วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของเถ้าแก่น้อย และภาพยนตร์เรื่องวัยรุ่นพันล้าน

เรื่องย่อภาพยนตร์เรื่อง Top Sccret วัยรุ่นพันล้าน


• อายุ 16 ต๊อบมีเงินจากการเล่นเกมส์เดือนละ 400,000 บาท

• อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท

• อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน

• อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา

ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปี เป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ ?

• Top Secret วัยรุ่นพันล้าน ภาพยนตร์แรงบันดาลใจวัยรุ่น จะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องราวจากชีวิตเบื้องลึกของ ต๊อบ อิทธิพัฒน์ (พีช พชร) เจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อย วัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้

ต๊อบก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงมือรวยแบบต๊อบ อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องฝ่าฝัน อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องแลกให้กับคำว่า "รวย" อะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของความรวย และอะไรคือสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวของต๊อบเมื่อเขาได้ลองชิมสาหร่ายทอดบรรจุกระป๋องแบบโอท็อปเป็นครั้งแรก "อร่อย" "ซื้อที่ไหนนะ" "ราคาเท่าไหร่" "ฝากซื้อกี่กระป๋องดี" พบกับคำตอบที่ทำให้ต๊อบรวยพันล้าน

นักแสดง

• พีช - พชร จิราธิวัฒน์ รับบท ต๊อบ เถ้าแก่น้อย

• มุกไหม - วลันลักษณ์ คุ้มสุวรรณ รับบทหลิง แฟนต๊อบ

• สมบูรณ์สุข นิยมศิริ (เปี๊ยก โปสเตอร์) รับบท ลุงเทือง

• ไชยวัฒน์ อนุตระกูลชัย รับบท ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อธนาคาร

ผู้กำกับ  ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์  (ผลงาน แฟนฉัน,เด็กหอ,ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น,5 แพร่ง)

บริษัทผู้สร้าง  GTH 

"ลูกอั๊วกำลังไปเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว!!" ประโยคแซวของพ่อในวันนั้น แม้แต่ตัวของ "อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" ก็คงไม่คิดว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นผลักดันให้แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" แจ้งเกิด และเติบโตอย่างน่าจับตา ก้าวสู่สัญลักษณ์ที่คนทั่วไปจะนึกถึงทันที เมื่อกล่าวถึงขนมสาหร่ายทอด ไม่เกินเลยหากจะบอกว่า ความสำเร็จของ "เถ้าแก่น้อย" เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นแรงบันดาลใจที่ส่งให้เด็กหนุ่มวัยเพียงยี่สิบต้นๆ อย่าง "อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" สามารถพาสินค้าของตัวเอง ขึ้นครองเจ้าตลาดสำเร็จ

***ได้ดีเพราะติดเกม ***

ปัจจุบัน อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ วัย 23 ปี ดำรงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์ มาร์เกตติ้ง จำกัด ทว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลาย อิทธิพัทธ์เป็นเพียงวัยรุ่นทั่วไปคนหนึ่ง ซึ่งติดเล่นเกมออนไลน์แบบงอมแงม เหมือนๆ กันเด็กวัยรุ่นไทยอีกครึ่งประเทศ

ทว่า จุดสำคัญเขาสามารถนำสิ่งที่ผู้ใหญ่อาจมองว่าไร้ประโยชน์มาเปลี่ยนแปลงเป็นรายได้ และเมื่อบวกกับแรงบันดาลใจที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ปฐมบทแห่ง "เถ้าแก่น้อย" จึงเกิดขึ้น

"ผมเริ่มธุรกิจเมื่ออายุเพียง 18 ปี ก่อนหน้านี้ผมก็ขอเงินพ่อแม่เหมือนกับเด็กทั่วไป และติดเกมออนไลน์ Everquest อย่างหนัก เล่นทั้งวันทั้งคืน แข่งกับชาวต่างชาติ ผมเริ่มเล่นตั้งแต่เรียน ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้ม จนรวยที่สุดในเซอร์เวอร์ ทำให้ชื่อตัวละคนของผมเป็นที่รู้จักในเซอร์เวอร์ จนมีฝรั่งมาขอซื้อของสะสม และแต้มสะสม ชื่อของผม ก็เลยลองขาย ปรากฏว่า หลังจากนั้น ก็มีเงินโอนเข้ามาจริงๆ" อิทธิพัทธ์ เล่าถึงเงินก้อนแห่งที่หาได้ด้วยตัวเอง

เขาสร้างรายได้จากการขายแต้มสะสมเกมออนไลน์ให้ผู้เล่นเกมในเซอร์เวอร์นานกว่า 2 ปี จนมีเงินเก็บหลักแสนบาท กระทั่ง จบระดับมัธยม และเข้าเรียนต่อปี 1 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เริ่มก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว ตามความฝันที่อยากมีธุรกิจของตัวเองมานานแล้ว

"หลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มเสื่อมความนิยมลง ผมคิดอยากหารายได้จากช่องทางอื่น เคยลองจับทั้งขายเครื่องวีซีดี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ก็พยายามหาธุรกิจจะทำไปเรื่อยๆ เคยไปดูทำเลหน้า ม.หอการค้าไทย กะจะเปิดร้านขายกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย"

"กระทั่ง ผมไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจที่เมืองทองธานี เจอแฟรนไชส์เกาลัดจากประเทศญี่ปุ่นมาออกบูท ก็สนใจมาก เพราะแฟรนไชส์ของเขามีเครื่องคั่วเกาลัดแบบทันสมัย ผมก็เกิดความสนใจ เพราะส่วนตัวชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว แต่ว่า ค่าแฟรนไชส์ราคาสูงมากเป็นล้านบาท ผมไม่มีเงินมากขนาดนัก เลยติดต่อกับเจ้าของแฟรนไชส์ว่า ผมจะขอเช่าตู้คั่วเกาลัด แล้วมาสร้างแฟรนไชส์ของตัวเอง" เจ้าของธุรกิจ เล่าให้ฟัง

***สร้างแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" ***

ทุกย่างก้าวนับแต่อิทธิพัทธ์ เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง จะอยู่ภายใต้การรับรู้ของสมาชิกครอบครัวทุกคน ผ่านการบอกเล่าและสอบถามความเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพ่อของเขา ที่จะเฝ้ามองลูกชายอย่างชื่นชม และพร้อมเป็นป๋าดันเต็มตัว

"หลังเช่าตู้ได้แล้ว เช้าวันที่ผมจะไปเซ็นสัญญาเช่าที่ขายเกาลัดหน้าห้างฯ แห่งหนึ่ง ก่อนเดินทางออกจากบ้าน เจอพ่อผมกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ เล่าถึงเรื่องผมจะไปทำธุรกิจ แล้วหันมาพูดแซวผมให้เพื่อนฟังว่า 'ลูกอั่วกำลังไปเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว' ผมก็ได้หัวเราะตอบ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมาก จนเมื่อไปถึงห้างฯ ต้องกรอกใบสมัคร ซึ่งให้ระบุถึงชื่อร้านหรือแบรนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมยังไม่มีชื่อในใจเลย แต่คิดถึง คำพูดพ่อที่แซวผม เลยเป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" มาจนถึงปัจจุบัน" อิทธิพัทธ์ เผยที่มาของแบรนด์



อิทธิพันธ์ ใช้เวลาเพียงปีเศษ ขยายสาขาแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย จากหนึ่งเป็น 30 กว่าสาขา และเนื่องจากเห็นโอกาสว่า เมื่อมีหน้าร้านหลายแห่งแล้ว ทำไมต้องจำกัดตัวเองแค่ขายเกาลัดอย่างเดียว จึงลองนำเข้าสินค้าต่างๆ มาขายพ่วงที่หน้าร้านแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย ฯลฯ ผลปรากฏว่า ในร้านฯ สินค้าที่ขายดีที่สุด คือ สาหร่ายทอด ยอดขายเหนือกว่าเกาลัดเสียอีก เป็นแรงบันดาลใจ อยากจะต่อยอดธุรกิจขายสาหร่ายอย่างจริงจัง

"หลังจากเห็นว่า ยอดขายสาหร่ายมันดีจริงๆ ผมก็เริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย ผมอยากขยายตลาดธุรกิจสาหร่ายไปตามร้านค้าต่างๆ เริ่มแบบง่ายๆ โดยบรรจุซองพลาสติกไปฝากร้านค้าต่างๆ ให้ลองขาย แต่พอทำจริง มีอุปสรรค อายุสินค้าสั้น และรูปลักษณ์ไม่สวย ทำให้ไม่สามารถเปิดตลาดได้ มีของคืนจำนวนมาก เพราะสาหร่ายเก็บไว้ได้ไม่นาน ผมก็พยายามคิดค้นหาทางแก้ โดยถามผู้รู้ จนวันหนึ่งเข้าร้าน 7-11 ผมเริ่มสนใจตลาดในร้านสะดวกซื้อ คิดว่าถ้าสินค้าเราเก็บไว้ได้นานกว่านี้ มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจ วางขายในร้าน 7-11 ตลาดน่าจะขยายตามไปด้วย ดีกว่าผมต้องวิ่งไปส่งด้วยตัวเอง"

เพื่อจะให้สาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าขายในร้าน 7-11 อิทธิพัทธ์เริ่มจากนำสาหร่ายแพคซองพลาสติกง่ายๆ ไปฝากไว้ที่ฝ่ายคัดสรรสินค้าเข้าจำหน่าย ทว่า ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแสนธรรมดา จึงไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แต่น้อย

เมื่อไร้การติดต่อกลับเป็นเวลานาน เจ้าตัวร้อนใจถึงขั้นต้องโทร.ไปตามตื้อ และสอบถามสาเหตุที่สินค้าไม่ได้รับความสนใจ เจ้าหน้าที่ชี้แจงกลับมาว่า สินค้าคุณไม่สวย ไม่เหมาะกับ 7-11 เจออย่างนี้ เขาเลยกลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ว่า ทำอย่างไรให้สาหร่ายเถ้าแก่น้อยมีสไตล์เป็นของตัวเอง และถูกใจคนทั่วไป

"ตอนที่กลับมาคิดว่า เราต้องสร้างสไตล์ของตัวเอง ผมมองว่ากระแสญี่ปุ่น เกาหลี กำลังมาแรง คนไทยหันมายึดเทรนด์นี้กันหมด ดังนั้น การออกแบบ ผมเน้นให้ออกมาในสไตล์ของญี่ปุ่นแท้ๆ ดูน่ารัก มีความสุข และสามารถจดจำได้ทันทีเมื่อเห็นครั้งแรก"

"ด้านสีสันก็ให้สดใส มีโลโก้ที่สะดุดตา จำง่าย นอกจากนั้น พยายามชูธงเป็นของกินเล่นที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีแคลอรี่ต่ำ เหมาะกับกระแสรักสุขภาพ รวมถึง เพิ่มรสชาติให้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรสเผ็ด รสซีฟู้ด เป็นต้น"

เมื่อปรับปรุงสินค้าแล้ว อิทธิพัทธ์นำกลับไปเสนออีกครั้ง ผลที่ได้ หลังกลับมาบ้าน มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาทันที พร้อมกับคำถามว่า ภายใน 3 เดือนคุณพร้อมจะวางขายสินค้านี้ในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่

"ตอนนั้น ผมคิดในหัวเลยว่า 3,000 สาขา เราต้องทอดสาหร่ายสักกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน จะทำทันไหมฯลฯ"

ระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที คำถามสารพัดวิ่งเข้ามาหัวเต็มไปหมด แทนที่จะปล่อยให้คำถามเป็นด่านขวางกัน กลับเลือกจะสลัดความกลัวต่างๆ ทิ้งไปแล้วตอบกลับว่า

"พร้อมครับ แต่หลังจากวางสาย สิ่งที่มันวิ่งเข้ามาในหัวผม มันเยอะมาก ผมคิดถึงการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ นำเข้าเครื่องจักร ฯลฯ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก"

