โหด เลว ดี ต้นตระกูลโหด ( A Better Tomorrow)
ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในเมืองไทยครั้งแรก มีการเปิดตัวยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น เพราะกระแสทำรายได้ถล่มทลายในประเทศบ้านเกิดของตนที่ฮ่องกงนั้น กลายเป็นสถิติในตอนนั้น ทำให้พอมาเข้าฉายที่เมืองไทยก็สร้างความฮือฮาได้มากพอควร จำได้ว่าที่โรงภาพยนตร์ลิโด้ มีโปสเตอร์ คัทเอ้าท์ใหญ่ติดทั่วทั้งโรง มีการแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่ามีคาแรกเตอร์แต่ละตัวละครชื่ออะไรกันบ้าง นำแสดงโดย 3 ซุปเปอร์สตาร์ของฮ่องกง อย่าง เฮียตี้หลุง เฮียโจวเหวินฟะ และเฮียเลสลี่จาง (สมัยนั้นยังละอ่อนอยู่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) คือชื่อชั้น ของ 3 นักแสดงนำก็ถือเป็นจุดขายอยู่แล้ว ยังไม่นับพล็อตเรื่องที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวดวงมาเฟีย เจ้าพ่อ ที่มีฉากแอ็คชั่นสุดอลังการ (ถือเป็นฉากคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นตำนานของหนังเจ้าพ่อขาโหด เป็นต้นแบบของหนังเจ้าพ่อมาถึงยุคปัจจุบัน) ในช่วงเวลานั้นความดังของเฮียโจวในบ้านเราถือว่ายังเป็นแม่เหล็กพอควร เพราะกระแสความดังจากทีวีซีรี่ย์อย่างเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เทพบุตรชาวดิน ยังคงครุกรุ่นอยู่ ส่วนเฮียเลสลี่จางนั้นเป็นสุดหล่อขวัญใจสาวๆ จากทั้งทีวีซี่รี่ย์สุดคลาสสิกอย่างนักสู้ผู้พิชิต และก็ภ.เรื่องโปเยโปโลเย ทำให้ความดังของพี่แกดังไปทั่วทั้งเอเชียทีเดียว และหนังเรื่องนี้ยังนับเป็นหนังในตระกูลโหด เจ้าพ่อมาเฟีย แก๊งค์มาเฟีย ล้างแค้นแก้แค้น เรื่องแรกๆ ก็ได้ที่สร้างกระแส และทำเงินได้ทั่วเอเชีย และยังเป็นหนังสร้างชื่อให้ผู้กำกับทั้ง 2 คน คือ ฉีเคอะ และจอห์นวู (ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เคยทำงานกันที่ชอว์บราเธอร์มาก่อน) ชื่อเสียงและรายได้ทำให้หนังมีการสร้างภาคต่อตามกันออกมาถึง 3 ภาค (ภาคแรกนั้นฉีเคอะเขียนบทและเป็นโปรดิวเซอร์และให้จอห์นวูกำกับ แต่ภาค 2 เป็นฝีมือการกำกับและเขียนบทของจอห์นวูอย่างเต็มตัว)
ออกฉายปี 1986 หรือ ฉายในไทยประมาณปี พ.ศ.2530 เป็นหนังที่มีโครงสร้างเดิมเป็นหนังเกี่ยวกับเจ้าพ่อมาเฟีย แก็งค์สเตอร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวใหม่ จริงๆก็เคยมีการสร้างแนวนี้มาก่อนหน้านี้มากแล้ว ครั้งนี้เป็นการตีความใหม่ของ 2 ผู้กำกับ ซึ่งยังไม่เคยมีใครสร้างฉากแอ็คชั่นได้มันส์ รุนแรงในขณะเดียวกันก็มีท่วงท่าสวยงามและเท่ห์ จนเป็นภาพ่จำที่แปลกใหม่ ไม่เคยเห็นในหนังฮ่องกงเรื่องอื่นๆ มาก่อน และเมื่อฉีเคอะกับจอห์นวูได้มาร่วมมือกันสร้างปรากฏการณ์นี้ขึ้น จนทำให้สร้างสถิติใหม่ของรายได้อย่างถล่มทลายในยุคนั้น
