วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม (Nationalism Economics) Attitude Review Serie

ตอนที่ 8 ตรรกะความจริงว่าด้วยเรื่องของแพงและ.......

มุมมองตรรกกะ(ความสมเหตุสมผล)ของผู้ประกอบการ(ผู้บริหารประเทศ)มักจะสวนทางกับตรรกะของผู้บริโภค(ประชาชน) เสมอ

เช่น    ประเด็น สินค้าแพง
มุมมองของผู้บริโภค (ประชาชน)   ราคาสินค้าหมวดอาหารขึ้นราคาตามใจ, ค่าครองชีพสูงขึ้นมาก
มุมมองของผู้ประกอบการ (ผู้บริหารประเทศ)   คิดไปเองหรือเปล่า,  ก็สินค้าไม่ได้ปรับราคามานานแล้ว

ช่น   ประเด็น ต้นทุนพลังงาน (แก๊ส,น้ำมัน) ที่นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
มุมมองของผู้บริโภค (ประชาชน)   ทำไมราคาแก๊ส,น้ำมันขึ้นเอาๆ ในเมื่อราคาตลาดโลกลดลงมามากแล้ว จากจุดสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 140 เหรียญ ลงมาถัวเฉลี่ยอยู่ราว ๆ 80-90 เหรียญ กว่า 3 ปีแล้ว แต่ทำไมราคาน้ำมันในบ้านเราแทบไม่ลดลงเลย อยู่ราว 37-40 บาท/ลิตร เมื่อ 3 ปีที่แล้วยังไง ก็ยังอยู่อย่างนั้น เวลาขึ้นขึ้นทีละ .50-1 บาทโดยทันทีที่ตลาดโลกขึ้น แต่เวลาลงจะชะลอไป 3-4 วัน และปรับลดลงครั้งละ 0.25-0.30 บาท เต็มที่ ก็ประมาณ 0.50 บาท ในสัดส่วนที่ไม่เป็นธรรมเลย

มุมมองของผู้ประกอบการ (ผู้บริหารประเทศ)  เพราะเราต้องนำเข้ามาในต้นทุนราคาตลาดโลก(สิงคโปร์) หรือ เราต้องจ่ายเข้ากองทุนพยุงราคาน้ำมันที่ยังติดลบอยู่  (ทั้งกะปีทั้งกะชาติ) 

ช่น  ประเด็นที่รัฐบาลต้องตั้งเงินงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม
มุมมองของผู้บริโภค (ประชาชน)  ทำไมรัฐบาลต้องตั้งงบไว้ก่อน และตั้งไว้สูง ในขณะที่ยังไม่มีแผนการอะไรเลย แล้วพอหน่วยงานที่มาศึกษาเรื่องน้ำอย่างดี เช่น JICA ทักท้วงก็ไม่ฟังเขา ซึ่งเขามีประสบการณ์มากกว่า อีกทั้งยังมีแผนงานที่ชัดเจนว่าจะใช้งบประมาณที่น้อยกว่ารัฐบาลตั้งไว้ แต่รัฐก็ไม่เอา อีกทั้งมีการล็อคสเป็คการประมูลไว้เพื่อเอื้อให้แก่ผู้รับสัมปทานงานที่เป็นกลุ่มทุนต่างชาติล้วน จนบ.ทีมไทยแลนด์ต้องขอถอนตัวหรือขอบาย

มุมมองของผู้ประกอบการ (ผู้บริหารประเทศ) เราตั้งวงเงินงบประมาณไว้เพื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาด อีกทั้งเรายังมีแผนงานรองรับไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ หากไม่ทำในวงเงินนี้ คือ 3.5 แสนล้านบาท เกรงว่าแผนป้องกันน้ำท่วมอาจไม่เสร็จสมบูรณ์แบบบูรณาการ ตามที่รัฐบาลได้เตรียมไว้ ถึงตอนนั้นความเสียหายใครจะรับผิดชอบ  (มีหางเสียงแบบขู่สำทับด้วย) 

ช่น  ประเด็นการตั้งเงินงบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่ง 1 ในนั้นก็คือ การสร้างรถไฟความเร็วสูง ไปเชียงใหม่ ,โคราช ,หัวหิน