*** ทิ้งแฟรนไชส์ คว้าโอกาสใหม่***

ในวัยเพียง 20 ปี กับภาระต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อส่งเข้าขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มากกว่า 3,000 สาขา ถือเป็นภาระที่หนักแสนสาหัส

โดยเฉพาะการหาทุนสร้างโรงงาน ดังนั้น อิทธิพัทธ์ได้ลองยื่นแผนธุรกิจ เพื่อขอกู้เงินจากธนาคารแห่งหนึ่ง

ทว่า ผลที่ได้ คือ การปฏิเสธ เหตุผลสำคัญ เพราะผู้ยื่นกู้มีอายุเพียง 20 ปี ซึ่งอิทธิพัทธ์ชี้ว่า เป็นความบกพร่องของระบบสถาบันการเงินที่มองเพียงแค่ปัจจัยปลีกย่อย ไม่ยอมพิจารณาถึงแผนธุรกิจ ตลอดจนโอกาส และความมุ่งมั่นของเขา

เมื่อกู้เงินไม่สำเร็จ เป็นที่มาของการตัดสินใจขายแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยทิ้งทั้งหมด ซึ่งเวลานั้น มีจำนวนกว่า 30 สาขา สร้างรายได้รวมให้เดือนละล้านกว่าบาท เพื่อมาเป็นทุนสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด

"ตอนตัดสินใจขายแฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้ายิ่งเป็นคนที่เคยปลุกปั้นธุรกิจมากับมือจะรู้ความรู้สึกของผมดี ว่า การขายทิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย"

"ความรู้สึกของผมเหมือนกับเรามีรถดีๆ สักคันขับอยู่แล้ว แต่กำลังอยากได้รถคันใหม่ แต่ไม่รู้หรอกว่า รถคันใหม่จะดีหรือเปล่า และช่วงที่ขายรถคันเก่าออกไป ต้องยอมนั่งรถเมล์ไปก่อน"

อิทธิพัทธ์ ระบุว่า การตัดสินใจครั้งนั้น คือ จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตธุรกิจ เดิมพันระหว่างโอกาสแห่งความสำเร็จในอนาคต กับทุกอย่างที่สร้างมาต้องสูญไปหมด

"สำหรับ SMEs แล้ว ผมเชื่อว่าการกล้าตัดสินใจมีส่วนสำคัญให้ก้าวสู่ความสำเร็จ เหมือนกับคำที่ว่า ความเสี่ยงที่สุดในการทำธุรกิจ คือ คุณไม่คิดจะเสี่ยงทำอะไรเลย"

"การเสี่ยงครั้งแรกของผม คือ ตัดสินใจลาออกจากปี1 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะตอนนั้น แฟรนไชส์เกาลัด เริ่มมีสาขามาก ผมต้องทำเองทุกขั้นตอน แทบไม่มีเวลาเรียน จนผมต้องชั่งใจระหว่างจะเรียนต่อ หรือมาลุยธุรกิจเต็มตัว ซึ่งผมกลับมาดูตัวเอง ผมชอบทำธุรกิจ มีความสุขที่จะทำไปเรื่อยๆ ชอบเห็นคนมาซื้อสินค้าของผม เลยตัดสินใจดร็อบเรียน มาลุยทำธุรกิจเต็มตัว"

"ส่วนการเสี่ยงครั้งที่สอง คือ ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ แล้วหันมาจับตลาดสาหร่ายทอดแทน โดยตอนนั้น ผมเชื่อว่า กระแสญี่ปุ่นในไทยจะต้องแรง เพราะดูการแต่งตัว อาหาร ดาราต่างๆ คนไทยนิยมสไตล์ญี่ปุ่นหมด"

เงินที่ได้จากการขายแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยหลักล้านบาท ถูกแปลงมาสร้างเป็นโรงงานผลิตสาหร่ายทอดอย่างเร่งด่วน ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ส่วนการผลิตสินค้าต้องเร่งรีบเช่นกัน อิทธิพัทธ์ เล่าว่า เขาพร้อมสมาชิกในครอบครัวทุกคน รวมถึง คนงานอีกแค่ 6-7 คน ทำงานกันอย่างหนัก โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงกำหนดส่งสินค้าแทบไม่ได้หลับนอน กระทั่ง 6 โมงเช้า ของวันกำหนดส่งสินค้า เขาขับรถที่ด้านหลังบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ส่งเข้าศูนย์จำหน่ายสินค้าของ 7-11 ได้สำเร็จ

***ดันแบรนด์ผู้นำสแน็คสาหร่าย ***

ทั้งนี้ หลังจากได้เข้าขายในร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง สาหร่ายเถ้าแก่น้อย มียอดขายเติบโตด้วยดีสม่ำเสมอ รวมถึง มีการขยายประเภทสินค้าให้ตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ห่อละ 5 บาท ถึง 60 บาท เหมาะสำหรับเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ครอบครัว เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย

"ในระยะแรก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กลุ่มผู้บริโภคที่แท้จริงของผมคือใคร ทำให้ต้องเลือกทำตลาดกับทุกคน ซึ่งถือว่า ผมโชคดีที่สินค้าสามารถเจาะตลาดได้กว้าง แต่สำหรับการทำธุรกิจในเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ผมคิดว่า ควรจะมองการตลาดในแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อจะวางแผนการตลาดทั้งหมดไปในทิศทางถูกต้อง"

สำหรับการสร้างแบรนด์นั้น อิทธิพัทธ์ ระบุว่า ต้องการให้เถ้าแก่น้อยเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำสาหร่ายกินเล่น ทั้งด้านเจ้าตลาด และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินค้าชนิดนี้จริงๆ

"หลังจากที่ทำธุรกิจสาหร่ายได้สักระยะหนึ่ง ผมเคยมีความคิดจะขยายไปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์นี้ แต่กลับมานึกว่า จะทำให้แบรนด์กลายเป็นเลอะเทอะ จนคนไม่รู้ว่า เถ้าแก่น้อย คืออะไรกันแน่ ในที่สุดผมเลือกจะโฟกัสที่สาหร่ายอย่างเดียว ให้คนทั่วไปจดจำเราในฐานะเป็นตัวแทนของสาหร่ายกินเล่น ไม่ว่าคุณจะกินยี่ห้อไหนก็ตาม ชื่อของเถ้าแก่น้อยก็จะเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของสาหร่ายกินเล่นเลย เหมือนเวลาเราไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็จะบอกว่าไปซื้อ "มาม่า" แต่ที่จริงเราจะไปซื้อยี่ห้อ "ไวไว" หรือไปซื้อผงซักฟอง ก็บอกว่าซื้อ "แฟ๊บ" ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะซื้อยี่ห้อ "บรีส" เป็นต้น"

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารภายในองค์กร หรือนำเสนอภาพลักษณ์ต่อมวลชนภายนอก แบรนด์เถ้าแก่น้อย พยายามตอกย้ำแนวคิดเป็นผู้นำ และผู้เชี่ยวชาญด้านสแน็คสาหร่ายเสมอ

"ผมเริ่มจากปรับความคิดของคนในองค์กรว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาหร่าย ซึ่งผมต้องเริ่มจากปรับทัศนคติในองค์กรก่อน ถ้าภายในเรายังปรับไม่ได้ เราจะไปปรับทัศนคติภายนอกได้อย่างไร"

"จากนั้น ผมสร้างแบรนด์ โดยโฆษณาโทรทัศน์ โดยใช้ "ครูคริส" (คริสโตเฟอร์ ไรท์ : ครูสอนภาษาอังกฤษชื่อดัง) โดยชูคอนเซ็ปท์ว่า " seaweed is สาหร่าย เถ้าแก่น้อย" เพราะหลายคนไม่รู้ว่าคำว่า "seaweed" แปลว่า "สาหร่าย" การนำครูคริส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของครูสอนภาษาอังกฤษมาตอกย่ำ สอนคำนี้ แล้วพ่วงคำว่า เถ้าแก่น้อยลงไปด้วย ช่วยตอกย่ำว่า เถ้าแก่น้อยก็คือ ขนมสาหร่าย และขนมสาหร่าย ก็คือ เถ้าแก่น้อย"

"นอกจากนั้น เราทำกิจกรรมร่วมกับรายการโทรทัศน์ต่างๆ เช่น รายการกบนอกกะลา ถ่ายทำวิธีการผลิตสาหร่ายที่มาจากต่างประเทศ และการผลิตในโรงงานเรา เพราะผมเชื่อว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน จำเป็นต้องเปิดเผยกระบวนการผลิต วิธีการ และให้ทุกคนมีความรู้ในสิ่งที่เราทำว่า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ซึ่งทั้งหมดจะเป็นการปลูกฝังว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย คือผู้เชี่ยวชาญด้านสาหร่ายจริงๆ"

*** "เถ้าแก่น้อย" โกอินเตอร์ ***

ไม่เพียงตลาดในประเทศเท่านั้น หลังจากประสบความสำเร็จมาได้ประมาณ 2 ปี แบรนด์ไทยรายนี้ ก้าวต่อไปสู่ตลาดต่างประเทศ

"เมื่อมีความพร้อม ผมเริ่มไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มต้นที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ ผมเชื่อว่า ตลาดสองชาตินี้ แม้จะมีปริมาณคนน้อย แต่มีศักยภาพซื้อสูงมาก ซึ่งสาเหตุที่ผมสนใจส่งออก เพราะมีเทรนด์เดอร์ นำสินค้าของผมไปขายที่สิงคโปร์ ผมก็เลยบินตามไปดู พบว่า สินค้าเถ้าแก่น้อยขายในร้านขายของชำทั่วไปในสิงคโปร์ ทำให้ผมคิดว่า สินค้ามันน่าจะขยายได้กว้าง ในห้างสรรพสินค้าของเขาก็น่าจะขายได้เช่นกัน"

แผนการเปิดตลาดต่างประเทศนั้น แทนที่จะเลือกใช้วิธีทั่วไปแบบมาตรฐาน คือออกงานแฟร์เกี่ยวกับอาหาร รอให้ลูกค้ามาติดต่อ แล้วสั่งสินค้าไปจำหน่าย อิทธิพัทธ์กลับเลือกจะทำตลาดเชิงรุก นำเสนอสินค้าด้วยตัวเองโดยตรง ผ่านทางอีเมลล์

"ผมอยากจะขายสินค้าตามห้างในสิงคโปร์ โดยไม่ต้องผ่านเทรนด์เดอร์ ซึ่งปกติเวลาไปออกบูทขายสินค้า เหมือนรอให้ลูกค้า เข้ามาหาเรา รอให้เขาเป็นฝ่ายเลือกเรา ผมก็เปลี่ยนแผนการตลาด เป็นฝ่ายเข้าไปหาลูกค้าเสียเอง ซึ่งผมไปดูตามชั้นวางสินค้าขนมในห้าง แล้วดูว่า มาจากประเทศใดบ้าง นำเข้าจากบริษัทใด ใครเป็นผู้จัดจำหน่าย หรือเป็นผู้นำเข้า แล้วก็จดเบอร์ติดต่อ จากนั้น ก็ส่งอีเมล์ไปหา แนะนำสินค้า ไม่ต้องรอให้เขามาหาเอง ซึ่งได้ผลมาก ทำให้ผมได้เจอลูกค้าจริงๆ ซึ่งผมก็บอกเขาว่า ผมอยากจะนำสินค้าเข้ามาขายจริงๆ จนเขายอมนำสินค้าไปวางขาย ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยส่งออกไปหลายประเทศ ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวั่น อินโดนีเซีย เป็นต้น"

*** ต่อยอดขยายแบรนด์ "CURVE" ***

สำหรับยอดขายของ "เถ้าแก่น้อย" นับวันจะยิ่งทะยานสูง ยืนอยู่แถวหน้าของตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายทอด เมื่อปีที่แล้ว ยอดขายกว่า 500 ล้านบาท ปีนี้ (2551) ตั้งเป้า 750 ล้านบาท