เรื่องย่อ เปิดตัวด้วยตี้หลุงในบทของอาเห่า อาชญากรใหญ่ในระดับแถวหน้าของฮ่องกง เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายหลายอย่าง หลักๆ คือ ค้าแบ็งค์ปลอมข้ามชาติ พอเมื่อวันนึง น้องชายคนนึงที่เขาส่งเสียจนเรียนจบ ก็คือ อาเฉียน (รับบทโดยเลสลี่จาง) กำลังจะสอบได้เป็นตำรวจกองปราบคนใหม่ แต่เมื่อเรื่องรู้ถึงอาเห่า ซึ่งยังจำได้ว่าพ่อเคยสอนไว้ว่า ไม่อยากให้ลูกๆ ในครอบครัวมีฝ่ายนึงฝ่ายใด ตกอยู่ในที่นั่งตำรวจจับผู้ร้าย ทำให้อาเห่าต้องการจะวางมือ ล้างมือจากวงการ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ คนที่อยู่ในแวดวงการมาเฟียไม่ต้องการให้ใครเอาตัวรอดจากวงการ เขาจึงถูกหักหลังจากเพื่อนฝูงในวงการ เขาถูกแผนชั่วให้เป็นเหยื่อล่อให้ตำรวจมาจับ จนต้องติดคุกในไต้หวันถึง 3 ปี
ส่วนอาเฉียน ชีวิตในวัยเริ่มต้นของเขายังเบิกบานและสดใส กระตือรือร้นตามวัยหนุ่ม พี่ชายกับน้องชายคอยห่วงใยกันเสมอ มักหยอกล้อราวกับยังเป็นเด็กเมื่อพบเจอกัน แต่พอเขาล่วงรู้ความจริงว่าพี่ชายเป็นอาชญากร และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ส่งเสียเขาเรียนจนโตนั้นมาจากเงินที่ผิดกฏหมาย นับแต่นั้นมา อาเฉียนได้กลายเป็นคนละคน เขาเก็บกดอยู่กับความคิดที่ชิงชัง ยืนยันว่าจะไม่มีวันให้อภัยให้พี่ชาย การตายของพ่อ และหมดทางเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน อาเฉียนจึงโทษว่าเป็นความผิดของพี่ชายตนก็คืออาเห่า
เสี่ยวหม่า (รับบทโดยโจวเหวินฟะ) เขาเป็นมิตรร่วมเป็นร่วมตาย เปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบานของอาเห่า เห็นใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเห็นอีกคนเสมอ เปรียบเสมือนเงาตามตัวซึ่งกันและกัน บุคลิกเป็นคนขี้เล่น แต่มีลูกบ้าเสมอ มีความเป็นพี่เป็นน้อง รักเพื่อนพ้องและบริวารและมีประสบการณ์โชกโชน คอยสั่งสอนน้องอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาชาง ก่อนที่จะรุ่งเรืองเป็นใหญ่ เสี่ยวหม่าเล่าให้นักเลงรุ่นหลังฟัง เขาเคยถูกอันธพาลรุ่นใหญ่เอาปืนขู่จนฉี่ราดรดกางเกง นับแต่นั้นมาเสี่ยวหม่าให้คำมั่นกับตนเองว่าจะไม่ยอมให้ใครเอาปืนมาจ่อกบาลอีกเป็นอันขาด เมื่อได้ข่าวว่าเพื่อนรักของตนถูกหักหลัง เขาจึงไม่รีรอ ลงมือแก้แค้นในทันที เสี่ยวหม่าบุกเดี่ยว ยิงทิ้งพวกมันตายทั้งยวง แต่ก็ต้องแลกด้วยขาขวาของตัว กลายเป็นคนพิการ หมดสภาพของนักเลงและหายสาบสูญออกจากวงการมาเฟียไป