มุมมองของผู้บริโภค (ประชาชน)  ทำไมรัฐบาลจะต้องสร้างหนี้ผูกพันระยะยาวขนาดนั้น และมีความสำคัญจำเป็นขนาดไหนกัน ที่ประเทศเราต้องมีรถไฟความเร็วสูง จริงๆ รถไฟรางคู่ทั่วประเทศคือสิ่งจำเป็นมากกว่า แต่รัฐบาลเลือกที่จะให้ความสำคัญเป็นอันดับรองลงไป

มุมมองของผู้ประกอบการ (ผู้บริหารประเทศ) สิ่งที่ทำให้รัฐต้องตั้งงบประมาณถึง 2.2 ล้านล้านบาท เป็นงบผูกพันระยะยาว เพราะประเทศเราขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบอภิมหาโปรเจ็คท์มานานแล้ว ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง หากไม่รีบเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญรองรับไว้ เกรงว่าเมื่อเปิด AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราจะเป็นประเทศที่ล้าหลัง และสู้คู่แข่งไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้

ทีนี้มาดูงบการเงินของบริษัท ปตท.จก.(มหาชน) กันว่า มันสะท้อนความจริงอะไรบ้างต่อคนไทยทั้งประเทศ มาดูกัน

 

 

(หน่วย: ล้านบาท)
งวดงบการเงินบมจ.PTT
ณ วันที่
งบปี 52
31/12/2552
งบปี 53
31/12/2553
งบปี 54
31/12/2554
งบปี 55
31/12/2555
บัญชีทางการเงินที่สำคัญ
สินทรัพย์รวม
1,103,589.72
1,249,147.52
1,402,412.09
1,631,319.94
หนี้สินรวม
605,499.13
677,834.94
758,463.52
899,655.89
ส่วนของผู้ถือหุ้น
429,179.94
490,925.05
555,920.21
605,783.87
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว
28,337.85
28,490.42
28,563.00
28,563.00
รายได้รวม
1,622,078.05
1,943,858.63
2,475,494.57
2,845,717.79
กำไรสุทธิ
59,547.59
83,087.72
105,296.41
104,665.81
กำไรต่อหุ้น (บาท)
21.06
29.26
36.91
36.64
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
ROA(%)
11.69
13.18
14.07
12.65
ROE(%)
14.65
18.06
20.12
18.02
อัตรากำไรสุทธิ(%)
3.67
4.27
4.25
3.68

กำไรที่เพิ่มขึ้นสูงมาก เท่ากับ ต้นทุน/ค่าครองชีพที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นของประชาชนไทยทั้งประเทศ ยิ่ง กลุ่มบริษัทในเครือปตท.กำไรมากขึ้นเท่าไร ความมั่งคั่งในกระเป๋าเงินของคนไทยก็แฟบลงเท่านั้น รวมถึงความมั่งคั่งของประเทศด้วย

 

(หน่วย: ล้านบาท)
งวดงบการเงินบมจ.PTTGC
ณ วันที่
งบปี 54
31/12/2554
งบปี 55
31/12/2555
บัญชีทางการเงินที่สำคัญ
สินทรัพย์รวม
372,966.66
436,061.97
หนี้สินรวม
164,512.49
198,017.38
ส่วนของผู้ถือหุ้น
198,504.26
222,432.62
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว
45,061.13
45,088.49
รายได้รวม
106,775.47
572,017.56
กำไรสุทธิ
2,113.44
34,001.27
กำไรต่อหุ้น (บาท)
0.47
7.54
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
ROA(%)
0.89
10.43
ROE(%)
1.06
16.16
อัตรากำไรสุทธิ(%)
1.98
5.94

 

หมายเหตุ ตามข้อมูลของคุณรสนา,มล.กรกสิวัฒน์,อ.ประสาท,คุณอิฐบูรณ์,พ.ท.รัฐเขต บอกว่าบริษัทนี้แหละที่บริโภคก๊าซในสัดส่วนที่มากกว่าครัวเรือน และมากกว่าพวกที่ใช้ก๊าซสำหรับรถยนต์ พาหนะ แต่ไม่เคยจ่ายช่วยเหลือเข้ากองทุนพยุงราคาน้ำมันเลย อีกทั้งจ่ายซื้อก๊าซในต้นทุนที่ต่ำกว่าภาคครัวเรือน แต่เวลาปริมาณการใช้ตัวเองเริ่มไม่พอ ก็ให้มาขึ้นราคาเอากลับประชาชน ท่านผู้อ่านลองดูตัวเลขในช่องกำไรสุทธิ แค่ปีเดียวมันกำไรก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่ บนคราบหยาดเหงื่อและน้ำตาของประชาชนชาวไทย นี่หรือบริษัทธรรมาภิบาลในตลาดหลักทรัพย์ฯ  