ไม่เท่านั้น อิทธิพัทธ์ ยังแตกแบรนด์ใหม่ "CURVE" ขยายฐานการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่ออุดทุกช่องว่างในตลาดของผลิตภัณฑ์สาหร่าย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

"ผมเป็นคนมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ และเพื่อนๆ มักชอบถามว่า กินเถ้าแก่น้อยแล้วอ้วนไหม ทั้งๆ ที่ตัวสาหร่ายมันมีแคลอรี่ต่ำอยู่แล้ว ทำไมสาวๆ ยังกังวลกันอีก ก็เลยคิดว่าหันมาจับตรงนี้เต็มตัวเลยดีกว่า ซึ่งนั่นก็คือที่มาของ CURVE"

และยังเป็นที่มาของ "แคลอรี่น้อย...อร่อยได้เต็มที่" คำจำกัดความที่อิทธิพัทธ์คิดขึ้นเพื่อใช้โปรโมท แบรนด์ใหม่ "CURVE" โดยมุ่งจับกลุ่มผู้หญิงวัย 18-30 ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ

"จุดเด่นสำคัญของ CURVE อยู่ตรงที่ใช้สาหร่ายเกรด A พันธุ์พรีเมี่ยม AJINSUKE NORI นำมาผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้มีเนื้อบางละลายในปากได้ สาหร่ายพันธุ์นี้ ให้พลังงานต่ำกว่า 15 กิโลแคลอรี่ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยดูแลระบบขับถ่าย ที่สำคัญยังเน้นที่รสชาติความอร่อยเป็นหลัก ผิดกับอาหารว่างเพื่อสุขภาพชนิดอื่นๆ"

ช่องทางการตลาดของ CURVE เป็นช่องทางเดียวกับ "เถ้าแก่น้อย" คือในโมเดิร์นเทรด เช่น โลตัส, บิ๊กซี, ท็อปส์, เซเว่นฯ

แต่จะเพิ่มช่องทางตามร้านเพอร์ซันนัลแคร์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น ร้านวัตสัน, บูธส์, ร้านขายยาที่ดูมีเกรด รวมทั้งตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำ Major, EGV และ SF Cinema

"เป้าหมายของ CURVE คิดว่าปีนี้ซึ่งเป็นปีแรก น่าจะได้สัก 50 ล้าน โดยยกลยุทธ์ราคาจะตั้งสูงกว่าเถ้าแก่น้อยนิดหน่อย"

เมื่อรวมกับ "เถ้าแก่น้อย" ที่ตั้งเป้าไว้ 750 ล้านบาท ถ้าทำได้ ปีนี้ก็แตะ 800 ล้านบาท ทั้งส่วนที่ขายในประเทศและส่งออก

และเป้าหมายในระยะต่อไป วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ กำลังลงทุนหลักร้อยล้าน เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ มีศักยภาพผลิตสาหร่ายได้ถึง 1,000,000 แผ่นต่อวัน

*** แจงปรัชญาธุรกิจ 3 ประการ ***

ด้วยวัยเพียง 23 ปี ต้องดูแลพนักงานกว่า 800 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีวัยมากกว่า จุดนี้ เจ้าตัวระบุว่าไม่ได้เป็นปัญหา เพราะพยายามมอบนโยบายอย่างให้เกียรติทุกคน และเอาชนะผู้ต่อต้านด้วยความสามารถ และเหตุผล

สำหรับหลักที่เขายึดในการทำธุรกิจตลอด มีหัวใจสำคัญ 3 ด้าน คือ ทัศนคติบวก ความรู้คู่จินตนาการ และกล้าคว้าโอกาส

"ด้านทัศนคติ ผมเชื่อว่า การที่สินค้าของไทยจะส่งออกได้ ต้องปรับทัศนคติก่อน ถ้ามีทัศนคติว่า ทำยาก ทำไม่ได้ หรือสินค้าฉันเป็นแบบนี้ ก็จะขายอย่างนี้ มันก็ยากจะประสบความสำเร็จ ดังนั้น ก่อนที่เราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใครสักคน หรือทำอะไรสักอย่าง เราต้องเริ่มที่ปรับทัศนคติเสียก่อน คิดว่าเราต้องทำให้ได้ แม้ว่า หนทางข้างหน้า จะมีขวากหนามหรืออุปสรคใดๆ ก็ตาม ขอให้ลองทำดูก่อน ทำไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที"

"ตัวอย่างจากตัวผมเอง จะพยายามคิดเสมอว่า ลองทำดูก่อน เหมือนตอนเปิดแฟรนไชส์เกาลัด แรกๆ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยดี อย่างสาขาแรก ผมเช่าหน้าห้างแห่งหนึ่ง ค่าเช่าวันละ 500 บาท วันแรกขายได้ 300 บาท เป็นอย่างนี้อยู่ 2 เดือนก็ท้อใจ บังเอิญ มีห้างแห่งนี้ มาเสนอให้ไปจัดโปรโมชั่นในห้าง ผมก็เลยลองดูอีกทีหนึ่ง"

"ปรากฏว่า ขายได้วันละ 5พันกว่าบาท ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจไม่สำเร็จ อาจเกิดจากความรู้ไม่พอ ขายไม่ดีเพราะตั้งในจุดที่ไม่ใช่จุดที่ลูกค้าเป้าหมายจะผ่าน เพราะตอนนั้น ผมตั้งร้านที่ทางออกที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ ในขณะที่ เกาลัด ขายกิโลละ 2-3 ร้อยบาท จนวันที่ผมไปขายในห้าง ผมถึงรู้ว่า ที่ขายไม่ดี เพราะที่ผ่านมาทำเลไม่ได้ และฮวงจุ้ยไม่ดี ทุกวันนี้ ผมจะคิดถึงเรื่องทำเลตลอด ไม่ใช่แค่ที่ตั้งร้าน แต่หมายรวมถึง ตำแหน่งบนชั้นวางสินค้า"

"ด้านที่สอง คือ ความรู้ แม้การทำธุรกิจ คือ ความเสี่ยงก็จริง แต่ต้องทำให้เสี่ยงน้อยที่สุด เสี่ยงอยู่บนพื้นฐานความรู้จริง ไม่จะเริ่มต้นทำธุรกิจประเภทใด หลักที่ผมท่องเป็นคาถาส่วนตัว คือ ถาม ถาม และถาม"

"คาถานี้ ผมอยากให้เอสเอ็มอีทุกรายท่องไว้เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร ขอให้ศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจที่ตัวเองจะทำ ซึ่งวิธีจะได้ความรู้ง่ายๆ คือ ถาม"

"อย่างตัวผมที่ไม่เคยมีความรู้ด้านเกาลัด หรือสาหร่ายมาก่อนก็ถาม ตอนผมทำเกาลัด ผมก็ไปเดินที่เยาวราช เดินถามความรู้ร้านเกาลัดตั้งแต่ต้นซอยถึงท้ายซอย ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ วิธีคั่ว วิธีเก็บ ราคา ฯลฯ ก็ถามไปเรื่อยๆ จนได้ความรู้ระดับหนึ่ง จากนั้นก็ศึกษาเพิ่มเติมจนเชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับตอนทำสาหร่าย ผมเริ่มด้วยถามจากผู้รู้ต่างๆ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย ตำราทั้งในและต่างประเทศ รวมถึง บินไปดูแหล่งผลิต การปลูกถึงต้นตำรับ"

อิทธิพัทธ์ ระบุว่า เหตุที่จะทำให้สามารถจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานๆ จนสะสมความรู้อย่างถ่องแท้ ผู้ประกอบการควรจะรักและชอบในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่แล้ว

"ถ้าจะทำสิ่งใดๆ ให้ได้ดี ต้องมีความรักในสิ่งที่ตัวเองทำด้วย อย่างตัวผมเองชอบกินเกาลัด และสาหร่าย ทำแล้วสนุก และมีความสุข และในที่สุดเราจะกลายเป็นความเชี่ยวชาญ สามารถที่จะพลิกแพลงประยุกต์ให้สินค้ามีความต่าง มีจุดเด่นออกไปได้"

ทั้งนี้ เมื่อมีความรู้แล้ว ต้องเติมจินตนาการบวกเข้าไปด้วย

"ถ้ามีความรู้ ความชำนาญแล้ว แต่ขาดจินตนาการที่จะใส่ลงไป ความรู้จะถูกเก็บพับไว้บนหิ้ง แต่ถ้ามีความรู้ และใส่จินตนาการเข้าไป จะสามารถเปลี่ยนความรู้สู่ความเป็นจริงได้ และในแง่ของธุรกิจมันทำให้เกิดความแตกต่าง ผมยกตัวอย่างเช่น จินตนาการของคนที่อยากบินได้เหมือนนก นำมาสู่เครื่องบิน"

หลักข้อสุดท้าย คือ กล้าคว้าโอกาส อิทธิพัทธ์ ระบุว่า "ตอนผมทำธุรกิจเกาลัด 6-7 สาขา ผมต้องเลือกระหว่าง เรียนต่อให้จน กับออกมาทำธุรกิจเต็มตัว ถ้าผมเลือกเรียนต่อ ก็คงไม่มีวันนี้ หรือตอนที่ 7-11 โทร. ถามว่าพร้อมจะผลิตเข้า 3,000 สาขาหรือเปล่า ถ้าผมบอกว่า ยังไม่พร้อม หรือขอรอไว้ก่อน ก็อาจไม่มีวันนี้"

"ดังนั้น ผมจึงคิดว่า คนจะทำธุรกิจ ควรจะคว้าโอกาส ผมยกตัวอย่าง ชาวประมงคนหนึ่งออกไปหาปลาในวันที่คลื่นลมแรง และสามารถกลับมาด้วยความปลอดภัยพร้อมกับได้ปลามาด้วยจำนวนมาก จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่า สำหรับผมมันคือการคว้าโอกาส"

*** It's my life เถ้าแก่วัย 23 ปี ***

แม้แง่หนึ่ง อิทธิพัทธ์จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเอง ทว่า ในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เขาก็เป็นหนุ่มวัย 23 ปี ที่ควรจะได้ใช้ชีวิตสนุกสนานให้สมกับวัย

อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าไม่ได้สูญเสียชีวิตวัยรุ่นไปแต่อย่างใด เนื่องจากความสุขของเขาคือ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

"ช่วงวัยรุ่น ผมก็เกเรไม่เบา แม้แต่เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน ยังไม่เชื่อว่า ผมจะสามารถมามีวันนี้ได้ ซึ่งผมคิดว่า ตัวเองไม่ได้สูญเสียช่วงเวลาสนุกสนานอย่างวัยรุ่นไป เพราะผมมีความสุขที่ได้ทำธุรกิจ ผมเคยผ่านช่วงที่เที่ยวมาเช่นกัน แต่รู้สึกว่า มันก็เท่านั้นแหละ การทำธุรกิจทำให้ผมมีความสุข ที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดูแลคนที่อายุมากกว่าผม สนุกกว่าที่ผมได้ไปเที่ยว"

"และเป้าหมายต่อไป ผมอยากพาองค์กร และพนักงานในความรับผิดชอบที่มีอยู่กว่า 700-800 คน ให้อยู่รอดได้ แม้ว่าตัวผมเองจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม"

สำหรับความสำเร็จที่เกิดขึ้น เมื่อให้มองย้อนไปถึงแรงบันดาลใจขับเคลื่อนให้เขามีวันนี้ อิทธิพัทธ์ตอบได้ทันทีว่า คือ ครอบครัวของเขานั่นเอง

