การประท้วงในบราซิลเริ่มบานปลาย ประชาชนลุกฮือออกมาเพิ่มขึ้นนับล้านคน
เอเอฟพี - ประธานาธิบดีหญิง ดิลมา รูสเซฟฟ์ ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินคณะรัฐมนตรีเมื่อวันศุกร์(21) เพื่อชั่งน้ำหนักถึงแนวทางตอบสนองต่อการชุมนุมใหญ่ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 สัปดาห์และปะทุขึ้น 1 ปีก่อนหน้าที่บราซิล จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก
รูสเซฟฟ์ ต้องตัดสินใจยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นในสัปดาห์หน้า หลังรัฐบาลของเธอต้องเผชิญแรงกดดันหนักหน่วงจากเหตุจลาจลต่อต้านรัฐครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี แต่การประชุมฉุกเฉินที่กรุงบราซิเลีย ที่ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ยุติลงด้วยไม่มีถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการใดๆ กระนั้นก็ดีผู้สื่อข่าวคาดเดาว่าผู้นำรายนี้อาจแถลงผ่านสถานีวิทยุแห่งชาติในภายหลัง
ประมาณการณ์ว่ามีประชาชนมากถึง 1.25 ล้านคน ออกมาเดินขบวนตามเมืองต่างๆในค่ำคืนวันพฤห้สบดี(20) เพื่อเรียกร้องปรับปรุงการบริการสาธารณะและตำหนิการละเลงงบประมาณมหาศาลจัดศึกฟุตบอลโลก ซึ่งจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตเกี่ยวข้องกับการชุมนุมแล้ว 2 ราย
ด้านนายกิลแบร์โต คาร์วัลโญ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดี เตือนว่าบราซิลจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงใหญ่ต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเสด็จเยือนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เนื่องในโอกาสวันเยาวชนโลก ที่เมืองริโอเดจาเนโร ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
นายคาร์วัลโญ สรุปด้วยว่าการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศ สะท้อนถึงความไม่พอใจของประชาชนอย่างกว้างขวาง "เราต้องเข้าใจว่าการชุมนุมนี้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง พวกเขาส่งสัญญาณถึงความไม่พอใจ ชาวบราซิลกลุ่มใหญ่ที่ถูกกีดกันจากการเป็นผู้บริโภคต่างต้องการสิทธิใหม่ๆ และนั่นเป็นเรื่องดี"
การชุมนุมครั้งนี้บดบังรัศมีของการแข่งขันฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ทดสอบความพร้อมก่อนจัดศึกฟุตบอลโลกในปีนี้ ขณะที่ผู้ประท้วงจำนวนมากแสดงความขุ่นเคืองต่อเหตุรัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลสำหรับจัดเวิลด์คัพและกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016 แทนที่จะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ทั้งนี้การเดินขบวนเมื่อวันพฤหัสบดี(20) ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปอย่างสันติ แต่ก็ต้องมามีมลทินจากเหตุความรุนแรงและพฤติกรรมก่อความวุ่นวายของพวกหัวรุนแรงกลุ่มเล็กๆ โดยเฉพาะที่รีโอและบราซิเลีย ขณะที่มีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย
รายงานข่าวระบุว่าวัยรุ่นชายวัย 18 ปีรายหนึ่งถูกรถชนตายขณะที่ร่วมชุมนุมที่เมืองริเบเรา เปรโต ทางภาคใต้ และสตรีวัย 54 ปีรายหนึ่งหัวใจวายตาย หลังจากเกิดระเบิดใกล้ๆสถานที่ชุมนุมในเมืองเบเลม ทางเหนือของประเทศ