จอห์นวู อาศัยพล็อตจากหนังจีนกำลังภายในมาสร้างเป็นโครงเรื่องหลัก โดยให้วงการมาเฟียเปรียบเหมือนจอมยุทธ์ในแวดวงยุทธจักร การรบราฆ่าฟันเป็นธรรมชาติของเหล่าจอมยุทธ์ในนิยายจีน เพียงแต่เปลี่ยนจากเครื่องแต่งกายจีนโบราณมาเป็นมาเฟียสวมสูทสากล เช่นเดียวกับ โจรซิซิเลียน เปลี่ยนจากถือกระบี่มาเป็นพกปืนออโตเมติก ในความรันทดของชะตากรรม ชีวิตที่มีขึ้นมีลง ภายหลังจากที่อาเห่าออกจากคุก เขาหวังเปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นคนใหม่ เหมือนสุจริตชนโดยทั่วไป เลือกใช้ชีวิตด้วยความอดทน และรอคอยโชควาสนา ผู้กำกับจอห์น วู ใช้ประเด็นเดียวกับจอมยุทธ์คนนึงที่ต้องการล้างมือแขวนกระบี่ แต่ถูกบีบบังคับให้ต้องพัวพันกับสิ่งเลวทรามอีกครั้ง หมดทางจะล้างมือหรือเก็บกระบี่เข้าฝัก อาเห่าหนีการฆ่าฟันไปไม่พ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้น้องชายเข้าใจ อีกทั้งสภาพของเสี่ยวหม่าที่ต้องกลายเป็นคนขาเป๋กะโผลกกะเผลก ต้องคอยเช็ดรถแลกเศษเงินจากอาชาง อดีตลูกน้องที่ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าปีศาจ มันกำลังคิดจะกำจัดคนสำคัญของอาเห่าทั้งคู่ เขาจึงจำตัดสินใจร่วมมือตามคำขอร้องของเสี่ยวหม่า บุกชิงแม่พิมพ์ธนบัตร เพื่อแลกกับเงิน 3 ล้านจากอาชาง และจับกุมมันให้กับน้องชายโดยหลักฐานที่ชิงมา จากนั้นอาเห่า กับเสี่ยวหม่าตั้งใจจะหนีไปเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
การแสดงรุกเร้าอารมณ์ของนักแสดงทั้งหมด ลีลาแอ็คชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างความน่าประทับใจไว้ในหลายฉาก ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด คือ ฉากที่เสี่ยวหม่าบุกล้างแค้นแทนอาเห่า (ฉากยิงปืน 2 มือของเฮียโจว การเดินแบบสโลว์โมชั่นเท่ห์ๆ ปากคาบบุหรี่ การพลิกตัวยิง กระโดดยิง นอนยิงในท่าต่างๆ คล้ายๆ ฉากในเรื่องแม็ทริกซ์ ที่นีโอบุกเดี่ยวพร้อมด้วยทรีนิตี้ไปช่วยเหลือมอร์เฟียส แม็ทริกซ์น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากโหด เลว ดี มากกว่า เนื่องจากมาทีหลัง
จอห์นวู (เสียงบรรยาย) เปิดซีนด้วยเสียงเพลงจีนร่าเริงในสถานประเวณีค้ากาม ใช้ภาพช้ากำหนดความเป็นไป เสี่ยวหม่าเดินโอ้โลมมากับโสเภณี เสื้อโค้ชยาวพลิ้วไหวไปตามทางเดิน มือหนึ่งเล้าโลมหญิงสาว อีกข้างซ่อนกระบอกปืนตามกระถางข้างทาง เมื่อปล่อยเธอเดินผละไป ยิ้มระรื่นยียวนเปลี่ยนเป็นใบหน้าแข็งกร้าว เพลงคลอเคลียร่าเริงจมหาย ระดับความเร็วของภาพสู่ปกติ เขาชักปืนขึ้นทั้ง 2 กระบอกระดมกระสุนใส่คู่อริ สลับกับลีลาเต้นเร่าของเหยื่อเนิบนาบ ราวกับกำลังร่ายรำอยู่กลางเพลงปืน ส่วนอีกฉากที่นับเป็นกลเม็ดเด็ดของเรื่อง กระตุกความรู้สึกผู้ชมได้ชะงักงันได้ในยุคนั้น คือเหตุการณ์ในช่วงท้ายเมื่อทั้ง 3 ถูกลูกน้องอาชาง ไล่จนมาจนมุมอยู่ตรงท่าเรือ ขณะเสี่ยวหม่ากำลังตะคอกเตือนอาเฉียน ถึงความรักของพี่ชายไม่ทันจบคำ เลือดก็ทะลักออกจากหัวเสี่ยวหม่ากระเซ็นเปื้อนเต็มหน้าอาเฉียน ก่อนจะถูกยิงซ้ำให้ดิ้นพลาดด้วยพายุห่ากระสุน และล้มลงตายคาที่!