"พื้นฐานสำคัญมาจากครอบครัวของผมที่พร้อมจะเป็นกองหนุน และอยู่เคียงข้างเสมอ ทุนที่ผมใช้ทำธุรกิจ ผมมีอยู่2 ทุน คือ ทุนแรกจากการเล่นเกมออนไลน์ ซึ่งผมได้เงินมา 3-4 แสน คิดว่า ถ้าเสียไป ก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็เหมือนได้มาเปล่า แต่ถ้าลองทำดู นำสิ่งที่คิดเขียนลงกระดาษ ถ้าวางบนโต๊ะไว้เฉยๆ มันก็จะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ผมมาลองทำ ผมคิดว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ได้มาใช้เป็นบทเรียน"

"และทุนที่สองเป็นทุนทางใจ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ไม่ห้ามที่ผมจะหยุดเรียนเพื่อมาทำธุรกิจ แถมยังคอยช่วยเหลือให้กำลังใจ ถ้าวันนั้น พ่อห้าม หรือบอกให้รอเรียนจบก่อน ผมอาจจะไม่มีวันนี้ โอกาสมันอาจจะหลุดลอยไป"

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มคนนี้ เก่งและแกร่งเกินวัย สมกับเป็นยังเติร์กแห่งวงการธุรกิจไทย

จากประโยคแซวของพ่อในวันนั้น มาสู่การสร้างธุรกิจตัวเองจนเติบใหญ่ อาศัยความรู้ ความสามารถ ประกอบกับกล้าตัดสินใจเลือกคว้าโอกาสได้เหมาะสมและถูกจังหวะ ทุกวันนี้ แม้จะมีชื่อแบรนด์ว่า "เถ้าแก่น้อย" ทว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น น่าจะเข้าขั้น "บิ๊กเสี่ย" ทีเดียว

นักธุรกิจพันล้าน กลับไปเรียนปริญญาตรี

ปีที่แล้ว (2550) "สาหร่ายเถ้าแก่น้อย" มียอดขายทะลุ 500 ล้านบาทไปแล้ว ปีนี้ยังคาดด้วยว่าจะไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และยังวางเป้ายอดขายปีหน้าไว้สูงถึง 2,000 ล้านบาทอีกต่างหาก !!

พิจารณาจากรายได้ยอดขาย ในแง่ธุรกิจคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กหนุ่มวัยยังไม่เต็ม 24 ปีด้วยซ้ำ

เป็นความสำเร็จที่ไม่มีใบรับรองจากสถานศึกษา

"เถ้าแก่น้อย-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" ตัดสินใจเลิกเรียนกลางคัน หลังเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปได้แค่เทอมเดียว  วุฒิการศึกษาที่มีติดตัวในปัจจุบันจึงมีแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ไม่ใช่ว่าใบปริญญาไม่มีความสำคัญ

"เถ้าแก่น้อย-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" บอกว่า แม้เขาจะเรียนไม่จบปริญญา และเชื่อว่าประสบการณ์ต่างๆ ได้มาจากการลงมือ "ปฏิบัติ" มากกว่าการศึกษา "ทฤษฎี" ในตำราหรือห้องเรียน แต่กลับไม่เคยคิดที่จะสนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่เลิกเรียนตามแบบเขา เพราะอะไร

ความรู้จากการเรียนในห้องเรียนก็เรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากกว่าของชีวิตการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย สำหรับ "เขา" คือ การได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น การได้อยู่กับเพื่อน ได้มีสังคม

"สำคัญมากนะครับ ที่มาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะมีเพื่อนมาก สมัยเรียนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ ไปไหนที 20-30 คน ได้รู้ว่า เป็นหัวหน้าต้องทำตัวยังไง การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นสำคัญมาก เพราะความรู้อื่นๆ เราสามารถเรียนจากตำราโดยการอ่านได้"

ถึงจะหยุดเรียนในห้องเรียน แต่ไม่ได้หยุดเรียนรู้

"ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ ผมไม่รู้เรื่องการทำแพ็กเกจจิ้ง เรื่องเกี่ยวกับอาหาร อะไรต่างๆ ผมก็ไปเข้าเรียนหลักสูตรอบรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปเรียนรู้เรื่องการถนอมอาหาร เรื่องไหนไม่รู้ก็ไปถาม ไปขอความรู้จากผู้รู้บ้าง ตอนนี้พอธุรกิจเริ่มไปได้ มีเวลาก็เริ่มกลับไปลงเรียนมหา"ลัยอีกครั้งที่ มสธ. ตอนแรกเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนไปสักพักคิดว่า ไม่ใช่ เลยเปลี่ยนมาเรียนนิเทศฯ เพราะใกล้ตัวดี ในการทำงานก็ใช้อยู่บ่อยๆ"

เหนือสิ่งอื่นใด "อิทธิพัทธ์" บอกว่า อยากให้พ่อแม่ได้มางานรับปริญญาของเขา

"ผมรู้สึกว่าเป็นอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนจบเมื่อไรนะ ไว้อายุ 30 เจอกัน (หัวเราะ)"

Credit ข้อมูล จาก คุณ babeberry ในห้องเฉลิมไทย เว็ปพันทิป

เถ้าแก่น้อยขอ3ปีแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น

"เถ้าแก่น้อย" ขอ 3 ปีปั้นตัวเองเข้าตลาดหุ้น หวังระดมทุนพัฒนาแบรนด์เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร และเพิ่มบุคลากร คาดรายได้ปีนี้ 1.3 พันล้านบาท จากปีก่อน 1,030 ล้านบาท ส่วนมาร์จินเกิน 10% หลังซัพพลายเออร์ลดราคาสาหร่ายลง 3-4% เหตุเศรษฐกิจซบ คนบริโภคสาหร่ายน้อย

นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายทอดแผ่น ภายใต้แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายขนาดธุรกิจ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2555 หรืออย่างช้าปี 2557

วัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนมาปรับปรุงแบรนด์สินค้า "เถ้าแก่น้อย" เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร ขยายไลน์สินค้า และเพิ่มบุคลากร ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และจะทยอยเพิ่มทุนในปี 2553 คาดจะมีทุนจดทะเบียน 40-50 ล้านบาท

เขากล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 1,300 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2551 ที่มีรายได้รวม 1,030 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท สาเหตุที่รายได้เพิ่มขึ้นเพราะมีการประชาสัมพันธ์สินค้า ซึ่งมีผลต่อยอดจากการประชาสัมพันธ์เมื่อปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน การเปิดร้าน "เถ้าแก่น้อย แลนด์" ที่เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2551 ก็สร้างยอดขายได้ตามเป้าที่กำหนด ส่วนปี 2553 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 2,000 ล้านบาท

"อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 30% จากปีที่แล้วที่ 10% เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนถูกลง และซัพพลายเออร์ที่ขายสาหร่ายให้ลดราคาสาหร่ายลง 3-4% จากราคาเฉลี่ย 1 พันบาทต่อกก. เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้คนบริโภคสาหร่ายลดลง ราคาขายสาหร่ายจึงลดลงด้วย"

บริษัทยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศมากขึ้น เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในประเทศ 1 เท่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในต่างประเทศ 30% และขายในประเทศ 70% ประเทศที่ต้องการขยายการส่งออกคือประเทศแถบยุโรป แคนาดา และบรูไน จากเดิมที่ส่งออกอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออก และปี 2553 จะขยายไปสู่ตลาดประเทศจีนและไต้หวัน ซึ่งเดิมมีคำสั่งซื้ออยู่แล้ว แต่ยังน้อยอยู่

ปัจจุบันมีสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 10 สาขา และจะเพิ่มเป็น 30 สาขา ในปี 2553 โดยมีงบประมาณขยายสาขาละ 3-4 ล้านบาท และปี 2553 บริษัทจะเพิ่มสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5 แสนแผ่นต่อวัน จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 1 แสนแผ่นต่อวัน โดยโรงงานจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการในปี 2554 ใช้งบลงทุน 80 ล้านบาท แหล่งเงินมาจากกระแสเงินสดของบริษัท

นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการแข่งขันตลาดขนมขบเคี้ยวค่อนข้างรุนแรง ซึ่งบริษัทรับมือโดยการเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์สินค้า ปีนี้จัดสรรงบด้านการตลาดไว้ 50-60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้งบด้านการตลาด 30 ล้านบาท และปี 2553 ก็จะใช้งบด้านการตลาด 50-60 ล้านบาทเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ 70-80% ของมูลค่าตลาดรวมสาหร่ายที่ระดับ 1.5-2 พันล้านบาท ส่วนตลาดขนมขบเคี้ยวทุกประเภทที่มูลค่าตลาดรวม 2 หมื่นล้านบาท เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ 8%

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แผนที่แสดงระดับน้ำท่วมในกรุงเทพฯ

แผนที่แสดงระดับน้ำท่วมในกรุงเทพฯ


อ้างอิง :  www.bangkokbiznews.com/home/


แผนที่ของของ"กรมแผนที่ทหาร "ประกอบด้วยข้อมูลจาก 2 หน่วยงาน คือ ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำที่กำลังท่วม เป็นข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กับข้อมูลความสูงภูมิประเทศ และข้อมูลแผนที่กรุงเทพฯของกรมแผนที่ทหาร



แผนที่ฉบับนี้เป็นการนำข้อมูลน้ำล่าสุดมาทาบซ้อนกับข้อมูลที่กรมแผนที่ทหารมีอยู่ เพื่อประเมินทิศทางน้ำว่าจะไหลไปทางไหน โดยแบ่งพื้นที่เป็นสีฟ้า สีชมพู และสีเขียวอ่อน โดยสีฟ้าคือพื้นที่น้ำท่วมขัง สีชมพูคือพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และสีเขียวอ่อนคือพื้นที่ที่คาดว่าน้ำจะไม่ท่วม โดยพิจารณาจากทางน้ำไหลประกอบความสูงของภูมิประเทศ เป้าหมายที่ทำออกมาก็เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนนำไปวิเคราะห์ในเบื้องต้น

โดยในแผนที่นั้น จะบ่งบอกถึงพื้นที่น้ำท่วม แนวคันกั้นน้ำ ถนน ทิศทางมวลน้ำไหลผ่าน และเขตกทม.ที่คาดว่าน้ำจะไม่ท่วมและได้คิดถึงการวาง Bic Bag วางกันมวลน้ำก้อนใหญ่ไว้แล้ว(ดูแผนที่)

จากภาพแรกแผนที่ ถ่ายเมื่อ 29 ต.ค.และปรับปรุงอีกครั้ง 1พ.ย.แสดงให้เห็นว่าน้ำ(สีฟ้า)ได้ล้อมรอบกรุงเทพ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออก ที่ตีโอบเข้ามา ประชิดกับสุวรรณภูมิ...เพียงแต่จะเห็นลำคลอง ที่ขวางกั้นไว้ ซึ่งเป็นระบบที่น่าจะป้องกันได้อย่างดี และที่ผ่านมาก็ได้ว่าระบบคันกั้นน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่น่าจะส่งผลอย่างไร ขณะที่ภาพแผนที่ดอนเมือง น้ำได้ท่วมไปแล้ว

อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือพื้นน้ำอยู่เหนือ กทม.ยังกินบริเวณกว้าง หลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับว่า แนวกั้นต่างๆจะรับมือได้มากน้อยแค่ไหน และระบบการระบายน้ำจะเป็นไปตามที่วางแผนกันหรือไม่

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขานุการคณะทำงานบริหารจัดการน้ำ ได้ชี้แจงกรณีมวลน้ำที่มีการถกเถียงกันว่ายังมีเหลืออยู่เหนือ กทม.มากน้อยแค่ไหน ว่าตั้งแต่สุโขทัยลงมา ถึงแม้ว่าจะมีมวลน้ำกระจายอยู่ราว 12,000 ล้านลบ.ม. แต่เป็นน้ำหลากตามท้องทุ่งตามปกติที่กักขังเพื่อการเกษตร และน้ำในระบบแม่น้ำลำคลองเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงราว 3,000 ล้านลบ.ม. ที่จะหลากลงมาหา กทม. เท่านั้น ปกติน้ำในระบบทางภาคเหนือลงมาจะมีราว 12,000 ล้านลบ.ม. แต่ปีนี้มีมากถึง 16,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งขณะนี้ได้ระบายลงทะเลแล้วราว 4,000 ล้านลบ.ม. จึงเหลือราว 12,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งเราพยายามจัดการให้ลงทะเลมากที่สุด

มาถึงการประเมินว่ากทม.เขตไหนบ้างจะไม่ท่วม!

