วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยุทธจักรนักการเมือง ตอน ศึกชุมนุมจ้าวยุทธจักร

ในงานชุมนุมเหล่าผู้กล้า ชาวยุทธ์ ที่จะมีขึ้นที่ลานประลองยุทธ์ ของสำนักฮั่วซัว (ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดชุมนุมและสำนักฮั่วซัวยังเป็นคนกลางผู้ประสานงาน เป็นเจ้าภาพเชิญบรรดาชาวยุทธ์ที่มีชื่อเสียงและมีฝีมือจากทั่วทุกสารทิศให้มาร่วมชุมนุมกัน)  โดยมีสำนักคุณธรรมหลักๆ อาทิ ง่อไบ๊ คุนลุ้น คงท้ง หัวซาน ซงซาน พรรคยาจก พรรคทานตะวัน สำนักช่วงจิงก่า เป็นแกนหลัก นัดชุมนุม เพื่อมาร่วมกันจัดเสวนา จิบน้ำชา หาทางออกให้กับยุทธภพ ซึ่งเวลานี้เหล่าบรรดาชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว จากความอยุติธรรมของประมุขยุทธภพคนปัจจุบัน ความเดือดร้อนเรื่องปากท้อง ของแพง ความไม่เอาใจใส่ต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของบ้านเมือง การโกงทุจริตในโครงการต่างๆ เช่น รับจำนำข้าว จัดซื้อจัดจ้าง ประมูลงานต่างๆ  เล่นพรรคเล่นพวก 2 มาตรฐานเป็นประจำ การคุกคามกดดันวัดเส้าหลินจากบรรดาลิ่วล้อคนถ่อยของประมุขพรรคตัวจริงอย่างเหลี่ยมเหวินคัง และประมุขหุ่นเชิดอย่างซวยปูนึ่ง การจะแก้กฏหมายยุทธภพ โดยจะผ่าน พรบ.ปรองดอง ของรองประมุขพรรคมาร(ผาไม้แดง) ของเหลิมเฉาฉุ่ย การจะตัดงบของสำนักจอหงวน  การปล่อยให้กระบวนการคนถ่อยไปลบหลู่หรือทำลายสถาบันฮ่องเต้ ยังมีอยู่ร่ำไป จนเกิดกระบวนการหน้ากากสีขาวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านระบอบอันชั่วร้ายของเหลี่ยมเหวินคัง ซึ่งครั้งล่าสุดได้ส่งม้าเร็ว และนกพิราบสื่อสารมายังผู้ชุมนุมพรรคผาไม้แดงของพวกเขาว่า หากใครเจอเบาะแสเป็นผู้เผาหมู่ตึกภูติพรายได้ จะให้รางวัล 10 ล้านตำลึงแก่ผู้นั้น ต่างเป็นประเด็นถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ในวงสนทนาของเหล่าจอมยุทธ์ เป็นที่ขำขัน สรวลเส เฮฮาของบรรดาเหล่าจอมยุทธ์ เพราะไม่มีใครเชื่อในคำพูด สัจจะวาจาของเหลี่ยมเหวินคัง ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นจอมสับปรับแห่งยุทธภพ ครั้งนึงเคยถีบหัวเรือส่งแก่บรรดาเหล่าลิ่วล้อของสมุนพรรคผาไม้แดง ว่าไม่ต้องตามมาส่งแล้วนะ ข้าพเจ้าจะเดินขึ้นดอยไปเอง ครั้นเมื่อสถานการณ์พลิกผันไม่เป็นไปตามที่ตนวางเอาไว้ ว่าจะได้กลับมายังยุทธภพแบบเท่ห์ๆ จึงกลับมาตามงอนง้อเหล่าบรรดาสมุนผาไม้แดงเหล่านั้นให้กลับมาช่วยทำงานใหญ่ให้ตนอีกครั้ง

จอมยุทธ์เล็กเซียวหงส์ตั้งวงจิบสุราร่วมกับฮวยหมอเล้า ไซมึ้งชวยเสาะ มีชอลิ้วเฮียงและโอ๊วทิฮวยร่วมแจมด้วย ต่างสรวลเสเฮฮา ถกประเด็นบ้านเมือง ต่างเศร้าใจต่อผู้นำยุทธภพคนปัจจุบัน ทุกคนต่างลงความเห็นตรงกันว่าเป็นยุคที่เลวร้ายสุดของยุทธภพ ต้องหาทางกำจัดประมุขและประมุขหุ่นเชิดออกไป หาไม่แล้วยุทธภพก็คงถึงกาลเสื่อมสลาย ครั้นพอมามองหาที่พึ่งอย่างสำนักบู๊ตึ๊ง ก็ต้องถอนหายใจ ในเมื่อหัวหน้าสำนักคนปัจจุบันไปเดินตามต้อยๆ ประมุขหุ่นเชิดอย่างซวยปูนึ่ง ครั้นพอเหล่าชาวยุทธ์ผู้กล้าไปถามถึงจรรยาบรรณ จิตวิญญาณรักชาติ รักสถาบัน กลับถูกตะคอกกลับมาราวกับสุนัขบ้า ดังนั้น บรรดาชาวยุทธ์จึงไม่สามารถพึ่งพาบู๊ตึีงได้ในยามนี้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าคนในสำนักนี้จะเป็นเช่นดังหน.สำนักทุกคน ยังมีศิษย์บู๊ตึ๊งอีกจำนวนมากพร้อมจะพลีกายมาร่วมกับบรรดาเหล่าชาวยุทธ์เพื่อโค่นล้มระบอบอำนาจชั่วของเหลี่ยมเหวินคัง) จึงเหลือเพียงสถาบันหลักที่ต้องรักษาไว้คือราชสำนักฮ่องเต้ และสำนักวัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นตุลาการของยุทธภพที่ยังเป็นที่ศรัทธาของเหล่าชาวยุทธ์ได้ในยามนี้

"วันนี้เรามาชุมนุมกัน โดยเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย ข้าน้อยเฉียวฟง ขอเป็นตัวแทนของเหล่าพี่น้อง ขอให้ทุกท่าน เชิญดื่ม" ยกจอกน้ำชา 2มือ ยกขึ้นและกระดกเข้าปาก เหล่าผู้กล้าทุกคนพร้อมใจทำตามกัน

"ประเด็นที่เรามาร่วมพูดคุย เสวนากันในวันนี้ก็คือ เราจะหาทางออกกันอย่างไรเพื่อทำให้ยุทธภพของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม คืนความเป็นธรรม ใครทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ ใครทำดีควรได้รับการสรรเสริญ"  เตียบ่อกี้ หน.พรรคเม้งก่า

"ข้าน้อยเล่งฮู้ชง หน.พรรคหัวซาน ขอเสนอว่า เราจะต้องพิทักษ์ปกป้องวัดเส้าหลิน ให้อรหันต์ทั้ง 9 ทำตามหน้าที่ให้ถูกต้อง ตัดสินอย่างเป็นธรรม ตามความถูกต้อง ตามตัวบทกฎหมาย เที่ยงธรรม ไม่เข้าข้างใคร อีกทั้งต้องช่วยกันขจัดอุปสรรคที่จะมาคุกคามวัดเส้าหลินด้วย"   เล่งฮู้ชง เสนอ

"สหายเล่งฮู้ชงพูดถูกแล้ว ข้าฮุ้นปวยเอี๊ยงศิษย์สำนักบู๊ตึ๊งเห็นด้วยกับท่าน"

" ณ ที่นี้ มีมือกระบี่สุดยอดของยุทธภพ มาอยู่รวมกัน ถึง 6ใน 10 สุดยอด ถือเป็นฉันทานุมัติได้หรือไม่ว่า เหล่าผู้กล้าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งจักรภพนี้ เราเห็นพ้องต้องกันว่าเราจะโค่นล้มระบอบอำนาจของเหลี่ยมเหวินคังให้จงได้ เพื่อพิทักษ์ยุทธภพเอาไว้"  เสียงจอมยุทธ์กังวานมาแต่ไกล ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ที่มีวิชาตัวเบาสูงล้ำ กระโดด 3ก้าว มาแต่ไกล เสียงดังฟังชัด ทั้งที่ตัวยังมาไม่ถึง ตีลังกามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากลางวงประชุม

"ท่านผู้นี้ เป็นใครไม่ทราบ ช่วยแนะนำตัวแก่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ด้วย" เซียวฮื่อยี้เอ่ยถาม

"ข้าน้อย ต้วนอี้ เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นต้าซ่ง และเป็นพี่น้องร่วมสาบานของจอมยุทธ์เฉียวฟง หัวหน้าพรรคยาจก

"อ๋อ ที่แท้เป็นจอมยุทธ์ต้วน เจ้าของเพลงยุทธ์ดรรชนีกระบี่หกชีพจรนี่เอง"

"น้องข้าไม่คิดว่าจะได้พบกันในงานชุมนุมชาวยุทธ์แห่งนี้ ไม่ได้นัดหมายไว้ มา มาร่วมดื่มกัน" เฉียวฟงเดินปลี่เข้าไปต้อนรับและกล่าวเชื้อเชิญ

"แย่แล้ว ท่านผู้มีเกียรติ ทางด้านนู้น มีการต่อสู้ ปะดาบกันอย่างรุนแรง พวกเรารีบรุดไปดูกันก่อนจะดีกว่า"  เสียงตะโกนของผู้กล้าท่านนึง

เสียงฟาดฟันกระบี่ ประกายวูบวาบ เสียงพสุธา กัมปนาท แผ่นดินสะเทือน เกิดพายุหมุนวนไปรอบๆ ต้นไม้กิ่งไม้ ล้มครืน ชายในชุดสีขาว และชายในชุดสีดำ เหาะเหินไปเหยียบบนกิ่งไม้ ร่ายรำเพลงกระบี่เข้าปะทะ ประหัตถ์ประหารกันอย่างดุเดือด ร่างกายเคลื่อนที่อย่างพริ้วไหว แต่มีพลังแกร่งกล้า

"เพลงกระบี่ลึกล้ำ สูงส่ง สมเป็นสุดยอดมือกระบี่แห่งตำนาน"  เพ็กฮ่วยเกี่ยมเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึง ตะลึงงันของเหล่าจอมยุทธ์

"ชายในชุดสีดำ น่าจะเป็นอี้จับซา นักฆ่าหมายเลข 1 ของยุทธภพ"  จับอิดนึ๊ง กล่าวเสริม

"ส่วนชายในชุดขาว ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก ดูจากเพลงกระบี่ที่ร่ายรำ ก็ไม่น่าจะผิดไปจากเพลงกระบี่คลุมวรุณ ล่างฟางหวิน"  ซาเสี่ยวเอี้ย ให้ความเห็นเสริมสำทับเข้าไปอีก

"ใครจะเป็นผู้เข้าไปห้ามศึกนี้ดีหล่ะ"  หลวงจีนซีจุ๊ เอ่ยถามแทรกขึ้นมากลางวงสนทนา

"รูปการณ์เป็นอย่างนี้ ไม่ควรมีใครเข้าไปแทรกเด็ดขาด พลานุภาพของกระบี่ 2 ชนิดสูงส่งนัก คนที่เข้าไปแทรกอาจเกิดอันตรายได้ อาจจะถูกพลานุภาพของทั้ง 2กระบี่ทำร้ายบาดเจ็บเอาได้ ควรจะรอเมื่อทั้ง 2ฝ่ายยุติกันไปเอง"  หลิงเซียว ออกความเห็นด้วยวิจารณญาณส่วนตนแก่เหล่าผู้กล้า

หลังจากการต่อสู้ผ่านไป 2 ชั่วยาม ยังไม่มีวี่แววของการรู้ผลแพ้ชนะ และต่างฝ่ายต่างยังไม่หมดเรี่ยวแรง อีกด้านนึง บริเวณซุ้มด้านในของลานประลอง เหล่าจอมยุทธ์ที่นั่งล้อมวงจิบสุรา ยังคงเสวนากันอย่างออกรสออกชาด

“ท่านเล็กเซียวหงส์ ท่านทราบหรือไม่ว่า เหลี่ยมเหวินคังได้สร้างความฉิบหายให้กับยุทธภพมากมายเพียงใด”  โอ๊วทิฮวยเอ่ยถามแก่เล็กเซียงหงส์

“ข้าไม่รู้ว่าเหลี่ยมเหวินคังทำความเสียหายให้กับเหล่าชาวประชาไปมากมายเพียงใดแล้ว แต่ในชีวิตข้าผ่านศึก ท่องยุทธภพมามากมาย ไม่เคยเห็นความทุกข์ยากที่ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกวงการ ได้มากถึงเพียงนี้  ไยท่านชอลิ้วเฮียง ถึงไม่ให้ทรรศนะแก่พวกเราบ้างว่า ในฐานะที่ท่านก็เป็นจอมโจรคุณธรรม ที่ปล้นคนชั่วช่วยเหลือชาวประชา ท่านคิดว่าอัครมหาโจรอย่างเหลี่ยมเหวินคังเป็นคนเช่นไร”   เล็กเซียวหงส์โยนประเด็นกลับไปให้ชอลิ้วเฮียงตอบบ้าง

“ถ้าจะนำข้าไปเปรียบเทียบกับเหลี่ยมเหวินคัง ข้าก็คงเป็นเพียงแค่ทารก หรือเด็กไม่รู้ประสาไปเลย เพราะความชั่วที่ข้ามีนั้นเทียบไม่ได้กระพีกเดียวของเหลี่ยมเหวินคังได้ มิใยข้าจะต้องนั่งฟังเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย สอนสั่งและให้ประสบการณ์แก่ข้าจะเหมาะกว่า ข้าไม่ได้เก่งกล้าใดๆ เลย เป็นเพียงชายโฉด สำมะเร เทเมา เที่ยวเตร่ กิ๊กหญิงไปวันๆ  เรื่องใหญ่ๆ อย่างปัญหาบ้านเมืองนั้น ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์น้อยๆ คนนึง คงไม่มีความสามารถ หาญกล้าไปจัดการกับกระบวนการคนชั่ว องค์กรอาชญากรรมทางการเมืองระดับใหญ่โตเช่นนี้ได้  ต้องอาศัยพี่น้องพวกเราเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายมาร่วมใจ ร่วมกายเสียสละทำงานใหญ่นี้ให้สำเร็จ หากข้าจะมีส่วนร่วมเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ตัวนึง ข้าก็ยินดีที่จะอาสาด้วย”   ชอลิ้วเฮียงออกตัว ถ่อมตน แต่ก็ยินดีที่จะเสียสละร่วมทำงานใหญ่

“ในที่นี้ พวกเราก็ไม่ใช่ผู้อาวุโส ไม่ใช่ผู้หลักผู้ใหญ่ของยุทธภพ เสียด้วย การที่เราจะลุกขึ้นมาเป็นแกนนำในการต่อสู้ จะมีเหล่าจอมยุทธ์สำนักต่างๆ ให้การยอมรับพวกเราหรือไม่”   ไซมึ้งชวยเสาะ แสดงทรรศนะ
“การทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่จำเป็นต้องมีแกนหลัก แกนนำก็สามารถทำงานได้ เราต่างฝ่ายต่างร่วมกันทำ แม่น้ำหลายสาย แยกกันเดิน ร่วมกันตี เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือโค่นล้มระบอบเหลี่ยมเหวินคัง ให้จงได้”  ฮวยหมอเล้า แสดงทรรศนะ

เจ้าสำนักฮั่วซั่วมาแล้ว ชายอาวุโสถือแส้ แต่งกายในชุดนักพรต ผมและหนวดเคราเป็นสีดอกเลา ก้าวย่าง มาพร้อมกับบริวารที่เป็นนักพรตราวๆ 5 คน ปรากฏตัวบริเวณลานประลองยุทธ์

"ข้าฯ นักพรตอึ้งบักเต็ง เจ้าสำนักฮั่วซัว ขอเรียนเชิญเหล่าจอมยุทธ์ มาดื่มน้ำชาบริเวณห้องโถงด้านใน และร่วมเสวนาประเด็นต่างๆ ของบ้านเมือง ด้านในห้องโถง หากมีผู้ใดไม่ประสงค์จะเข้าไปเสวนาจิบน้ำชาด้านใน เชิญพักผ่อนบริเวณลานประลองได้ตามอัธยาศัย เรียนเชิญทุกท่าน เชิญ...