โจวเหวินฟะกลับมาแจ้งเกิดใหม่ได้อีกหนกับบทเสี่ยวหม่า ความสำเร็จส่งให้เขาขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าสุดของดาราจีน ลักษณะบ้าดีเดือดและยิ้มเจ้าเล่ห์ กลายเป็นบุคลิกใหม่ของโจวเหวินฟะ ผิดจากบทอันธพาลคนดีในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ผลงานสร้างชื่อเดิม ภายหลังจากความสำเร็จของหนังชุดโหด เลว ดี นี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของหนังเลียนแบบคล้ายๆกันแนวนี้ ออกมาอีกเป็น 100 เรื่องอาทิ ต้นตระกูลโหด,บริษัทโหด, โหดต้องโทษดวง,โหดตัดโหด, โหดยกเมือง,โหดตามพินัยกรรม ,โหดข้ามรุ่น, โหดแค่แหลก, โหดผสมโหด,โหด ดิบ ดิบ,โหดทะลุแดด,โหดกระฉูด,บัญชีโหดปิดไม่ลง ฯลฯ
และจากปริมาณของหนังแนวนี้ที่ออกมาประเดประดังฉาย เป็นการส่งออกสินค้าความรุนแรงของอุตสาหกรรมฮ่องกง จนถึงจุดนึงเมื่อไม่มีแนวหนังใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแนวไปเป็นผู้หญิงข้าฯอยู่พักนึงแต่ก็ยังไม่สามารถฉีกแนวจากแก็งค์มาเฟียได้ จนในที่สุดอุตสาหกรรมหนังฮ่องกงก็ถึงจุดตกต่ำสุดขีดในยุคปลาย 90’s ต่อถึงยุค 2000
ประวัติและผลงานผู้กำกับ
สฺวี เค่อ หรือที่คนไทยเรียก “ฉีเคอะ” เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 ที่ไซ่ง่อน เวียดนามใต้ เมื่ออายุได้ 13 ปี ครอบครัวได้เดินทางมาตั้งรกรากที่ฮ่องกง ฉีเคอะมีความสนใจในศาสตร์ด้านภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก ๆ โดยร่วมกันสร้างภาพยนตร์ขนาด 8 มิลลิเมตร กับเพื่อน
ฉีเคอะ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ในปี ค.ศ. 1975 เมื่อจบการศึกษาแล้วจึงเริ่มงานในวงการภาพยนตร์ฮ่องกงอย่างแท้จริง จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "ผู้กำกับรุ่นที่ 4" แต่ผลงานเริ่มต้นของฉีเคอะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยเขาเริ่มจากการกำกับละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในแนวตลกและกังฟู
จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก จาก A Better Tomorrow เมื่อปี ค.ศ. 1986 จากการกำกับของจอห์น วู โดยฉีเคอะเป็นผู้อำนวยการสร้าง
จากนั้นมา ชื่อของฉีเคอะ ก็เสมือนเครื่องการันตีคุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ จนกระทั่งในช่วงที่ประสบความสำเร็จและในชื่อเสียงอยู่นั้น การโฆษณาภาพยนตร์ในประเทศไทยต้องมีคำลงท้ายว่า "ฉีเคอะ กำกับ!!" ซึ่งภาพยนตร์ที่เป็นผลงานของฉีเคอะ ได้แก่ The Sword Man ทั้งภาคแรก, ภาคที่ 2 และภาคที่ 3 (เฉพาะภาคแรก ฉีเคอะไม่ได้กำกับ แต่เป็นผู้อำนวยการสร้าง แต่ทว่าคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าฉีเคอะเป็นผู้กำกับ), ภาพยนตร์ชุด Once Upon a Time in China หรือ หวงเฟยหง ที่นำแสดงโดย หลี่ เหลียนเจี๋ย หรือ A Chinese Ghost Story (โปเยโปโลเย) ที่นำแสดงโดย เลสลี่ จาง และ หวัง จู่เสียนและ Black Mask ในปี ค.ศ. 1996
