วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Persuit of Happyness ความสุขสร้างได้ เพียงคุณสู้และแก้ปัญหาเป็น

วันก่อนได้มีโอกาสได้ชมสกู้ปสรุปตัวเลขรายได้ของหนังซัมเมอร์อเมริกาในปีนี้ เห็นชื่อเรื่อง After Earth ที่แสดงนำโดย วิลล์ สมิธและลูกชายของเขาคือ เจเด้น สมิธ ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับชื่อดังคือ เอ็มไนท์ ชยามาลาน แต่พบว่าตัวหนังทำรายได้ต่ำกว่าทุกเรื่องในตารางหนังซัมเมอร์ปีนี้ทุกเรื่องที่เป็นตัวเต็ง และก็ไม่ค่อยทำเงินในตลาดนอกประเทศ รวมถึงคำวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี ทำให้รู้สึกเสียดายทั้งตัวผู้กำกับและตัวสมิธเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นทั้งนักแสดงและโปรดิวเซอร์ด้วย รวมถึงข่าวคราวของเขาที่จะไม่สามารถมารับบทนำในภาคต่อของ ID4 เนื่องจากผู้สร้างและผู้กำกับเกี่ยงงอนเรื่องค่าตัวเขาที่สูงมาก จนทำให้ต้องหันไปใช้บริการนักแสดงท่านอื่น ทั้งๆ ที่เรื่อง ID4 เป็นหนังลายเซ็นและหนังแจ้งเกิดให้กับวิลล์ สมิธ อีกด้วย ถ้าเป็นผมจะขอลดค่าตัว หรือไม่รับเลย ขอเพียงให้ได้มีส่วนในหนังภาคต่อเรื่องนี้ เพราะมันหมายถึงเครดิตส่วนตัวที่เงินก็ซื้อไม่ได้ ทำให้นึกย้อนไปถึงภาพยนตร์เรื่องเล็กๆ เรืองนึงซึ่งแม้ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ ไม่ทำรายได้อะไร แต่เป็นหนังที่ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมากในแง่การแสดง บท และเป็นหนังดีเรื่องนึงในปี 2006 เลย เป็นหนังที่พ่อ-ลูก สมิธ เล่นไว้ดีมาก พลังของการแสดงและทรงพลังมาก สะท้อนแง่คิดการดำเนินชีวิต เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก หนังเรื่องนั้นคือ The Persuit of Happyness