แผนที่สีเขียวอ่อน คือสัญลักษณ์เขตที่คาดว่าจะรอดจากน้ำท่วม

ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา...พบว่า เขตบางซื่อ ดินแดง วังทองหลาง ห้วยขวาง พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน สาธร ห้วยขว้าง วัฒนา สวนหลวง ประเวศ...เขตเหล่านี้รอด

ส่วนเขตที่คาดว่าจะท่วม..ไล่มาตั้งแต่ บางเขน ดอนเมือง หลักสี่ สายไหม คลองสามวา มีนบุรี ลาดกระบัง จตุจักร ลาดพร้าว บึงกุ่ม สะพานสูง คันนายาว บางกะปิ บางนา พระโขนง คลองเตย บางรัก ยานนาวา บางคอแหลม คลองสาน ธนบุรี พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต

ซึ่งพิจารณาตามแผนที่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมบางชันก็อยู่ในจุดทางน้ำและเสี่ยงน้ำท่วมเช่นกัน ขึ้นอยู่กับมาตรการของแต่ะแห่งแล้วว่าจะแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน

ด้านฝั่งตะวันตกของเจ้าพระยา...เขตที่คาดว่าจะรอดจากน้ำท่วม ไล่มาตั้งแต่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ จอมทอง บางบอน บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ

ส่วนที่คาดว่าจะท่วม...บางพลัด บางกอกใหญ่ ธนบุรี คลองสาน ตลิ่งชัน บางแค หนองแขม ทวีวัฒนา เป็นต้น

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้เปิดเผย ถึงการระบายน้ำท่วมในกทม.นั้นมีเขตที่จะรอดจากน้ำท่วม 19 เขตคือ

1.บางขุนเทียน 2.บางบอน3.ทุ่งครุ4.ราษฎร์บูรณะ5.จอมทอง6. ภาษีเจริญ 7.วัฒนา 8.ดินแดง 9.สาทร 10.ราชเทวี 11.พญาไท 12.ปทุมวัน 13.ป้อมปราบฯ 14.สวนหลวง 15.ประเวศ 16.ห้วยขวาง 17.วังทองหลาง 18.บางซื่อ 19.บางกอกน้อย

"ทีมกรุ๊ป" เตือนภัยฉบับ 3 ระบุสถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางยังไม่ดีขึ้น ยังมีน้ำมากกว่า 1.2 หมื่นล้านลบ.ม. เปรียบเท่าเขื่อนภูมิพลอยู่ที่บางไทร ชี้หากไม่สามารถระบายน้ำลงทะเลได้มากกว่าปัจจุบัน พนังกั้นน้ำพื้นที่ต่างๆจะทยอยพัง บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง 26 - 31 ต.ค. ยิ่งทำสถานการณ์เลวร้าย ระบุหลัง 15 พ.ย. ระดับน้ำ อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี จะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วน บางไทร ปทุมฯ นนท์ นครชัยศรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ ระดับน้ำจะลดลงอย่างช้าๆ


วันนี้ 22 ต.ค. บริษัท TEAM GROUP กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาของคนไทย ที่มีความชำนาญในวิชาชีพด้านการบริหารจัดการน้ำมากว่า 30 ปี ได้เตือนภัยน้ำท่วม ฉบับที่ 3 ระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางยังไม่ดีขึ้น แม้ระดับน้ำที่อยุธยาจะลดลง 2 ซม. และระดับน้ำที่บางไทรได้เริ่มคงที่ ทั้งนี้จากปริมาณน้ำในทุ่งเจ้าพระยาที่ยังมีมากกว่า 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เปรียบเสมือนมีอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลอีก 1 อ่าง อยู่ที่บางไทร และปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยา แม้จะลดลงแต่ยังมีปริมาณมากกว่าน้ำที่สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ เช่น เมื่อ 21 ต.ค. มีน้ำไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยาวันละ 419 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่สามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลทั้งที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน และทางทุ่งและคลองฝั่งตะวันออกรวมทั้งสิ้นได้วันละ 403 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้มีน้ำเหลือสะสมเพิ่มเติมในทุ่งเจ้าพระยาอีกวันละ 16 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงทำให้ระดับน้ำในทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ นครชัยศรี บางเลน บางใหญ่ เมืองนนทบุรี ปากเกร็ด ลาดหลุมแก้ว เมืองปทุมธานี คลองหลวง ธัญบุรี สายไหม ลำลูกกา หนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง บางเสาธง และบางบ่อ

หากไม่สามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลได้มากกว่านี้ จะมีผลทำให้พนังกั้นน้ำที่อ่อนแอกว่าพังลง น้ำจะไหลพุ่งเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น และพนังกั้นน้ำที่ไม่แข็งแรงหรือความสูงไม่เพียงพอ ก็จะพังลงเรื่อยๆ ตามลำดับ นอกจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.นี้เป็นต้นไป น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปหนุนสูงสุดในวันที่ 31 ต.ค. ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพุทธฯ อยู่ที่ +2.45 เมตรจากระดับน้ำทะเลกลาง ซึ่งจะมีผลเสริมทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำและมีคลองเชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน หลังจากนั้นระดับน้ำจะทรงตัว และจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จนถึงหลังวันที่ 15 พ.ย.ไปแล้ว ระดับน้ำในพื้นที่ อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี จึงจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในพื้นที่ บางไทร ปทุมธานี นนทบุรี นครชัยศรี สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ ระดับน้ำจะลดลงอย่างช้าๆ

ดังนั้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม และพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่น้ำจะท่วม (ดูจากเตือนภัยน้ำท่วมฉบับที่ 1) จะต้องเสริมความแข็งแรงให้พนังกั้นน้ำต่างๆ และเสริมเพิ่มความสูงให้เพียงพอ และให้คงทนอยู่ได้ถึงหลังวันที่ 15 พ.ย. ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูง โรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องป้องกันน้ำท่วมเป็นพิเศษที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของถนนหทัยราษฎร์ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว และฝั่งตะวันออกของถนนบางพลี-บางตำหรุ ควรเสริมความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำให้มั่นคง และให้มีระดับความสูงไม่น้อยกว่า +3.50 เมตรจากระดับน้ำทะเลกลาง

แผนที่แสดงระดับความเสี่ยง และระดับน้ำท่วม ของพื้นที่ต่างๆ แสดงไว้ในรูปที่แนบท้ายนี้






อ้างอิง : ข้อมูลจาก
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000135063

บริษัททีมกรุ๊ป ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ล่าสุด ลงวันที่ 27 ต.ค.ได้เตือนถึงความรุนแรงของน้ำท่วมและการเตรียมพร้อมรับมือ ระบุว่า...


สถานการณ์น้าท่วมยังไม่ดีขึ้น แม้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยาจะลดลงจนน้อยกว่าปริมาณน้ำที่ระบายลงสู่ทะเลแล้ว แต่ปริมาณน้ำในทุ่งดังกล่าวยังมีมากกว่า 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน ในการระบายน้ำออกสู่ทะเล หากไม่สามารถเพิ่มช่องทางการระบายน้าลงสู่ทะเลให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบันได้

2. พนังกั้นน้ำบนคันคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ด้านตะวันตกของประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ยังรั่วอยู่ และพนังกั้นน้ำบนคันคลองรังสิตประยูรศักดิ์ใกล้ตลาดรังสิตยังมีน้ำไหลล้นจานวนมาก ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้คลองเปรมประชากร คลองประปา ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนพหลโยธิน และผู้ที่อยู่สะพานใหม่ บางบัว บางเขน เกษตร ลาดพร้าว โชคชัยสี่ สายไหม เฉพาะที่อยู่ในที่ลุ่มใกล้คลองถนน คลองบางบัว คลองลาดพร้าว และคลองสาขาที่เคยเกิดน้ำท่วมขัง ให้เก็บของขึ้นที่สูง ระดับน้ำท่วมจะทรงตัวอยู่จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน

3. ผู้ที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือคลองบางกอกน้อย และเหนือทางรถไฟสายใต้และบริเวณด้านตะวันออกของคลองบางกอกใหญ่ และผู้ที่อยู่ในอาเภอพุทธมณฑล นครชัยศรี สามพราน กระทุ่มแบน และเมืองสมุทรสาคร ที่อยู่ในบริเวณด้านตะวันตกของถนนพุทธมณฑลสาย 4 และถนนสาย 3310 รวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้แม่น้ำท่าจีน คลองมหาชัย คลองสนามชัย คลองจินดา คลองดาเนินสะดวก และคลองสุนัขหอน ที่อยู่ทางตะวันออก ของถนนสาย 3097 ขอให้ย้ายของขึ้นที่สูงมากกว่า 1.5 เมตร และให้เอารถไปจอดไว้ที่สูง ระดับน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลังวันที่ 5 พฤศจิกายน แล้วทรงตัวอยู่ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มลดลง   น้ำทะเลจะหนุนสูงอีก 15 ซ.ม.

4. ผู้ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นอีกอย่างน้อย 15 ซ.ม. พนังกั้นน้ำมีโอกาสจะพัง จะทาให้น้ำไหลเข้าท่วมแรงและเร็วมาก ขอให้เพิ่มความแข็งแรงและเสริมคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ป้องกันไม่ให้พนังกั้นน้ำพัง ให้ระวังจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 ส่วนพื้นที่อื่นๆ น้ำจะทรงอยู่จนถึง 15 พฤศจิกายน 2554 ขอให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด

5. พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ที่จะถูกน้ำท่วม เพิ่มเติมจาก TEAM Group เตือนภัยน้ำท่วม ฉบับก่อนนี้ ได้แก่

5.1 พื้นที่ด้านเหนือของถนนบรมราชชนนี จากคลองบางกอกน้อย ถึงถนนวงแหวนรอบนอก

5.2 พื้นที่ด้านตะวันออกของคลองบางกอกใหญ่ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา

5.3 พื้นที่เหนือถนนแจ้งวัฒนะทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ด้านเหนือถนนสรงประภา เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการท่วมฉับพลัน น้ำไหลแรงและเร็ว หากมีการพังของพนังกั้นน้ำบนคลองรังสิตประยูรศักดิ์ บริเวณด้านตะวันตกของประตูน้ำจุฬาลงกรณ์

5.4 พื้นที่เหนือถนนงามวงศ์วานทั้งหมด

5.5 พื้นที่เหนือคลองบางเขนทั้งหมดและพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับคลองบางเขน

5.6 พื้นที่เหนือคลองบางซื่อตั้งแต่คลองเปรมประชากร ถึงคลองลาดพร้าว และพื้นที่ใกล้คลองลาดพร้าวและคลองสาขา

5.7 พื้นที่เหนือถนนรามอินทราทั้งหมดจากที่ทำการเขตบางเขนไปจนถึงเขตมีนบุรี รวมถึงพื้นที่ด้านตะวันออกของถนนวงแหวนรอบนอกที่อยู่เหนือคลองแสนแสบ

6. การเตรียมการรับสถานการณ์น้ำท่วม ขอให้ทุกท่านร่วมกันปฏิบัติดังนี้

6.1 ตรวจตราพนังกั้นน้ำในแต่ละพื้นที่ให้มีความมั่นคงแข็งแรง และให้มีระดับเพียงพอ ที่จะกั้นน้ำได้ หากพบรอยรั่วให้ช่วยกันวางกระสอบทรายซ่อมแซม หรือพบว่ามีน้ำรั่วลอดใต้พนังกั้นน้ำให้ใช้กระสอบทรายกั้นเป็นคอกล้อมไว้ โดยให้กระสอบทรายมีระดับสูงกว่าระดับน้ำขอให้จัดเวรยามคอยตรวจตรา เฝ้าระวังพนังกั้นน้ำอย่างเข้มแข็งอย่างน้อย จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554

