วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โลกนี้ทุกอย่างคือสมมติโดยแท้ มันเป็นเช่นนั้นแล จิตนี้ประภัสสร

ผู้เขียนได้อ่านข่าวและบทสัมภาษณ์ของพระแจ๊ส (หรือนามเดิมของท่านเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิงว่า แจ๊ส ทิฟฟานี่) ซึ่งท่านเคยโด่งดังจากการที่เป็นสาวประเภท2 ไปประกวดนางงามสาวประเภท2 ที่เรียกว่ามิสทิฟฟานี่ และเคยมีข่าวทะเลาะวิวาทหรือกินเกาเหลากับนางงามรุ่นพี่ประเภทเดียวกัน จากนั้นข่าวก็เงียบหาย มาได้รับข่าวอีกครั้งว่าท่านได้สละทิ้งคราบสาวประเภท2 รวมถึงเปลี่ยนแปลงสภาพจิตของตนจนกลับมาเป็นชาย และเข้าบวชในร่มกาสาวพัตร์ ข่าวนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นข่าวเซอร์ไพร้ซ์ในรอบสัปดาห์ และก็ชวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงนำมาถกประเด็นได้หลากหลายมุมมองมาก และได้ข้อสรุปโดยส่วนตัวว่าโลกนี้ทุกอย่างคือสมมติโดยแท้ มันเป็นเช่นนั้นแล จิตนี้ประภัสสร อยากให้ผู้อ่านลองอ่านบทสัมภาษณ์นี้ดู อาจจะอึ้งไปกับผู้เขียนก็เป็นได้ แต่สุดท้ายก็ขออนุโมทนาบุญไปกับพระแจ๊สด้วย ที่ค้นหาทางสว่างในชีวิต ของท่านเจอแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นคีย์พ้อยท์ของบทความนี้ครับ

ข่าวครึกโครมขึ้นเมื่อมีการแชร์ภาพ “พระแจ๊ส” ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก และวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เนื่องจาก “พระแจ๊ส” เคยผ่าตัดเสริมหน้าอก และนุ่งหญิง แต่งหญิง ใช้ชีวิตโลดแล่นสุดเหวี่ยงด้วยท่วงท่าหญิงสาวมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจผ่าซิลิโคลนทั้ง 2 ข้างออก ก่อนโกนหัวอุปสมบท และตั้งมั่นว่าจะเดินตามรอยพระพุทธองค์จวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต


ต่อข้อกังขาที่สังคมที่สังคมค้างคาใจ พระอตุวาทีภิกขุ เจ้าอาวาสวัดเลียบ กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นายสรวีย์ นัดที หรือ “แจ๊ส” ได้เข้าพิธีอุปสมบทแล้ว ซึ่งการเข้าอุปสมบทนี้ไม่ขัดกับหลักของพระพุทธศาสนา ทั้งสภาพจิตใจ และร่างกาย เป็นผู้ชายเต็มตัว และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุปสมบท

“หลังจากที่พระแจ๊สมาติดต่อขออุปสมบทได้ให้คำขอบวชไปท่อง ซึ่งปรากฏว่า พระแจ๊สท่องได้อย่างขึ้นใจ ที่สำคัญจากการตรวจร่างกาย และจิตใจก็เป็นผู้ชายปกติ ไม่มีลักษณะของเพศที่สามเหลืออยู่ และเป็นคนค่อนข้างเงียบ นิสัยเรียบร้อย โดยได้นำซิลิโคนออกจากหน้าอกแล้ว จึงได้ทำพิธีอุปสมบทให้”

แม้ว่าเจ้าอาวาสวัดเลียบจะยืนยันอย่างหนักแน่น แต่สังคมก็ยังไม่คลายความสงสัย เพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้กระจ่างแจ้ง “พระแจ๊ส” จึงเปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา “โยมต้องถามทีละข้อ อย่าถามเหมารวม พระต้องตอบชัดเจนทีละข้อ เพราะการถามในวันนี้พระจะพูดครั้งเดียวให้จบ เราจะได้เข้าใจตรงกันทีเดียว การที่โยมมาสัมภาษณ์ พระรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ รู้ว่าทุกคนมีงานต้องทำ เจ้าหน้าที่สั่งมาโยมก็ต้องทำ พระเข้าใจโยม แต่โยมเข้าใจพระมั้ย ถ้าโยมเข้าใจพระ พระจะดีใจมาก” พระมหาวิริโยภิกขุ เริ่มบทสนทนา

