วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Renovate ,Re-Branding, Re-Positioning ศูนย์การค้า ตอนที่ 4



 
เปิดตัวศูนย์การแห่งใหม่ Emquartier ในโครงการดิเอ็มดิสทริค สุดยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง

โดยสุดยอดผู้บริหารมือทองนำโดย คุณศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป จำกัด และ คุณเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป จำกัด ถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณช่วงปลายปี 2014 ผู้คนที่มีโอกาสเดินทางไปแถวย่านพร้อมพงษ์ คงอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นศูนย์การค้าสุดหรูในตำนานที่เปิดมากว่า 17 ปีอย่าง ดิ เอ็มโพเรียม กำลังปิดปรับปรุง ซึ่งแน่นอนว่าการปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ ก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองความยิ่งใหญ่ของดิ เอ็ม ดิสทริค ย่านการค้าแห่งใหม่ที่เดอะ มอลล์ กรุ๊ป กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนั้น รวมถึงกระแสข่าวในช่วงหนึ่งที่ว่าจะมีการเปลี่ยนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมพงษ์ให้เป็นชื่อดิ เอ็ม ดิสทริค ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว สร้างดิสทริคใหม่ให้กับคนเมืองในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งก็คือ การผนึกกำลังของสามโครงการระดับเวิลด์คลาส ประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรี่ยม (โฉมใหม่)’ ‘ดิ เอ็มควอเทียร์และ ดิ เอ็มสเฟียร์ หรือคือศูนย์การค้าทั้ง 3 แห่งใหม่จากเดอะมอลล์ กรุ๊ป เพื่อสร้างย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยว ด้วยงบลงทุนเฉพาะโครงการที่ปาไปกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของเดอะ มอลล์ กรุ๊ป ซึ่งกลายเป็นข่าวที่น่าจับตามองที่สุดของคนเมือง ไม่แพ้กับเมื่อครั้งที่สยามพารากอนเปิดตัวในอดีตเลยทีเดียว แน่นอนว่าความอลังการงานสร้าง และ ข่าวสารของดิ เอ็ม ดิสทริค มีมาให้ติดตามได้เรื่อยๆ ไม่หยุด กระตุ้นการรับรู้ของพวกเราอยู่เนื่องๆ มีภาพข่าวสารการก่อสร้างดิ เอ็ม คอวเทียร์ ความอลังการของศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ดีไซน์สวยงามจนน่าตะลึง แพลนที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้แถลงข่าวออกสื่อเอาไว้ การสร้างดิ เอ็ม ดิสทริค เพื่อยกระดับสุขุมวิทให้เป็นย่านการค้า และศูนย์ความบันเทิงแห่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก สร้างสรรค์สุดยอดประสบการณ์ในการช้อปปิ้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ต้อนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่กำลังจะมาถึงอย่างเต็มภาคภูมิ ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่ามันตระการตาและเหนือชั้นสุดภาคภูมิจริงๆ ภาพการออกแบบห้างแห่งใหม่ที่มีทั้ง The Quartier Fall น้ำตก ตระการตา ความสูงกว่า 40 เมตรแห่งแรกในเอเชีย Quartier Water Garden ที่จะเป็นสวนสวรรค์แห่งใหม่ของคนกรุงเทพอีกด้วย ทางเชื่อมรถไฟฟ้าก็เปลี่ยนไปคล้ายเป็นสถานที่เดินเล่นผ่อนคลายสบายๆ ของคนกรุงอีกแห่ง ความตื่นตาตื่นใจกับความอลังการและหรูหราของห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่จากเดอะมอลล์ กรุ๊ป กลายเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เขียนได้รับเป็นข่าวสารออกมาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ก็มีข่าวล่ามาไวที่ได้ยินหนาหู เรื่องการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าเป็น สถานี ดิ เอ็ม ดิสทริส ที่มาสร้างปรากฏการณ์ทำให้ผู้คนแตกตื่น คาดหวัง รอคอยกันใจจดใจจ่อมากยิ่งขึ้น  และแล้วก็ถึงเวลา หลังจากที่รอคอยกันมาเนิ่นนาน ศูนย์การค้า ดิ เอ็ม คอวเทียร์ หนึ่งในโครงการจากดิ เอ็ม ดิสทริค ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา จัดเป็นศูนย์การค้าระดับไฮเอ็นด์ของเมืองไทยอีกแห่งหนึ่ง และนับเป็นการรุกเพื่อต่อกรกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เพิ่งเปิดตัว The Embassy ไปเมื่อปีที่แล้ว นับจากนี้สมรภูมิย่านช็อปปิ้งสตรีท บริเวณนับตั้งแต่สยามเพลินจิตจนจรดสุขุมวิทซอยทองหล่อคงร้อนระอุ แต่ทั้งหมดนี้เอาไว้รองรับกลุ่มผู้บริโภคกระเป๋าหนักจากต่างชาติที่จะแห่กันเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยกันมากขึ้น ภายหลังเปิดประตู AEC แล้ว
 
เครือเดอะมอลล์ กรุ๊ปสร้างศูนย์การค้าระดับไฮเอนท์ เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการตามไปด้วยการทุ่มงบประมาณถึง 500 ล้านบาท เพื่อการจัดงาน“The World Extraordinaire Gala Celebration” ให้ดิ เอ็ม ดิสทริค ดิ เอ็ม ควอเทียร์ และ ดิ เอ็มโพเรี่ยโฉมใหม่ กลายเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่แปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่ 27 มีนาคม – 31 กรกฏาคม ศกนี้ เป็นเวลากว่า 4 เดือนเต็ม โดยแบ่งมหกรรมการเฉลิมฉลองออกเป็น 3 คอนเซ็ปต์ ครั้งแรกด้วยงาน แฟชั่น เอ็กซ์ตรอดิแนร์” (Fashion Extraordinaire) ภายใต้คอนเซ็ปต์ แฟชั่น อินเวชั่น (Fashion Invasion) ผนึกกำลังซุปเปอร์แบรนด์ แบรนด์เนมชั้นนำระดับโลก และชั้นนำของไทยกว่า 400 แบรนด์ เพื่อให้ ดิ เอ็ม ดิสทริค เป็นที่สุดแห่งมหานครแฟชั่นระดับโลก พร้อมมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษทั้งของขวัญและของรางวัลมูลค่ามหาศาลกว่า 30 ล้านบาท ตั้งแต่ 27 มีนาคม – 31 กรกฏาคม ศกนี้ จากนั้นตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน เป็นต้นไป คนเมืองอย่างเราจะได้ร่วมฉลองความยิ่งใหญ่เป็นครั้งที่ 2 กับงาน ไดนิ่ง เอ็กซ์ตรอ ดิแนร์” (Dining Extraordinaire) ภายใต้คอนเซ็ปต์ เดอะ เอ็นเลส เจอนีย์ ออฟ ไดนิ่ง (The Endless Journey of Dining) พร้อมเปิดตัว เดอะ เฮลิกส์ (The Helix) สวนสวรรค์ของนักชิมแห่งใหม่ล่าสุด

และสุดท้ายแต่คงไม่ใช่ท้ายที่สุด กับงาน เวิลด์ เอ็กซ์ตรอดิแนร์” (World Extraordinaire) ที่สุดแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งที่ 3 ที่โลกต้องตะลึง ด้วยกิจกรรมการแสดงระดับโลก จากนักแสดงระดับมืออาชีพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พบกับ ครั้งแรกของมหกรรมการแสดง ทรีดี แมปปิ้ง เอ็กซ์ตรอดิแนร์ (3D Mapping Extraordinaire) เทคนิคการฉาพภาพบนสถาปัตยกรรมของอาคาร ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ บนพื้นที่การแสดงรวมกว่า 3,500 ตารางเมตร ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมด้วยการแสดง แสง สี เสียง และสื่อผสมผสานสุดอลังการ  เข้าไปดูรายละเอียดโครงการได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.AD.E0.B8.AD.E0.B8.81.E0.B9.81.E0.B8.9A.E0.B8.9A