ต้นทุนพลังงาน มันเข้าไปอยู่ในส่วนใดของราคาสินค้าที่เราซื้อเราจ่ายกันบ้าง
ราคาสินค้าในฟู้ดคอร์ทตามห้างที่เรากินนั้น  มีส่วนของต้นทุนแอบแฝงอยู่ด้วย ดังนี้

ราคาอาหารชามละ/จานละ 50 บาท   ประกอบด้วยต้นทุนวัตถุดิบหรือตัวสินค้า 10-15 บาท ต้นทุนค่าเช่าที่ 20 บาท กำไรเท่ากับ 20-25 บาท (กำไรนี้ ร้านค้าต้องแบ่งคืนให้ห้างอีก 30-40%) ต้นทุนของวัตถุดิบหรือสินค้านั้นเป็นทั้งต้นทุนคงที่หรือต้นทุนผันแปร ขึ้นอยู่กับราคาสินค้ามีการปรับตัวขึ้นหรือไม่ ซึ่งมีตัวแปรอยู่ที่ต้นทุนราคาพลังงานและค่าขนส่งซึ่งเป็นต้นตอของการขยับราคา ส่วนต้นทุนค่าเช่าที่ เป็นต้นทุนคงที่ แต่ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนต้นทุนขึ้นตามระยะเวลาหรือเงื่อนไขของทางห้างด้วย ดังนั้น การที่ราคาสินค้าในฟู้ดคอร์ทจะปรับราคาขึ้นมานั้นเป็นเพียงผลกระทบลูกโซ่ หรือการผลักภาระจากต้นทุนพลังงาน หรือก็คือต้นทุนวัตถุดิบบวกกับต้นทุนค่าเช่าที่ ที่บางครั้งมันขยับขึ้นพร้อมๆ กัน ดังเช่นสภาพปัจจุบันที่เห็นๆ กันอยู่ ซึ่งต้องเห็นใจร้านค้าด้วยที่ส่วนแบ่งรายได้จะต้องลดลงหากไม่ปรับราคาตาม เพราะมันจะแปรผกผันกับปริมาณการกินและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปด้วย ซึ่งในส่วนของสินค้าในฟู้ดคอร์ทนั้นยังนับว่ามีผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับร้านค้าที่อยู่นอกห้าง เพราะเนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามากินมาช็อปในห้างนั้น เรียกได้ว่ามีกำลังซื้ออยู่พอสมควร อีกทั้งยังเตรียมใจรับกับต้นทุนราคาสินค้าที่จะขยับขึ้นไปตามภาวะเศรษฐกิจ แต่กับร้านค้าข้าวแกงภายนอกโดยทั่วไปนั้นจะเป็นดัชนีชี้วัดได้ดีกว่า หากต้องการรับทราบผลกระทบจากสินค้าราคา ขึ้นราคา สินค้าแพง หรือสินค้าถูก ต้องดูตามท้องตลาดโดยทั่วไป หรือตลาดนัดคนทำงานออฟฟิซ จะเป็นตัววัดได้ดีกว่า

คนไทยทำใจรับข่าวดี สินค้าทุกหมวดจ่อปรับราคานับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้

ค่าแก๊ส นำร่องปรับราคา (Grand Openning)





เปิดแผนปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีใหม่ เตรียมขยับราคาสะท้อนตลาดโลกเป็น 36 บาทต่อ กก.ทุกภาคส่วน ส่งผลให้ขนส่งจะขยับเดือนละ 1.20 บาท/กก. และอุตสาหกรรมเดือนละ 0.50 บ./กก. จนครบในเดือน ธ.ค. 56 ส่วนภาคครัวเรือนยึดราคาโรงแยกฯ ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อ กก.จนครบใน ธ.ค. 57 พร้อมงัดมาตรการอุ้มผู้มีรายได้และร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย รอสรุปรายละเอียดก่อนชง เพ้งประกาศ