หนังเล่าเรื่องราวจากชีวิตจริงของคริส การ์ดเนอร์ ที่ทุกๆ วัน เขาจะต้องแบกเครื่องสแกนกระดูกที่มีราคาแสนแพงไปขายตามคลินิกและโรงพยาบาลต่างๆ แน่นอนว่ามันขายไม่ค่อยจะได้ จึงทำให้ครอบครัวเผชิญกับปัญหาทางการเงิน และเมื่อปัญหามันหนักหนาจนเกินไป สุดท้ายภรรยาจึงทิ้งเขาไป ให้เขาต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกชายวัย 5 ขวบแต่เพียงลำพัง จากนั้นทุกวันเขาต้องหอบหิ้วเครื่องสแกนกระดูกด้วยมือซ้าย จูงลูกด้วยมือขวา เข้าออกโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขายเครื่องนี้ต่อชีวิตเขาไปในแต่ละเดือน จนเมื่อเขาเดินผ่านบริษัทการเงินที่ที่ผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข มีรถสปอร์ตคันหรูจอดเรียงรายตามริมถนน เขาจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพใหม่ มุ่งสู่การเป็นโบรกเกอร์ (ที่ปรึกษาด้านการลงทุนหลักทรัพย์) ความเลวร้ายนั้นยังไม่หยุดโหมกระหน่ำ เมื่อรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย จนเจ้าของบ้านเช่าที่เอือมระอาเขา ที่ค้างค่าเช่าอยู่เป็นประจำ จนบางครั้งต้องวิ่งหาค่าเช่ามาจ่ายประทังแบบวันต่อวัน และสุดท้ายก็ต้องโดนอัปเปหิออกจากบ้านเช่านั้นไป ต้องไปนอนตามห้องน้ำ สถานีรถไฟใต้ดิน ชะตากรรมของพ่อลูกตกอับจนถึงต้องไปต่อคิวเพื่อแย่งสิทธิ์เข้าพักสถานพักสำหรับคนไร้ที่อยู่แบบชั่วคราว ซึ่งจำกัดได้วันละไม่กี่ร้อยคน และได้สิทธิ์วันต่อวัน จากนั้นหากต้องการจะพักต่อก็ต้องมาเข้าคิวขอใช้สิทธิ์ใหม่ ต่อหน้าลูกนั้น พ่อต้องทำตัวเป็นฮีโร่ให้ลูกเห็น ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา แต่ลับหลังลูกนั้นน้ำตาของลูกผู้ชาย ที่น้อยใจต่อโชคชะตา และเจ็บช้ำน้ำใจต่ออดีตภรรยาที่ทอดทิ้งตนไปแบบไม่มีเยื่อใยต่อกัน เขาต้อง แบ่งเวลาไปฝึกงานที่บริษัทการเงิน ใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งเดินออกตามโรงพยาบาลเพื่อขายเครื่องสแกนและใช้เวลาที่เหลือเดินทางไปตามสถานสงเคราะห์ให้มีที่นอนในแต่ละคืน บ่อยครั้งที่เขามีเงินเพียงไม่กี่ดอลล่าร์ติดกระเป๋า แต่เป็นเพราะความรักที่มีต่อลูก การมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง จึงทำให้เขากัดฟันต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคู่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ช่วงหนึ่งของเหตุการณ์ที่เขาอาศัยนั่งรถผู้บริหารท่านนึงของบริษัทการเงินเพื่กลับยังที่พัก เขาได้อาศัยติดรถกลับไปด้วยเพื่อประหยัดค่าเดินทางนั้น เขาเห็นผู้บริหารท่านนั้นเล่นรูบิก (ผลึกมิติที่มีรูปลักษณ์สี่เหลี่ยมเท่ากันทุกด้าน แต่ละด้านมีสี่เหลี่ยมย่อยเรียงตัวกัน 9 สี่เหลี่ยมย่อย สามารถหมุนเปลี่ยนได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน วิธีการคือต้องหมุนให้สี่เหลี่ยมทั้ง 9 นั้นเรียงตัวเป็นสีเดียวกันทั้ง 6 ด้าน ซึ่งรูบิกมี 6 ด้านคล้ายลูกเต๋า เครื่องเล่นนี้ผลิตขึ้นจากความรู้ด้านฟิสิกศ์ โดยมีแกนหมุนอยู่ตรงกลางเป็นตัวยึดข้อต่อสี่เหลี่ยมทุกฟันเฟืองเอาไว้) รูบิกก็คือ symbolic ที่ใส่เข้ามาในเรื่อง สิ่งที่คริสกำลังเผชิญอยู่เปรียบเสมือนปัญหาที่เขาต้องพบเจอในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน ครอบครัว ปัญหาที่คริสกำลังเผชิญอยู่นั้นมีหลากหลายด้าน คล้ายๆ รูบิก ที่เมื่อแก้ไขปัญหาด้านนึงจะมีผลไปถึงปัญหาอีกด้านนึง แต่ทุกปัญหาส่งผลต่อตัวเขา และเขาต้องแก้ไขมันให้ได้ คริสขอผู้บริหารท่านั้นลองหมุนรูบิกดูแต่ก็ไม่สามารถทำได้ในครั้งนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องรู้แกนของปัญหาเพื่อที่จะแก้ไขให้ได้ถูกจุด และของเล่นชิ้นนี้นี่เอง ที่มีส่วนช่วยพลิกผันชีวิตของคริส การ์ดเนอร์ ให้ก้าวเดินได้สะดวกมากขึ้น คริสไม่เคยแสดงความเหนื่อยอ่อน หรือมีทีท่าจะยอมแพ้กับชีวิตให้เห็นแม้แต่น้อย เมื่อทางข้างหน้ามีปัญหา เขาก็ไม่เคยคิดที่จะหันไปข้างหลัง สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่สอนหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่เขา คริสไม่ปล่อยเวลาทำงานให้เสียเปล่าไปกับการพักดื่มน้ำในระหว่างการทำงาน และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ ทำให้เขามีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นวันละหลายนาที