"อาจารย์ครับ บริเวณป่าในด้านตะวันตกของหุบเขา มียอดฝีมือปะดาบกันอยู่ ไม่ทราบว่าเป็นแขกรับเชิญที่มาในงานหรือเปล่า" ศิษย์ข้างกายนักพรตอึ้งบักเต็ง

"เป็นเขตของสำนักฮั่วซัว ยังไงเสีย ข้าก็ต้องไปดู และเรียนเชิญให้เข้าร่วมในห้องโถงก่อน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า งั้นเราไปดูกัน" เจ้าสำนักฮั่วซัวกล่าว

สถานการณ์ประลองยุทธ์ของ 2 สุดยอดฝีมือ ทั้งล่างฟางหวินและอี้จับซา ดำเนินไปอย่างยาวนาน ยังไม่มีผู้แพ้ชนะ ประกายไฟ ลุกท่วมต้นไม้ใหญ่ ลมพายุหมุนวนไปรอบๆ บริเวณป่าเขา เสียงดาบฟาดฟันดังบาดหู สัตว์ป่าต่างร้องระงม หวาดกลัวไปทั่วทั้งป่า

เจ้าสำนักฮั่วซัว เดินมาหยุดดูการประลองฝีมือของบุรุษชุดขาวและชุดดำ อยู่ครู่นึง ก่อนจะกล่าวกับลูกศิษย์ พร้อมๆกับเหล่าจอมยุทธ์ที่ตามมาดูการประลองกันเต็มแน่นพื้นที่

"หากปล่อยไว้เช่นนี้ อุทยานแมกไม้นานาพรรณ และสัตว์ป่าของหุบเขาฮั่วซัวคงจะได้รับความเสียหาย ยากจะฟื้นฟูเป็นแน่แท้  จางหลิงให้คน ไปตักน้ำมา 18 ถัง โดยด่วน" เจ้าสำนักสั่งลูกศิษย์คนสนิท

"ครับอาจารย์ ไประดมศิษย์ทุกคนมา"  จางหลิงรับคำสั่ง
"น้ำ 18 ถัง ถูกลำเลียงมาแล้วครับอาจารย์"   จางหลิงกล่าวแก่อาจารย์

จากนั้นนักพรตอึ้งบักเต็งนำกระปุกยาสมุนไพรที่ควักออกจากในเสื้อมาทำพิธีสวดร่ายมนต์ จากนั้นเทลงไปในถังน้ำทั้ง 18 ถัง จากนั้นโยนถังน้ำขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกันครั้งละ 5 ถัง ถังน้ำลอยเท้งเต้งอยู่บนอากาศหมุนวน จากนั้นใช้เพลงกระบี่ฟาดฟันไปที่ถังน้ำแตกกระจาย และใช้พลังลมปราณ ผลักพลังขึ้นไปปะทะ ปรากฏเป็นละอองน้ำ คล้ายหยาดฝน ตกปกคลุมทั่วพื้นป่า จากนั้นนักพรตอึ้งก็โยนถังน้ำที่เหลือขึ้นไปจนหมด และใช้พลังลมปราณร่ายมนต์ จนเกิดเป็นละอองฝนที่ตกกระหน่ำ เมฆบนฟ้าคลึ้ม และมีละอองฝนตกจากฟ้าตามมา ทำให้เปลวเพลิงที่ต้นไม้ดับมอด พายุที่หมุนวนนิ่งสงบ ดาบที่ 2 จอมยุทธ์ฟาดฟันนั้นเปียกน้ำ ไม่เกิดเป็นเสียงหรือประกายไฟ พลานุภาพลดลงมาก

เหล่าจอมยุทธ์ต่างนิ่งตะลึงงันในปรากฏการณ์ที่เห็น  2 จอมยุทธ์ต้องหยุดปะดาบกันในทันที เพราะเวลานี้ร่างกายเปียกปอนไปด้วยสายฝนอย่างบ้าคลั่ง

เล็กเซียวหงส์,ฮวยหมอเล้า,ไซมึ้งชวยเสาะ,ชอลิ้วเฮียง และโอ๊วทิฮวย ที่วิ่งตามมาดู ทันได้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว ต่างหันหน้ามามองหน้ากัน

"เป็นบุญตาของพวกเราที่ได้เห็นพลังวัจน์ของท่านอาวุโสนักพรตอึ้งบักเต็ง นี่คงเป็นสุดยอดวิชาลมปราณเทวะ เป็นสุดยอดวิชาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นในยุทธภพมานานมากแล้ว"   ฮวยหมอเล้าเอ่ยขึ้นกลางวงเหล่าจอมยุทธ์ 

"หากพวกเราเหล่าจอมยุทธ์มาทะเลาะฟาดฟันกันเองเช่นนี้ ศัตรูที่แท้จริงของยุทธภพอย่างเหลี่ยมเหวินคัง ได้ทราบก็คงหัวเราะเยาะพวกเราเป็นแน่"   ชอลิ้วเฮียงกล่าวเสริมขึ้น

"ข้าฯ ในฐานะเจ้าสำนักฮั่วซัว คงไม่สามารถนิ่งดูดายให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในสถานที่ของข้าได้ เรียนเชิญทุกท่านไปยังห้องโถงปรัชญวิทยา ของสำนักฮั่วซัว เรียนเชิญ"   นักพรตอึ้งบักเต็งกล่าวเชิญ

บริเวณโรงเตี๊ยมข้างทางขึ้นหุบเขาฮั่วซัว  มีแขกนั่งดื่มสุราอยู่ 4-5 โต๊ะ  เสี่ยวเอ้อเดินเสิร์ฟสุราไปตามโต๊ะต่างๆ  มีแขกต่างถิ่น แต่งกายคล้ายสุภาพสตรี 5 ท่านเดินตรงเข้ามาในร้าน

"เรียนเชิญท่านสุภาพสตรี ที่โต๊ะด้านในเบอร์ 4 ครับ เด็กๆ เคลียร์โต๊ะ"  เถ้าแก่ออกมาต้อนรับทักทายแขก

"เราต้องการจะเหมาทั้งร้าน ใครที่ยังไม่เช็คบิล เรายินดีจะจ่ายให้ทั้งหมด ขอเชิญแขกทุกโต๊ะออกจากร้านตามคำสั่งของนายแม่เราเดี๋ยวนี้เลย"   ผู้หญิงที่ติดตาม หน.มากล่าวแก่เถ้าแก่ร้าน

"เอ่อ นายท่าน คงจะเป็นการเสียมารยาทนะครับ ท่านไม่ได้ ให้คนมาสั่งจอง หรือบอกกล่าวเอาไว้ก่อน เกรงว่าลูกค้าท่านอื่นจะไม่พอใจ เอ่อ..."  เถ้าแก่ชี้แจง

"เอ๊ะ เถ้าแก่ ท่านอยากตายหรือ ถึงกล้าปฏิเสธคำสั่งของนายแม่เรา ฮะ" จากนั้นจึงผลักเถ้าแก่ถอยหลังล้มลงก้นจ้ำเบ้าไป

"อ๋อ ที่แท้กระเทย 5 คน คิดอยากจะเหมาร้านดื่มน้ำส้มกันหล่ะสิท่า  พูดดีๆ ก็ได้ ไปรังแกคนแก่ทำไม"
เสียงแซวจากโต๊ะนึงด้านในร้าน

"เสียงมาจากไหนนะ อ๋อที่แท้ชายอ้วน และชายผอม กักขระที่อยู่ด้านในร้านค่ะนายแม่" 

"ไปตบปากมันเสีย และตะเพิดออกนอกร้านไปซะ"  นายแม่กล่าวกับลูกศิษย์คนสนิท

ศิษย์คนสนิท 2 ใน 4 คน เดินปรี่จะเข้าไปตบปากชายร่างอ้วน  ชายร่างอ้วนและชายร่างผอมขยับตอบโต้ เกิดการต่อสู้กัน ชายร่างอ้วนโดน 2 ใน 4 ลูกศิษย์จับเอามือไพล่หลัง อีกคนตบหน้าชายร่างอ้วน ซ้ายทีขวาทีอย่างมันส์มือ ชายร่างผอมกระโดดเข้ามาช่วย จึงโดนฝ่ามือของนายแม่ผลักเพียงเบาๆ แต่ร่างกระเด็นไปกระแทกกับเสาด้านในของร้าน ร่างตกถึงพื้น เลือดออกจากปาก สิ้นชีวิต ส่วนชายร่างอ้วนก็โดนดาบสั้นของลูกศิษย์อีกคนเสียบปักอกเสียชีวิตตามกันไป แขกเหรื่อในร้านพร้อมเสี่ยวเอ้อ วิ่งแตกกระเจิงออกจากร้านไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงชาย 2 คนนั่งสงบนิ่งอยู่มุมด้านข้างในร้าน เพียงโต๊ะเดียว

นายแม่เริ่มสังเกตว่ายังหลงเหลือแขกในร้านอยู่ 1 โต๊ะ ที่ยังไม่ยอมขยับออกจากร้าน นัยว่าท้าทายคำสั่งของตน จึงสั่งลูกน้องให้เดินไปถามและเชิญออกจากร้าน

"เอ๊ะ เจ้า 2 คนนี่ คงอยากตายเหมือนไอ้อ้วนไอ้ผอมนั่นใช่มั๊ย ถึงยังไม่ยอมลุกออกจากร้านไป" 

"นายข้า กับข้าจะนั่งดื่มสุราอยู่ที่นี่อีกซักพัก ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน เถ้าแก่ไปเอาสุรามาเพิ่มอีก 1 ไหซิ"

"นายท่านทั้ง 2 รีบหนีกันก่อนดีกว่า ข้ายังไม่อยากตาย ท่านรีบหนีไปก่อนจะดีกว่า"  เถ้าแก่เอ่ยแนะนำแขกที่โต๊ะด้านใน

"เถ้าแก่ ท่านไปเอาสุรามาเพิ่มตามที่ข้าบอก อ้ะ เอาเงินไป 5 ตำลึง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ท่านจะปลอดภัย" ชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำลุกขึ้นยืน มือกอดอกแต่ด้านข้างพกกระบี่ ใบหน้าน่าเกรงขาม พูดเสียงเข้ม