 

 
เปิดตัวศูนย์การค้า Gateway เอกมัย ด้วยคอนเซ็ปต์ เจแปนทาวน์

ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย (Gateway Ekamai) เปิดแล้วค่ะที่สถานีรถไฟฟ้าเอกมัย ถึงแม้ว่าจะยังเป็นแค่ soft opening มีร้านเปิดแล้วแค่ประมาณครึ่งนึงเพราะการก่อสร้างที่ล่าช้า แต่ก็มีคนเข้ามาฉลองการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครกันอย่าง แน่นขนัด ชั้น M ซึ่งเป็นชั้นที่เชื่อมจากสถานีเข้าตัวตึก เป็นชั้นที่รวบรวมร้านค้าร้านอาหารจากญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า “Japan Town” นอกจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่เข้ามาเปิดในเมืองไทยเป็นครั้งแรก เช่น ร้านราเม็งโคระคุเอ็น(幸楽苑:Kourakuen) ร้านฮินายะ(ひな家:Hinaya) ก็มีร้านซูรุฮะ(ツルハドラック:Tsuruha Drugร้านขายยา สินค้าสุขภาพและความงามสไตล์ญี่ปุ่น ที่เข้ามาเปิดสาขาเป็นครั้งแรกในเมืองไทยเช่นกัน ศูนย์การค้าเกตเวย์เอกมัยมีทั้งหมด 7 ชั้น ไม่รวมชั้นใต้ดินอีกหนึ่งชั้น มีร้านค้ากว่า 400 ร้าน ดำเนินการโดยบริษัท TCC Group ซึ่งเป็นเจ้าของพันธุ์ทิพย์พลาซ่า และเป็นผู้นำแบรนด์โรงแรมญี่ปุ่น “Okura” เข้ามาเปิดในประเทศไทยเมื่อเดือนก่อน ซึ่งคอนเซ็ปของศูนย์การค้าเกตเวย์เอกมัยก็คือ เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทยซึ่งก็ได้แก่ร้านค้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทยอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หลังจากที่การก่อสร้างล่าช้ามาเป็นเวลากว่าสองเดือน ทำให้ตั้งแต่ชั้น 3 เป็นต้นไปยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและตกแต่งร้าน จึงคาดว่าน่าจะมี Grand Opening ได้ในเดือนสิงหาคมนี้


 
เปิดตัวศูนย์การค้าสำเพ็ง 2 สาทร-กัลปพฤกษ์

เจ.เอส.พี พร็อตเพอร์ตี้  ทุ่มงบ 7,564  ล้านบาท เปิดตัวโครงการสำเพ็ง 2 อาณาจักรค้าส่งแห่งใหม่ฝั่งธนบุรี   หวังเป็นศูนย์กลางค้าส่ง-ปลีก ที่ใหญ่ที่สุดใน AEC "สำเพ็ง 2 สาทร-กัลปพฤกษ์"  โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รวมศูนย์การค้าปลีกและค้าส่ง และคอนโดมิเนียม ในพื้นที่รวม 200 ไร่ ภายใต้งบประมาณการลงทุนรวม 7,564 ล้านบาท   ส่วนที่ 1 อยู่ฝั่งซ้ายของถนนกัลปพฤกษ์  มุ่งหน้าถนนสาทร  มีพื้นที่ 62 ไร่  แบ่งพัฒนาเป็น 3 เฟส  ส่วนที่ 2 โครงการสำเพ็ง 2 เซ็นเตอร์  อยู่ฝั่งขวาของถนนกัลปพฤกษ์ มุ่งสู่ถนนกาญจนาภิเษก  พื้นที่รวม 70 ไร่  มี 4 โซนหลัก คือ โซนอเวนิว , โซนตลาดน้ำ 5 ภาค ออกแบบภายใต้สถาปัตยกรรมจีน, โซนสำเพ็งพาร์ค และโซนร้านค้าขายส่ง (สำเพ็ง-ประตูน้ำ) จำลองแนวคิดแหล่งช้อปปิ้งในร่ม ของโอซาก้า  ญี่ปุ่น โดยสำเพ็ง มีจุดเด่นที่มีที่จอดรถ และการคมนาคมที่สะดวกกว่า อีกทั้งยังมีจุดเด่นที่มีโครงการที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดอยู่ด้วย  เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มิถุนายนนี้  ส่วนโครงการคอนโดมีเนียม สำเพ็ง อาคาร 25 ชั้นและ 16 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวม 2,787 ยูนิต เนื้อที่ 25-43 ตารางเมตร  ราคาเริ่มต้น 1,100,000 บาท  ปัจจุบันมียอดจองแล้ว  20%  ผ่านการประเมินคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือ EIA แล้ว  คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2560   ส่วนแผนดำเนินงานปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% จากปีที่ผ่านมา โดยไตรมาส 1 ของปีนี้ (58) มีกำไรสุทธิ 247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 252%  

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (ฝนถล่มนครมุมไบจมบาดาลจราจรอัมพาตทั้งเมือง,ชายผิวขาวกราดยิงโบสถ์คนผิวดำ,สถานการณ์เมอร์สในเกาหลีและไทย,รัสเซียเสริมเขี้ยวเล็บใหม่,กรีซลมหายใจรวยริน)