The Persuit of Happyness แม้ว่าจะเป็นหนังที่สร้างจากอัตชีวประวัติของคนๆ นึง แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับโลก แต่ชีวิตของเขานั้นให้คุณค่าแก่การเรียนรู้ ทั้งในแง่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การใช้ชีวิต การเผชิญปัญหา และแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจแก่ทุกชีวิตบนโลกนี้ ที่มีชะตากรรมที่ย่ำแย่และตกต่ำ ในหนังมีประโยควลีคำคมอยู่เป็นจำนวนมาก หลากหลายซีน สามารถนำข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ไปปรับใช้กับตนเองได้ ฉากนึงในเรื่อง ที่คริสเห็นลูกชายยอมแพ้ให้กับความฝันที่จะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล คริสจึงบอกกับลูกชายว่า “อย่าปล่อยให้ใครมาบอกนายว่า นายทำอะไรไม่ได้... หากนายมีความฝัน นายต้องปกป้องมัน เมื่อนายปรารถนาสิ่งใด อย่านิ่งเฉย ต้องออกไปไขว่คว้ามันมาให้ได้” คำพูดประโยคนี้อธิบายความเป็นตัวตนของคริส การ์ดเนอร์ ได้เป็นอย่างดี เพราะเราจะไม่เคยเห็น แม้แต่ฉากเดียวที่ คริส ยอมแพ้ให้แก่ปัญหาที่รุมล้อมตัวเขา นานๆ ทีที่เราจะได้เห็นวิลล์ สมิธ มารับบทดราม่าหนักๆ อย่างเรื่องนี้ เพราะโดยส่วนใหญ่เขาจะเล่นแต่หนังแอ็คชั่น ทริลเลอร์ แต่เรื่องนี้วิลล์ สมิธ สามารถรับบทคริส การ์ดเนอร์ เล่นได้เข้าถึงบทบาท ความเป็นคนเข้มแข็ง อดทน มุมานะ เป็นลูกผู้ชายใจสู้ และบทบาทความเป็นพ่อที่เข้าใจทั้งหัวอกคนเป็นพ่อของลูกได้เป็นอย่างดี และในเรื่องนี้เขาก็เล่นลูกชายแท้ๆ ของเขาเองจริงๆ

เจเด้น คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ ลูกชายแท้ๆ (วัย 7 ขวบในตอนนั้น) ของวิลล์ สมิธ แต่ในเรื่องเล่นเป็นเด็ก 5 ขวบ ซึ่งในเรื่องบทเด็กซึ่งเป็นลูกชายของคริส การ์ดเนอร์ เป็นเด็กที่ใส บริสุทธิ์ อ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา เล่นเป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทิ้งพ่อไป และเอ่ยหาแม่อยู่ตลอดเวลาว่า แม่ไปไหน ส่วนบทของแม่นั้น ในเรื่องแสดงโดย แธนตี้ นิวตัน นักแสดงสาวจากเรื่อง Crash ที่มารับบทแม่ได้ดี จนได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับชาวอิตาลี ชื่อ กาเบรียล มัคชิโน ซึ่งเคยมีผลงานเป็นภาพยนตร์ภาษาอิตาเลียนมาตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เป็นภาษาอังกฤษ เคยมีผลงานที่เป็นที่จดจำคือเรื่อง The Last Kiss (หนังปี 2002) ในบ้านของตนเอง ที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์


หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนัง 1 ใน 100 เรื่องที่ผู้เขียนชื่นชอบ เคยพาเพื่อนสนิทไปดูที่โรงหนังลิโด้ ดูจบน้ำตาคลอ ซาบซึ้ง ประทับใจ อินกับเนื้อหาและเข้าใจชีวิตมากขึ้น ส่วนเพื่อนที่ไปดูด้วยไม่อินกับหนัง ดูออกมาแล้วเฉย ๆ ทั้งๆที่เขามีลูกชายวัยเดียวกับในหนัง และชีวิตเขามีปัญหาทางด้านการเงินในขณะนั้น ผู้เขียนจะไม่ขอสรุปอะไรเกี่ยวกับประเด็นในหนัง แต่จะขอกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า บางครั้งชีวิตจริงคนเรายิ่งกว่าในหนัง และบางครั้งคนเราก็ยอมจะขมชื่น ไม่อยากเอาชีวิตของตัวเราเองไปเล่าให้ใครฟัง เพราะว่ามันเศร้าเสียยิ่งกว่าในหนังเสียอีก

ประวัติและผลงานผู้กำกับ Gabriele Muccino

Director Writer Producer

Gabriele and Eugenia F. Di Napoli have a son named Silvio Leonardo (b.2000). See more trivia »

Born: May 20, 1967 in Rome, Lazio, Italy

Director (18 titles)

2013 Shanghai, I Love You (in production)
???? Fathers and Daughters (pre-production)
2012 Playing for Keeps
2010 Baciami ancora
2010 Senza tempo (short)
2008 Seven Pounds
2007 Viva Laughlin (TV series)
– Pilot (2007)
2007 Heartango (short)
2006 The Pursuit of Happyness
2006 Chi siete venuti a cercare (TV documentary)
2004 Giovani talenti italiani (video) (segment "14 agosto")
2003 Ricordati di me
2001 L'ultimo bacio
1999 Come te nessuno mai
1999 Gli amici di Sara (TV documentary)
1998 Ecco fatto
1996 Intolerance (segment "Max suona il piano")
1996 Un posto al sole (TV series)

คริสโตเฟอร์ พอล การ์ดเนอร์ เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเขาเอง เป็นนายทุนที่ร่ำรวย มีความสามารถในการพูดจูงใจผู้อื่นและยังใจบุญอีกด้วย เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 ที่มิลวอคกี วิสคอนซิน ในช่วงทศวรรษ 1980 นั้น คริสต้องเผชิญกับช่วงที่ยากลำบากของชีวิต เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเนื่องจากไม่มีบ้านอยู่ทั้งๆที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว คริสโตเฟอร์ จูเนียร์ อีกคน หนังสือชีวประวัติของคริสนั้นตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2006 โดย Amistad และ HarperCollins

ในปี 2006 นั้น เขาเป็นซีอีโอของบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของเขาเองคือ Gardner Rich & Co มีสำนักงานอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ อันเป็นที่อยู่ของเขาในคราวที่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก คริสบอกว่าความสำเร็จและอดทนของเขานั้นได้รับมาจากแม่ Bettye Jean Triplett, née Gardner และกำลังใจที่สำคัญที่สุดในการสู้ชีวิตของเขาคือลูกชายคริส จูเนียร์ (เกิดปี ค.ศ. 1981) และลูกชายจาซิสตา (เกิดปี ค.ศ. 1985) ของเขานั่นเอง คริสต้องเผชิญกับช่วงลำบากของชีวิต เขาสร้างตัวมาจากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นในช่วงที่เป็นพ่อหม้ายและคนพเนจรไร้บ้าน จนได้มีการนำชีวประวัติส่วนหนึ่งของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น