2 ใน 4 ลูกศิษย์นายแม่เดินตรงไปประจันหน้ากับชายหนุ่มรูปงาม และควักดาบสั้น หมายจะทำร้ายชายหนุ่มที่แต่งกายภูมิฐาน แต่สีหน้านิ่งเฉย นั่งดื่มสุรา ไม่สนใจใยดีใครเลย ราวกับไม่รู้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าเลย ชายหนุ่มในชุดสีดำ เอามือป้องไว้ และผลัก 1 ใน 2 หญิงงามล่าถอยไป พร้อมกับชักกระบี่ป้องกันการลงดาบของอีกคนนึงไว้ได้ จากนั้นจึงปะดาบกับอีก 2คนที่ที่รุมเข้ามาทำร้าย กลายเป็น 4 รุม 1  ในขณะที่หญิงงามที่ถูกลูกศิษย์เรียกว่านายแม่ จู่โจมโดยฟาดฝ่ามือลงกลางโต๊ะที่ชายหนุ่มภูมิฐานยังนั่งอยู่ โต๊ะแตกกระจายเป็น 2 เสี่ยง ชายหนุ่มภูมิฐานเบี่ยงหลบได้ทัน แต่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใช้มือปัดป้องการใช้ฝ่ามือของหญิงนายแม่อย่างเป็นพัลวัน การต่อสู้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม  ทางด้านนึงเกิดการฟาดฟันหลบเบี่ยงกันของ 4 หญิงงามกับ 1 ชายหนุ่ม ด้วยเพลงกระบี่ยาวปะทะกับกระบี่สั้น อีกด้านนึงการต่อสู้ของหนุ่มภูมิฐานกับหญิงนายแม่ ด้วยกระบวนท่าฝ่ามือ มือเปล่า ยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ  หญิงนายแม่กวาดเท้าเพื่อเตะตัดขาชายหนุ่มภูมิฐาน ชายหนุ่มภูมิฐานกระโดดม้วนตัวขึ้นบนอากาศ ส่วนเก้าอี้โดนเตะแหลกหักกระเด็นไป เกิดการปะทะฝ่ามือโดยชายหนุ่มภูมิฐานลอยตัวอยู่ด้านบนใช้พลังฝ่ามือทั้ง 2 พุ่งลงมายังหญิงนายแม่ หญิงนายแม่ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 รับการกดพลังฝ่ามือ เข้าหากัน จากนั้นจึงใช้พลังวัจน์ดันตัวขึ้น จนลอยขึ้น และผลักตัวของหนุ่มภูมิฐานขึ้นปะทะกับหลังคาโรงเตี๊ยมจนร่างทั้ง 2 ทะลุหลังคาขึ้นไปทั้งคู่ จากนั้นการต่อสู้ได้ปะทะกันบนหลังคา ด้วยพลังวิชาตัวเบาที่สูงส่งด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ามือทั้ง 2 คน ต่างมีพลานุภาพทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้หมด จากนั้นจึงลอยตัวลงมาต่อสู้กันยังเบื้องล่างของโรงเตี๊ยม  หญิงนายแม่ใช้ทุกกระบวนท่าทั้งดุดันและพริ้วเบา ทุกท่วงท่ายั่วยวนและรุกเร้าอย่างไรก็ไม่สามารถเผด็จศึกหนุ่มภูมิฐานได้ หญิงนายแม่ทำทีเป็นหยุดพูดคุย ออกอุบายชวนหนุ่มภูมิฐานดื่มสุราโดยขอผูกมิตร จากนั้นจึงใช้อาวุธลับเป็นเข็มอาบยาพิษซัดเข้าหาชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำที่กำลังต่อสู้กับ 4 หญิงงามทีเผลอ หนุ่มภูมิฐานกระโดดเอาตัวบังและใช้พัดที่อยู่ในอกเสื้อกางป้องเข็มพิษไว้ได้ ชายหนุ่มในชุดสีดำทำสีหน้าตกใจ เพราะไม่คิดว่าหญิงนายแม่จะใช้วิธีสกปรกลอบทำร้าย หญิงงามทั้ง 4 ล่าถอยไปยืนข้างกายหญิงนายแม่ จากนั้นจึงเกิดการตะลุมบอนต่อสู้กันอีกรอบ กลายเป็น 5 รุม 2  หญิงนายแม่ต้องงัดเอาวิทยายุทธ์สุดยอดของตนโดยใช้เชือกผ้าที่อยู่ข้างเอว ศิษย์ทั้ง 4 ก็งัดเชือกผ้าที่มีอยู่ข้างกายตนเช่นกันต่างดึงขึ้น จากนั้นทั้ง 5 ใช้เพลงยุทธ์เพลงผ้าใยแมงมุม ฟาดเชือกผ้าเข้าหา 2 ชายหนุ่มพร้อมๆ กัน ปลายผ้าทั้ง 5เส้น เข้าล้อมรัดเอวของ 2ชายหนุ่มไว้ จากนั้นทั้ง 5คนยืนแยกเป็น 5 มุม ราวกับใยแมงมุม จากนั้นจึงจู่โจมผลัดกันเข้าทำร้ายด้วยเพลงดาบสั้นของทั้ง 4 สาวและฝ่ามือของหญิงนายแม่ ชายหนุ่มชุดดำใช้กระบี่ปัดป้อง แต่ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ ในขณะที่ชายหนุ่มภูมิฐานใช้สมาธิจับการเคลื่อนไหวของ 5 สาว จากนั้นจึงซัดอาวุธคือดาบสั้นออกไปพร้อมกัน 3เล่ม ปรากฏมีดไปปักอก 1 หญิงงาม ปักหน้าผาก 1 หญิงงาม และปักคอหอยอีก 1 หญิงงาม จากนั้นค่ายกลเพลงผ้าใยแมงมุมจึงขาดกระเจิง 2 หนุ่มหลุดจากพันธนาการของเชือกผ้าได้สำเร็จ จากนั้นหญิงนายแม่ กับอีก 1 หญิงงามที่เหลือ ทำสีหน้าตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"มีดบินปลิดชีพ หรือเจ้าคือลี้น้อยมีดบิน อันลือเลื่อง"  หญิงนายแม่อุทานขึ้น
"ฮิวฮ้วง เรารีบเผ่นหนีกันก่อนดีกว่า" หญิงนายแม่กล่าวกับลูกศิษย์จากนั้นจึงดึงมือแล้วใช้พลังวิชาตัวเบากระโดดหนีออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างรวดเร็ว

หญิงนายแม่กับลูกศิษย์หนีมาได้ไกลจนพ้นจาก 2 ชายหนุ่มแล้ว

"อาจารย์ ที่แท้บุรุษทั้ง 2 คนที่เราปะทะฝีมือด้วย คือยอดฝีมือของยุทธภพหรือนี่"  ลูกศิษย์ถาม

"เราเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่รีบหนีมาก่อน คนที่ข้าปะทะฝีมือด้วย ที่แท้คือลี้คิมฮวง บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับ 1ของยุทธภพ ส่วนข้างกายเขาน่าจะเป็นอาฮุย สุดยอดฝีมืออีกคนที่คอยติดตามเขา"

"หากเราทราบว่าเขาเป็นใคร มาก่อนคงไม่เสี่ยงชิงลงมือ และศิษย์ทั้ง 3คงไม่ต้องมาตายอย่างนี้ พวกเรามีตาหามีแววไม่"  หญิงนายแม่กล่าว

ด้านบุรุษหนุ่มทั้ง 2 เดินทางถึงสำนักฮั่วซัว พอแนะนำตัว จากนั้นศิษย์สำนักฮั่วซัวได้เชื้อเชิญ เดินนำทางแขกที่ได้รับเชิญไปสู่ห้องโถงปรัชญวิทยาเพื่อพบเจ้าสำนักและบรรดาเหล่าจอมยุทธ์ที่เวลานี้มายืนอยู่กันอย่างพร้อมหน้ากันในห้องโถงแล้ว

"เหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้า ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน เวลานี้ข้าเจ้าสำนักฮั่วซัวมีความยินดีและอยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า เรามีบุคคลสำคัญที่ข้าได้เชื้อเชิญมาร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ อีก 2 ท่าน ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านทราบว่า เวลานี้สุดยอดจอมยุทธ์ลี้คิมฮวง และอาฮุย อยู่กับพวกเรา ณ ที่นี้แล้ว เสียงปรบมือ กู่ร้อง แซ่ซ้องยินดี อบอวลไปทั่วห้องโถง

"ข้าน้อยลี้คิมฮวง และอาฮุย สหายของข้า ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมในงานที่เป็นงานสำคัญระดับชาติเช่นนี้ ข้าขอคารวะแก่ทุกท่าน"

"ข้าน้อยเฉียวฟง ขอเป็นตัวแทนของเหล่าจอมยุทธ์ในงาน ขอให้ทุกท่านร่วมดื่มน้ำชาเป็นเกียรติแก่จอมยุทธ์ลี้และสหายอาฮุยด้วย เชิญ...."

"เอ่อ ท่านอาวุโสอึ้ง (เจ้าสำนักฮั่วซัว)  ก่อนที่ข้าจะมาถึงงานนี้ ข้าได้ปะทะฝีมือกับสุดยอดฝีมือ เป็นหญิงงาม 5คน ไม่ทราบว่าเป็นแขกที่มาร่วมในงานหรือไม่"   ลี้คิมฮวงเอ่ยถาม

"หญิงงาม 5 คน เหรอ เป็นใครกัน ไม่มีชื่ออยู่ในโพยที่ข้าเชื้อเชิญนี่ เดี๋ยวจะลองให้ลูกศิษย์ไปสืบดู"  นักพรตอึ้งกล่าวตอบ

"บุคลิกเป็นคน 2 เพศใช่หรือไม่"  เล่งฮู้ชงเอ่ยถาม

"ใช่แล้ว ไยท่านจึงทราบ"  อาฮุยเอ่ยถาม

"คนที่เป็น หน.ก็คืออีเพ็ญปุ๊กป้าย ส่วนหญิงงามทั้ง 4 คงเป็น 4ดรุณีผีขนุน ศิษย์จอมอหังการของนางเป็นแน่"  เล่งฮู้ชงสาธยาย

"ไยท่านถึงทราบว่านางเป็นใคร"  ลี้คิมฮวงเอ่ยถามเล่งฮู้ชง

"ข้าน้อยเล่งฮู้ชงเคยมีเรื่องกับนางมาก่อน นางเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง นางขโมยคัมภีร์รัฐธรรมนูญปี 40ไปกินไปฝึกปรือไปยึดถือ จนธาตุไฟเข้าแทรก จากนั้นได้ฝึกปรือถึงขั้นสุดยอดต้องตัดเส้นเอ็นสุดท้ายของชีวิตตัวเองทิ้ง จึงกลายเป็นบุคคลผิดเพศเช่นที่ท่านเห็น อารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด โหดเหี้ยม เลือดเย็น และนางมีพฤติกรรมจะโค่นล้มเหลี่ยมเหวินคังในวันข้างหน้าเพื่อครอบครองพรรคผาไม้แดงให้ได้ในอนาคต"  เล่งฮู้ชงสาธยาย

"อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง"  อาฮุยผงกหน้าเห็นด้วย

"นางคงมาสอดแนมการชุมนุมของเหล่าจอมยุทธ์ในงานวันนี้เป็นแน่" เฉียวฟง เสริมสำทับขึ้น

"ข้าคงต้องระแวดระวังแขกที่เข้ามาร่วมในงานชุมนุมในวันนี้อย่างเคร่งครัดมากขึ้น หาไม่แล้วก็อาจมีคนที่แฝงตัวมาจากพรรคผาไม้แดง มาสืบความลับจากพวกเรา"  นักพรตอึ้งกล่าว


"พวกเราเหล่าชาวยุทธ์ที่มาชุมนุมในวันนี้ ได้ลงความเห็นเป็นมติร่วมกันแล้วขอประกาศเป็นปฏิญญาฮั่วซัวว่า เราจะไม่ยอมรับระบอบอำนาจชั่วของประมุขหุ่นเชิด ซวยปูนึ่ง และเหลี่ยมเหวินคัง จะไม่ขอนำจ่ายภาษีอากรเข้าคลังหลวง เพื่อให้อาชญากรยุทธภพที่หมดความชอบธรรมเอาไปโกงกิน ลุแก่อำนาจมาบริหารงานยุทธภพอีกต่อไป นับจากนี้พวกเราจะร่วมกันต่อต้านทุกรูปแบบ และร่วมแสดงสัญลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวคือหน้ากากขาวเพื่อผดุงความยุติธรรมของยุทธภพ นับแต่นี้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงประมุขยุทธภพคนใหม่ที่มีคุณธรรม เป็นคนดี มีวิสัยทัศน์ที่จะนำพายุทธภพไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง"

ลงชื่อ หัวหน้าสำนักทั้ง 8 คน,จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้า,เหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลาย,ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกว่า 200,000 คนทั่วทั้งยุทธภพ

ณ สำนักเขาสุขสันต์ ชายฉกรรจ์ยืนเรียงรายกันอยู่กว่า 10 คน ในห้องโถงประชุม มีชายชราอายุกว่า 80 ปี นั่งเป็นประธานของห้องโถงใหญ่ และชายหนุ่มรูปงามอีก 1 คนยืนเคียงข้าง พร้อมกับผู้คุ้มกฏทั้ง 4 คนที่แต่งกายแตกต่างกัน แววตา สีหน้า ซ่อนแววอำมหิต  ยืนประจันหน้ากับชายชราและชายหนุ่ม  ชายคนแรกใบหน้าขาวเผือด แต่งกายคล้ายกระโปรงยาว แขนเสื้อยาวรุ่มร่าม ดูคล้ายผีโปเยโปโลเย,ชายอีกคนผิวพรรณดี รูปร่างสูงโปร่ง มีรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ ถืออาวุธดาบคู่รูปตัว z ,อีก 1 คนเป็นหญิงสาว หน้าสวย ผมขาวโพลน ริมฝีปากแดง เวลายิ้มแฝงความเซ็กซี่ แต่แววตาเพชรฆาต,ชายอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ อ้วนหนา ดำทมึน สีหน้าเคร่งขรึม ผมยาวรกรุงรัง ถือดาบทวน ดูคล้ายเทพเจ้ากวนอู ทั้ง 4 คนก็คือ 4 ผู้คุ้มกฏของสำนักเจ้าสำราญ คือ ลม ฟ้า ฝน ไฟ  สุดยอดฝีมือแห่งพรรคมาร

"ท่านหัวหน้า เรียกเรามาประชุมในวันนี้ มีเรื่องอะไรจะแจ้งให้พวกเราทราบ"  ฟ้า  1 ในผู้คุ้มกฏถาม

"ข้าเรียกพวกเจ้ามา ก็เพราะจะมีงานใหญ่ให้พวกเจ้าไปทำ"   ชายชรากล่าว

"งานอะไรเหรอ ท่านอา ถึงต้องเรียกใช้บริการจากพวกเราทั้ง 4"  ฝน  1 ในผู้คุ้มกฏถามต่อ

"เป็นงานสำคัญ ที่ต้องใช้บริการจากพวกเรา"  โป่วเง็กจือ ชายหนุ่มข้างกายชายชรา เอ่ยตอบ

"เอ๊ะ ท่านหัวหน้าช่วยชี้แจงรายละเอียดหน่อยสิ ว่าเป็นงานอะไร"   ไฟ  1 ในผู้คุ้มกฏเริ่มสงสัยถาม

"มีคนว่าจ้างเราให้ไปสังหารบุคคลสำคัญคนนึง พร้อมกับรีดเอาความลับมันออกมาด้วย จากนั้นจึงค่อยสังหารทิ้ง อย่าให้มีร่องรอย"    ชายชราเริ่มแถลงไข

"เป็นใครครับหัวหน้า"   ฟ้า  ถามเพิ่มเติม

"หัวหน้าสำนักประกันภัย หลินตัน"   โป่วเง็กจือ ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

"เอ๊ะ มันคือใคร และทำไมต้องฆ่ามันด้วยหล่ะ"  ไฟ  ถามเพิ่มเติม

"เขาเป็นผู้ดูแล คุ้มกัน "บัวหิมะ"  ที่จะเดินทางจากเปอร์เซียไปมองโกล"  ระหว่างทางนี้เราจะลงมือชิง "บัวหิมะ" พร้อมกับทำการอุ้ม "หลินตัน"  ไปรีดความลับ จากนั้นก็สังหารทิ้งเสีย"   ชายชรา อธิบายความ