6.2 ขอให้ดูแลระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ไม่ให้ถูกน้ำท่วม ขอให้สร้างพนังกั้นน้ำที่แข็งแรง และสูงเพียงพอกั้นล้อมรอบอุปกรณ์ที่สาคัญ รวมทั้งระบบไฟสารอง ที่อยู่ในระดับต่า และ จัดเวรยามดูแลอย่างใกล้ชิด

6.3 ขอให้แต่ละชุมชนจัดเวรยามผลัดเปลี่ยนดูแลทรัพย์สินของแต่ละชุมชน อย่าให้มีการลักขโมยทรัพย์สิน

6.4 ขอให้เตรียมยาอย่างน้อยตามที่ นพ.พรชัย มูลพฤกษ์ ได้แนะนำมาดังนี้

(1) ยารักษาโรคที่ใช้ประจำ

(2) ยาสามัญประจาบ้าน เช่น Paracetamol เกลือแร่

(3) ยาทาแผล Betadine solution

(4) พลาสเตอร์ปิดแผล

6.5 ขอให้ระวังสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ เป็นต้นที่อาจจะเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน

6.6 สำรองอาหาร และน้ำดื่มให้เพียงพอ ประมาณ 3 วัน

7. รายละเอียดระดับความสูงของพื้นที่ สามารถตรวจสอบได้ที่ www.teamgroup.co.th และ www.facebook.com/TEAMGroupConsulting และขอให้ติดตามข้อมูลต่างๆ อย่างสม่าเสมอ

8. ในส่วนของน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่เมื่อใด ระดับเท่าใด ขอให้รับฟังประกาศของทางราชการ และติดตามข่าว SMS เตือนภัยจากพนักงานของกลุ่มบริษัททีม (TEAM GROUP) อย่างใกล้ชิด

ขยายดูพื้นที่เสี่ยง..

http://depot12.tempf.com/file/4b3943387b3cda2f50e1f6b82e8e8cf9/4ea913f0/dev3/0/001/699/0001699978.fid/public4ea8e757350c71085220?image/jpeg

สายน้ำคือชีวิต วิกฤติคือศรัทธา ร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

สายน้ำคือชีวิต วิกฤติคือศรัทธา ร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน



สายน้ำคือแหล่งพักพิง และวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านานดึกดำบรรพ์แล้ว คนไทอพยพหนีตายมาเรื่อยๆ เพื่อมาตั้งรกรากกันอยู่ใกล้บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคเอเซียอาคเณย์

เมื่อแรกเริ่มน้ำเริ่มไหลหลากมา คนไทยจึงต้อนรับสายน้ำกันอย่างอบอุ่น ลูกเล็กเด็กดำ(แดง) ดีใจ พากันลิงโลด กระโดดเล่นน้ำกัน บ้างก็นำเรือมาพายเล่นกัน เป็นที่สนุกสนาน
จึงร้องเพลงนี้กัน




เพลง สายชล  ศิลปิน  จันทนีย์ อูนากูล

เหม่อมองดูสายน้ำวน

เหม่อมองสายชลที่ไหลริน

เหม่อมองดูนกผกผินบินลับไป

ยามเหงาเราถอนใจ

บินไปไม่กลับมา


เปล่าเปลี่ยวจริงหนอหัวใจ

อยากจะรักใครเศร้าใจทุกครา

หมดแรงกำลังอ่อนล้า

และหลงทางเจ็บนั้นยังเจ็บไม่จาง

อ้างว้างดังสายชล

แม้ใจจะเจ็บเก็บมาคิดคิด

อดีตช่างงามล้ำล้น

มิเคยลืมภาพเราสองคน

มิเคยลืมยังหลอกลวงตน

มิเคยลืม


ว่าเคยรักเธอสายชล

หลั่งรินไหลวนมาพานพบเจอ

เหตุการณ์ผ่านไปยังเพ้อพะวงทุกวัน

อกเอ๋ยขมขื่นตื้นตันจากกันหรือฝันไป


มิเคยลืม

ว่าเคยรักเธอสายชล

หลั่งรินไหลวนมาพานพบเจอ

เหตุการณ์ผ่านไปยังเพ้อพะวงทุกวัน

อกเอ๋ยขมขื่นตื้นตันจากกันหรือฝันไป

                                                            

และเมื่อน้ำเริ่มไหลหลากมามากขึ้น ท่วมท้น เข้าบ้าน ทำลายทรัพย์สิน อาคารและโรงเรือน ซึ่งกระแสน้ำเริ่มไหลมาอย่างรุนแรงมากขึ้น ความรู้สึกของผู้คนก็เริ่มกังวลใจ ว่า เอ๊ะนี่มันน้ำท่วมปกติ หรือน้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมโลกกันแน่  ความรู้สึกจึงเริ่มเครียด ต่างอพยพหนีตาย กันจ้าละหวั่น เหล่าบรรดาอาสาสมัคร ตลอดจนหน่วยงานทหารก็เป็นกลุ่มแรก ๆ ได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชน โดยการลำเลียงทั้งอาหารและข้าวของเสบียงเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงช่วยเหลือผู้คนให้ออกมาจากพื้นที่น้ำท่วม เขาและเธอจึงเริ่มร้องเพลงนี้ คือ

เพลง น้ำเอย น้ำใจ
ศิลปิน อัสนี วสันต์ โชติกุล


ไม่มีใคร คนใด


หัว ใจดวงใด ไม่มีความหมาย

ต่างมุ่งหมาย ตามสาย ทางเดิน

คนเอ๋ย คนเอ๋ย คน

ต่างก็รู้ อยู่

ใจของใครก็ รู้รู้ใจ

ไม่แตกต่างกัน

..จะมีใคร คนใด

หรือ ใจดวงใด

อยากพ่ายอยากแพ้

ใครอยากอ่อนแอ เรื่องราว

ใครต่างคนต่างใคร

ก็ต่าง มุ่งหมาย มั่น

คนเหมือนกันแหละหนา ฟ้าดิน

ดิ้นรนหา ความ


..น้ำ เอย น้ำ ใจ

ของ ใคร ให้มา

เหมือน การ พึ่ง พา

ภาษา ความ เข้าใจ

(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)

..มันก็เป็น เช่นนั้น

นะเออ ฉันเธอต่างมุ่งต่างสาย

สิ่งที่วายร้าย มุ่งหมาย ว่าดี

เพียงแค่ความเข้าใจ

ก็แบ่งกันไว้มั่ง

เป็นเช่นดังของขวัญให้กัน

โลกอันโสภา

ก็ใช่ ว่าใคร ไม่มี จิตใจ

ก็ใช่ ว่าใคร อยากไร้ คุณค่า

ก็ใช่ ว่าใคร อยากเสียน้ำตา

นะ เอย

..น้ำ เอย น้ำ ใจ

ของ ใคร ให้มา

เหมือน การ พึ่ง พา

ภาษา ความ เข้าใจ

(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)

..(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)...

และเมื่อน้ำเริ่มมีระดับความรุนแรงทั้งในแง่ความเร็ว แรง ในการเคลื่อนเข้ามา ได้ทำลายเรือกสวนไร่นา ทำลายถนนหนทาง โรงงานอุตสาหกรรมนับตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ มาชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี มาอยุธยา โดยเฉพาะกับนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทั้ง 5 แห่ง (สหรัตนนคร , โรจนะ ,บ้านหว้า(ไฮเทค) ,แฟคตอรี่แลนด์ ,นวนคร และล่าสุด นิคมอุตสาหกรรมบางกระดี เรื่อยมาจนถึง จังหวัดปทุมธานี (รังสิต)  และจังหวัดนนทบุรี โดยเฉพาะบางบัวทอง ภาพความเดือดร้อนของผู้คน ในการช่วยเหลือประชาชน อพยพผู้คนที่ติดอยู่ในบ้านเรือน เป็นภาพที่ผู้เขียนเองสะเทือนใจ และเศร้าใจมาก จนต้องอินไปกับเพลงนี้ครับ


เพลง มหันตภัย

ศิลปิน แก้ม The Star


ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้เมื่อไรที่ชีวิตฉันจะดีสักที

ไม่ต้องเงียบเหงาอย่างนี้

ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ว่ามรสุมนี้มันจะผ่านพ้นไปเสียที

เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน


ไม่โทษใคร ไม่ได้โทษฟ้าดิน

ที่ฉันเดียวดายอ้างว้าง โทษตัวเอง ต้องโทษตัวเอง

ที่ทําผิดจนต้องทําให้เธอจากไปครั้งนี้


จะมีชีวิตยังไง เมื่อไม่มีใครตรงนี้สักคน

จะเดินไปยังไง อยู่ไปยังไง เมื่อไม่มีเธอ

นี่คือการเดินทางสู่อันตราย สู่มหันตภัยเลวร้าย

ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง ฉันจะมีชีวิตนี้ไปเพื่อใคร


ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้เมื่อไรที่ฉันจะลุกขึ้นได้สักที

มันเหมือนคนใจสลาย

ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ว่านานแค่ไหนนํ้าตาฉันมันจะแห้งหายไป

โดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกิน


อยากให้รู้ อยากให้รู้เหลือเกิน ว่าฉันเสียใจแค่ไหน

โทษตัวเองต้องโทษตัวเอง

ที่ทําผิดจนต้องทําให้เธอจากไปครั้งนี้


จะมีชีวิตยังไง เมื่อไม่มีใครตรงนี้สักคน

จะเดินไปยังไง อยู่ไปยังไง เมื่อไม่มีเธอ

นี่คือการเดินทางสู่อันตราย สู่มหันตภัยเลวร้าย

ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง ฉันจะมีชีวิตนี้ไปเพื่อใคร

ฉันจะมีลมหายใจ...หายใจไปทําไม

ผู้เขียนเองคงได้แต่ให้กำลังใจผู้ที่กำลังทำงานขะมักเขม่น เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ประสบชะตากรรมทุกข์ยาก ขอให้กำลังใจทหาร พลเรือน กลุ่มจิตอาสาทั้งหลาย จนท.มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมถึงให้กำลังใจแก่ประชาชนร่วมชาติ ที่กำลังเผชิญมหันตภัยร้านแรงของประเทศ เราจะต้องฝ่าฟันมหันตภัยครั้งใหญ่นี้ไปให้ได้ และพร้อมๆ กันด้วยความรัก ความเสียสละ และสามัคคีต่อกัน เราจะไม่โทษฝ่ายนั้นฝ่ายนี้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติกำลังให้บทเรียนแก่ชาวไทยในครั้งนี้ร่วมกัน

สิงคโปร์ไม่มีขน (ประเทศต้นแบบของการสร้างบ้านแปลงเมือง)

