที่ว่างเปล่า ทุกสายตาจึงจับจ้องว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น  “ทางเลือกอื่นคือเตรียมแผนบีไมเคิล นูนาน รัฐมนตรีคลังไอร์แลนด์บอก พร้อมระบุว่าเขาไม่กลัวผลกระทบต่อเนื่องในกรณีที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน ส่วนอเล็กซ์ สตับบ์ รัฐมนตรีคลังฟินแลนด์ บอกว่า ทางเลือกที่ 1 คือขยายเงินกู้ ส่วนแผนบีคือผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17) ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางของกรีซเอง ได้ออกมาแถลงเตือนว่าหากไม่สามารถตกลงกับเจ้าหนี้ได้ เอเธนส์อาจต้องออกจากยูโรโซนหรือกระทั่งออกจากอียูด้วยซ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น