ที่รีโอ ซึ่งมีประชาชนราว 30,000 คน ร่วมเดินขบวนบริเวณใจกลางเมือง นายกเทศมนตรีเอดูอาร์โก ปาเอส เมื่อวันศุกร์(21) บอกว่าได้ทำการประเมินความเสียหายจากเหตุรุนแรงแล้ว ขณะเดียวกันก็พบผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 62 ราย ในนั้นเป็นตำรวจ 8 นาย
"ผมไม่สงสัยว่าผู้ประท้วงส่วนใหญ่ล้วนมีเจตนาที่ดีและแค่ต้องการรักษาสิทธิของตนเองเท่านั้น" เขาแถลงกับผู้สื่อข่าวที่ศาลากลางเมือง "แต่เคราะห์ร้ายที่บางคน ซึ่งเป็นกลุ่มคนเล็กๆ กลับสร้างมลทินแก่การชุมนุมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของเมือง ด้วยการก่อความวุ่นวาย" พร้อมบอกด้วยว่าอาคารราชการและสาขาธนาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย ร้านค้าถูกปล้นสะดม รถยนต์ถูกทุบทำลาย 7 คัน
เดิมทีการประท้วงที่เริ่มต้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนจุดชนวนมาจากความไม่พอใจของประชาชนในนครเซาเปาโล ต่อการขึ้นค่าโดยสารรถประจำทางจากเดิมราคา 3 เรอัล (คิดเป็นเงินไทยราว 42.2 บาท) เป็น 3.20 เรอัล (ราว 45 บาท)
จากนั้นก็ลุกลามบานปลายสู่การเดินขบวนต่อต้านคอรัปชันทั่วประเทศที่โหมกระพือความโกรธเคืองจากกรณีรัฐบาลมุ่งแต่ทุ่มงบประมาณมหาศาลแก่โครงการก่อสร้างและปรับปรุงสนามต่างๆสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดศึกฟุตบอลโลกปี 2014 และกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016 โดยให้ความใส่ใจต่อโครงการทางสังคมต่างๆเพียงน้อยนิด
สหรัฐต้องการให้จีนส่งตัวนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนกลับสหรัฐ แต่จีนขวาง งานนี้ไม่ง่าย
เอเยนซี - ทำเนียบขาวติดตามจับ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน หลังแฉผ่านคลิปจากฮ่องกง เปิดโปงโครงการลับของเอ็นเอสเอ (NSA) ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้สอดแนมอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ของประชาชน โดยเชื่อว่าน่าจะอยู่ระหว่างขอลี้ภัยในฮ่องกง
ซั่งไห่อีสต์ สื่อออนไลน์จีนรายงาน (11 มิ.ย.) ว่า เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างซีไอเอผู้ออกมาแฉโครงการปริซึม ที่รัฐบาลสหรัฐฯสอดแนมการใช้อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ของประชาชน โดยการถ่ายคลิปวิดีโอจากฮ่องกงเมื่อวันอาทิตย์ (9) เปิดเผยว่า เขาเป็นคนเปิดโปงโครงการลับของเอ็นเอสเอ (NSA) เพราะไม่สามารถทนเห็น และช่วยรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ระบบสอดแนมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ ชื่อว่า “ปริซึม” (PRISM) นี้ รุกล้ำเสรีภาพในอินเทอร์เน็ต และเสรีภาพพื้นฐานของผู้คนทั่วโลก จนฉาวเป็นข่าวใหญ่กระทบความมั่นคงของสหรัฐฯ และหลายฝ่ายคาดกันว่า สโนว์เดนอาจถูกรัฐบาลฮ่องกงเนรเทศ และส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในสหรัฐฯ
รายงานข่าวกล่าวว่า เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ซึ่งกล่าวว่าไม่ต้องการอยู่ในสังคมที่รัฐบาลสามารถทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ได้หลบหนีมาที่ฮ่องกงและจากการสืบสวน โดยมีผู้วิเคราะห์ว่า เขาน่าจะเข้าพักที่โรงแรมมิร่า (Mira Hotel) ในย่านจิมซาจุ่ย เกาลูน ฮ่องกง แต่เมื่อข่าวแพร่ออกไป เดอะเดลี่เทเลกราฟ ซึ่งติดตามข่าวใกล้ชิด ก็ได้รับการยืนยันจากพนักงานซึ่งไม่เผยนาม 2 คนของโรงแรมฯ ว่า "เขาได้ย้ายออกไปแล้ว"