ก่อนจะอธิบายต่อว่า “โยมเข้าใจพระ” ในทีนี้ คือ การรู้ว่าพระต้องทำกิจของสงฆ์

“โยมมาแล้วยังมีกลุ่มอื่นอีก กลุ่มโยมยังดีที่มาแล้วคุยกันรู้เรื่อง แต่กลุ่มอื่นมาแล้วคุยกันไม่เข้าใจ บางเวลาเป็นเวลาที่สงฆ์ต้องทำกิจ พระบวชมาในธรรมวินัยนี้ ละจากทางโลกเข้ามาบวชเรียนด้วยบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการมีเวลาศึกษาธรรมะให้มากที่สุด กิจของสงฆ์มันเยอะ แต่พอโยมมา ตอนนี้สัมภาษณ์พระ พระองค์อื่นก็กำลังทำกิจกันอยู่ พระรู้สึกว่ามันเป็นการเบียดเบียนพระองค์อื่น และเบียดเบียนวัด ซึ่งพระไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” พระหนุ่มผู้มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่ จ.สงขลา กล่าวเรียบๆ และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนจากหลายสำนัก “ทำงานตามหน้าที่”



เพราะอะไรจึงบวช ?

พระมหาวิริโยภิกขุ : ตอนนี้อายุ 24 ปี ณ ปัจจุบันที่เป็นพระ คือบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็ต้องการความหลุดพ้น พระศึกษาธรรมะมาก่อนที่จะบวช เพื่อให้เข้าใจ พระตั้งใจบวชมาตั้งแต่อายุ 21 ปีแล้ว แต่ตอนนั้นพันธะทางโลกมันเยอะ ไม่มีโอกาสได้บวช แต่วันนี้พร้อมแล้วว่ายังไงก็ต้องบวชให้ได้ ก็โทร.ขอโยมพ่อกับโยมแม่ เมื่อเขาอนุญาต พระก็เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

พอโยมพ่อโยมแม่อนุญาตพระ พระทิ้งทุกอย่างทางโลกหมดเลย ทุกอย่างที่โยมสรรเสริญกันว่าดี พระก็วางวันนั้นเลย แล้วหลีกไปอยู่ป่า ก่อนจะไปอยู่ป่าพระเก็บตัวอยู่ในคอนโดฯ 1 เดือน แล้วไปอยู่ป่าอีก 1 เดือน เพื่อศึกษาธรรมะกับวัดสายป่า เพื่อให้บวชมาแล้วไม่ผิดง่าย วินัยสงฆ์บัญญัติไว้เยอะมาก ปาติโมกข์ต่างๆ ละเอียดอ่อน

พระไม่ได้บวชเล่น พระไม่ได้บวชเพราะถึงวัยเบญจเพส บวชแก้บน สะเดาะเคราะห์ หรือหนีคดีความมาบวช หรือไม่มีงานทำจึงมาบวช หรือไม่มีข้าวกินแล้วมาบวช พระไม่ได้เจตนาเช่นนั้น นี่คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าห้าม

“พระบวชเพื่อต้องการมีเวลาว่างได้ศึกษาธรรมะ ถ้าพระยังอยู่ทางโลก 24 ชั่วโมง ก็หายใจอยู่แต่เรื่องโลกๆ เรื่องปลอมๆ เรื่องไม่เที่ยง แต่พอมาอยู่กับธรรมะ เห็นพระดูมีความสุขมั้ย ตื่นเช้ามาตี 3 มาทำกิจ ภวนา สร้างความเพียร เดินจงกรม สวดมนต์ สรรเสริญพุธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทำกิจตรงนี้เสร็จก็ออกบิณฑบาต พระพุทธเจ้าบอกว่า บาตร 1 ใบ บริหารท้อง จีวร 1 ผืน บริหารกาย ให้มีแค่นั้น ไม่ให้มีอะไรมาก