สิงคโปร์ไม่มีขน
ประเทศต้นแบบของการสร้างบ้านแปลงเมือง

ขออนุญาตนำเอาคอนเซ็ปต์ของหนังสือคุณนิ้วกลมที่ชื่อว่าโตเกียวไม่มีขา มาใช้กับหัวข้อบทความชิ้นนี้ของผู้เขียน เพราะมันดูเท่ห์ดี คำว่า “สิงคโปร์ไม่มีขน” ผู้เขียนคิดขึ้นมาเองเพื่อใช้นิยามประเทศสิงคโปร์ในแบบสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นประเทศที่สะอาดสะอ้าน เกลี้ยงเกลา มีระบบระเบียบแบบแผนที่ดี บ้านเมืองดูมีความเจริญมั่งคั่ง และปลอดภัย “ขน” จึงเป็นสิ่งที่แม้จะงอกเงยขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่หากไม่มีการทำความสะอาด จัดระเบียบ คือ ตัด เล็ม โกนทิ้งไปบ้างก็จะทำให้ดูไม่น่ามอง หรือดูสกปรกได้ เปรียบดังการไม่มีระเบียบวินัยของประชากร การฝ่าฝืนกฎหมายจราจร การแหกคอกออกจากประเพณี การทำลายวัฒนธรรม การไม่มีขื่อมีแป การไม่รักษาความสะอาด ที่สำคัญคือประเทศนี้ไม่มีการคอรัปชั่นหรือมีก็น้อยมาก เพราะกฎหมายเขาแรง และการบังคับใช้กฎหมายก็เคร่งครัดมาก คนที่คิดจะทำความผิดหรือคิดชั่วจึงน้อยมาก ซึ่งประเทศสิงคโปร์เขาไม่มีในสิ่งเหล่านี้ (หรือสามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดมาก) ซักเท่าไร ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศนี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวก็ตาม จะสังเกตได้ว่าเมื่อใดที่ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพพจน์เสียหาย ประเทศนี้ก็จะคอยออกมากระหน่ำซ้ำย่ำยี หรือออกมาพูดจาให้ร้ายและทำลายภาพลักษณ์ของเราให้ยิ่งแย่ลงไปอีก ดูเหมือนเป็นประเทศที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย แต่ด้วยความที่เป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ในอาเซี่ยนด้วยกัน จึงทำให้ยังต้องคบค้าสมาคมกันอยู่ และดูเหมือนว่าจะเป็นมิตรที่ไม่ค่อยน่าคบนัก แต่บนความน่ารังเกียจของประเทศแห่งนี้ ก็มีข้อดีหรือมีจุดเด่นหลายอย่างที่ควรค่าแก่การนำไปเป็นกรณีศึกษา หรือเรียนรู้จากเขาเป็นตัวอย่างของประเทศต้นแบบแห่งการสร้างบ้านแปลงเมือง ว่าเขาทำได้อย่างไร จึงประสบความสำเร็จเป็นประเทศบิ๊กในภูมิภาคนี้ได้ หรือจิ๋วแต่แจ๋วจนทำให้ประเทศใหญ่ๆ หลายๆ ประเทศยังต้องเกรงขามเขา เรามาดูกัน

ประวัติโดยสังเขปของสิงคโปร์

ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ อยู่ทางใต้ของรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย และอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย

สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมลายู เป็นสถานที่พักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละกา

ยุคการล่าอาณานิคม ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มาแย่งไป แต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์ โทมัส แสตมฟอร์ด บิงก์เลย์ แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษก็ยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ

ค.ศ. 1819 เซอร์ แสตมฟอร์ด ราฟเฟิล สำรวจเกาะสิงคโปร์ และก่อตั้งประเทศ

สงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ และก็สามารถยึดครองสิงคโปร์ไว้ได้ แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง อังกฤษก็ได้ครอบครองสิงคโปร์เหมือนเดิม

การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมลายูทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติกัน ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมา

สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

(อ้างอิงเว็บไซต์วิถีพีเดีย ,สารานุกรมออนไลน์)

ขอเริ่มต้นที่ตัวผู้เขียนเองเคยได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์แห่งนี้ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตก็เมื่อช่วงเดือน พฤศจิกายน ของปี 2003 หรือปี พ.ศ.2546 ครั้งนั้นผู้เขียนได้ติดตามพี่ชาย ซึ่งไปทำภาระกิจทางด้านติดต่องานธุรกิจ และผู้เขียนติดตามไปในฐานะผู้ร่วมเดินทาง จำได้ว่าครั้งนั้นไปเพียงแค่ 3 วัน กับ 2 คืน เท่านั้น จึงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวยังสถานที่สำคัญของสิงคโปร์เลย เพราะอยู่แค่เพียงในละแวกที่พัก กับสถานที่ที่พี่ชายไปติดต่องานเท่านั้น แต่ก็ได้สัมผัสถึงบรรยากาศ ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ผู้คน ได้มีโอกาสไปเดินยังตลาด ย่านของกินกลางคืน คล้ายๆ แถวเยาวราช บ้านเรา ได้ไปเดินบนถนนออชาร์ต และก็แถบศูนย์การค้าใหญ่ที่เรียกว่า Suntec City Mall สิ่งที่ประทับใจคือความสะอาดสะอ้านของบ้านเมือง การจัดผังเมือง ภูมิทัศน์ของเกาะสิงคโปร์โดยรอบ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงถนนหนทาง การขับรถของคนที่นั่น การเดินบนฟุตบาธ การข้ามถนนได้อย่างสบายใจ แม้ยามค่ำคืนก็จะไม่เห็นรถที่วิ่งเร็วเหมือนในบ้านเรา รถไฟใต้ดินมีเกือบจะทุกจุดสำคัญๆ ทั่วทั้งเกาะสิงคโปร์ ทำให้การเดินทางไปยังจุดต่างๆ สะดวกรวดเร็ว ประชากรไม่ต้องพึ่งพารถประจำทางหรือรถแท็กซี่ รถประจำตัวมากนัก นี่คือข้อดี ที่เมืองใหญ่ๆ ในโลกที่เจริญแล้วควรจะเป็น และสิงคโปร์ก็เป็นเช่นนั้น

โลกรับรู้ตั้งแต่วันแรกแห่งการประกาศเอกราชของประเทศสิงคโปร์ว่า ลีกวนยู ก็คือสิงคโปร์ ลีกวนยู ไม่ใช่ ซีอีโอ ที่มารับตำแหน่งต่อจากคนอื่น แต่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า ซิงกาโป ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างผลประกอบการอย่างดีเยี่ยม เติบโตอย่างรวดเร็ว จนเป็นบริษัท ที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างน้อยก็ในสายตาเหล่านักลงทุน ลีกวนยูน่าจะชอบกินปลาและวิตามินเอ จึงทั้งฉลาดและมองการณ์ไกล ท่านผู้เฒ่าเป็นมือกระบี่ที่หนึ่งของแผ่นดิน ระดับ ซือแป๋ของซือแป๋ ผู้ไม่ต้องใช้กระบี่อีกแล้ว สิ่งทีทำให้ลีกวนยูแตกต่างจากผู้นำคนอื่นๆ ในภาคพื้นเอเชียก็คือ การรู้จักพอกับอำนาจ รู้ว่าเมื่อใดควรก้าวลงจากเก้าอี้ (อีกคนหนึ่งที่น่ายกย่องในการู้จักพอคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ของเรา) นี่เป็นจุดที่ ซูฮาร์โต้,มาร์กอส,เนวิน หรือกระทั่งเหมาเจ๋อตุง ทำไม่เป็นหรือแกล้งทำไม่เป็น ท่านผู้เฒ่าก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อปี 1980 นายกรัฐมนตรี โก๊ะจ๊กตง รับไม้ต่อเป็นซีอีโอรุ่นสอง ส่วนท่านผู้เฒ่ารับตำแหน่งใหม่เป็น Senior Minister (ที่ตั้งขึ้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ) โก๊ะจ๊กตง เรียนจบปริญญาโทจากอเมริกา เป็นสมาชิกสภาตั้งแต่ปี 1976 สูงทั้งเรือนร่างและความคิดอ่าน จึงเป็นมือขวาที่ท่านผู้เฒ่ายกให้เป็นจอมกระบี่ที่สอง เวลานั้นนักวิเคราะห์จำนวนมากในต่างประเทศคาดว่า โก๊ะจ๊กตง คงไปได้ไม่กี่น้ำ และท่านผู้เฒ่าต้องหวนกลับมาอีก พวกเขาคาดผิด เพราะโก๊ะจ๊กตง ให้สัมภาษณ์ในรายการ TalkAsia (CNN) ในปี 2004 ว่า “เมื่อผมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมบอกไว้ชัดเจนเลยว่า จะไม่สวมรองเท้าคู่เดียวกับท่าน (ลีกวนยู) ขนาดรองเท้าของท่านคือเบอร์ 13,14,15 ส่วนของผมนั้น แค่เบอร์ 9 ดังนั้นผมจะสวมรองเท้าของผมเอง และเดินแบบสบายๆ “

ปัญหาที่บริษัท ซิงกาโป จำกัด รุ่นโก๊ะจ๊กตง เจอเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดหมายเอาไว้ล่วงหน้า เช่น ฟองสบู่แตกในภาคพื้นนี้ การระบาดของโรคซาร์ส เป็นต้น แต่เขาก็จัดการปัญหาได้ดี จนต่างประเทศชม ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เกิดวิกฤติซาร์สนั้น ขณะที่ประเทศของเราและจีนปิดข่าวกันนั้น สิงคโปร์กลับเปิดเผยข่าวทุกชนิด ยืนยันนโยบาย “กลาสนอสต์” สุดสุด สื่อมวลชนและหนังสือพิมพ์รายงานข่าวซาร์สทุกวัน ประกาศว่า แต่ละวันมียอดผู้ป่วยกี่คน กักกันใครบ้าง ติดกล้องตรวจตราในบ้านของคนที่ต้องสงสัยว่าอาจจะติดเชื้อซาร์ส และเป็นประเทศแรกที่ติดตั้งกล้องอินฟราเรดวัดอุณหภูมิร่างกายของนักท่องเที่ยวที่สนามบิน ใครที่ถูกสั่งกักกัน และหนีออกมาก็ถูกจับประจานกลางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ผลก็คือสิงคโปร์เป็นประเทศตัวอย่างที่องค์การอนามัยโลกเชื่อมั่นและชาวโลกเชื่อถือ เมื่อสิงคโปร์ประกาศว่าไม่มีโรคแล้ว ทุกคนก็เชื่อ ตรงข้ามกับบ้านเราและจีน ที่จนบัดนี้ยังเรียกศรัทธาคืนมาไม่ได้เลยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่รัฐบาลออกมายืนยันทุกครั้งว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่แล้วผลเป็นอย่างไร ทั่วโลกเขารับทราบหมด

ผ่านไปสิบสี่ปี โก๊ะจ๊กตง ก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอ ส่งไม้ต่อให้ “ลีเซียนลุง” บุตรชายของลีกวนยู โก๊ะจ๊กตง รับตำแหน่ง Senior Minister ส่วนท่านผู้เฒ่ารับตำแหน่งใหม่ (ที่ตั้งขึ้นอีกครั้งเพื่อท่านโดยเฉพาะ) คือ Minister Mentor

ลีเซียนลุงเคยเป็นทหารมาก่อน เข้าสภาเมื่อปี 1984 หกปีต่อมาก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาจะสวมรองเท้าเบอร์เดียวกับพ่อและโก๊ะจ๊กตงหรือไม่ อีกไม่นานโลกก็คงรู้ หากถามพนักงานและลูกหลานพนักงานที่ทำงานในบริษัทซิงกาโป จำกัด ว่ารู้สึกอย่างไรที่อำนาจวนเวียนอยู่ในกลุ่มเดิม คำตอบก็คือ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร จริงอยู่ย่อมมีเสียงไม่เห็นด้วย แต่เป็นเสียงที่แผ่วเต็มที เหตุผลเพราะท่านผู้เฒ่าเป็นมากกว่านายกรัฐมนตรี ลีกวนยูเป็นบิดาของสิงคโปร์ สิ่งที่ท่านทำเพื่อสิงคโปร์นั้นน่าทึ่ง จากเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลยกลายเป็นประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติเหมือนอย่างไทย ไทยได้แต่มองดูตาปริบๆ

ลีกวนยูผ่านความขัดแย้งระหว่างประเทศมาก่อน เข้าใจการเมืองระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์ สังหารประชาชนไปร่วมแสนคน ลีกวนยูเคยถูกตบหน้าและสั่งให้คุกเข่าลงต่อหน้าทหารญี่ปุ่นนายหนึ่ง เพียงเพราะไม่ได้โค้งคำนับทหารผู้นั้นขณะข้ามสะพาน