นอกจากนี้แล้ว ยังได้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอีก ในเรื่อง Double Team ในปี ค.ศ. 1997 นำแสดงโดย ฌอง คล้อด แวนแดม, เดนนิส ร็อดแมน และมิกกีย์ รูร์ก และ Knock Off ในปี ค.ศ. 1998 นำแสดงโดย ฌอง คล้อด แวนแดม, ร็อบ สไนเดอร์ และไมเคิล หว่อง นอกจากนี้แล้วยังได้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง A Chinese Ghost Story หรือโปเยโปโลเย ที่เป็นความเชื่อเรื่องผีของจีนและเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กระดับชั้นประถมตามหลักสูตรการศึกษาของจีน โดยเป็นการนำเอาผลงานเก่ากลับมาสร้างใหม่ในรูปแบบอะนิเมะชั่น ในปี ค.ศ. 1997 (ในประเทศไทยเคยนำมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์จีน ที่ห้างเสรี เซนเตอร์ ในต้นปี พ.ศ. 2544)
แต่หลังจากปี ค.ศ. 2000 ไปแล้ว ผลงานส่วนใหญ่ของฉีเคอะ ไม่ประสบความสำเร็จเลย ในบางเรื่องไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เช่น Time And Tide ในปี ค.ศ. 2000, The Legend of Zu ในปี ค.ศ. 2001 หรือ Seven Swords ในปี ค.ศ. 2005 ต่อมาในปี 2010 เขาก็กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้งกับ ภ.เรื่อง Detective Dee the Prequel หรือตี๋เหรินเจี๋ย ดาบพายุทะลุคนไฟ (โปรเจ็คท์นี้กำลังมีภาค 2 ตามออกมาเร็วๆนี้) ซึ่งสร้างรายได้ถล่มทลายในฮ่องกง และทำให้เครดิตความเป็นผู้กำกับแถวหน้าของเขากลับมาอีกครั้ง
จอห์น วู ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนที่ไปมีผลงานในฮอลลีวูดและมีชื่อเสียงในระดับโลก เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1946 ณ เมืองกว่างโจว ประเทศจีน มีชื่อในภาษาจีนว่า อู๋ อี่ว์เซิน ในช่วงวัยเด็กครอบครัวของเขามีปัญหาทางการเมืองของจีนอยู่มาก จึงทำให้ต้องเขามาอาศัยในฮ่องกงในปี ค.ศ. 1953 ต่อมาพ่อของเขาก็ล้มป่วย ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพให้กับครอบครัวได้ ทำให้เขาต้องพึ่งเงินจากทางโบสถ์เพื่อใช้เรียนหนังสือ
หลังจากพ่อของเขาเสีย จอห์นเริ่มสนใจงานภาพยนตร์เป็นอย่างมาก แต่ในขณะนั้นฮ่องกงยังไม่มีสถาบันสอนการผลิตภาพยนตร์เลย ทำให้เขาต้องทำงานในส่วนของการเป็นเด็กในกองถ่ายภาพยนตร์ เขาเริ่มทำงานให้กับบริษัทภาพยนตร์ที่ คาเธ่ต์ สตูติโอ และเขาก็ย้ายมาทำงานที่ ชอว์ บราเดอร์ส โดยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ จางเชอะ โดยงานภาพยนตร์ของเขา ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมากจากจางเชอะด้วย จอห์นเริ่มมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Dragon Tamers (1975) และ The Young Dragons (1975) เป็นภาพยนตร์กังฟูโบราณปนดราม่า Hand of Death (1976) แต่เรื่อง Last Hurrah for Chivalry (1979) กลับไม่ประสบความสำเร็จเลย