ต่างจากทางโลก หม้อข้าวหม้อเดียวไม่เคยพอ ร้านข้าวหรูๆ เลือกเมนูอย่างดีไม่เคยพอ เสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนแล้ว เสื้อผ้าก็ต้องอัปเดตใหม่ตลอด ไม่ใหม่เพื่อนด่า ไม่ใหม่เดี๋ยวไม่เหมือนเพื่อน แต่จีวรไม่ใหม่ไม่เป็นไร ไม่ใหม่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเก่ายิ่งขลัง ยิ่งผืนเดียวยิ่งได้ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ คือเป็นผ้าเสียแล้ว ผ้าที่ขาห่อศพแล้วมาทำให้เสียสี หรือจีวรใหม่ก็ต้องมาทำให้เสียสี ย้อมน้ำฝาด พระพุทธเจ้าลึกซึ้งในเรื่องของข้อวัตรตรงนี้ มันมีความสุข พระไม่มีภาระอะไรแล้ว โยมที่ใส่บาตรมาข้าวเม็ดเดียวก็ไม่เสียเปล่า เพราะพระตั้งใจปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างดี ไม่ให้พร่อง” พระแจ๊สเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ ใบหน้าเปี่ยมสุข



ข่าวออกไปอย่างนี้ พระจะหลีกเร้นไปอยู่ที่อื่นไหม?

พระมหาวิริโยภิกขุ : พระไม่ไปไหน พระไม่ได้ทำอะไรผิด ก่อนบวชพระศึกษามาอย่างดีแล้ว ว่าพระมีอะไรผิดที่ต้องไม่ให้บวช การกล่าววาจาในอุโบสถ กล่าวขอขมากรรม กล่าววาจาต่อพระอุปัชฌาย์ หรือคณะสงฆ์ที่อยู่ในอุโบสถ ก็ไม่มีใครคัดค้าน เมื่อไม่มีใครคัดค้าน พระก็บวชได้ การกล่าวาจาต่างๆ ทุกอย่างชัดเจนหมด

พระยืนยันว่าไม่ไปไหน ประเทศไทย วัดไทย หรือวัดอื่นทั่วโลก โลกใบนี้ไม่ว่าพระจะหนีไปไหน ก็ไม่พ้นหัวใจตัวเอง แม้จะไปวัดโน้นวัดนี้เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนดี จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าสอนเหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติมาเหมือนกัน ศีลมีศีลเหมือนกัน วินัยบัญญัติเหมือนกัน ธรรมะก็มีเหมือนกันใช้ทั่วโลก

อยู่กับที่ ศึกษาธรรมะตรงนี้ ศึกษาตัวเอง เจอแล้ว ทีนี้เอาธรรมะ เน้นเดินตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่เดินตามคำครหาของใคร

พระไม่ใช่ฆราวาสแล้ว ตอนนี้พระเป็นพระ ใครจะมาชี้สั่งพระไปไหน สั่งได้ แต่พระไม่ทำ ใครจะสั่ง หรือว่าตำหนิ เป็นหน้าที่ของเขา แต่หน้าที่สงฆ์คือ ทำกิจของสงฆ์ให้ดีที่สุด ถ้าเมื่อไหร่ที่พระทำกิจของสงฆ์พร่อง ค่อยมาว่าพระ แต่ถ้าพระยังไม่พร่อง อย่ามาว่าพระ อย่ามาชี้สั่งพระ เดี๋ยวโยมจะเกิดเป็นความทุกข์ใจเปล่าๆ

พระไม่อยากเสียเวลากับการไปดู หรือวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น พระต้องดูตัวเอง มองหาตัวเอง หาจิตเดิมแท้ของตัวเองให้เจอ แล้วหาความหลุดพ้น ความหลุดพ้นมันมีทางแล้ว ก็เดินไป เดินตามทางของพระพุทธเจ้าไป วันนี้พระก็ทำแบบนี้ พระเชื่อพระพุทธเจ้าคนเดียว ไม่เชื่อคนอื่น พระพุทธเจ้าพูดยังไง พระต้องทำอย่างนั้น

โดยแท้จริงแล้วพระไม่ค่อยอยากพูดเรื่องโลก มันเป็นเรื่องอดีต พระอยู่ปัจจุบัน เมื่อพระเป็นพระแล้วมันไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ต้องไปพูดว่าตอนอยู่ทางโลกเป็นยังไง เมื่ออยู่ตรงนี้แล้วก็คือพระ มีแค่จีวร กับธรรมะ มีตัวเอง และมีพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นไม่มีอะไร

ตั้งใจบวชไปนานแค่ไหน?