ไทม์สออฟอินเดีย - นครมุมไบและแถบชานเมืองเจอฝนถล่มแบบไม่ลืมหูลืมตาในวันศุกร์(19มิ.ย.) จนหลายพื้นที่จมอยูใต้ใช้บาดาล ชีวิตปกติตกอยู่ในภาวะชะงักงันหลังถนนหลายสายกลางสภาพทางทางน้ำ เช่นเดียวกับรถไฟที่ต้องหยุดให้บริการ ทำผู้โดยสารตกค้างหลายพันคน ขณะเดียวกันก็มีประชาชนถูกไฟฟ้าดูดตาย 2 ศพ ด้วยน้ำในแม่น้ำมีทีอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย สถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องยกเลิกการเรียนการสอน สำนักงานราชการและเอกชนเหลือผู้มาติดต่อธุระแค่เล็กน้อย ขณะที่ศาลสูงบอมเบย์และศาลอื่นๆก็ปิดทำการเช่นกัน "เมืองแห่งนี้ต้องเผชิกับฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มากกว่าระดับปกติที่เคยตกในเมืองรวมกัน10 วัน โดยรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกในมุมไบหนักถึง 283 มิลลิเมตร" นายอาจอย เมธา คณะเทศมนตรีของเมืองบอกกับผู้สื่อข่าว มีเค้าว่าประชาชนในมุมไบคงต้องเผชิญวิบากกรรมต่อไปอีกพักใหญ่ หลังดูเหมือนว่าสถานการณ์คงไม่คลี่คลายง่ายๆ ด้วยกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ ข้อมูลของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งประจำแผนกจัดการภัยพิบัติขององค์การเทศบาลบริหารมุมไบ ระบุว่าเด็กชายวัย 5 ขวบและหญิงชราวัย 60 ปี เสียชีวิตจากการถูกไฟดูดในเขตวาดาลา ตอนกลางของมุมไบ สนามบินมุมไบยังเปิดบริการตามปกติ แต่ปฏิบัติการต่างๆประสบปัญหาล่าช้าอย่างต่ำ 45 นาทีขึ้นไปและมีเครื่องบินอยู่ 3 ลำที่ต้องเบี่ยงไปลงจอดยังท่าอากาศยานอื่น สืบเนื่องจากฝนที่ซัดกระหน่ำเมืองหลวงทางการเงินของอืนเดียแห่งนี้มาตั้งแต่ช่วงค่ำวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.)นอกจากนี้แล้วยังเกิดความวุ่นวายด้านการสัญจนทางยานยนต์ ด้วยมีรายงานน้ำท่วมสูงระดับเอวในหลายพื้นที่และมันยังไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชนอีกด้วย เมธา บอกว่าคลื่นลมทะเลในมุมไบเมื่อวันศุกร์(19มิ.ย.) มีความสูงกว่า 3 เมตรและมีความเป็นไปได้ว่าในตอนบ่ายๆของวันเสาร์(20มิ.ย.) คลื่นลมทะเลจะมีความสูงกว่า 4 เมตร "ด้วยเหตุที่คาดหมายว่าะมีฝนตกหนักและคลื่นสูงในวันพรุ่งนี้ ประชาชนควรอยู่ห่างจากทะเลและไม่ควรออกไปเดินทอดน่อง นอกจากนี้แล้วก่อนออกจากบ้านก็ควรวางแผนการเดินทาง เลือกเส้นทางที่ปลอดภัย"ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ก่อน้ำท่วมขังในพื้นที่ราบต่ำของมุมไบและแถบชานเมืองเกือบทั้งหมด ทำให้การรถไฟต้องระงับให้บริการบางเส้นทาง ส่วนบางเส้นทางก็แล่นบริการได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ประชาชนที่ไม่ทราบเรื่องตกค้างอยู่ตามสถานีต่างๆเป็นจำนวนมาก  นายดาเวนธา ฟัดนาวิส มุขมนตรีของมุมไบร้องขอประชาชนอย่าได้เสี่ยงออกไปเผชิญอันตรายหากไม่จำเป็น และร้องขอให้ถอยห่างออกมาจากแนวชายฝั่งระหว่างคลื่นลมแรง เนื่องจากอาจถึงตายได้

รอยเตอร์ - ชายผิวขาววัย 21 ปีถูกตั้งข้อหาในฐานความผิดฆาตกรรม 9 กระทง ต่อกรณีลงมือโจมตีโบสถ์คริสเตียนเก่าแก่ขณะที่ผู้คนผิวสีกำลังสวดอธิษฐาน ในเมืองชาร์ลสตัน มลรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อช่วงค่ำคืนวันพุธ (17 มิ.ย.) จากการเปิดเผยของตำรวจท้องถิ่นในวันศุกร์(19มิ.ย.) ขณะที่สื่อมวลชนรายงานว่าเจ้าตัวสารภาพหวังใช้ปฏิบัติการของตนเองปลุกปั่นสงครามผิวสีในสหรัฐฯ  กรมตำรวจเมืองชาร์ลสตันบอกว่านอกจากข้อกล่าวหาข้างต้นแล้ว นายดีแลนด์ รูฟ ยังถูกตั้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนระหว่างก่ออาชญากรรมรุนแรงอีกด้วย ทั้งนี้เขามีกำหนดรับฟังการพิจารณาคำร้องขอประกันตัวในช่วงค่ำวันศุกร์(19มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่คาดหมายว่าเขาจะปรากฎตัวต่อศาลผ่านวิดีโอลิงค์  การแจ้งข้อหามีขึ้น 1 วันหลังจากนายดีแลนด์ รูฟ ถูกรวบตัวได้ในนอร์ทแคโลไลนา ห่างจากโบสถ์เอ็มมานูเอล แอฟริกัน เมโทดิสต์ เอปิสโคปัล เชิร์ช (โบสถ์เอ็มมานูเอล เอเอ็มอี) ที่เขาก่อเหตุกราดยิงนักแสวงบุญผิวดำเสียชีวิต 9 คน ไปทางเหนือราว 354 กิโลเมตร  เหยื่อของเหตุโจมตีครั้งนี้ แบ่งเป็นผู้หญิง 6 คนและชาย 3 คน โดย 8 รายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และไปสิ้นลมที่โรงพยาบาลอีก 1 คน นอกจากนี้แล้วยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน ขณะที่ ท็อดด์ รัตเทอร์ฟอร์ด ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรมลรัฐเซาท์แคโรไลนา เปิดเผยว่า ศิษยาภิบาลที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลโบสถ์แห่งนี้คือ คลีเมนตา พิงค์นีย์ ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาของมลรัฐด้วยนั้น เป็น 1 ใน 9 ผู้เสียชีวิต  เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนเหตุโจมตีของนายรูฟ ในฐานะ "อาชญากรรมจากความเกลียดชัง" เหตุนองเลือดซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางปีแห่งความยุ่งเหยิงในสหรัฐฯ จากกรณีตำรวจสังหารชายผิวดำไม่มีอาวุธหลายคน ซึ่งกระพือการโต้แย้งอย่างโกรธเกรี้ยวทั่วประเทศเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ทางผิวสี ใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจและระบบยุติธรรม ซีเอ็นเอ็นรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายคนหนึ่งเผยว่านายรูฟ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือโจมตีดังกล่าวและบอกว่าเป้าหมายคือตั้งใจจุดชนวนการเผชิญหน้าทางผิวสีครั้งใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตามโฆษกตำรวจชาร์ลสตันปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้  นิคกิ ฮาลีย์ ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา ให้สัมภาษณ์กับรายงานทูเดย์โชว์ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าเธออยากเห็นนายรูฟ ถุกดำเนินคดีตามกฎหมายรัฐและเชื่อว่าอัยการของรัฐจะแสวงหาโทษประหารชีวิตแด่ผู้ต้องสงสัยรายนี้ "แน่นอนว่ามันคืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง เรากำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สืบสวน เพราะว่าเราต้องสอบปากคำอย่างละเอียด พวกเขาบอกว่าพวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองปีศาจอยู่" อย่างไรก็ตามเซาท์แคโรไลนา เป็น 1 ใน 5 มลรัฐของสหรัฐฯ ที่ไม่มีกฎหมายอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ซึ่งสามารถกำหนดบทลงโทษเพิ่มเติมต่อการกระทำผิดทางอาญาใดๆ อันเนื่องจากผิวสี เพศและวิถีทางเพศของเหยื่อ  ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ว่าการโจมตีดังกล่าวกระพือด้านมืดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และเป็นตัวอย่างความอันตรายของกฎหมายพกพาอาวุธปืนเสรีของประเทศ ที่เหล่าผู้สนับสนุนสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนบอกว่าได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติเพิ่มเติม ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ  ในวันศุกร์(19มิ.ย.) ชาวบ้านในพื้นที่ ในนั้นรวมถึงเหล่าแม่ชี ไปรวมตัวที่โบสถ์เก่าแก่ อันเป็นสถานที่เกิดเหตุกราดยิง หลายคนสวดมนต์ภาวนาทั้งน้ำตาและวางดอกไม้ไว้ใกล้ๆแนวเทปสีเหลืองของตำรวจ ส่วนอีกฟากหนึ่งของแนวกั้น เหล่าเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายก็ยังคงทำงานรวบรวมหลักฐาน  เจอร์เมน เจนกินส์ นักสังคมสงเคราะห์วัย 25 ปี เชื่อว่าการหลั่งไหลออกมาร่วมไว้อาลัยของผู้คน แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายกระพือความไม่สงบทางผิวสีรอบใหม่ของนายรูฟนั้นล้มเหลว "ไมคิดว่า เขาจะประสบความสำเร็จในการก่อสงครามผิวสี" เจนกินส์ ซึ่งเป็นคนผิวดำกล่าว