แหล่งข่าวจากสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนพ.ได้มีการจัดทำข้อสรุปถึงแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีสำหรับทุกภาคส่วนเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ประมาณการราคาตลาดโลก (CP) ปี 2556-2557 เฉลี่ยที่ 900 เหรียญต่อตัน ทำให้ราคาแอลพีจีที่แท้จริงทุกส่วนจะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อ กก. ทั้งนี้ก็เพื่อลดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บรายได้หลักจากผู้ใช้น้ำมัน และทำให้ราคาใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการไหลออกโดยเฉพาะเมื่อก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558

สำหรับแนวทางการปรับภาคขนส่งจะขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1.20 บาทต่อ กก. และภาคอุตฯ ขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อ กก. จนไปอยู่ที่ 36 บาทในเดือน ธ.ค. 56 ซึ่งขณะนี้แอลพีจีขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อ กก. อุตสาหกรรมอยู่ที่ 30.13 บาทต่อ กก. ส่วนภาคครัวเรือนจะยึดราคาสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 550 เหรียญต่อตันหรือ 24.82 บาทต่อ กก. แต่มีเป้าหมายที่จะให้สะท้อนราคาตลาดโลกที่ 36 บาทต่อ กก.ใน ธ.ค. 2557 หรือใช้เวลาทยอยปรับแต่ละเดือนจนครบ 2 ปี หรือเฉลี่ยปรับขึ้นเดือนละประมาณ 0.50 บาทต่อ กก. จากขณะนี้ราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อ กก.

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้รายงานแนวทางต่อนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงานคนใหม่ ซึ่งได้มอบหมายให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนและทำรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจนถึงกลุ่มผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือเมื่อต้องปรับขึ้นแอลพีจีภาคครัวเรือน โดยเน้นผู้มีรายได้ต่ำกับร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รวมถึงแนวทางการดำเนินงานว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือส่วนลดอย่างไรแน่ที่จะทำให้การช่วยเหลือถึงมือประชาชนจริงและเกิดประโยชน์สูงสุด

คงจะต้องกลับมาทำข้อมูลเพิ่มเพราะที่มีอยู่ไม่ชัดเจน โดยขณะนี้ยึดจากฐานข้อมูลผู้มีรายได้ต่ำจากการใช้ไฟฟ้าและร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหารขนาดเล็กจากกระทรวงสาธารณสุข โดยข้อมูลใช้ไฟฟรีเขตเมืองรวมกับรายได้ครัวเรือนในชนบทพบว่าสูงสุดกลุ่มนี้จะมี 6 ล้านครัวเรือน ส่วนร้านหาบเร่ แผงลอยรวมจะมีประมาณ 2 แสนกว่าราย ทั้งหมดนี้คงจะต้องนำมาพิจารณาว่าจะช่วยอย่างไรแหล่งข่าวกล่าว

นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าแอลพีจี กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการที่จะช่วยเหลือคนมีรายได้ต่ำ แต่ยอมรับว่าขั้นตอนไม่ง่ายควรจะเปิดให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ มาลงทะเบียน และหากรัฐจะทำเป็นบัตรส่วนลดยอมรับว่าร้านค้าก็จะต้องลงทุนไปทำเครื่องรูดบัตรอีก และประชาชนส่วนใหญ่ก็สั่งก๊าซฯ ไปส่งไม่ได้ซื้อตรง รัฐควรจะมีเวทีระดมความเห็นเรื่องนี้เพื่อให้การปฏิบัติออกมาได้ผลดีต่อทุกฝ่าย

นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า เห็นว่ามาตรการบัตรส่วนลดแอลพีจีถ้าจะทำเหมือนบัตรพลังงานเอ็นจีวีก็ทำได้เพราะระบบมีอยู่แล้ว หรืออีกแนวทางก็คือ อาจจะจ่ายเงินเข้าบัญชีเหมือนกับเบี้ยยังชีพคนชรา


 
ราคาค่าบริการโทรศัพท์มือถือไม่ลดราคา ภายหลังได้รับไลเซ่นส์ 3G,4G อ้างเน้นการปรับปรุงบริการแทน

าคาบัตรชมภาพยนตร์ตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำ  ปรับเนียนๆ ไปหลายรอบแล้ว และยังไม่หยุด

ดีเดย์มิ.ย.เครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้น5-10% แอร์-เครื่องซักผ้า-ตู้เย็นอ่วมต้นทุนพุ่ง ทั้งทองแดง ค่าแรง ขนส่ง