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 จอห์นหันมาทำภาพยนตร์แนวตลกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเรื่อง From Riches to Rags (1980) Laughing Times (1981) Plain Jane to the Rescue (1982) และ To Hell with the Devil (1982) แต่ทุกเรื่องก็ประสบความสำเร็จพอสมควร จนช่วงหลังจากนั้น เขาก็อยู่ในช่วงวิกฤติของชีวิต เพราะผลงานเริ่มไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ทั้ง The Time You Need a Friend (1985) และ Heroes Shed No Tears (1986) (เปลี่ยนชื่อมาจาก Suset Warriors)
การแจ้งเกิดครั้งใหม่ของเขาเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 โดยการช่วยเหลือของ ฉีเคอะ โดยเขามอบหมายงานกำกับเรื่อง A Better Tomorrow (1986) หรือ โหด เลว ดี ซึ่งเป็นภาพยนตร์ในแนวแอ็คชั่นแก็งค์สเตอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยกวาดรายได้ทั่วฮ่องกง และสามารถคว้ารางวัลม้าทองคำ (ตุ๊กตาทองฮ่องกง) มาถึง 5 รางวัล รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากนั้นเขาก็มีผลงานท๊อปฟอร์มหลายเรื่องด้วยกัน เช่น A Better Tomorrow II (1987), Just Heroes (1989) และโดยเฉพาะ The Killer (1989) ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในเอเชียและต่างประเทศ โดยนักวิจารณ์ทั่วโลก ต่างกล่าวกันว่าเป็นผลงานที่มีความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด
จากนั้นช่วงทศวรรษที่ 90 เขาก็ยังประสบความสำเร็จอยู่มาก กับเรื่อง Bullet in the Head (1990), Once a Thief (1991) และ Hard Boiled (1992) ซึ่งเรื่องหลังนั้น เป็นภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องสุดท้ายที่เขากำกับ ก่อนที่เขาจะโกอินเตอร์ไปกำกับ ภ.ฮอลลีวู้ด โดยเรื่องแรกคือ Hard Target,Broken Arrow (1993),Face/Off (1997),Mission Impossible 2 (2000),Windtalkers (2001),Paycheck (2003) ก่อนที่เขาจะกลับมากำกับ ภ.ฮ่องกงอีกครั้งในโปรเจ็คท์ Red Cliff (2008) หรือสามก๊กฉบับจอห์นวู ทำให้เขากลับมาโด่งดังและมีเครดิตกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่จะมี Red Cliff 2 (2009) ซึ่งทั้ง 2 ภาค ก็สามารถสร้างรายได้ถล่มทลายทั้งในฮ่องกงและทั่วโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น