เอเอฟพี - เกาหลีใต้เผยในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าการแพร่ระบาดของเมอร์ส ที่คร่าชีวิตประชาชนไปแล้ว 24 ศพ มีท่าทีเริ่มลดลงแล้ว หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่คนเดียว ถือเป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชมไทยรับมือกับผู้ติดเชื้อรายแรกของประเทศได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ด้วยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่คนเดียวในวันศุกร์(19มิ.ย.) ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลางในเกาหลีใต้ นับตั้งแต่ตรวจพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เพิ่มเป็น 166 คน ถือเป็นการแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดนอกเหนือจากซาอุดีอาระเบีย ในส่วนของจำนวนประชาชนที่ถูกกักกันก็ลดลงจากวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ร้อยละ 12 เหลือ 5,930 คน หนึ่งวันหลังจากไทยยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  รัฐบาลของประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อการตอบสนองที่ไม่เพียงพอในช่วงแรกๆ แต่ มากาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก(WHO) มองในแง่บวกอย่างระมัดระวังเมื่อวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ต่อประสิทธิภาพของเกาหลีใต้ในการยับยั้งการแพร่ระบาด หลังจากเดิมที WHO ได้ให้คำจำกัดความการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ว่าเป็นเหมือนสัญญาณปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น  หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งซึ่งถูกปิดตายตามมาตรการกักกันโรค กลับมาเปิดการเข้าออกและอนุญาตให้ชาวบ้านราว 102 คนได้ใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง "ดูเหมือนว่าการแพร่ระบาดเริ่มลดลงแล้ว" เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขรายหนึ่งในกรุงโซลบอก "แต่เราต้องรอดูว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ตามโรงพยาบาลต่างๆหรือไม่"  สำหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุดเป็นชายวัย 62 ปี ที่ติดไวรัสระหว่างดูแลสมาชิกของครอบครัวที่ป่วยด้วยเชื้อร้ายนี้ ณ ศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ศูนย์กลางของการแพร่ระบาด ซึ่งในบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีกว่าครึ่งที่ได้รับเชื้อในโรงพยาบาลดังกล่าว โรงพยาบาลแห่งนี้ถึงขั้นต้องระงับให้บริการผู้ป่วยที่ไม่ได้ติดเชื้อเมอร์สตั้งแต่วันอาทิตย์(14มิ.ย.)ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันพุธหน้า(24มิ.ย.) ส่วนคนไข้ที่อื่นๆก็ถูกย้ายไปยังศูนย์แพทย์อื่นหลายแห่ง ปัจจุบันยังเหลือผู้ป่วยเมอร์สอยู่ในโรงพยาบาลซัมซุง 112 คน ขณะที่ 30 คนฟื้นไข้และได้รับอนุญาตกลับบ้านแล้ว หมู่บ้านแจงด็อค ในเมืองซันชาง ทางใต้ของกรุงโซล กลับสู่ภาวะปกติแล้ว หลังมาตรการปิดกั้นเส้นทางที่บังคับใช้มานาน 2 สัปดาห์ตามหลังมีชาวบ้านวัย 72 ปีคนหนึ่งถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเมอร์ส ถูกยกเลิกในวันศุกร์(19มิ.ย.) ส่วนหมู่บ้านอีกแห่งที่อยู่ภายใต้มาตรการกักกันโรค ก็คาดหมายว่าจะดำเนินการแบบเดียวกันในวันจันทร์(22มิ.ย.) เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่แล้ว  ในกรุงเทพฯ ทางการไทยเผยในวันศุกร์(19มิ.ย.) ว่าญาติๆ 3 คนของชายชาวโอมานวัย 75 ปีที่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเมอร์ส มีผลตรวจ 2 รายออกมาเป็นลบ ส่วนอีกคนยังสรุปไม่ได้ อย่างไรก็ตามนพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกกับเอเอฟพีว่า "เราจะตรวจเช็กทั้ง 3 อีกครั้ง" แต่ก็ไม่ได้ให้กรอบเวลาใดๆ  เอเอฟพีรายงานว่าไทยที่ตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง แถลงพบคนไข้ที่มีผลตรวจเมอร์สออกมาเป็นบวกรายแรกในวันพฤหัสบดี(18มิ.ย.) ไม่กี่วันหลังจากเขาเดินทางเข้าประเทศพร้อมกับครอบครัวเพื่อรักษาโรคหัวใจ และจนถึงช่วงค่ำวันศุกร์(19มิ.ย.) นพ.สุรเชษฐ์ เผยว่าอาการของคนไข้ทรงตัว  ด้านโฆษกกระทรวงสาธารณสุขบอกกับเอเอฟพีว่าทางการไทยกำลังสังเกตอาการประชาชน 85 คนที่สัมผัสกับชายชาวโอมานคนดังกล่าว ในนั้นรวมถึงคนที่อยู่บนเที่ยวบินเดียวกัน ในโรงพยาบาลหรือที่บ้านของพวกเขา  ส่วนผศ.นพ.มนต์เดช สุขปราณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สถานพยาบาลที่ชายชาวโอมานเข้ารักษาตัวเป็นแห่งแรก เผยว่าได้กักกันโรคเจ้าหน้าที่ 58 คน แต่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเมอร์สรายใหม่  ในเวลาต่อมาที่เจนีวา คริสเตียน ลินด์เมเออร์ โฆษกขององค์การอนามัยโลก แถลงยกย่องไทยที่ลงมือและเฝ้าระแวดระวังอย่างทันทีทันใด ในการกักกันโรคผู้ป่วยเมอร์สรายแรกและญาติๆของเขา


ความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ในการเสริมเขี้ยวเล็บด้วยการประกาศเพิ่มจำนวนของ ขีปนาวุธข้ามทวีปอีกเกือบครึ่งร้อยลูก เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากสหรัฐอเมริกาและบรรดาลิ่วล้อที่เป็นประเทศสมาชิกในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) รวมอยู่ด้วยเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับสหรัฐอเมริกาและความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตกได้ก้าวเข้าสู่ภาวะเสื่อมทรามลงถึงขีดสุด จากผลพวงของวิกฤตทางการเมืองในยูเครนจากการที่ผู้นำและรัฐบาลที่มีความใกล้ชิดกับมอสโกถูกโค่นอำนาจโดยฝ่ายที่โปรตะวันตก และความขัดแย้งระหว่างชาวยูเครนทั้งฝ่ายที่ฝักใฝ่ตะวันตกกับฝ่ายนิยมรัสเซีย ที่ในที่สุดแล้วก็ได้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในพื้นทื่ภาคตะวันออกของประเทศ  นอกจากนั้น การลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ใน สาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียซึ่งตามมาด้วยการแยกตัวของไครเมียออกจากยูเครน เพื่อไปผนวกรวมเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ยิ่ง โหมกระพือเชื้อไฟแห่งความตึงเครียดให้รัสเซียและโลกตะวันตกยิ่งมองหน้ากันไม่ติดมากกว่าเดิม ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของบารัค โอบามาได้ดำเนินการหลายอย่าง เพื่อคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและหาทางสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลมอสโกภายใต้การนำของวลาดิมีร์ ปูตินในทุกช่องทาง แต่ทว่าสิ่งที่กลายเป็น ฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่จุดแตกหัก คือ การที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลอเมริกันตกเป็นข่าวว่าเตรียมประกาศแผนติดตั้ง อาวุธหนักและนำทหารจากเมืองลุงแซมกว่า 5,000 ชีวิตเข้าประจำการในประเทศแถบยุโรปตะวันออกและรัฐแถบทะเลบอลติก ตามรายงานของสื่อดังอย่าง นิวยอร์กไทม์สแต่ไหนแต่ไรมา เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า ยุโรปตะวันออกและรัฐแถบทะเลบอลติก คือ อาณาบริเวณที่เปรียบเสมือน สวนหลังบ้านของรัสเซียดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด หากแผนการติดตั้งอาวุธหนัก และนำกำลังทหารสหรัฐฯเข้ามาประจำการในดินแดนแถบนี้ จะสร้างความขุ่นเคืองอย่างใหญ่หลวงให้กับรัสเซีย ถึงขั้นที่ทำให้วลาดิมีร์ ปูตินออกอาการฉุนขาด จนต้องประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีปซึ่งรองรับการติดหัวรบนิวเคลียร์ครั้งใหญ่รวดเดียวถึง 40 ลูกเป็นอย่างน้อย  ปูติน ผู้นำรัสเซียให้เหตุผลว่า รัสเซียจำเป็นต้องป้องกันตนเองหากถูกคุกคาม ถึงแม้การขยับตัวล่าสุดของพญาหมีขาวในคราวนี้ จะถูกฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวหาว่า มอสโกกำลังรื้อฟื้น สถานะสงครามเย็นที่ทำให้โลกกลับเข้าสู่ ยุคแห่งความหวาดระแวงกันอีกครั้ง แต่หากจะมองอย่างเป็นกลางแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สหรัฐอเมริกาและลิ่วล้อในยุโรป ดูจะเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อสงครามเย็นรอบใหม่นี้ขึ้นมาก่อน และการขยับบทบาทของนาโตในระยะหลัง ที่พุ่งเป้าเข้าประชิดเขตแดนของรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปลุกให้รัสเซียเริ่มการตอบโต้แบบ แรงมา-แรงไปในคราวนี้  วลาดิมีร์ ปูตินประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental ballistic missile : ICBM) รุ่นใหม่ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 40 ลูกที่มีพิสัยทำการตั้งแต่ 5,500 กิโลเมตรขึ้นไป เข้าสู่คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของตนภายในสิ้นปี 2015 นี้ และว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ เมด อิน รัสเซียนี้ สามารถทำลายระบบป้องกันขีปนาวุธที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุดของโลกตะวันตกได้ในชั่วพริบตา ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อคโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute :SIPRI) บ่งชี้ว่า ในเวลานี้รัสเซียมี หัวรบนิวเคลียร์ในความครอบครองราว 7,500 หัวรบ โดยที่ในจำนวนนี้มีอยู่ 1,780 หัวรบที่ติดตั้งเข้ากับขีปนาวุธแล้วและอยู่ในสภาพ พร้อมกดปุ่มยิงความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่รัสเซียเป็นฝ่าย ออกหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้ หลังจากที่เอาแต่เก็บตัวเงียบและปล่อยให้ตัวเองถูก รุมกินโต๊ะมานานเป็นแรมปีทั้งจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก และที่น่าติดตามมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือวิธีการเดินหมากของรัสเซียที่มิใช่การเลือกใช้หมากธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเดินเกมด้วย หมากนิวเคลียร์ซึ่งทำเอาสหรัฐฯและโลกตะวันตกเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข และอาจต้องเริ่มกลับมาทบทวนบทบาทของตนในช่วงที่ผ่านมาว่า คิดดีแล้วหรือที่เลือกเป็นปฏิปักษ์กับมอสโก ด้วยการเอาชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเสี่ยงกับ สงครามนิวเคลียร์ที่สักวันหนึ่งอาจเกิดขึ้นจริง หาใช่เป็นแต่เพียง คำขู่อย่างในยุคสงครามเย็นอีกต่อไป
เอเอฟพี - การเจรจาอันเคร่งเครียดของเหล่าผู้นำยูโรโซนเพื่อหาทางฝ่าทางตันวิกฤตหนี้กรีซ ยุติลงโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ ในวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.) ขณะที่ไอเอ็มเอฟเตือนเอเธนส์ว่าจะไม่เลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้แก่กรีซในช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่อเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเอเธนส์อาจผิดนัดชำระหนี้และออกจากยูโรโซน  เข็มนาฬิกาแห่งวิกฤตขยับใกล้เวลาเที่ยงคืนทุกขณะ หลังจากที่ประชุมของเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศยูโรโซนในลักเซมเบิร์ก ล้มเหลวในการหารือฝ่าทางตันข้อตกลงปฏิรูปที่อาจช่วยหลุดพ้นหายนะจากกรณีที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน ไม่มีข้อตกลง ณ ที่ประชุมยูโรกรุ๊ปวาลดิส ดอมโบรฟสกีส์ รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปบอกหลังจากโต๊ะประชุมต้องยุติลง ตามหลังการหารือในประเด็นกรีซราวๆ 90 นาที แต่เขาบอกว่า มันเป็นสัญญาณที่แข็งกร้าวสำหรับกรีซว่าต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการเจรจาขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่งพูดกับเอเอฟพีว่าผลลัพธ์ของการหารือครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า  อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานอียู แถลงอย่างรวดเร็วว่าจะจัดประชุมซัมมิตฉุกเฉินของเหล่าผู้นำ 19 ชาติสมาชิกยูโรโซนที่บรัสเซลส์ในวันจันทร์หน้านี้ (22 มิ.ย.) โดยบอกว่ามันเป็นเวลาที่ต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน สำหรับหยิบยกสถานการณ์ของกรีซมาพูดคุยกันในระดับผู้นำสูงสุดทางการเมือง ทั้งนี้ซัมมิทดังกล่าวจะมีขึ้นก่อนหน้าที่ประชุมเหล่าผู้นำอียูทั้ง 28 ประเทศ ซึ่งกำหนดไว้ในวันพฤหัสบดี(25มิ.ย.)และวันศุกร์ (26 มิ.ย.)  อเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีซ้ายจัดของกรีซ ปฏิเสธปฏิรูปในด้านบำนาญและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามคำเรียกร้องของเหล่าเจ้าหนี้นานาชาติเพื่อแลกกับการขยายเวลาโครงการเงินช่วยเหลืออันมหาศาลจากอียูและไอเอ็มเอฟ โดยเหล่าเจ้าหนี้ปฏิเสธจ่ายเงินงวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรจากโครงการช่วยเหลือเดิม หากไม่มีข้อตกลงปฏิรูปใดๆ และกรีซจะไม่เหลือเงินสดอีกเลย หากไม่มีข้อตกลงขยายโครงการกู้ยืม นายเจอโรน ดิจเซลโบลม ประธานยูโรกรุ๊ปแถลงกับผู้สื่อข่าวว่าเวลาใกล้หมดแล้ว และบอกว่าตอนนี้ลูกบอลอยู่ทางฝั่งของกรีซ ส่วนปิแอร์ มอสโกวิซี กรรมาธิการเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป เรียกร้องประนีประยอมอย่างสมเหตุสมผลเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะอันเกี่ยวพันกับเอเธนส์ หากไม่ได้รับเงินช่วยเหลืองวดสุดท้าย นั่นเท่ากับว่ากรีซจะไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 1,6000 ล้านยูโรคืนแก่ไอเอ็มเอฟในวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับโครงการช่วยเหลือหมดอายุลง ในขณะที่นายใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คริสติน ลาการ์ด แถลงกร้าวเตือนรัฐบาลกรีซในวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.) ว่า ไม่สามารถเลื่อนการจ่ายหนี้ก้อนโตที่ถึงกำหนดในสิ้นเดือนนี้ได้อีกแล้ว ลาการ์ดประกาศออกมาเช่นนี้ ในเวลาเดียวกับที่ อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกรีซ แถลงว่าเธอยังคงเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงเพื่อช่วยชีวิตกรีซให้พ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจตามมาด้วยการที่เอเธนส์ถูกขับออกไปจากการใช้สกุลเงินยูโร ทั้งนี้ถ้าเอเธนส์ยอมอ่อนข้อประนีประนอม  อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นดังกล่าวสวนทางกับอารมณ์แห่งความมืดมัวที่ปกคลุมการประชุมในลักเซมเบิร์ก ด้วยเหล่ารัฐมนตรีหลายคน เริ่มพูดคุยอย่างเปิดเผยถึงกรณีความเป็นไปได้ต่างๆ อย่างเช่นกรีซต้องออกจากยูโรโซนหากผิดนัดชำระหนี้ หากปราศจากเงินช่วยเหลืองวดสุดท้ายและพลาดเส้นตายชำระหนี้ของไอเอ็มเอฟ ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่กรีซถูกโดดเดี่ยวทางการเงินเพียงลำพัง และด้วยเงินทุนที่ว่างเปล่า ทุกสายตาจึงจับจ้องว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น  “ทางเลือกอื่นคือเตรียมแผนบีไมเคิล นูนาน รัฐมนตรีคลังไอร์แลนด์บอก พร้อมระบุว่าเขาไม่กลัวผลกระทบต่อเนื่องในกรณีที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน ส่วนอเล็กซ์ สตับบ์ รัฐมนตรีคลังฟินแลนด์ บอกว่า ทางเลือกที่ 1 คือขยายเงินกู้ ส่วนแผนบีคือผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17) ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางของกรีซเอง ได้ออกมาแถลงเตือนว่าหากไม่สามารถตกลงกับเจ้าหนี้ได้ เอเธนส์อาจต้องออกจากยูโรโซนหรือกระทั่งออกจากอียูด้วยซ้ำ