เครื่องใช้ไฟฟ้า 1.7 แสนล้านบาทแบกต้นทุนหลังแอ่น ค่ายยักษ์เสียงแตกปรับ-ไม่ปรับขึ้นราคา หวั่นของแพงลูกค้าเบรกจับจ่าย ล่าสุดค่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่นสุดอั้น ประกาศนำร่องปรับราคาสินค้า 5-10% ทั้งแอร์-เครื่องซักผ้า-ตู้เย็น ดีเดย์มิถุนายน พร้อมส่งสินค้ารุ่นใหม่-ราคาใหม่ออกวางตลาด ชี้ต้นทุนทองแดง-ค่าแรง-ขนส่งพุ่งต่อเนื่อง ด้านฟาก "เกาหลี" ยังชั่งใจรอดูสถานการณ์
ราคาตั๋วโดยสารบีทีเอส,เอ็มอาร์ที ปรับราคา ทั้งที่เป็นรถไฟฟ้า ที่ไม่ใช้น้ำมัน แต่ก็มีต้นทุนพลังงาน และด้านอื่นๆ เป็นตัวแปรด้วยเช่นกัน

อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2555 - 2 กรกฎาคม 2557 BMCL ได้ทำการปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ใหม่ แบ่งตามชนิดบัตรโดยสาร คือ บัตรเติมเงินและเหรียญโดยสาร ดังนี้
1. อัตราค่าโดยสารสำหรับเหรียญโดยสาร
- บุคคลทั่วไป เริ่มต้น 16 บาท สูงสุด 40 บาท
- เด็ก/ผู้สูงอายุ เริ่มต้น 8 บาท สูงสุด 20 บาท
2. อัตราค่าโดยสารสำหรับบัตรเติมเงิน
- บุคคลทั่วไป เริ่มต้น 16 บาทสูงสุด 40 บาท
- นักเรียน นักศึกษา เริ่มต้น 14 บาท สูงสุด 36 บาท
- เด็ก/ผู้สูงอายุ เริ่มต้น 8 บาท สูงสุด 20 บาท
 

เหรียญโดยสาร
จำนวนสถานี
0 - 1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12-17
เด็ก/ผู้สูงอายุ
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
บุคคลทั่วไป
16
18
20
22
25
27
29
31
34
36
38
40
บัตรเติมเงิน
จำนวนสถานี
0 - 1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12-17
บัตรเติมเงิน นักเรียน นักศึกษา
14
16
18
20
23
24
26
28
31
32
34
36
บัตรเติมเงินเด็ก/ผู้สูงอายุ
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
บัตรเติมเงิน บุคคลทั่วไป และบัตรเติมเงินธุรกิจ
16
18
20
22
25
27
29
31
34
36
38
40
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) จะปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส โปรโมชั่นเที่ยวเดินทางสำหรับเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไปอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสะพานตากสิน โดยราคาใหม่จะเริ่มที่15-42 บาท ในส่วนของเส้นทางอื่นนอกเหนือจากนี้เป็นไปตามประกาศราคาของกรุงเทพมหานคร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป
การปรับราคาค่าโดยสารครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 นับจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้ามาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยครั้งแรกปรับจาก 10 – 40 บาทมาเป็น 15 – 40 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2549 นับเป็นเวลากว่า 6 ปีที่บริษัทฯ มิได้มีการปรับราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บ
ค่าโดยสารที่จะปรับเป็นดังต่อไปนี้
ค่าโดยสาร 15 บาท ต่อ 0-1 สถานี
ค่าโดยสาร 22 บาท ต่อ 2 สถานี
ค่าโดยสาร 25 บาท ต่อ 3 สถานี
ค่าโดยสาร 28 บาท ต่อ 4 สถานี
ค่าโดยสาร 31 บาท ต่อ 5 สถานี
ค่าโดยสาร 34 บาท ต่อ 6 สถานี
ค่าโดยสาร 37 บาท ต่อ 7 สถานี
ค่าโดยสาร 42 บาท ต่อ 8 สถานีขึ้นไป
ทั้งนี้ สำหรับผู้ใช้บัตรแรบบิท หรือบัตรบีทีเอส สมาร์ทพาส ประเภทเติมเงิน ยังคงใช้อัตราค่าโดยสารเดิมจนถึงสิ้นปีนี้
 
 
 