พระมหาวิริโยภิกขุ : ใช้คำว่าบวชไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตก็ได้ เพราะอาจจะตายพรุ่งนี้ พระตั้งใจไปในผ้าเหลืองเพราะอุ่นดี นอนห่มผ้าเหลืองทุกคืน อุ่น

คำว่าบวชตลอดชีวิตมันไม่ใช่แค่บวช 60 ปี 70 ปี แต่มันคือพร้อมตายทุกเมื่อ อีก 2 ชั่วโมงพระอาจจะตายก็ได้ นั่นแหละคือตลอดชีวิตของพระ

ทุกคนมีธรรมะเหมือนกันหมด ง่ายที่สุดเลยก็คือ อานาปานัสสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ดับทุกอย่างได้ พระพุทธเจ้าบอกว่านี่แหละคือที่อยู่จำพรรษาของพระพุทธเจ้าตลอดกาล มีพระวจนะของพระพุทธเจ้าบอกไว้ด้วยว่า ใครมาถามว่าท่านอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าอยู่กับลมหายใจ ตัวจริงต้องอยู่กับลมหายใจ ตอนนี้มันต้องมีสติรู้ หายใจเข้ายาวมีสติรู้ชัด หายใจเข้าสั้นมีสติรู้ชัด มันสุขตลอด

พระมหาวิริโยภิกขุ ยังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สบายๆ ว่า “พระได้ศึกษาธรรมะบทหนึ่ง กล่าวว่า 2 อย่างง่ายๆ เลยที่เราต้องทำ คือ เจริญอานาปานัสสติ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง คู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติ หายใจเข้ายาว มีสติรู้ชัดหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว มีสติรู้ชัดหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น มีสติรู้ชัดหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น มีสติรู้ชัดหายใจออกสั้น นั่นก็คืออยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเรามีค่าที่สุด”

ก่อนจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ถ้ามีคนเดินหิ้วกระเป๋าบรรจุเงินร้อยล้าน แล้วมาบอกโยมว่าขอซื้อหน่อยเถอะ เอาเงินร้อยล้านซื้อลมหายใจ แล้วโยมก็เป็นแค่กายเปล่าๆ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีวิต เอามั้ย? เงินมีแต่ตายไปก็ไม่ได้ใช้ ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน

“โยมมาขอโทษพระเมื่อกี้ บอกว่าที่ทำข่าวออกไปมีผลกระทบ ต้องขอโทษด้วย พระบอกแล้วว่าอย่าติดใจในอดีต อดีตช่างมัน พระก็มีอดีต ทิ้งให้หมด เราอยู่ตอนนี้อยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจเรามีค่าสุดๆ คนสำคัญคือ คนที่อยู่ตรงหน้าเรา โยมคือคนสำคัญของพระ เพราะเรากำลังมีสติพูดคุยกัน ต้องให้ความสำคัญกับอันนี้ ส่วนผลกระทบว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะออกมาแค่ไหน ตรงนี้พระอ่านเจอชอบมาก...” พระแจ๊สยิ้มรับเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบ ก่อนจะเปิดตำราที่น่าจะผ่านการอ่านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มีที่คั่นหนังสือหลากสีติดอยู่เกือบทั่วทั้งเล่ม

จากพระไตรปิฎกบาลี 25/25/16 ผู้ชี้ขุมทรัพย์ :
“อานนท์... พวกช่างหม้อย่อมไม่พยายามทำกับหม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ อย่างทะนุถนอม ฉันใด เราย่อมไม่พยายามทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอมฉันนั้น

อานนท์... เราจะขนาบแล้วขนาบอีกเหมือนช่างปั้นหม้อ (ขนาบเข้าไป บีบเข้าไป) ขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด

อานนท์... เราจะชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก

ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้”

“ท่านอุปมาการปั้นหม้อเหมือนการชี้โทษ ถ้าผิดก็ชี้ว่าผิด ผิด ผิด ไม่มีชื่นชมให้หลง ให้เห็นในผิด นั่นหมายความว่า ใครจะตำหนิอะไร พูดอะไร โทษอะไร ผู้นั้นแหละชี้ขุมทรัพย์เราแล้ว ยิ่งหาข้อผิดในตัวเรา นั่นแหละเป็นการให้คุณแก่เราแล้ว เพราะถ้าเรามองไม่เห็นผิดเป็นโทษในตนเอง เราจะมองไม่เห็นทางที่สว่างเลย” พระมหาวิริโยภิกขุ หรือพระแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี ยูนิเวิร์ส 2009 สรุปทิ้งท้ายแทนการตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่สังคมพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

เครดิต อ้างอิงจาก www.manager.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น