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พัฒนาการของบรรดาศิลปินชาย Teen Idol (3) ของเมืองไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน (ตอนที่ 3)


ยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ด พร้อมการมาของ MP3 และภัยร้ายเทปผี ซีดีเถื่อน ประมาณปี พ.ศ. 2540-2550

ยุคนี้การออกอัลบั้ม มักออกเป็นแผ่นซีดี และตามมาด้วย DVD คอนเสิร์ต หมดยุคเทปคาสเซ็ทท์ รวมถึงแผ่นเสียงไวนิลแล้ว ศิลปินที่ออกมาในยุคนี้ ถ้าไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง ก็มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เนื่องจากอัลบั้มซีดีนั้นขายไม่ค่อยดีเหมือนยุคเทปคาสเซ็ทท์แล้ว อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจไม่ดี การมาของเทคโนโลยี MP3 พร้อมๆ กับแผ่นผีซีดีเถื่อน การถือกำเนิดของเว็บไซต์ยูทูป (youtube) อัลบั้มที่ออกมาส่วนใหญ๋จึงขายไม่ค่อยดี เป็นผลทำให้ค่ายเพลงเล็กๆ ล้มหายตายจากไปตามๆ กัน คงเหลือแต่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ไม่กี่ค่าย ค่ายเล็กๆ ถูกเทคโอเวอร์ หรือต้องไปควบรวมกิจการกันเพื่อความอยู่รอด ในเมื่องานเพลงมีความเสี่ยง ทำให้ค่ายเพลงต้องเข็นศิลปินในรูปแบบกลุ่มขึ้นมาแทน ที่เรียกว่า บอยแบนด์ เป็นกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในยุคนี้กันอย่างเกร่อแพร่หลาย พร้อมๆ กับการผุดอัลบั้มพิเศษ โปรเจ็คท์พิเศษขึ้นมาเพื่อเป็นจุดขายให้กับศิลปินแทน อาทิ การนำศิลปินต่างค่ายต่างแนวมาฟีจเจอริ่งกัน การนำศิลปินมาผสมรวมแบบไฮบริดจ์ คือกลุ่มศิลปินที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน และยุคนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังอย่าง เดอะสตาร์ และเอเอฟ อีกด้วย เพื่อเฟ้นหาศิลปินจากเวทีประกวด ด้วยการสร้างฐานแฟนคลับจากการโหวต และจากการติดตามชมในรายการ เพื่อลดความเสี่ยงในการปั้นศิลปินใหม่ ฯลฯ

ค่ายแกรมมี่  อาทิ เสก และวงโลโซ, วงแบล็คเฮด, จีระศักดิ์ ปานพุ่ม, อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน, วงซิลลี่ฟูลส์ ,วงแฮ็งแมน ,ติ๊ก ชีโร่, โจ-ก้อง ,วงอินสติ๊นท์ ,วงสิบล้อ ,หนุ่ม อรรถพร กับวงเสือใหญ่ ,ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล, วงวายน็อต เซเว่น ,วงฟลาย, จั๊ก ชวิน และวงดับเบิ้ลยู, วงมิสเตอร์ทีม, ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล,วงซีล ,วงเอบีนอร์มอล ,วงแคลช, วงโปเตโต้ ,วงกะลา ,วงไอแซ็ก ,วงมังกี้แอ็ค,วงโซคูล,ยูเอชที ,ลีโอ พุฒิ และวงรูม 99 ,กลุ่มศิลปิน ทีนเอจ เกรดเอ, วงดราก้อนไฟว์ ,นานาช่า, จอห์น รัตนเวโรจน์ ,ซัด, แจ๊ค สุขารมย์ ,นครินทร์ กิ่งศักดิ์,โก้ เศกพล, โอ๋ เสกสรรค์ ,วงไซแอม ,กบแท็กซี่, วงมังกี้แพลนท์,ศักดา พัทธสีมา, ดาจิม ,พลพล ,หนุ่ม วงกะลา, วงพาราด็อกซ์ ,วงลาบานูน ,วงบิ๊กแอส ,วงบอดี้สแลม ,วงเรโทรสเป็ค ,วงสวีทมูลเล็ต ,เชษฐา ยารสเอก,ไท ธนาวุฒิ, สุเมธแอนด์เดอะปั๋ง, บรรเจิด สินธุ ,วงวาสนา, วงแพนเค้ก,วงอีโบล่า, สเตอร์, เทปาป้า ,โซฟา ,วงพีชเมคเกอร์ ,กลุ่มศิลปินทีนทอล์ค ,วงบีเคเค ,เจฟฟรี่ มาร์ควาร์คเสน, เต๊ะ ศตวรรษ, ไก่ สมพล, ทีน&คิม,เอ็กซ์ ฐิติ , พอล ภัทรพล,นาวิน ต้าร์ ,น้องพลับ,ขันเงินและวงไทเทเนี่ยม, กอล์ฟ-ไมค์,เจเคไอ ,บิ๊กทรี ,ชิน ชินวุฒิ, ไอซ์ ศรัณญู, เป๊ก ผลิตโชค,ออฟ ปองศักดิ์, บี้ สุกฤษฏิ์ ,โจอี้บอย และก้านคอคลับ ,วงโนโลโก้ ,โอโซน ,วงเพลย์กราวน์ ,วงซุปเปอร์ซับ ,วงวีทรีโอ ,แมททิว ดีน ,แคลอรี่บลาบลา, เบล สุพล ,แหนม รณเดช, วงครอกคอได จูเนียร์ ,กอล์ฟ อัครา ,วงบางแก้ว ,เอ็ม อรรถพล ,สิงห์เหนือเสือใต้, บุดด้าเบลส ,โอ๊ค สมิทธิ์ ,บี พีระพัฒน์ ฯลฯ