 
พอผู้สื่อข่าวเอาไมค์ไปจ่อปากผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นว่าด้วยของแพง สินค้าแพง

มุมมองของผู้บริโภค (ประชาชน)  บรรดาท่านรัฐมนตรี อธิบดีทั้งหลายเคยไปเดินสำรวจดูตลาดกันบ้างหรือเปล่า ว่าของมันแพงไปถึงไหนแล้ว หรือว่าเป็นเพราะพวกคุณไม่เดือดร้อน กินไวน์ ช็อปแอร์เมส ขับลัมโบกินี่เป็นเรื่องปกติ

มุมมองของผู้ประกอบการ (ผู้บริหารประเทศ) เรื่องนี้ ผู้สื่อข่าว สื่อก็หยุดพูด อย่าทำข่าวเรื่องนี้ให้มันมากนักสิ ทำไมต้องพูดถึงเรื่องนี้ทุกวัน  คนมันก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา  ตรรกกะเดียวกับเรื่องไฟใต้  ไม่อยากให้ปัญหานี้มันใหญ่โต ก็อย่าทำข่าวมันเสียสิ  ปัญหามันก็จบ   ของแพงก็หยุดพูดว่ามันแพงเสียที เดี๋ยวของมันก็ไม่แพงไปเอง  

 ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทแข็ง

เห็นถกเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร แต่ก็หาทางแก้ไขอะไรไม่ได้เสียที ผู้เขียนคิดว่าผู้ว่าฯแบ็งค์ชาติทำถูกแล้ว ถามว่าจะให้แก้อย่างไร ในเมื่อปัจจัยมันไม่ได้มีแต่เพียงภายในประเทศเท่านั้น เราไม่สามารถควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ เว้นแต่ออกมาตรการมาจำกัดปริมาณเงินไหลเข้าออก ซึ่งก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย มาตรการหนักเบา ต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบให้ดี ไม่ด่วนผลีผลามทำไปเหมือนยุคหม่อมอุ๋ย เป็นผู้ว่าฯ ทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว และก็ไม่ได้ผลด้วย แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องปัญหาค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อน เป็นเรื่องของคนกลุ่มเดียวที่อยู่ยอดบนของสังคม คือเป็นพวกนักธุรกิจที่ทำธุรกิจส่งออก นำเข้า หรืออุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน จะเป็นจะตายกันให้ได้ เห็นสภาอุตสาหกรรมร่วมกับรมว.คลังไปกดดันผู้ว่าฯ แบ็งค์ชาติให้ลดดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง มันช่างเหมือนดูลิเกปาหี่สิ้นดี เพราะว่าดอกเบี้ยไม่ใช่ตัวแปรเดียวที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน เพราะถ้าใช่ เกิดว่าเงินบาทเล่นแข็งไปเรื่อยๆ แบ็งค์ชาติจำต้องลดดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ด้วยสิ ซึ่งการลดดอกเบี้ยมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ และฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ใครๆ ก็รู้ ลองช่างน้ำหนักดู ว่าผลดีผลเสีย หากทำเช่นนั้นเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงิน แต่กลับไปสร้างปัญหาใหม่คือทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น การเก็งกำไรในภาคอสังหาและตลาดทุนเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นลิงแก้แหไปอีก  ทีเรื่องปัญหาปากท้อง ของแพง เป็นเรื่องผลกระทบในวงกว้างและทุกระดับชั้นเดือดร้อนหมด ทำไมไม่มีคนไปกดดัน รมว.พาณิชย์ดูบ้างหล่ะว่าแก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนได้บ้าง (ไหนบอกว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกเข้ามาตั้ง 15 ล้านเสียง ช่วยอะไรคนรากหญ้าได้มั๊ย เห็นมีแต่สร้างให้คนจนเป็นหนี้) ช่วยเหลือเป็นครั้งคราว ทำแบบไฟไหม้ฟาง พอมีกระแสกดดันจากสังคมก็ออกมาตรการ ร้านธงฟ้า ร้านถูกใจ ออกมาที แต่ไม่เห็นจะบรรเทาความเดือดร้อนอะไรได้เลย นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศและเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท กลับกลายเป็นตัวเร่งให้ค่าครองชีพ และต้นทุนสินค้าถีบตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีมาตรการป้องกัน หรือตั้งรับกับปัญหาหรือผลกระทบตามมาเลย   

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น