รายงานข่าวกล่าวว่า ณ เวลานี้ ยังไม่สามารถระบุที่อยู่ของ สโนว์เดน ได้ ขณะที่สื่อรัสเซีย ได้รายงานว่า ทางการเครมลินให้ความสนใจและคาดว่า สโนว์เดน น่าจะใช้สิทธิขอลี้ภัย ขณะที่ในประเทศสหรัฐฯ นั้น มีประชาชนจำนวนมากกว่า 30,000 คนได้ร่วมกันเข้าชื่อลงนามสนับสนุนคำร้องขออภัยโทษแก่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผ่านเว็บไซต์ทำเนียบข่าวฯ โดยระบุว่า “เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน คือวีรบุรุษของชาติ และสมควรได้รับการอภัยโทษอย่างสมบูรณ์จากอาชญากรรมใดๆ ที่เขาได้กระทำ หรืออาจจะกระทำเกี่ยวกับการเผยความลับของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA)”
เบน คาร์ลสัน จาก โกลบอลโพสต์ อธิบายว่า ฮ่องกงเป็นที่ๆ เหมาะที่สุดสำหรับการลี้ภัยของสโนว์เดน ซึ่งจะช่วยเขาซื้อเวลาผ่านการต่อรองด้วยบารมีของจีน
ไซมอน ยัง ผู้อำนวยการกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวกับ โกลบอลโพสต์ ว่า กระบวนการยุติธรรมของศาลฮ่องกง คงจะใช้เวลาในการทบทวนขั้นตอนลี้ภัยในกรณีนี้ และระหว่างเวลานั้น ผู้ขอลี้ภัยยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ในฮ่องกงได้ ซึ่งรับประกันได้ว่าเขาจะยังไม่ถูกส่งตัวกลับตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ จนกว่ารัฐบาลจะได้เสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณาคำขอฯ ที่ค่อนข้างจะใช้เวลานาน
รายงานข่าวกล่าวว่า สโนว์เดนอาจได้รับการยื่นทางเลือกลี้ภัยไปยังไอซแลนด์ แต่ที่นั่นน่าจะไม่ใช่ทางเลือกแรกๆ เพราะแม้ว่า จูเลียน อาสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ จะให้คำมั่นว่า สามารถเดินสายล็อบบี้โน้มน้าวให้รัฐบาลไอซแลนด์รับคำร้องขอลี้ภัยไว้ได้ แต่คงจะลำบากใจอยู่ หากผู้ลี้ภัยฯ คนนี้ อาจเป็นต้นเหตุสะเทือนความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
ฮ่องกง/วอชิงตัน (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์) - นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตซีไอเอ ผู้เปิดเผยนโยบายการสอดแนมประชาชนของรัฐบาลสหรัฐ ประกาศต่อสู้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างถึงที่สุด โดยให้ศาลและประชาชนฮ่องกงตัดสินชะตากรรมของตน นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งบนเกาะฮ่องกง ว่า ตนไม่ใช่คนขายชาติหรือวีรบุรุษ เป็นแค่คนธรรมดา และที่หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในฮ่องกง มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงระบบยุติธรรม แต่เพราะต้องการเปิดเผยการก่ออาชญากรรมของรัฐบาลสหรัฐ และต้องการให้ศาลฮ่องกงกับประชาชนฮ่องกงตัดสินชะตากรรมว่าจะคุ้มครองตน หรือส่งตัวให้รัฐบาลสหรัฐจัดการ เพราะตนเชื่อถือในระบบกฎหมายของฮ่องกงที่ให้ความคุ้มครองผู้ที่แฉการกระทำที่ไม่ถูกต้องอย่างเต็มที่