 
 
 
 
 
 
ค่ายอาร์เอส อาทิ จอนนี่ อันวา ,ไวตามิน-เอ,ด๊อกเตอร์ฟู,เดอะซัน,วงซับเทนชั่น ,เท็นอีเลฟเว่น,ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา,ฟอร์ด สบชัย ไกรยูรเสน,นาธาน โอมาน,พายุ คล้าก, บาซู, โบกี้-ดอดจ์ ,บี-มิกซ์ ,วงเกียร์ไนท์, ดีทูบี, เคโอติก ,ไนท์ทูมีทยู, ซี-ควินท์,แดน-บีม ,แบล็คแจ๊ค,วงแบล็ควานิลลา ,รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ,วงเล้าโลม ฯลฯ

ค่ายเบเกอรี่มิวสิค อาทิ วงโมเดิร์นด็อก, วงกรู๊ฟไรเดอร์, วงเครสเซนโด้ ,เบน ชลาทิศ, วงซีเปีย, วงบีไฟว์ ,วงพรู ,วงฟลัวร์ ,โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ,จีน กษิดิษ ,สุธี แสงเสรีชน, อะลาดิน ฯลฯ

 

ค่ายลักษ์มิวสิค อาทิ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค

 

ค่ายบีอีซี-เทโรมิวสิค อาทิ วงออดี้, วงสล็อตแมชชีน, วงสครับ, วงซูการ์อายส์, วงลิปตา, ตู่ ภพธร, แชมป์ ศุภวัฒน์ ฯลฯ
       
ค่ายร่องเสียงลำไย อาทิ เบิร์ทกะฮาร์ท,วงซิสเต็มโฟร์

ค่ายโอ้มายก๊อด อาทิ โจ๊กเกอร์ นพชัย มัททวีวงศ์,ป้อม เกริกศักดิ์ ,กุลวัฒน์ พรหมสถิต , วงเดอะมัสท์ ฯลฯ                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                
ค่ายสมอลล์รูม อาทิ วงครับ,วงพราว, วงสี่เต่าเธอ,วงบาร์บี้ ,วงซุปเปอร์เบรกเกอร์ ,วงอาร์มแชร์, วงสเลอร์, วงแท็ททูคัลเลอร์, เดอะจั๊ก ,จุ๋ยๆ  ฯลฯ

ค่ายสไปซ์ซี่ดิสก์ อาทิ วงสควีซ แอนิมอล, วงมายด์ ฯลฯ

ค่ายเพลงอื่นๆ อาทิ สมิทธิ์แอนด์เชน, มอร์กะจาย ,วงเนอร์สเซอรี่ซาวด์, วงสไมล์บัฟฟาโร่,วงพองพอง,วงอีทีซี ,บานาน่าโบ้ท  ฯลฯ

 
 

ยุคนี้เป็นยุคคาบเกี่ยวกับยุคอัลเทอร์เนทีฟที่รุ่งเรืองมาก ที่เข้ามาระบาดในเมืองไทย ฮิตติดลมบนอยู่หลายปี ทำให้เกิดวงหน้าใหม่ๆ แจ้งเกิดเพิ่มขึ้นมากมาย เป็นบ่อเกิดและจุดเริ่มที่ทำให้อุตสาหกรรมดนตรีในบ้านเรา เปิดรับและขยายตัวของคนฟังแนวเพลงดนตรีใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมายตามมา นอกเหนือจาก อัลเทอร์เนทีฟ ยังมี สกา มีอาร์แอนด์บี มีเรกเก้ มีบอสซ่า เป็นต้น
 
แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา พอหมดยุคอัลเทอร์เนทีฟ และช่วงนั้นเป็นยุคอุตสาหกรรมดนตรีบ้านเราเข้าสู่ยุคตกต่ำพอดี เพราะพิษภัยจากเทปผีซีดีเถื่อนและการเข้ามาของ MP 3 การมาของยูทูป และการแชร์ไฟล์  ดาวน์โหลดฟรี ทำให้ผลงานเพลงจำนวนมากถูกละเมิดลิขสิทธ์และขายไม่ได้ ยอดขายซีดีตกต่ำลง จึงเป็นที่มาที่ทำให้วงดนตรีหลายวงต้องยุบเลิกวง หรือผันตัวไปอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ต้องไปรับงานจ้าง เล่นดนตรีตามผับหรือสถานบันเทิงแทน หรือทัวร์คอนเสิร์ต เกิดการถ่ายเทเลือดใหม่ของศิลปินกันอีกครั้ง จนกลายมาเป็นรูปร่างหน้าของศิลปินในยุคปัจจุบันที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้
 
 
 

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พัฒนาการของบรรดาศิลปินชาย Teen Idol (2) ของเมืองไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน (ตอนที่ 2)


ยุคค่ายเพลง และยุคบูมของธูรกิจเพลงเมืองไทย ช่วงปี พ.ศ. 2530-2540 (เทปขายได้เกินล้านตลับเป็นว่าเล่น) 

ยุคนี้เองที่เกิดการแข่งขันโดยสมบูรณ์ของธุรกิจเพลงเมืองไทย เพราะบรรดาค่ายเพลงต่างๆ ต้องขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างรุนแรง เพื่อช่วงชิงตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์กันอย่างคึกคัก ด้วยการเข็นศิลปินเกิดใหม่อย่างมากมาย นอกเหนือจากตัวศิลปินเกิดใหม่จะเยอะแล้ว บรรดาค่ายเพลงเกิดใหม่ก็เกิดขึ้นเยอะด้วย วนเวียนเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป โดยที่มีการโยกย้ายของนักดนตรี โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง ศิลปินกันอย่างวุ่นวายอุตลุต กลยุทธ์ในการช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ของตลาดเพลงไทยรูปแบบหนึ่งก็คือการสร้างศิลปินทีนไอด้อลทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ศิลปินที่จะปั้นนั้น มี 2 แนวทาง คือปั้นจากดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว หรือปั้นจากศิลปินฝึกหัดซึ่งจะเป็นบุคคลที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน เรียกว่าสดใหม่มากๆ หากว่าตัวนักร้องมีคุณภาพ ผลงานเพลงออกมาดี ก็สามารถแจ้งเกิดได้ตั้งแต่อัลบั้มแรกได้เลย  นำโดย ศิลปินทีนไอด้อลหัวหอกของค่ายใหญ่ๆ อย่าง แกรมมี่ อาร์เอส คีตา และค่ายเล็กๆ อื่นๆ อีกมากมาย

ขอจำแนกแยกทีนไอด้อลไปตามค่ายต้นสังกัดก็แล้วกัน เพราะสะดวกในการไล่ลำดับ หรือพอนึกออกดังนี้