"บัวหิมะ มันสำคัญอะไรหรือท่านอา"  ฝน ถามชายชรา

"ในบัวหิมะ เก็บความลับบางอย่างที่ผู้จ้างวานต้องการทำลายเสีย เป็นความลับที่จะเปิดเผยความจริงอะไรบางอย่าง ที่อาจทำให้ผู้ว่าจ้างไม่สบายใจ จึงต้องไปชิงเอามา พวกเจ้าเข้าใจมั๊ย"  ชายชราตอบ

"พวกเจ้ามีหน้าที่ ทำตามแผนที่ลุงข้าบอก รายละเอียดนอกนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องทราบ เข้าใจมั๊ย ไปเตรียมตัวได้"  โป่วเง็กจือสั่งกับ 4 ผู้คุ้มกฏ

"พวกเรารับทราบ และจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ พวกเราขอลา"   4 ผู้คุ้มกฏ  รับคำสั่งและเดินจากห้องโถงไป

"คุณลุง งานนี้ทำไมเราจะต้องทำด้วย แม้นว่าค่าจ้างจะงดงามมากก็ตาม แต่ก็เสี่ยงต่อความเป็นไปของสำนักเรานะ"   โป่วเง็กจือถามแก่ชายชรา

"โป่วเง็กจือ เจ้าไม่รู้หรอก อิทธิพลของเหลี่ยมเหวินคังในวันนี้ มันยิ่งใหญ่คับฟ้า วันนี้เราควรโอนอ่อนต่อเขา เราหวังพึ่งพาบารมีของเขา เพื่อวันข้างหน้าสำนักเราจะได้เติบใหญ่ขึ้นกว่านี้ ต่อไปเราก็คงไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลของมัน หรือรับใช้มันอีกต่อไป"   ชายชรากล่าวตอบแก่ชายหนุ่ม

หลินตัน จอมยุทธ์ผู้ดูแลสำนักคุ้มกันภัย มีวิทยายุทธ์สูงส่ง กล้าประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเหลี่ยมเหวินคัง ซึ่งเป็นอดีตประมุขพรรคมาร ผาไม้แดง หากเทียบวิทยายุทธ์หมัดต่อหมัดแล้ว เขาไม่เคยกลัวเหลี่ยมเหวินคังเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเทพยุทธ์ตาดูดาว เท้าติดดินของเหลี่ยมเหวินคังจะทรงพลังเพียงใด แต่หลินตันก็มีวิทยายุทธ์วิชาตัวเบา หลีกเร้นหายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่เคยเป็นรอง แต่หากเทียบแสนยานุภาพด้านพลังเงิน และสมุนรับใช้เหล่ามารพรรคพวกของเหลี่ยมเหวินคังแล้ว ต้องถือว่ายังห่างไกลกันมากหลายขุม เพราะตัวหลินตันไม่มีสมัครพรรคพวกแต่อย่างใด มิหนำซ้ำความหยิ่งยโส โอหัง ทำให้สร้างศัตรูไว้ในยุทธภพมากมาย ในขณะที่เหล่าจอมยุทธ์ในสายคุณธรรมก็ไม่มีใครคบเป็นมิตรมากเท่าไร ทำให้เขาถูกโดดเดี่ยวจากเพื่อนฝูงเหล่าธรรมะยิ่ง การสู้ของเขาจึงเป็นการต่อสู้โดยลำพังตัดขาดจากเหล่าสหายยุทธภพคนอื่นๆ ที่ไปชุมนุมกันที่เขาฮั่วซัว

ภารกิจในครั้งนี้ของหลินตันก็คือนำ "บัวหิมะ" จากเปอร์เซียไปส่งยังมองโกล เป็นบรรณาการที่เจ้าแห่งรัฐเปอร์เซียจะถวายให้แก่เจ้าแห่งรัฐมองโกล จึงจ้างสำนักคุ้มภัยของหลินตันดูแล แต่ความสำคัญของบัวหิมะนั้นไม่ใช่เพียงแต่เป็นเครื่องบรรณาการชั้นสูงเท่านั้น แต่ยังแฝงนัยยะที่สำคัญ นั่นก็คือมีการแนบหลักฐานความลับสำคัญบางอย่างของเหลี่ยมเหวินคังไว้ในฐานของบัวหิมะด้วย เขาจึงเป็นทั้งผู้กุมความลับ และเป็นผู้ส่งสาร จากผู้ทราบเบาะแส ไขความลับแห่งหนึ่งไปแจ้งกับผู้มีอำนาจอีกแห่งหนึ่ง ภารกิจนี้เป็นภารกิจลับ เขารู้ตัวดีว่าเป็นเป้าของการลอบสังหารแน่ๆ และก็ทราบถึงภัยที่คืบคลานมาใกล้ตัวเขา ดังนั้นจึงได้แตะมือไปยังเหล่ามิตรสหายในยุทธภพบางคน รวมถึงมอบหลักฐานชิ้นสำคัญโดยทำสำเนาเก็บไว้หลายแหล่งเพื่อกระจายความลับนี้ออกไปหลายทาง เพื่อวันใดข้างหน้าหากเขาถูกลอบสังหารไปแล้ว ความลับนั้นจะตกถึงมือผู้มีอำนาจที่แท้จริงจะได้มาจัดการภารกิจต่อไปได้ ความเก่งและฉลาดของหลินตันนั้นเป็นที่ทราบดีทั่วทั้งยุทธภพ ดังนั้นเขาจึงขอคำปรึกษาและว่าจ้างทนายส่วนตัวที่เก่งที่สุดในยุทธภพมาช่วยเหลือนั่นก็คือ เล็กเซียวหงส์  เจ้าของฉายาจมูกพิฆาตกระชากวิญญาณแห่งยุทธภพ หรืออีกฉายานึงก็คือ 4 คิ้ว

การเดินทางอันแสนไกล และเหนื่อยล้าของบรรดาลูกหาบและข้าวของเครื่องบรรณาการ รวมถึงคนติดตามจำนวนมากนั้นเป็นเรื่องชินตา และเป็นงานหลัก งานประจำของหลินตัน กับพลพรรคของพวกเขา

"เรามาไกล จนเหนื่อยล้าอ่อนแรงกันมากแล้ว พวกเราหยุดพักแวะทานอาหารกันก่อน แล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ"  หลินตัน เอ่ยแก่ขบวนติดตามทั้งหลาย

"ข้างหน้ามีร้านน้ำชา ข้างทาง ท่านหัวหน้า เราไปนั่งที่นั่นให้สบายก่อนดีมั๊ย"   ผู้ติดตามเอ่ยแสดงคำแนะนำ

"พวกเจ้าอยากจะไปนั่งจิบน้ำชาก็ไป อีก 1 ชั่วยามเรามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อออกเดินทางกันต่อ"  หลินตัน กล่าวตอบแก่ลูกน้อง

"นายท่าน ข้านำเกี้ยวใหม่ มารับท่าน ท่านไปดูเถิด ข้างหน้ามีหญิงสาวงามอยู่ในเกี้ยว เขาปิดบังใบหน้า แต่ต้องการจะพบนายท่าน"  ป๋ออี่เด็กผู้ติดตามคนสนิทหลินตัน

"เป็นใครกัน ทำไมถึงอยากมาพบข้า"  หลินตันเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ข้าก็ไม่ทราบครับ นายท่าน ข้าเพียงแต่เดินไปทำธุระส่วนตัวในป่าด้านนู้น จากนั้นจึงเหลือบไปเจอเธอเข้า แต่เธอนั่งร้องไห้อยู่ในเกี้ยวนั่น ไม่ยอมลงมา ข้าเดินเข้าไปถาม จึงได้ทราบความว่าต้องการขอความช่วยเหลือแก่นายท่านครับ"   ป๋ออี่ อธิบายความแก่หลินตัน

"งั้นข้าจะรุดไปดูซะหน่อย" หลินตันเชื่อตามป๋ออี่ชี้แจงอธิบาย และเดินตามป๋ออี่ไปถึงยังสถานที่ตรงบริเวณป่ารกทึบ และมีเกี้ยวโดดๆตั้งอยู่กลางป่า ไม่มีผู้คนอื่นใด

"นางต้องการให้นายท่านเข้าไปพบครับ"  ป๋ออี่เชื้อเชิญหลินตันเข้าไปในเกี้ยว

หลินตันไม่ลังเลใจใดๆ เพราะเห็นว่านางในเกี้ยวเป็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ จึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ พอหลินตันเปิดประตูผ้าของเกี้ยวเข้าไปนั่งลำพัง 2 ต่อสองกับหญิงสาว ตาจ้องมองหญิงสาว ทันใดนั้นเหมือนโดนสะกดจิต ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้  เข็มพิษถูกพ่นออกมาจากปากหญิงสาว 3 เล่มปักตรงลูกกระเดือกและลำคอของหลินตัน จากนั้นเกี้ยวแยกกระจายออกทุกทิศทุกทาง เชือกที่ผูกโยงจากด้านบนรัดตัวและแขนขาของหลินตันขึ้นพันธนาการร่างกายเข้าแขวนขึ้นบนต้นไม้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะขยับมือหรือแขนได้ จากนั้นมือสังหารทั้ง 4 ก็ปรากฏตัวขึ้น ทันทีที่ปรากฏหน้าตาและรูปร่างออกมาจากพงหญ้าและป่าทึบ เขาก็รู้แล้วว่าบุคคลทั้ง 4 คนคือใคร แต่เขาไม่รู้ว่าเขาถูกลอบทำร้ายนี้ด้วยสาเหตุใด  

"หลินตัน เจ้าบอกที่ซ่อนของเอกสารลับมาซะดีๆ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า"  หญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่ที่แท้ก็คือฝน 1 ในจอมมารแห่งสำนักเจ้าสำราญ

"ข้าจะไม่บอก พวกเจ้ามาทำร้ายข้าด้วยเหตุใด"  หลินตันแค่นเสียงที่แทบไม่มีพูดออกไป

"มีคนเขาอยากได้เอกสารที่เจ้าทำเอาไว้ คืน เจ้าต้องบอกแหล่งที่ซ่อนทั้งหมดมา หาไม่แล้ววันนี้เจ้าต้องกลายเป็นศพอย่างแน่นอน"   ฟ้า เอ่ยตอบ

"ข้าไม่รู้เจ้าพูดอะไร ข้าไม่มีอะไรที่พวกเจ้าอยากได้ เจ้าอยากได้ข้าวของมีค่าก็เอาไป ปล่อยข้าไปเถอะ เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน พวกเจ้าเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้"  หลินตันพูดขอชีวิต

"เจ้ารู้ว่าข้าต้องการอะไร รีบบอกมา หาไม่แล้วเจ้าจะทรมานจากยาพิษของข้า และการทรมานจากพวกเรา เจ้าคงรู้พิษสงของพวกเราใช่มั๊ย"   ฝน ย้ำสิ่งที่ต้องการ

"ข้าไม่รู้ ข้าไม่มี เจ้าจะเอาชีวิตข้าก็เชิญ"   หลินตันหมดหนทางจะขอชีวิต

"งั้น เจ้าคงอยากเจ็บตัวหล่ะสิ"  ฝน ขยิบตา เป็นการส่งสายตากับลม 

ลมดึงผ้าที่ผูกมัดข้อมือและข้อเท้าทั้ง 4 ด้านของหลินตันให้เขม็งเกลียว เพื่อทำลายเส้นเอ็นทั้งข้อมือและข้อเท้าของหลินตัน เสียงหวีดร้องโหยหวน คำรามไปทั่วผืนป่า ราวกับวิญญาณจะร่องรอยออกจากร่าง ความเจ็บปวดทรมาน ถึงที่สุด  ใครๆ ก็รู้ว่า การถูกทำลายเส้นเอ็นข้อมือ ข้อเท้าเป็นความเจ็บปวดทรมานที่สุด และใช้กับการทรมานอย่างอำมหิตของนักโทษ

"ไง ยอมบอกได้หรือยังว่า ที่ซ่อนเอกสารลับอยู่ที่ไหน"  ฝนย้ำคำ อย่างเสียงแข็งกร้าว

หลินตัน ที่เวลานี้สภาพร่างกายห้อยต่องแต่ง ไม่มีเรี่ยวแรง เส้นเอ็นถูกทำลายไปแล้ว สีหน้าแดงกล่ำ แววตาเขม็งตึง ส่ายหน้าไม่รับคำเสนอของจอมมาร ที่ต้องการรีดเอาข้อมูล

การทรมานยังดำเนินต่อไปในป่ารกทึบ ที่ไม่มีผู้ใดได้พบเห็น มีเพียง 4 จอมมารและเหยื่ออย่างหลินตัน ที่เวลานี้ถูกเหล่าจอมมารขย้ำอย่างสนุกสนาน

บนเรือสำราญที่ลอยละล่องไปในมหาสมุทร เหล่าบรรดาหญิงสาว 4-5 คนห้อมล้อม หยอกล้อ และป้อนอาหารรวมถึงสุราแก่ชายหนุ่มรูปงามอยู่นั้น ชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ ด้วยสีหน้าขึงขัง

"ไปโกรธใครมาฮะ โอ๊วทิฮวย เห็นข้ามีความสุขก็เลยคิดอิจฉาข้าใช่มั๊ยหล่ะ" ชอลิ้วเฮียงแกล้งหยอก

"เฮ้ย ข้ารู้สึกหงุดหงิดรำคาญ หญิงงามของเจ้าหว่ะ"  โอ๊วทิฮวย เอ่ยตอบ

"เอ้า ทำไมทำอย่างนี้หล่ะ หญิงงามของข้าไปทำอะไรให้เจ้าโกรธเหรอ งั้นอย่างนี้ หยงหยง ไปรินเหล้าให้เฮียแกหน่อยซิ จะได้หายโกรธเสียที"  ชอลิ้วเฮียงเริ่มปลอบประโลมโอ๊วทิฮวย

"นี่ เวลานี้ยุทธภพเขาแตกตื่น หวาดกลัว กับข่าวการเสียชีวิตของหลินตัน เจ้ายังมีหน้ามาเสพสุขหาความสำราญอย่างนี้ได้อย่างไรกันวะ ข้าไม่เข้าใจ เจ้าจริงๆ เลย"  โอ๊วทิฮวย แค่นเสียงโกรธ