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า แม้สิ่งที่นายสโนว์เดนทำจะทำให้รัฐบาลสหรัฐไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มีการตั้งข้อหา หรือขอตัวนายสโนว์เดนในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน และความพยายามที่จะนำตัวนายสโนว์เดนกลับสหรัฐต้องใช้เวลานานหลายเดือน และที่แน่ๆ ก็คือ รัฐบาลจีนต้องยื่นมือเข้าขัดขวางอย่างแน่นอน ทั้งนี้ นายสโนว์เดนเปิดเผยการสอดแนมประชาชนด้วยการดักฟังโทรศัพท์ แอบเข้าไปดูในอีเมล และล้วงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจากผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายกระทำ ภายใต้รหัสปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “ปริซึม” ซึ่งสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ อ้างว่าโปรแกรมปริซึมเป็นโปรแกรมธรรมดาบนอินเทอร์เน็ต มิใช่โปรแกรมสำหรับการล้วงความลับแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็มีกระแสกดดันอย่างรุนแรงจากทุกฝ่ายให้ยุติการกระทำดังกล่าว และสหภาพคุ้มครองเสรีภาพชาวอเมริกันก็ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลในการกระทำดังกล่าวแล้ว ขณะที่นายคีธ อเล็กซานเดอร์ ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอสเอ) แถลงต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกว่า การที่สหรัฐต้องคอยติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวต่างๆ ของประชาชน มีส่วนช่วยสกัดแนวโน้มการก่อเหตุโจมตีได้หลายสิบครั้ง หลังจากที่มีผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมข้อมูลประชาชนของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งทางเอ็นเอสเอก็พยายามที่จะรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติกับความเป็นส่วนตัวของประชาชน
โอบาม่า กล่อม ปูติน ให้ช่วยยุติสงครามซีเรียไม่สำเร็จ
หลังจากการประชุมนอกรอบแบบตัวต่อตัวเป็นเวลา
2 ชั่วโมง
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ว่า
จุดยืนของทั้งรัสเซียและสหรัฐฯไม่เป็นไปในทางเดียวกันนัก
แต่ต่างก็มีจุดยืนร่วมกันที่ต้องการยุติความรุนแรง
เพื่อหยุดยั้งตัวเลขผู้เสียชีวิต เพื่อสะสางปัญหาด้วยแนวทางสันติ
ที่รวมถึงการหารือที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ ทั้งรัฐบาลซีเรียและฝ่ายต่อต้าน
ต่างไม่มีฝ่ายได้ออกมาให้คำมั่นอย่างเต็มที่ที่จะจัดการประชุมดังกล่าว
ที่มีวัตถุประสงค์ยุติเหตุรุนแรงในซีเรียที่ดำเนินมานานกว่า 2 ปี ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 93,000 คน ส่วนประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ กล่าวยอมรับว่า
แม้ทั้งสองฝ่ายอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ในอันที่จะยุติเหตุนองเลือดในประเทศซีเรีย จึงพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ผ่านกระบวนการเจรจาในทางการเมือง
ถ้าหากเป็นไปได้ และ
จะสั่งการให้ทีมงานติดตามการทำงานเพื่อจัดให้มีการเจรจาที่นครเจนีวา
โดยผู้นำทั้งสอง กล่าวว่าได้เห็นชอบให้มีการหารือกันที่กรุงมอสโก
ในเดือนกันยายนนี้ ประธานาธิบดีโอบามาและประธานาธิบดีปูติน กล่าวว่าได้เห็นชอบให้มีการเจรจาระดับทวิภาคี
ที่กรุงมอสโก ในวันที่ 3-4 ก.ย.นี้
ก่อนที่จะเข้าร่วมประชุมสุดยอด จี20 ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ประเทศรัสเซีย ในระหว่างวันที่ 5-6 ก.ย.นี้
ทำเนียบขาวยังประกาศว่า ผู้นำสหรัฐฯจะแจ้งให้ผู้นำกลุ่มจี8 ชาติอื่นๆทราบว่า สหรัฐฯจะมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก้ผู้ลี้ภัยทั้งในและนอกซีเรีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น