ค่ายแกรมมี่ อาทิ ธงไชย แม็คอินไตย์ ,อำพน ลำพูน และวงไมโคร, โจ-ก้อง-จอห์น และวงนูโว, บิลลี่ โอแกน ,เจตริน วรรธนะสิน, ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ,ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ,วงอินคา ,วงสวอน ,ไมเคิล หว่อง ,ทูน หิรัญทรัพย์ ,ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ,โดโด้ ยุทธพิชัย ชาญเลขา ,วงกัมปะนี ,ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย ,วงยูเอชที ,มิกกี้ (ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย) ,วงฟลาย ,เสกสรรค์ ศุขพิมาย และวงโลโซ ,วงไทม์ ,พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ,ฮักกี้ ไอเคิลมานน์, ดนู ฮันตระกูล ,วสันต์ โชติกุล ,ชรัส เฟื่องอารมณ์ ,ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว ,ธเนศ วรากูลนุเคราะห์ ,สามารถ พยัคฆ์อรุณ ,ตั้ม สมประสงค์ สิงหวนวัฒน์ ,เกริกพล มัสยวณิช ,ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ ,อั๋น ภูวนารถ พุนผลิน ,ก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี ,ลีโอ พุฒิ และวงรูม 99 ,เอกราช สุวรรณภูมิ ,ไมค์ ภิรมย์พร ,เจสัน ยัง ,เปเล่ ธัญญารัตน์ ,วงบีเคเค , วงมังกี้แอ็คท์ ,ฮัท ศิววงศ์ ,วงพาวเวอร์แพ็ท ,วงวายน็อตเซเว่น, อิงค์ อชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา ,อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน ,วงกะลา ,วงแคลช ,วงโปเตโต้ ,วงเอบีนอร์มอล ,วงมังกี้แอ็ค ฯลฯ
 
 
 
 
 

ค่ายอาร์เอส  อาทิ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ,อิทธิ พลางกูร, พิศุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร,ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, ต่อ-ต๋อง วงทู ,โชคชัย เจริญสุข ,ศรราม เทพพิทักษ์ ,สมชาย เข็มกลัด ,ปราโมทย์ แสงศร ,บอยสเก๊าท์ ,แซ้งค์ ปฏิวัติ เรืองศรี ,วงไฮร็อก ,วงเฟรม ,วงหินเหล็กไฟ ,ฉัตรชัย เปล่งพานิช ,สรพงษ์ ชาตรี ,ลิฟต์-ออย ,ธนพล อินทฤทธิ์ ,ธรรพ์ณธร ปาละวงศ์ ณ อยุธยา ,บดินทร์ ดุ๊ก  ,โบกี้-ดอดจ์ ,ปกรณ์ ลัม ,พันกร บณยะจินดา ,จอห์นนี่-หลุยส์ (แร็ปเตอร์) ,เจอาร์-วอย, เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ,วงราฟฟี่ แนนซี่ ,วงดิเอ้าไซเดอร์ ,สบชัย ไกรยูรเสน ,วงไจแอ้นท์ ,อนัน อันวา ,อนันต์ บุนนาค ,วงไฮแจ็ค, วงไอน้ำ ,อาชาครินท์ ,ปาร์ค แอนด์แจกัน ,บ่าววี ฯลฯ
 
 
  
 

ค่ายคีตา อาทิ หนุ่มเสก ,วงเฉลียง ,วงเฌอ ,พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ,สุรศักดิ์ วงษ์ไทย, มาโนช ฤทธิ์เต็ม, วงสามโทน, เมทินี บูรณศิริ ,กิติกร เพ็ญโรจน์ ,วงออโต้บาห์น, ภุชงค์ โยธาพิทักษ์ ,สันติสุข พรหมศิริ, นฤเบศร์ จินปิ่นเพ็ชร, วงยูโฟร์ , ยุรนันท์ ภมรมนตรี ,ฝันดี-ฝันเด่น ,วงทีเคโอ, คณิต เขียวเซ็น ,วงด็อกเตอร์คิดส์, สุรวุฒิ ไหมกัน ,วงทิกแท็กโท, แจ็ค-จิล ,แจ็ค ไอเฟล ,โก้ ธีรศักดิ์ พันธุ์จริยา, ต่อ นันทวัฒน์ อาศิรพจนกุล ,ภูษิต ไล้ทอง ,เชษฐา ยารสเอก เป็นต้น
 
 

ค่ายเอสพีศุภมิตร(ช่อง3) อาทิ กิตติพันธุ์ พุ่มสุโข ,วงชาย ,สถาพร นาควิไล ,วงเลอโดม ,อาเธอร์ ปัญญโชติ ,อี๊ด โอภากุล,กฤษณ์ ศุภระมงคล ,วงยูเรเนียม ,อารักษ์ อาภากาศ, เควสชั่น ,โกแกง เป็นต้น

ค่ายเบเกอรี่มิวสิค อาทิ  วงโซลอาฟเตอร์ซิกส์ ,นภ พรชำนิ และวงพีโอพี ,ธนชัย อุชชิน และวงโมเดิร์นด็อก ,บอย โกสิยพงศ์ ,น้อยและสุกี้ วงพรู ,โจอี้ บอย , บอย ตรัย ภูมิรัตน์, วงทีฟอร์ทรี, โจ้และวงพอส ,โป้และวงโยคีย์เพลย์บอย ,สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ,ธีร์ ไชยเดช เป็นต้น

ค่ายเพลงอิสระอื่นๆ อาทิ
ค่ายสโตน ,เฮ้าส์ออฟฟัน  อาทิ  XL STEP ,แจ็ค สุขารมย์, ออดี้, New School, Deja Vu, B-Team ,เจนนิเฟอร์ คิ้ม ,โก้ เศกพล

 
ค่ายมูเซอร์ เรคคอร์ด อาทิ กษาปณ์ จำปาดิบ,เกี๊ยง เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์ ,นก ฉัตรชัย ดุริยประณีต, วงแบดบอยส์ ,วงที-โบน ,สมเกียรติ ซีมิกส์ ,ทอม ดันดี ,เศก ศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น

ค่ายเทโรมิวสิค/โซนี่เรคคอร์ด อาทิ วงวาเคชั่น, นายสะอาด (มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร) ,วงสครับ ,ปราโมทย์ วิเลปะนะ ,ย้ง ธรากร สุขสมเลิศ  เป็นต้น

ค่ายรถไฟดนตรี อาทิ พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ,ศุ บุญเลี้ยง, กิตติ กาญจนสถิตย์, วงโฮป ,จรัล มโนเพ็ชร ,วงคนด่านเกวียน ,วงซูซู ,โดม มาร์ติน ,วงคาไลโดสโคป ,วงเอ-ม็อบ ,แก้ว ลายทอง ,หนู มิเตอร์

ค่ายโพลีแกรม อาทิ เจ มณฑล จิรา
ค่ายโชว์บีซ อาทิ  พีท ทองเจือ

ค่ายมิวสิครูม อาทิ สมิทธิ์ แอนด์ เชน

ค่ายกลิทช์ อาทิ โป้ง วราวุธ ,เจสัน ยัง

เป็นยุคที่วงการดนตรีเมืองไทยเฟื่องฟูมาก แข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ จุดเด่นคือนำดารานักแสดงมาเป็นศิลปินนักร้องออกเทป แม้ว่าคุณภาพเสียงของนักร้องบางคนจะแย่เพียงใด แต่ก็เข็นออกมาเป็นศิลปินได้ คงต้องโทษค่ายเพลงที่เห็นแก่ได้มากเกินไป จึงเป็นยุคที่ผู้บริโภคได้เสพงานเพลงที่ด้อยในด้านคุณภาพเสียงลดลง แต่คุณภาพของงานดนตรีกลับดีขึ้น และการบันทึกเสียงก็เป็นยุคที่ได้มาตรฐานสากลมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังเป็นยุคที่ผลงาน (เทปคาสเซ็ทท์) ขายได้กันเกินล้านตลับจำนวนมาก และกลายเป็นสถิติ ที่ทุกวันนี้คงไม่ได้เห็นแบบนั้นกันอีกแล้ว

อัลบั้มเพลงล้านตลับ อัลบั้มแรกของไทย

อันนี้รวมอัลบั้มเพลงล้านตลับในยุคต่อมา

นี่รูปพี่แจ้ ในยุคออกอัลบั้มเดี่ยว เป็นทีนไอด้อลเบอร์แรกๆ ของเมืองไทย


อันนี้รูปพี่แจ้ ในยุคปัจจุบัน