"อะไรนะ เจ้าว่าใครเสียชีวิตนะ"   ชอลิ้วเฮียงเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มมาเป็นเคร่งขรึม

"ก็หลินตันไง เจ้าสำนักคุ้มภัยแห่งทิศตะวันออกผู้ลือลั่น คนนั้นอ่ะ" โอ๊วทิฮวย พูดตอบ

"เอ้า แล้วยังไงกัน เขาเสียชีวิตแล้ว ยุทธภพทำไมต้องแตกตื่น หวาดกลัวอะไรด้วยหล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็แค่คนมีชื่อเสียงคนนึงเสียชีวิต"   ชอลิ้วเฮียงตั้งประเด็นสงสัย

"เจ้าไม่คิดเหรอว่า เขาก็เป็นคนเหมือนๆอย่างพวกเรา ที่ต่อกรกับอำนาจมืดอย่างเหลี่ยมเหวินคังเหมือนกับพวกเราไง แล้วต้องมาตายลง ตอนแรกมีข่าวว่าเขาหายสาบสูญไประหว่างคุ้มกันบัวหิมะไปมองโกลใช่มั๊ย จากนั้นก็มีคนพบศพเขาถูกฆ่าตายในป่ารกทึบ อย่างมีเลศนัย สภาพศพอเนจอนาจมาก เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ"  โอ๊วทิฮวย ถามตอบ

"เจ้ากำลังบอกว่า เขาถูกลอบสังหารอย่างนั้นเหรอ" ชอลิ้วเฮียง ตอบกลับ

"ก็เออสิวะ ก็คนอย่างหลินตันผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่งไม่ธรรมดา มาตายเป็นศพอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อหรอกหรือ แล้วใครฆ่าเขา ฆ่าทำไม มันจะเกี่ยวกับบัวหิมะนั่นมั๊ย"   โอ๊วทิฮวย สาธยาย

"แล้วทางการว่าอย่างไรหล่ะ"  ชอลิ้วเฮียงถาม

"ทางการบอกว่า เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา และคนที่ฆ่าก็คือคนสนิทหลินตันที่ชื่อ  ป๋ออี่ ที่เพิ่งถูกจับได้ เจ้าเชื่อพวกทางการนั่นมั๊ยหล่ะ"  โอ๊วทิฮวย สาธยายต่อ

"ป๋ออี่ เป็นเด็กหนุ่มไม่ใช่หรือ วิทยายุทธ์ก็ไม่มี ใยหรือจะสามารถฆ่าหลินตันได้หล่ะ"  ชอลิ้วเฮียงสงสัยถาม

"ก็นี่แหละ ก็เจ้าก็สงสัยเหมือนกับข้านี่ไง ข้าว่าคดีนี้มีพิรุธเยอะมาก โดยเฉพาะพิรุธของไอ้พวกทางการนั่นแหละ สั่งปิดคดีอย่างเร่งรีบ โดยไม่คิดจะสืบหาตัวบงการ หรือมีมูลเหตุจูงใจอะไร ทำไมหลินตันถึงได้ตายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้"  โอ๊วทิฮวยสนทนากับชอลิ้วเฮียง

"อนิจจา สังขารไม่เที่ยง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อมิตพุทธ"  หลวงจีนบ่อฮ่วยเดินเข้ามาร่วมทักทาย

"เอ้า นมัสการหลวงพี่บ่อฮ่วย เชิญนั่ง"  ชอลิ้วเฮียงและโอ๊วทิฮวย กล่าวเชื้อเชิญ 

"ในโลกนี้ สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็นจริงนั้นดูขัดแย้ง บางครั้งมันเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลย"  หลวงจีนบ่อฮ่วยกล่าวแสดงธรรม

"นี่ หลวงพี่พูดให้ข้าเริ่มงงหนักขึ้นไปอีกนะครับท่าน"  โอ๊วทิฮวย ตอบกลับ

"เอ้าน่า ข้าว่าอย่าไปซีเรียสเลย เรามารับประทานอาหารและขอเปลี่ยนเครื่องสำรับเป็นอาหารเจและเครื่องดื่มน้ำชาแทนก็แล้วกัน หยงหยง ไปตระเตรียมอาหารมารับแขก"  ชอลิ้วเฮียงกล่าวเชื้อเชิญและให้บริวารจัดเตรียมอาหาร

เงื่อนงำดำมืดในยุทธภพยังคงถูกทิ้งไว้เป็นปริศนาอีก 1 เรื่อง ไม่นับเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่เคยคลี่คลายความกระจ่างชัดได้ บรรดาเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ ยังคงต้องอยู่กันอย่างระมัดระวังภัย ระแวดระวัง สมัครสมานสามัคคี รักใคร่ปรองดองกัน เพื่อต่อกรกับความอยุติธรรมในยุทธภพต่อไปจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะกันไปข้างนึง








วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โหด เลว ดี หนังต้นตระกูลโหด คนโฉดขอกลับใจ


โหด เลว ดี ต้นตระกูลโหด ( A Better Tomorrow) 

ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในเมืองไทยครั้งแรก มีการเปิดตัวยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น เพราะกระแสทำรายได้ถล่มทลายในประเทศบ้านเกิดของตนที่ฮ่องกงนั้น กลายเป็นสถิติในตอนนั้น ทำให้พอมาเข้าฉายที่เมืองไทยก็สร้างความฮือฮาได้มากพอควร จำได้ว่าที่โรงภาพยนตร์ลิโด้ มีโปสเตอร์ คัทเอ้าท์ใหญ่ติดทั่วทั้งโรง มีการแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่ามีคาแรกเตอร์แต่ละตัวละครชื่ออะไรกันบ้าง นำแสดงโดย 3 ซุปเปอร์สตาร์ของฮ่องกง อย่าง เฮียตี้หลุง เฮียโจวเหวินฟะ และเฮียเลสลี่จาง (สมัยนั้นยังละอ่อนอยู่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว)  คือชื่อชั้น ของ 3 นักแสดงนำก็ถือเป็นจุดขายอยู่แล้ว ยังไม่นับพล็อตเรื่องที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแวดวงมาเฟีย เจ้าพ่อ ที่มีฉากแอ็คชั่นสุดอลังการ (ถือเป็นฉากคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นตำนานของหนังเจ้าพ่อขาโหด เป็นต้นแบบของหนังเจ้าพ่อมาถึงยุคปัจจุบัน)  ในช่วงเวลานั้นความดังของเฮียโจวในบ้านเราถือว่ายังเป็นแม่เหล็กพอควร เพราะกระแสความดังจากทีวีซีรี่ย์อย่างเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เทพบุตรชาวดิน ยังคงครุกรุ่นอยู่ ส่วนเฮียเลสลี่จางนั้นเป็นสุดหล่อขวัญใจสาวๆ จากทั้งทีวีซี่รี่ย์สุดคลาสสิกอย่างนักสู้ผู้พิชิต และก็ภ.เรื่องโปเยโปโลเย ทำให้ความดังของพี่แกดังไปทั่วทั้งเอเชียทีเดียว และหนังเรื่องนี้ยังนับเป็นหนังในตระกูลโหด เจ้าพ่อมาเฟีย แก๊งค์มาเฟีย ล้างแค้นแก้แค้น เรื่องแรกๆ ก็ได้ที่สร้างกระแส และทำเงินได้ทั่วเอเชีย และยังเป็นหนังสร้างชื่อให้ผู้กำกับทั้ง 2 คน คือ ฉีเคอะ และจอห์นวู (ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เคยทำงานกันที่ชอว์บราเธอร์มาก่อน) ชื่อเสียงและรายได้ทำให้หนังมีการสร้างภาคต่อตามกันออกมาถึง 3 ภาค (ภาคแรกนั้นฉีเคอะเขียนบทและเป็นโปรดิวเซอร์และให้จอห์นวูกำกับ แต่ภาค 2 เป็นฝีมือการกำกับและเขียนบทของจอห์นวูอย่างเต็มตัว)

ออกฉายปี 1986 หรือ ฉายในไทยประมาณปี พ.ศ.2530 เป็นหนังที่มีโครงสร้างเดิมเป็นหนังเกี่ยวกับเจ้าพ่อมาเฟีย แก็งค์สเตอร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวใหม่ จริงๆก็เคยมีการสร้างแนวนี้มาก่อนหน้านี้มากแล้ว ครั้งนี้เป็นการตีความใหม่ของ 2 ผู้กำกับ ซึ่งยังไม่เคยมีใครสร้างฉากแอ็คชั่นได้มันส์ รุนแรงในขณะเดียวกันก็มีท่วงท่าสวยงามและเท่ห์ จนเป็นภาพ่จำที่แปลกใหม่ ไม่เคยเห็นในหนังฮ่องกงเรื่องอื่นๆ มาก่อน และเมื่อฉีเคอะกับจอห์นวูได้มาร่วมมือกันสร้างปรากฏการณ์นี้ขึ้น จนทำให้สร้างสถิติใหม่ของรายได้อย่างถล่มทลายในยุคนั้น

เรื่องย่อ เปิดตัวด้วยตี้หลุงในบทของอาเห่า อาชญากรใหญ่ในระดับแถวหน้าของฮ่องกง เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายหลายอย่าง หลักๆ คือ ค้าแบ็งค์ปลอมข้ามชาติ  พอเมื่อวันนึง น้องชายคนนึงที่เขาส่งเสียจนเรียนจบ ก็คือ อาเฉียน (รับบทโดยเลสลี่จาง) กำลังจะสอบได้เป็นตำรวจกองปราบคนใหม่ แต่เมื่อเรื่องรู้ถึงอาเห่า ซึ่งยังจำได้ว่าพ่อเคยสอนไว้ว่า ไม่อยากให้ลูกๆ ในครอบครัวมีฝ่ายนึงฝ่ายใด ตกอยู่ในที่นั่งตำรวจจับผู้ร้าย ทำให้อาเห่าต้องการจะวางมือ ล้างมือจากวงการ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ คนที่อยู่ในแวดวงการมาเฟียไม่ต้องการให้ใครเอาตัวรอดจากวงการ เขาจึงถูกหักหลังจากเพื่อนฝูงในวงการ เขาถูกแผนชั่วให้เป็นเหยื่อล่อให้ตำรวจมาจับ จนต้องติดคุกในไต้หวันถึง 3 ปี  

ส่วนอาเฉียน ชีวิตในวัยเริ่มต้นของเขายังเบิกบานและสดใส กระตือรือร้นตามวัยหนุ่ม พี่ชายกับน้องชายคอยห่วงใยกันเสมอ มักหยอกล้อราวกับยังเป็นเด็กเมื่อพบเจอกัน แต่พอเขาล่วงรู้ความจริงว่าพี่ชายเป็นอาชญากร และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ส่งเสียเขาเรียนจนโตนั้นมาจากเงินที่ผิดกฏหมาย นับแต่นั้นมา อาเฉียนได้กลายเป็นคนละคน เขาเก็บกดอยู่กับความคิดที่ชิงชัง ยืนยันว่าจะไม่มีวันให้อภัยให้พี่ชาย การตายของพ่อ และหมดทางเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน อาเฉียนจึงโทษว่าเป็นความผิดของพี่ชายตนก็คืออาเห่า

เสี่ยวหม่า (รับบทโดยโจวเหวินฟะ) เขาเป็นมิตรร่วมเป็นร่วมตาย เปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบานของอาเห่า เห็นใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเห็นอีกคนเสมอ เปรียบเสมือนเงาตามตัวซึ่งกันและกัน บุคลิกเป็นคนขี้เล่น แต่มีลูกบ้าเสมอ มีความเป็นพี่เป็นน้อง รักเพื่อนพ้องและบริวารและมีประสบการณ์โชกโชน คอยสั่งสอนน้องอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาชาง  ก่อนที่จะรุ่งเรืองเป็นใหญ่  เสี่ยวหม่าเล่าให้นักเลงรุ่นหลังฟัง  เขาเคยถูกอันธพาลรุ่นใหญ่เอาปืนขู่จนฉี่ราดรดกางเกง นับแต่นั้นมาเสี่ยวหม่าให้คำมั่นกับตนเองว่าจะไม่ยอมให้ใครเอาปืนมาจ่อกบาลอีกเป็นอันขาด  เมื่อได้ข่าวว่าเพื่อนรักของตนถูกหักหลัง เขาจึงไม่รีรอ ลงมือแก้แค้นในทันที  เสี่ยวหม่าบุกเดี่ยว ยิงทิ้งพวกมันตายทั้งยวง แต่ก็ต้องแลกด้วยขาขวาของตัว กลายเป็นคนพิการ หมดสภาพของนักเลงและหายสาบสูญออกจากวงการมาเฟียไป

จอห์นวู อาศัยพล็อตจากหนังจีนกำลังภายในมาสร้างเป็นโครงเรื่องหลัก โดยให้วงการมาเฟียเปรียบเหมือนจอมยุทธ์ในแวดวงยุทธจักร การรบราฆ่าฟันเป็นธรรมชาติของเหล่าจอมยุทธ์ในนิยายจีน เพียงแต่เปลี่ยนจากเครื่องแต่งกายจีนโบราณมาเป็นมาเฟียสวมสูทสากล เช่นเดียวกับ โจรซิซิเลียน  เปลี่ยนจากถือกระบี่มาเป็นพกปืนออโตเมติก  ในความรันทดของชะตากรรม ชีวิตที่มีขึ้นมีลง ภายหลังจากที่อาเห่าออกจากคุก เขาหวังเปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นคนใหม่  เหมือนสุจริตชนโดยทั่วไป  เลือกใช้ชีวิตด้วยความอดทน และรอคอยโชควาสนา  ผู้กำกับจอห์น วู ใช้ประเด็นเดียวกับจอมยุทธ์คนนึงที่ต้องการล้างมือแขวนกระบี่ แต่ถูกบีบบังคับให้ต้องพัวพันกับสิ่งเลวทรามอีกครั้ง หมดทางจะล้างมือหรือเก็บกระบี่เข้าฝัก อาเห่าหนีการฆ่าฟันไปไม่พ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้น้องชายเข้าใจ อีกทั้งสภาพของเสี่ยวหม่าที่ต้องกลายเป็นคนขาเป๋กะโผลกกะเผลก ต้องคอยเช็ดรถแลกเศษเงินจากอาชาง อดีตลูกน้องที่ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าปีศาจ มันกำลังคิดจะกำจัดคนสำคัญของอาเห่าทั้งคู่  เขาจึงจำตัดสินใจร่วมมือตามคำขอร้องของเสี่ยวหม่า บุกชิงแม่พิมพ์ธนบัตร เพื่อแลกกับเงิน 3 ล้านจากอาชาง และจับกุมมันให้กับน้องชายโดยหลักฐานที่ชิงมา จากนั้นอาเห่า กับเสี่ยวหม่าตั้งใจจะหนีไปเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน

การแสดงรุกเร้าอารมณ์ของนักแสดงทั้งหมด ลีลาแอ็คชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างความน่าประทับใจไว้ในหลายฉาก ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด คือ ฉากที่เสี่ยวหม่าบุกล้างแค้นแทนอาเห่า (ฉากยิงปืน 2 มือของเฮียโจว การเดินแบบสโลว์โมชั่นเท่ห์ๆ ปากคาบบุหรี่ การพลิกตัวยิง กระโดดยิง นอนยิงในท่าต่างๆ คล้ายๆ ฉากในเรื่องแม็ทริกซ์ ที่นีโอบุกเดี่ยวพร้อมด้วยทรีนิตี้ไปช่วยเหลือมอร์เฟียส แม็ทริกซ์น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากโหด เลว ดี มากกว่า เนื่องจากมาทีหลัง

จอห์นวู (เสียงบรรยาย)  เปิดซีนด้วยเสียงเพลงจีนร่าเริงในสถานประเวณีค้ากาม ใช้ภาพช้ากำหนดความเป็นไป  เสี่ยวหม่าเดินโอ้โลมมากับโสเภณี เสื้อโค้ชยาวพลิ้วไหวไปตามทางเดิน มือหนึ่งเล้าโลมหญิงสาว อีกข้างซ่อนกระบอกปืนตามกระถางข้างทาง เมื่อปล่อยเธอเดินผละไป ยิ้มระรื่นยียวนเปลี่ยนเป็นใบหน้าแข็งกร้าว เพลงคลอเคลียร่าเริงจมหาย ระดับความเร็วของภาพสู่ปกติ เขาชักปืนขึ้นทั้ง 2 กระบอกระดมกระสุนใส่คู่อริ สลับกับลีลาเต้นเร่าของเหยื่อเนิบนาบ ราวกับกำลังร่ายรำอยู่กลางเพลงปืน  ส่วนอีกฉากที่นับเป็นกลเม็ดเด็ดของเรื่อง กระตุกความรู้สึกผู้ชมได้ชะงักงันได้ในยุคนั้น  คือเหตุการณ์ในช่วงท้ายเมื่อทั้ง 3 ถูกลูกน้องอาชาง ไล่จนมาจนมุมอยู่ตรงท่าเรือ ขณะเสี่ยวหม่ากำลังตะคอกเตือนอาเฉียน ถึงความรักของพี่ชายไม่ทันจบคำ เลือดก็ทะลักออกจากหัวเสี่ยวหม่ากระเซ็นเปื้อนเต็มหน้าอาเฉียน ก่อนจะถูกยิงซ้ำให้ดิ้นพลาดด้วยพายุห่ากระสุน และล้มลงตายคาที่!

โจวเหวินฟะกลับมาแจ้งเกิดใหม่ได้อีกหนกับบทเสี่ยวหม่า ความสำเร็จส่งให้เขาขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าสุดของดาราจีน ลักษณะบ้าดีเดือดและยิ้มเจ้าเล่ห์ กลายเป็นบุคลิกใหม่ของโจวเหวินฟะ ผิดจากบทอันธพาลคนดีในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ผลงานสร้างชื่อเดิม ภายหลังจากความสำเร็จของหนังชุดโหด เลว ดี นี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของหนังเลียนแบบคล้ายๆกันแนวนี้ ออกมาอีกเป็น 100 เรื่องอาทิ ต้นตระกูลโหด,บริษัทโหด, โหดต้องโทษดวง,โหดตัดโหด, โหดยกเมือง,โหดตามพินัยกรรม ,โหดข้ามรุ่น, โหดแค่แหลก, โหดผสมโหด,โหด ดิบ ดิบ,โหดทะลุแดด,โหดกระฉูด,บัญชีโหดปิดไม่ลง ฯลฯ

และจากปริมาณของหนังแนวนี้ที่ออกมาประเดประดังฉาย เป็นการส่งออกสินค้าความรุนแรงของอุตสาหกรรมฮ่องกง จนถึงจุดนึงเมื่อไม่มีแนวหนังใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแนวไปเป็นผู้หญิงข้าฯอยู่พักนึงแต่ก็ยังไม่สามารถฉีกแนวจากแก็งค์มาเฟียได้ จนในที่สุดอุตสาหกรรมหนังฮ่องกงก็ถึงจุดตกต่ำสุดขีดในยุคปลาย 90’s ต่อถึงยุค 2000


ประวัติและผลงานผู้กำกับ

สฺวี เค่อ หรือที่คนไทยเรียก “ฉีเคอะ” เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 ที่ไซ่ง่อน เวียดนามใต้ เมื่ออายุได้ 13 ปี ครอบครัวได้เดินทางมาตั้งรกรากที่ฮ่องกง ฉีเคอะมีความสนใจในศาสตร์ด้านภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก ๆ โดยร่วมกันสร้างภาพยนตร์ขนาด 8 มิลลิเมตร กับเพื่อน

ฉีเคอะ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ในปี ค.ศ. 1975 เมื่อจบการศึกษาแล้วจึงเริ่มงานในวงการภาพยนตร์ฮ่องกงอย่างแท้จริง จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "ผู้กำกับรุ่นที่ 4" แต่ผลงานเริ่มต้นของฉีเคอะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยเขาเริ่มจากการกำกับละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในแนวตลกและกังฟู

จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก จาก A Better Tomorrow เมื่อปี ค.ศ. 1986 จากการกำกับของจอห์น วู โดยฉีเคอะเป็นผู้อำนวยการสร้าง

จากนั้นมา ชื่อของฉีเคอะ ก็เสมือนเครื่องการันตีคุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ จนกระทั่งในช่วงที่ประสบความสำเร็จและในชื่อเสียงอยู่นั้น การโฆษณาภาพยนตร์ในประเทศไทยต้องมีคำลงท้ายว่า "ฉีเคอะ กำกับ!!" ซึ่งภาพยนตร์ที่เป็นผลงานของฉีเคอะ ได้แก่ The Sword Man ทั้งภาคแรก, ภาคที่ 2 และภาคที่ 3 (เฉพาะภาคแรก ฉีเคอะไม่ได้กำกับ แต่เป็นผู้อำนวยการสร้าง แต่ทว่าคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าฉีเคอะเป็นผู้กำกับ), ภาพยนตร์ชุด Once Upon a Time in China หรือ หวงเฟยหง ที่นำแสดงโดย หลี่ เหลียนเจี๋ย หรือ A Chinese Ghost Story (โปเยโปโลเย) ที่นำแสดงโดย เลสลี่ จาง และ หวัง จู่เสียนและ Black Mask ในปี ค.ศ. 1996

นอกจากนี้แล้ว ยังได้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอีก ในเรื่อง Double Team ในปี ค.ศ. 1997 นำแสดงโดย ฌอง คล้อด แวนแดม, เดนนิส ร็อดแมน และมิกกีย์ รูร์ก และ Knock Off ในปี ค.ศ. 1998 นำแสดงโดย ฌอง คล้อด แวนแดม, ร็อบ สไนเดอร์ และไมเคิล หว่อง นอกจากนี้แล้วยังได้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง A Chinese Ghost Story หรือโปเยโปโลเย ที่เป็นความเชื่อเรื่องผีของจีนและเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กระดับชั้นประถมตามหลักสูตรการศึกษาของจีน โดยเป็นการนำเอาผลงานเก่ากลับมาสร้างใหม่ในรูปแบบอะนิเมะชั่น ในปี ค.ศ. 1997 (ในประเทศไทยเคยนำมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์จีน ที่ห้างเสรี เซนเตอร์ ในต้นปี พ.ศ. 2544)

แต่หลังจากปี ค.ศ. 2000 ไปแล้ว ผลงานส่วนใหญ่ของฉีเคอะ ไม่ประสบความสำเร็จเลย ในบางเรื่องไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เช่น Time And Tide ในปี ค.ศ. 2000, The Legend of Zu ในปี ค.ศ. 2001 หรือ Seven Swords ในปี ค.ศ. 2005 ต่อมาในปี 2010 เขาก็กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้งกับ ภ.เรื่อง Detective Dee the Prequel หรือตี๋เหรินเจี๋ย ดาบพายุทะลุคนไฟ (โปรเจ็คท์นี้กำลังมีภาค 2 ตามออกมาเร็วๆนี้) ซึ่งสร้างรายได้ถล่มทลายในฮ่องกง และทำให้เครดิตความเป็นผู้กำกับแถวหน้าของเขากลับมาอีกครั้ง

จอห์น วู  ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนที่ไปมีผลงานในฮอลลีวูดและมีชื่อเสียงในระดับโลก เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1946เมืองกว่างโจว ประเทศจีน มีชื่อในภาษาจีนว่า อู๋ อี่ว์เซิน ในช่วงวัยเด็กครอบครัวของเขามีปัญหาทางการเมืองของจีนอยู่มาก จึงทำให้ต้องเขามาอาศัยในฮ่องกงในปี ค.ศ. 1953 ต่อมาพ่อของเขาก็ล้มป่วย ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพให้กับครอบครัวได้ ทำให้เขาต้องพึ่งเงินจากทางโบสถ์เพื่อใช้เรียนหนังสือ

หลังจากพ่อของเขาเสีย จอห์นเริ่มสนใจงานภาพยนตร์เป็นอย่างมาก แต่ในขณะนั้นฮ่องกงยังไม่มีสถาบันสอนการผลิตภาพยนตร์เลย ทำให้เขาต้องทำงานในส่วนของการเป็นเด็กในกองถ่ายภาพยนตร์ เขาเริ่มทำงานให้กับบริษัทภาพยนตร์ที่ คาเธ่ต์ สตูติโอ และเขาก็ย้ายมาทำงานที่ ชอว์ บราเดอร์ส โดยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ จางเชอะ โดยงานภาพยนตร์ของเขา ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมากจากจางเชอะด้วย จอห์นเริ่มมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Dragon Tamers (1975) และ The Young Dragons (1975) เป็นภาพยนตร์กังฟูโบราณปนดราม่า Hand of Death (1976) แต่เรื่อง Last Hurrah for Chivalry (1979) กลับไม่ประสบความสำเร็จเลย

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 จอห์นหันมาทำภาพยนตร์แนวตลกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเรื่อง From Riches to Rags (1980) Laughing Times (1981) Plain Jane to the Rescue (1982) และ To Hell with the Devil (1982) แต่ทุกเรื่องก็ประสบความสำเร็จพอสมควร จนช่วงหลังจากนั้น เขาก็อยู่ในช่วงวิกฤติของชีวิต เพราะผลงานเริ่มไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ทั้ง The Time You Need a Friend (1985) และ Heroes Shed No Tears (1986) (เปลี่ยนชื่อมาจาก Suset Warriors)

การแจ้งเกิดครั้งใหม่ของเขาเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 โดยการช่วยเหลือของ ฉีเคอะ โดยเขามอบหมายงานกำกับเรื่อง A Better Tomorrow (1986) หรือ โหด เลว ดี ซึ่งเป็นภาพยนตร์ในแนวแอ็คชั่นแก็งค์สเตอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยกวาดรายได้ทั่วฮ่องกง และสามารถคว้ารางวัลม้าทองคำ (ตุ๊กตาทองฮ่องกง) มาถึง 5 รางวัล รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากนั้นเขาก็มีผลงานท๊อปฟอร์มหลายเรื่องด้วยกัน เช่น A Better Tomorrow II (1987), Just Heroes (1989) และโดยเฉพาะ The Killer (1989) ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในเอเชียและต่างประเทศ โดยนักวิจารณ์ทั่วโลก ต่างกล่าวกันว่าเป็นผลงานที่มีความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด

จากนั้นช่วงทศวรรษที่ 90 เขาก็ยังประสบความสำเร็จอยู่มาก กับเรื่อง Bullet in the Head (1990), Once a Thief (1991) และ Hard Boiled (1992) ซึ่งเรื่องหลังนั้น เป็นภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องสุดท้ายที่เขากำกับ ก่อนที่เขาจะโกอินเตอร์ไปกำกับ ภ.ฮอลลีวู้ด โดยเรื่องแรกคือ Hard Target,Broken Arrow (1993),Face/Off (1997),Mission Impossible 2 (2000),Windtalkers (2001),Paycheck (2003) ก่อนที่เขาจะกลับมากำกับ ภ.ฮ่องกงอีกครั้งในโปรเจ็คท์ Red Cliff (2008) หรือสามก๊กฉบับจอห์นวู ทำให้เขากลับมาโด่งดังและมีเครดิตกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่จะมี Red Cliff 2 (2009) ซึ่งทั้ง 2 ภาค ก็สามารถสร้างรายได้ถล่มทลายทั้งในฮ่องกงและทั่วโลก

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (จราจลในสวีเดน,ระเบิดที่รามฯ กรุงเทพฯ - คนร้ายไล่แทงทหารกลางกรุงลอนดอน)


จลาจลระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้อพยบดำเนินไปเป็นวันที่ 6 ชานกรุงสต็อกโฮล์ม สวีเดน

เหตุการณ์จลาจลอย่างต่อเนื่องเที่เกิดขึ้นจากเขตฮูสบีย์แถบชานกรุงสต็อกโฮล์มของสวีเดนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้อพยพได้เข้าสู่วันที่ 6 แล้วเมื่อเช้าวันนี้โดยที่รถยนต์หลายคันถูกไฟเผาขณะที่อังกฤษกับสหรัฐกล่าวเตือนไม่ให้ประชาชนเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ เหตุจลาจลที่กิดขึ้นเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากชายวัย 69 ปีพกมีดสปาต้าเข้าไปในฝูงชน ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่ามีผู้ก่อเหตุถูกจับกุมแล้ว 8 คน แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำลายภาพลักษณ์ของสวีเดนในสายตานานาชาติจากประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความสงบสุขและประชาชนมีความเสมอภาคกัน

เจ้าหน้าที่ได้หลักฐานเพิ่มเติมในคดีระเบิดปากซอยรามคำแหง 43/1 ขณะที่นายกรัฐมนตรี กำชับให้เร่งหาสาเหตุพร้อมดูแลความปลอดภัยในย่านดังกล่าวให้เข้มข้น

การจราจรบนถนนรามคำแหง เช้าวันนี้ติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากเสียพื้นผิวจราจรไป 2 ช่องทาง ทำให้รถต้องเบี่ยงการจราจรเหลือเพียงช่องทางเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดเก็บกู้ระเบิด ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุระเบิดบริเวณปากซอยรามคำแหง 43/1 หน้าร้านตัดผมออกัส และธนาคารกรุงเทพ เมื่อคืนวานนี้ โดยเก็บวัตถุพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกจำนวนมาก เป็นเศษตะปู และ เศษภาชนะบรรจุ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกระป๋องน้ำผลไม้ แต่ยังไม่สามารถระบุยี่ห้อได้ ส่วนระเบิดที่พบนั้นเป็นชนิดแสวงเครื่อง ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าธนาคารกรุงเทพ คาดว่ามุมของภาพน่าจะสามารถบันทึกเหตุการณ์ได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานขอภาพกล้องวงจรปิดของทางธนาคาร และที่ สน.หัวหมาก เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนอยู่ในระหว่างการหารือเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าคดี สำหรับผู้ต้องสงสัยชาวพม่า และคนอื่นๆ ที่นำไปสอบปากคำ 5 ปาก ไม่พบพิรุธ หรือหลักฐานใดๆ ด้านผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดดังกล่าว ทั้ง 7 คน โดย 3 คนที่ส่งไปยังโรงพยาบาลเวชธานี แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ส่วนที่เหลือรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง

ล่าสุด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เข้าพบ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือและรายงานเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นให้นายกรับทราบ ซึ่ง นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมกับกำชับให้ดูแลความปลอดภัยพื้นที่ย่านรามคำแหง ให้เข้มงวดมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ ยังไม่สรุปว่าเป็นการก่อการร้าย ความขัดแย้งทางธุรกิจ ประเด็นการเมือง หรือสถานการณ์สืบเนืองจากความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ แต่เบื้องต้น เชื่อว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจมากกว่า เนื่องจากการวางระเบิดไม่ได้มุ่งเอาชีวิต

วานนี้ (23 พ.ค. 56) เอเอฟพีรายงานว่า ชาวอังกฤษเผชิญกับการก่อการร้ายในรูปแบบน่าอกสั่นขวัญแขวน จากเหตุการณ์ชายผิวสีชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย 2 คนก่อเหตุใช้มีดหั่นเนื้อด้ามยาวแทงและตัดศีรษะทหารอังกฤษนายหนึ่ง ใกล้ค่ายทหารปืนใหญ่ในเขตวูลวิช กรุงลอนดอน ต่อหน้าต่อตาผู้คนที่สัญจรไปมา โดยเหตุช็อกดัง กล่าวทำให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษร่นระยะเวลาเยือนฝรั่งเศสลงเพื่อรีบกลับอังกฤษมาประชุม รับมือสถานการณ์นี้กับคณะกรรมาธิการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลหรือคอบ ร้า นายคาเมรอนกล่าวว่า เป็นเหตุการณ์น่าตกตะลึง และบ่งบอกว่าเป็นการก่อการร้าย
จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่า ชายทั้งสองเชื่อมโยงกับกลุ่มโบโกฮาราม สายคลั่งลัทธิในไนจีเรีย ก่อเหตุเมื่อเวลา 14.20 น. วันที่ 22 พ.ค. ตามเวลาในอังกฤษ คลิปวิดีโอบันทึกภาพคนร้ายสวมเสื้อคลุมมีฮู้ดและหมวกไหมพรมสีดำ ถือมีดที่เปรอะเปื้อนคราบเลือด ตะโกนด้วยสำเนียงชาวเมืองลอนดอนว่า เราขอสาบานต่อพระอัลเลาะห์ เราจะไม่หยุดต่อสู้เพื่อพระองค์ เราจะสู้พวกที่สู้กับเราแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน  จากนั้นคนร้ายกล่าวขอโทษผู้หญิงที่อยู่ในที่เกิดเหตุและว่า ผู้หญิงในดินแดนตนก็เห็นสิ่งนี้เหมือนกัน คนอังกฤษจะไม่มีวันอยู่อย่างปลอดภัยอีกต่อไป ขับไล่รัฐบาลออกไป เพราะพวกนั้นไม่ใส่ใจประชาชน และบอกให้ประชาชนถ่ายรูป และบันทึกวิดีโอการกระทำทั้งหมดไว้ ขณะนั้นมีหญิงรายหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่า นางอิงกริด ลัวยู-เคนเนตต์ เดินตรงเข้าไปหาคนร้ายหวังช่วยระงับเหตุโดยถามว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ คนร้ายตอบว่า จะก่อสงครามในกรุงลอนดอนจากนี้ กระทั่งเมื่อตำรวจมาถึง จึงยิงปะทะกับคนร้าย จนคนร้ายบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแยกกันสองแห่ง  นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษจะไม่มีวันยอมแพ้แก่ผู้ก่อการร้ายหรือ กลุ่มก่อการร้าย หลังคนร้าย 2 คนใช้อาวุธมีดและมีดบังตอฆ่านายทหารประจำการนายหนึ่งเสียชีวิตอย่างอุกอาจในเมืองวูลวิช ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอนเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ระหว่างการแถลงข่าวที่หน้าทำเนียบบ้านเลขที่10 ถนนดาวนิ่ง สตรีทในกรุงลอนดอน นายคาเมรอน กล่าวว่า หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการเอาชนะกลุ่มก่อการร้ายคือ การพร้อมใจกันออกไปใช้ชีวิตตามปกติ  ขณะนี้ คนร้ายทั้งสองคนถูกกักขังอยู่ในโรงพยาบาลหลังถูกตำรวจยิง คนร้ายรายหนึ่งบาดเจ็บสาหัส สื่ออังกฤษ รายงานว่า หนึ่งในคนร้ายชื่อนายไมเคิล อาเดโบลาโจ วัย 28 ปี ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายทั้่งสองคนเป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย ขณะเดียวกัน ตำรวจได้บุกค้นบ้านญาติของคนร้ายที่เมืองกรีนิช และที่เมืองลิงคอล์นเชียร์ พร้อมทั้งนำสมาชิกบางคนในบ้านดังกล่าวขึ้นรถตำรวจไปด้วยเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม หลังจากก่อนนั้น ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งสามารถบันทึกภาพของชายคนหนึ่งในสภาพมือเปื้อนเลือด โดยชายคนดังกล่าวพูดว่า ตนลงมือก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้เพราะทหารอังกฤษได้สังหารชาวมุสลิมเสียชีวิตแทบทุกวัน ส่วนมาตรการความปลอดภัย ตำรวจนครบาลได้สั่งเพิ่มกำลังตำรวจอีกราว 1
,200 นายเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วกรุงลอนดอน

โฆษกสำนักงานประกันภัยของรัฐโอคลาโฮมา ในสหรัฐ กล่าวว่า พายุทอร์นาโดที่พัดถล่มเมืองมัวร์ ใกล้กับเมืองโอคลาโอมาซิตี ซึ่งทำลายบ้านเรือนกว่า 13,000 หลัง อาจสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มูลค่าความเสียหายดังกล่าวประเมินจากการสำรวจพื้นที่ประสบภัยพิบัติที่มีความกว้างกว่า 17 ไมล์ และพายุลูกนี้ซึ่งพัดถล่มเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้แผ่ตัวปกคลุมพื้นดินเป็นเวลา 40 นาที ด้านนายมิค คอร์เนทท์ นายกเทศมนตรีเมืองโอคลาโฮมาซิตี กล่าวว่า มีบ้านเรือนจำนวน 12,000 ถึง 13,000 หลังที่ได้รับความเสียหาย และประชาชน 33,000 คนได้รับผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่งจากทอร์นาโดลูกนี้ ส่วนผู้เสียชีวิตมีจำนวน 24 คน เป็นเด็กทารก 2 คน นายคอร์เนทท์ประเมินว่า ความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 1,5000 ถึง 2,000 ล้านดอลร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความเสียหายครั้งนี้อาจมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อครั้งที่ทอร์นาโดพัดถล่มเมืองจอปลินในรัฐมิสซูรี เมื่อปี 2554 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 161 คน และครั้งนั้นสภาพความเสียหายของบ้านเรือนมีน้อยกว่าในครั้งนี้.

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.4 ริคเตอร์ ใต้ทะเลนอกชายฝั่งประเทศหมู่เกาะตองกา ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เมื่อช่วงเช้าตรู่วันศุกร์ ศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกที่เกาะฮาวาย ออกประกาศเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งใกล้จุดศูนย์กลาง อาจเกิดคลื่นสึนามิแต่ไม่ร้ายแรง เนื่องจากจุดศูนย์กลางแรงไหวอยู่ลึกและห่างจากชายฝั่ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย หรือมีผู้บาดเจ็บล้มตาย   สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา แจ้งว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 05.19 น. ตามเวลาท้องถิ่น (00.19 น. ตามเวลาในประเทศไทย) มีจุดศูนย์กลางอยู่ลึกใต้ทะเล 171 กิโลเมตร ห่างชายฝั่งเกาะใหญ่ตองกา ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 255 กิโลเมตร แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้น 12 วัน หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 ริคเตอร์ เขย่าพื้นที่เดียวกันนี้ โดยจุดศูนย์กลางอยู่ลึกใต้ทะเล 205 กิโลเมตร แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ   หมู่เกาะตองกาอยู่ห่างจากนิวซีแลนด์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเกือบ 2,000 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในประเทศที่ตั้งอยู่บนแนว "วงแหวนไฟ" รอบริมขอบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง.

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยุคสมัยแห่งความทรงจำ โหยหาสันติภาพ และเสรีภาพเบ่งบาน

เป็นยุคของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตามมาด้วยสงครามย่อยๆ อย่างสงครามเกาหลี ,สงครามเวียดนาม,สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ,สงครามย่อยๆ ในฉนวนกาซ่าร์ ระหว่างปาเลสไตน์ เลบานอนและอิสราเอล

เป็นยุคแห่งการเรียกร้องโหยหา สันติภาพ และเสรีภาพ

กลิ่นไอของควันปืน  เสียงระเบิด  คราบโคลนดิน หยาดเหงื่อ น้ำตา

ความสูญเสีย สิ้นสูญ ขาดอิสรภาพ ชีวิตและจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์



เป็นยุคของการก่อตัวของรากวัฒนธรรมใหม่ การแต่งกาย แฟชั่นม้อด

ที่เรียกว่า แฟชั่นบุบผาชน เสื้อลาย สีสันสดใส กางเกงยีนส์ขาบาน กางเกงขาเดฟ

แฟชั่นผ้าโพกหัว เข็มขัดหนัง รองเท้าบู๊ตหนัง แว่นตากันแดด

หมวดแก๊ป หมวกแบเร่ย์  รองเท้าส้นตึก แฟชั่นพังค์ แฟชั่นฮิปปี้

และความนิยมในยีนส์ กางเกงหนัง เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ หรือแจ็คเก็ตหนัง


 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โลกนี้ทุกอย่างคือสมมติโดยแท้ มันเป็นเช่นนั้นแล จิตนี้ประภัสสร

ผู้เขียนได้อ่านข่าวและบทสัมภาษณ์ของพระแจ๊ส (หรือนามเดิมของท่านเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิงว่า แจ๊ส ทิฟฟานี่) ซึ่งท่านเคยโด่งดังจากการที่เป็นสาวประเภท2 ไปประกวดนางงามสาวประเภท2 ที่เรียกว่ามิสทิฟฟานี่ และเคยมีข่าวทะเลาะวิวาทหรือกินเกาเหลากับนางงามรุ่นพี่ประเภทเดียวกัน จากนั้นข่าวก็เงียบหาย มาได้รับข่าวอีกครั้งว่าท่านได้สละทิ้งคราบสาวประเภท2 รวมถึงเปลี่ยนแปลงสภาพจิตของตนจนกลับมาเป็นชาย และเข้าบวชในร่มกาสาวพัตร์ ข่าวนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นข่าวเซอร์ไพร้ซ์ในรอบสัปดาห์ และก็ชวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงนำมาถกประเด็นได้หลากหลายมุมมองมาก และได้ข้อสรุปโดยส่วนตัวว่าโลกนี้ทุกอย่างคือสมมติโดยแท้ มันเป็นเช่นนั้นแล จิตนี้ประภัสสร อยากให้ผู้อ่านลองอ่านบทสัมภาษณ์นี้ดู อาจจะอึ้งไปกับผู้เขียนก็เป็นได้ แต่สุดท้ายก็ขออนุโมทนาบุญไปกับพระแจ๊สด้วย ที่ค้นหาทางสว่างในชีวิต ของท่านเจอแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นคีย์พ้อยท์ของบทความนี้ครับ

ข่าวครึกโครมขึ้นเมื่อมีการแชร์ภาพ “พระแจ๊ส” ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก และวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เนื่องจาก “พระแจ๊ส” เคยผ่าตัดเสริมหน้าอก และนุ่งหญิง แต่งหญิง ใช้ชีวิตโลดแล่นสุดเหวี่ยงด้วยท่วงท่าหญิงสาวมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจผ่าซิลิโคลนทั้ง 2 ข้างออก ก่อนโกนหัวอุปสมบท และตั้งมั่นว่าจะเดินตามรอยพระพุทธองค์จวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต


ต่อข้อกังขาที่สังคมที่สังคมค้างคาใจ พระอตุวาทีภิกขุ เจ้าอาวาสวัดเลียบ กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นายสรวีย์ นัดที หรือ “แจ๊ส” ได้เข้าพิธีอุปสมบทแล้ว ซึ่งการเข้าอุปสมบทนี้ไม่ขัดกับหลักของพระพุทธศาสนา ทั้งสภาพจิตใจ และร่างกาย เป็นผู้ชายเต็มตัว และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุปสมบท

“หลังจากที่พระแจ๊สมาติดต่อขออุปสมบทได้ให้คำขอบวชไปท่อง ซึ่งปรากฏว่า พระแจ๊สท่องได้อย่างขึ้นใจ ที่สำคัญจากการตรวจร่างกาย และจิตใจก็เป็นผู้ชายปกติ ไม่มีลักษณะของเพศที่สามเหลืออยู่ และเป็นคนค่อนข้างเงียบ นิสัยเรียบร้อย โดยได้นำซิลิโคนออกจากหน้าอกแล้ว จึงได้ทำพิธีอุปสมบทให้”

แม้ว่าเจ้าอาวาสวัดเลียบจะยืนยันอย่างหนักแน่น แต่สังคมก็ยังไม่คลายความสงสัย เพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้กระจ่างแจ้ง “พระแจ๊ส” จึงเปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา “โยมต้องถามทีละข้อ อย่าถามเหมารวม พระต้องตอบชัดเจนทีละข้อ เพราะการถามในวันนี้พระจะพูดครั้งเดียวให้จบ เราจะได้เข้าใจตรงกันทีเดียว การที่โยมมาสัมภาษณ์ พระรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ รู้ว่าทุกคนมีงานต้องทำ เจ้าหน้าที่สั่งมาโยมก็ต้องทำ พระเข้าใจโยม แต่โยมเข้าใจพระมั้ย ถ้าโยมเข้าใจพระ พระจะดีใจมาก” พระมหาวิริโยภิกขุ เริ่มบทสนทนา

ก่อนจะอธิบายต่อว่า “โยมเข้าใจพระ” ในทีนี้ คือ การรู้ว่าพระต้องทำกิจของสงฆ์

“โยมมาแล้วยังมีกลุ่มอื่นอีก กลุ่มโยมยังดีที่มาแล้วคุยกันรู้เรื่อง แต่กลุ่มอื่นมาแล้วคุยกันไม่เข้าใจ บางเวลาเป็นเวลาที่สงฆ์ต้องทำกิจ พระบวชมาในธรรมวินัยนี้ ละจากทางโลกเข้ามาบวชเรียนด้วยบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการมีเวลาศึกษาธรรมะให้มากที่สุด กิจของสงฆ์มันเยอะ แต่พอโยมมา ตอนนี้สัมภาษณ์พระ พระองค์อื่นก็กำลังทำกิจกันอยู่ พระรู้สึกว่ามันเป็นการเบียดเบียนพระองค์อื่น และเบียดเบียนวัด ซึ่งพระไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” พระหนุ่มผู้มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่ จ.สงขลา กล่าวเรียบๆ และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนจากหลายสำนัก “ทำงานตามหน้าที่”



เพราะอะไรจึงบวช ?

พระมหาวิริโยภิกขุ : ตอนนี้อายุ 24 ปี ณ ปัจจุบันที่เป็นพระ คือบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็ต้องการความหลุดพ้น พระศึกษาธรรมะมาก่อนที่จะบวช เพื่อให้เข้าใจ พระตั้งใจบวชมาตั้งแต่อายุ 21 ปีแล้ว แต่ตอนนั้นพันธะทางโลกมันเยอะ ไม่มีโอกาสได้บวช แต่วันนี้พร้อมแล้วว่ายังไงก็ต้องบวชให้ได้ ก็โทร.ขอโยมพ่อกับโยมแม่ เมื่อเขาอนุญาต พระก็เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

พอโยมพ่อโยมแม่อนุญาตพระ พระทิ้งทุกอย่างทางโลกหมดเลย ทุกอย่างที่โยมสรรเสริญกันว่าดี พระก็วางวันนั้นเลย แล้วหลีกไปอยู่ป่า ก่อนจะไปอยู่ป่าพระเก็บตัวอยู่ในคอนโดฯ 1 เดือน แล้วไปอยู่ป่าอีก 1 เดือน เพื่อศึกษาธรรมะกับวัดสายป่า เพื่อให้บวชมาแล้วไม่ผิดง่าย วินัยสงฆ์บัญญัติไว้เยอะมาก ปาติโมกข์ต่างๆ ละเอียดอ่อน

พระไม่ได้บวชเล่น พระไม่ได้บวชเพราะถึงวัยเบญจเพส บวชแก้บน สะเดาะเคราะห์ หรือหนีคดีความมาบวช หรือไม่มีงานทำจึงมาบวช หรือไม่มีข้าวกินแล้วมาบวช พระไม่ได้เจตนาเช่นนั้น นี่คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าห้าม

“พระบวชเพื่อต้องการมีเวลาว่างได้ศึกษาธรรมะ ถ้าพระยังอยู่ทางโลก 24 ชั่วโมง ก็หายใจอยู่แต่เรื่องโลกๆ เรื่องปลอมๆ เรื่องไม่เที่ยง แต่พอมาอยู่กับธรรมะ เห็นพระดูมีความสุขมั้ย ตื่นเช้ามาตี 3 มาทำกิจ ภวนา สร้างความเพียร เดินจงกรม สวดมนต์ สรรเสริญพุธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทำกิจตรงนี้เสร็จก็ออกบิณฑบาต พระพุทธเจ้าบอกว่า บาตร 1 ใบ บริหารท้อง จีวร 1 ผืน บริหารกาย ให้มีแค่นั้น ไม่ให้มีอะไรมาก

ต่างจากทางโลก หม้อข้าวหม้อเดียวไม่เคยพอ ร้านข้าวหรูๆ เลือกเมนูอย่างดีไม่เคยพอ เสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนแล้ว เสื้อผ้าก็ต้องอัปเดตใหม่ตลอด ไม่ใหม่เพื่อนด่า ไม่ใหม่เดี๋ยวไม่เหมือนเพื่อน แต่จีวรไม่ใหม่ไม่เป็นไร ไม่ใหม่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเก่ายิ่งขลัง ยิ่งผืนเดียวยิ่งได้ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ คือเป็นผ้าเสียแล้ว ผ้าที่ขาห่อศพแล้วมาทำให้เสียสี หรือจีวรใหม่ก็ต้องมาทำให้เสียสี ย้อมน้ำฝาด พระพุทธเจ้าลึกซึ้งในเรื่องของข้อวัตรตรงนี้ มันมีความสุข พระไม่มีภาระอะไรแล้ว โยมที่ใส่บาตรมาข้าวเม็ดเดียวก็ไม่เสียเปล่า เพราะพระตั้งใจปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างดี ไม่ให้พร่อง” พระแจ๊สเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ ใบหน้าเปี่ยมสุข



ข่าวออกไปอย่างนี้ พระจะหลีกเร้นไปอยู่ที่อื่นไหม?

พระมหาวิริโยภิกขุ : พระไม่ไปไหน พระไม่ได้ทำอะไรผิด ก่อนบวชพระศึกษามาอย่างดีแล้ว ว่าพระมีอะไรผิดที่ต้องไม่ให้บวช การกล่าววาจาในอุโบสถ กล่าวขอขมากรรม กล่าววาจาต่อพระอุปัชฌาย์ หรือคณะสงฆ์ที่อยู่ในอุโบสถ ก็ไม่มีใครคัดค้าน เมื่อไม่มีใครคัดค้าน พระก็บวชได้ การกล่าวาจาต่างๆ ทุกอย่างชัดเจนหมด

พระยืนยันว่าไม่ไปไหน ประเทศไทย วัดไทย หรือวัดอื่นทั่วโลก โลกใบนี้ไม่ว่าพระจะหนีไปไหน ก็ไม่พ้นหัวใจตัวเอง แม้จะไปวัดโน้นวัดนี้เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนดี จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าสอนเหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติมาเหมือนกัน ศีลมีศีลเหมือนกัน วินัยบัญญัติเหมือนกัน ธรรมะก็มีเหมือนกันใช้ทั่วโลก

อยู่กับที่ ศึกษาธรรมะตรงนี้ ศึกษาตัวเอง เจอแล้ว ทีนี้เอาธรรมะ เน้นเดินตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่เดินตามคำครหาของใคร

พระไม่ใช่ฆราวาสแล้ว ตอนนี้พระเป็นพระ ใครจะมาชี้สั่งพระไปไหน สั่งได้ แต่พระไม่ทำ ใครจะสั่ง หรือว่าตำหนิ เป็นหน้าที่ของเขา แต่หน้าที่สงฆ์คือ ทำกิจของสงฆ์ให้ดีที่สุด ถ้าเมื่อไหร่ที่พระทำกิจของสงฆ์พร่อง ค่อยมาว่าพระ แต่ถ้าพระยังไม่พร่อง อย่ามาว่าพระ อย่ามาชี้สั่งพระ เดี๋ยวโยมจะเกิดเป็นความทุกข์ใจเปล่าๆ

พระไม่อยากเสียเวลากับการไปดู หรือวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น พระต้องดูตัวเอง มองหาตัวเอง หาจิตเดิมแท้ของตัวเองให้เจอ แล้วหาความหลุดพ้น ความหลุดพ้นมันมีทางแล้ว ก็เดินไป เดินตามทางของพระพุทธเจ้าไป วันนี้พระก็ทำแบบนี้ พระเชื่อพระพุทธเจ้าคนเดียว ไม่เชื่อคนอื่น พระพุทธเจ้าพูดยังไง พระต้องทำอย่างนั้น

โดยแท้จริงแล้วพระไม่ค่อยอยากพูดเรื่องโลก มันเป็นเรื่องอดีต พระอยู่ปัจจุบัน เมื่อพระเป็นพระแล้วมันไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ต้องไปพูดว่าตอนอยู่ทางโลกเป็นยังไง เมื่ออยู่ตรงนี้แล้วก็คือพระ มีแค่จีวร กับธรรมะ มีตัวเอง และมีพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นไม่มีอะไร

ตั้งใจบวชไปนานแค่ไหน?

พระมหาวิริโยภิกขุ : ใช้คำว่าบวชไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตก็ได้ เพราะอาจจะตายพรุ่งนี้ พระตั้งใจไปในผ้าเหลืองเพราะอุ่นดี นอนห่มผ้าเหลืองทุกคืน อุ่น

คำว่าบวชตลอดชีวิตมันไม่ใช่แค่บวช 60 ปี 70 ปี แต่มันคือพร้อมตายทุกเมื่อ อีก 2 ชั่วโมงพระอาจจะตายก็ได้ นั่นแหละคือตลอดชีวิตของพระ

ทุกคนมีธรรมะเหมือนกันหมด ง่ายที่สุดเลยก็คือ อานาปานัสสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ดับทุกอย่างได้ พระพุทธเจ้าบอกว่านี่แหละคือที่อยู่จำพรรษาของพระพุทธเจ้าตลอดกาล มีพระวจนะของพระพุทธเจ้าบอกไว้ด้วยว่า ใครมาถามว่าท่านอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าอยู่กับลมหายใจ ตัวจริงต้องอยู่กับลมหายใจ ตอนนี้มันต้องมีสติรู้ หายใจเข้ายาวมีสติรู้ชัด หายใจเข้าสั้นมีสติรู้ชัด มันสุขตลอด

พระมหาวิริโยภิกขุ ยังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สบายๆ ว่า “พระได้ศึกษาธรรมะบทหนึ่ง กล่าวว่า 2 อย่างง่ายๆ เลยที่เราต้องทำ คือ เจริญอานาปานัสสติ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง คู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติ หายใจเข้ายาว มีสติรู้ชัดหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว มีสติรู้ชัดหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น มีสติรู้ชัดหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น มีสติรู้ชัดหายใจออกสั้น นั่นก็คืออยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเรามีค่าที่สุด”

ก่อนจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ถ้ามีคนเดินหิ้วกระเป๋าบรรจุเงินร้อยล้าน แล้วมาบอกโยมว่าขอซื้อหน่อยเถอะ เอาเงินร้อยล้านซื้อลมหายใจ แล้วโยมก็เป็นแค่กายเปล่าๆ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีวิต เอามั้ย? เงินมีแต่ตายไปก็ไม่ได้ใช้ ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน

“โยมมาขอโทษพระเมื่อกี้ บอกว่าที่ทำข่าวออกไปมีผลกระทบ ต้องขอโทษด้วย พระบอกแล้วว่าอย่าติดใจในอดีต อดีตช่างมัน พระก็มีอดีต ทิ้งให้หมด เราอยู่ตอนนี้อยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจเรามีค่าสุดๆ คนสำคัญคือ คนที่อยู่ตรงหน้าเรา โยมคือคนสำคัญของพระ เพราะเรากำลังมีสติพูดคุยกัน ต้องให้ความสำคัญกับอันนี้ ส่วนผลกระทบว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะออกมาแค่ไหน ตรงนี้พระอ่านเจอชอบมาก...” พระแจ๊สยิ้มรับเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบ ก่อนจะเปิดตำราที่น่าจะผ่านการอ่านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มีที่คั่นหนังสือหลากสีติดอยู่เกือบทั่วทั้งเล่ม

จากพระไตรปิฎกบาลี 25/25/16 ผู้ชี้ขุมทรัพย์ :
“อานนท์... พวกช่างหม้อย่อมไม่พยายามทำกับหม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ อย่างทะนุถนอม ฉันใด เราย่อมไม่พยายามทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอมฉันนั้น

อานนท์... เราจะขนาบแล้วขนาบอีกเหมือนช่างปั้นหม้อ (ขนาบเข้าไป บีบเข้าไป) ขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด

อานนท์... เราจะชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก

ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้”

“ท่านอุปมาการปั้นหม้อเหมือนการชี้โทษ ถ้าผิดก็ชี้ว่าผิด ผิด ผิด ไม่มีชื่นชมให้หลง ให้เห็นในผิด นั่นหมายความว่า ใครจะตำหนิอะไร พูดอะไร โทษอะไร ผู้นั้นแหละชี้ขุมทรัพย์เราแล้ว ยิ่งหาข้อผิดในตัวเรา นั่นแหละเป็นการให้คุณแก่เราแล้ว เพราะถ้าเรามองไม่เห็นผิดเป็นโทษในตนเอง เราจะมองไม่เห็นทางที่สว่างเลย” พระมหาวิริโยภิกขุ หรือพระแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี ยูนิเวิร์ส 2009 สรุปทิ้งท้ายแทนการตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่สังคมพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

เครดิต อ้างอิงจาก www.manager.co.th