ท่านผู้เฒ่าเรียนจบกฎหมายจากเคมบริดจ์ด้วยคะแนนสูงสุด แม้จะไม่ได้ปลื้มอังกฤษนัก แต่ก็นับถือวิธีการที่อังกฤษทำงาน เช่นเดียวกับที่แม้ไม่ได้ชอบญี่ปุ่นนัก แต่ก็เรียนรู้วิธีการทำงานแบบญี่ปุ่น การรู้จักนำจุดแข็งของคนอื่นมาใช้จึงเป็ฯจุดแข็งของท่านผู้เฒ่า

ลีกวนยูตั้งพรรค PAP (People’s Action Party) ในปี 1954 เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่ออายุเพียง 35 ปีเท่านั้น (ยังเด็กกว่ายิ่งลักษณ์และอภิสิทธิ์เสียอีก)

วันแรกที่ลีกวนยูบริหารประเทศ น้อยคนที่เชื่อว่าท่านจะพาสิงคโปร์ไปรอด หรือมาได้ไกลถึงขนาดนี้ เพราะลำพังน้ำดื่มยังต้องพึ่งพามาเลเซีย ในปี 1960 ท่านก็ก่อตั้ง Housing and Development Board(HDB) ซึ่งสร้างที่อยู่อาศัยในรูปอพาร์ตเม้นต์เป็นการใหญ่ จวบจนบัดนี้ HDB ก็ยังทำงานสร้างโครงการใหม่ๆ ทุกวัน ที่ต้องยอมรับว่า HDB ทำงานจริงจังและติดตามงาน ก็คือการอัปเกรดอพาร์ตเม้นต์ในโครงการแรกๆ ที่มีขนาดเล็กมากให้ใหญ่ขึ้น ปรับปรุงสวนสาธารณะในทุกโครงการ 5 ปีต่อมาสิงคโปร์ก็แยกตัวจากมาเลเซีย นับก้าวที่หนึ่งของการเป็นเอกราช อย่างแท้จริง

ซีอีโอหมายเลขหนึ่งรู้ดีว่า สำหรับประเทศใหม่ “แกะกล่อง” เช่นนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือระบบสาธารณูปโภค ภายในยี่สิบปีระบบสาธารณูปโภคของสิงคโปร์ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์(อาเซี่ยน) รวมไปถึงเครือข่ายคมนาคม ระบบขนส่งมวลชน ทั้งที่ประเทศนี้ไม่รู้จักคำว่ารถติด (แบบกรุงเทพฯ) มาก่อน

ความฝันแต่ละอย่างของท่านผู้เฒ่ามักถูกหัวเราะเยาะมาก่อน เช่น เมื่อท่านบอกว่าจะถมทะเลขยายพื้นที่เกาะ แต่ฝันของซีอีโอคนนี้ก็เป็นจริงทุกที การขยายแผ่นดินเป็นงานของกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ซึ่งยืนยันนโยบายว่า จะถมไปเรื่อยๆ ความจริงสิงคโปร์ขยายพื้นที่รุกทะเลมานานกว่าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อแรกที่คนจีนอพยพมาถึงเกาะนี้ได้สร้างวัดหันหน้าออกทะเลเพื่อขอบคุณเจ้าแม่แห่งสมุทร คือบริเวณถนนเตล็อกอาเยอร์ โดยการถมทะเลส่วนหนึ่ง การขยายตัวในด้านต่างๆ ทำให้ประเทศนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขยายพื่นที่ด้วย ในรอบสามสิบปีที่ผานมา พื้นที่เกาะเพิ่มขึ้นจาการถมทะเลราวสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งของสนามบินชางฮี,เซนตัน เวย์ (ศูนย์กลางทางการเงิน),โรงแรมแรฟเฟิลส์บนถนนบีช(ถนนหาดทราย) ล้วนเคยเป็นบ้านของปลามาก่อน ทางด้านสวัสดิการสังคม ท่านผู้เฒ่าตั้งองค์กร CPF (Central Provident Fund) เป็นกองทุนสะสมของราษฎร CPF คือทุนที่ราษฎรที่ทำงานทุกคนได้รับสะสมไว้ตลอดชีวิต ถอนมาใช้ได้เมื่อเกษียณอายุ ระหว่างนั้นสามารถนำเงินทุนนี้ไปผ่อนซื้อบ้านและรักษาตัวเมื่อเจ็บป่วย ปัจจุบันเงิน CPF เป็นการเรียกเก็บเงิน 33 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ (13 เปอร์เซ็นต์จากผู้ว่าจ้าง และ 20 เปอร์เซ็นต์จากลูกจ้าง) ตัวเลขนี้ขึ้นลงตามสถานการณ์ของประเทศ

ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบปี สิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือที่วุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รองรับกว่าหกร้อยสายเดินเรือ เป็นศูนย์กลางกลั่นและจัดจำหน่ายน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก เป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ การต่อเรือและซ่อมเรือระดับชั้นนำของโลก เป็นศูนย์กลางการเงิน มีธนาคารกว่า 130 แห่ง คิดเล่นๆ หากบริษัทซิงกาโป จำกัด ไม่ได้ท่านผู้เฒ่ามาบริหารตั้งแต่วันแรก ป่านนี้ก็อาจยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ หลายคนบอกว่า ซิงกาโปเป็นบริษัทเล็ก ๆ (เทียบระดับก็แค่ SMEs) ใครมาปกครองก็ทำให้ก้าวหน้าได้ไม่ยาก อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริงก็ได้ บางทีหากสิงคโปร์ได้บางรัฐบาลในอดีตของเราไปปกครอง บริษัทซิงกาโป จำกัด คงเลิกกิจการในเวลาไม่นาน ด้วยนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์เหมือนแรด และกินจุราวสุกร น้อยคนนัก จะรู้ว่าท่านผู้เฒ่าเกลียดความร้อนและความชื้นในเกาะน้อยใกล้เส้นศูนย์สูตรแห่งนี้ ลีกวนยูเคยบอกว่าเครื่องปรับอากาศเป็นประดิษฐกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เพราะมันทำให้คนทำงานได้มากชั่วโมงขึ้น ในยามตื่นท่านชอบใช้ชีวิตอยู่ในอุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส ในยามหลับ คือ 19 องศาเซลเซียส นั่นคงเป็นเหตุผลที่ท่านปลูกต้นไม้ใหญ่ทั่วเกาะสิงคโปร์

ศาสตราจารย์เดชา บุญค้ำ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยวิเคราะห์ว่า การปลูกต้นไม้ใหญ่ในปริมาณขนาดนี้สามารถลดอุณหภูมิของทั้งเกาะลง ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการประหยัดค่าแอร์ ค่าพัดลม มหาศาล ลองคิดดูว่า ต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าลงเท่าไรต่อวันต่อเดือนต่อปีแล้วคูณแสนคูณล้านเข้าไป นอกเหนือจากการประหยัดไฟฟ้า ป่ายังเพิ่มออกซิเจน อากาศดีหมายถึงการลดอัตราการเจ็บป่วย ในประเทศที่ไม่มีอะไรเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ช่วยทำให้ประเทศประหยัดเงินมหาศาลในระยะยาว เมื่อหันมามองบ้านเรา ก็เห็นความต่างอย่างชัดเจน บ้านเรามีแต่ตัดไม้ทำลายป่า เรานิยมปลูกไม้ประดับต้นเล็กๆ ที่มีดอกไม้สวยงาม แต่ไม่เกิดผลดีในระยะยาว ทั้งที่ค่าใช้จ่ายในการดูแลต้นไม้ใหญ่ต่ำกว่าการดูแลพุ่มไม้ดอกมากนัก ลำพังแก้ปัญหาฝุ่นในกรุงเทพฯ ได้อย่างเดียวก็ลดค่ารักษาพยาบาลได้อีกหลายพันล้านบาท และเพิ่มผลผลิตของประเทศอีกมหาศาล ทุกครั้งที่มาเยือนบริษัท ซิงกาโป จำกัด นักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองไทยอาจไม่รู้สึกหงุดหงิดกับการปรับเวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง แต่คงสงสัยว่าทำไมประเทศนี้จึงตั้งเวลาไม่ตรงกับสภาพธรรมชาติ ท้องฟ้ายามหกโมงเช้าที่สิงคโปร์มืดเหมือนกลางคืน “เวลา” ที่นี่ตรงกับเวลาที่มาเลเซีย และฮ่องกง และห่างจากเวลาญี่ปุ่นเพียงชั่วโมงเดียว ชาวสิงคโปร์ผู้หนึ่งวิเคราะห์เรื่องนี้ว่า การปรับเวลาให้ตรงกับฮ่องกงและใกล้เคียงกับญี่ปุ่น หมายถึงขณะที่คนไทยกำลังนอนบนเตียง นักธุรกิจในญี่ปุ่น ฮ่องกง กับสิงคโปร์เจรจาธุรกิจไปหลายเรื่องแล้ว เพราะเป็นเวลาเดียวกันสามารถติดต่อธุรกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องเช็กเวลา จุดนี้ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีเหตุผล ดังนั้น เมื่อดูจากผลงานส่วนใหญ่ที่เข้าตากรรมการ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีคำครหาเรื่องการโอนถ่ายอำนาจเลย ดูเหมือนในสายตาของประชาชนเดินดิน สิ่งใดที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าดีคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา ผู้นำคนใหม่ที่ท่านบอกว่าดี ผู้คนก็เชื่อ

ท่านผู้เฒ่าเป็นเหมือนบิดาที่ “คลุมถุงชน” หาคู่ครองให้ลูก ย่อ่มต้องหาคนที่ดีที่สุด คนที่ลูกฝากผีฝากไข้ด้วยได้ จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า คนมีอำนาจในประเทศนี้ต่างจากบิ๊ก ในเมืองไทยคือ ผมไม่เคยเห็นคนมีอำนาจ พีอาร์ ตัวเองหน้าจอโทรทัศน์ ไม่เคยเห็นรัฐมนตรีสวมสูทไปพบชาวบ้าน หรือเดินทางไปไหนมาไหนด้วยขบวนยาวหยียด ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาทุกคนสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดา เชยกว่ามนุษย์เงินเดือนแถวสีลมและสาธรเสียอีก

จะว่าไปแล้ว มนุษย์เงินเดือนของที่นี่กับที่กรุงเทพฯ คงไม่ได้ต่างกันนัก คนจำนวนมากสร้างสถานะทางสังคมปลอมๆ ด้วยเงินผ่อนเป็นหลัก เรียกกันว่าสถานะ 5Cs คือ Cash , Credit Card , Car, Condominium ,Country Club เมื่อเศรษฐกิจฟุบหรือแฟบ หลายคนก็ต้องลดจำนวน C ของตนให้ลดลงมา

รายการ TalkAsia (CNN) เคยถามโก๊ะจ๊กตง ว่า คุณคิดว่าอะไรเป็นความท้าทายที่สุดสำหรับสิงคโปร์ ไม่เพียงแต่ในฐานะนครรัฐ หากสำหรับพลเมืองของรัฐด้วย? โก๊ะจ๊กตง ตอบว่า “ความท้าทายใหญ่ที่สุดในทางเศรษฐกิจคือ เราจะมองดูโลกใหม่อย่างไร เดี๋ยวนี้เราเห็นหลายประเทศพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ที่เคยนำโดยสิงคโปร์ จีน ตามมาด้วยอินเดีย และประเทศในยุโรปตะวันออก ดังนั้น ในทางพื้นฐาน โมเดลที่เราใช้พัฒนาสิงคโปร์ก็กลายเป็นโมเดลที่ใช้โดยประเทศต่างๆ แน่นอนมีการปรับปรุง ดังนั้นเราจะตัดแต่งตัวเราเองยังไงเพื่อสร้างจุดเด่นเฉพาะในโลก เพื่อรองรับมาตรฐานการค่าครองชีพที่สูงของเรา นั่นคือความท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับสิงคโปร์”

อาจเพราะคำว่า “ความท้าทาย” นี่เอง ที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีชีวิตที่เร่งรีบเดินเร็ว พูดโทรศัพท์เร็ว คีย์เอสเอ็มเอสเร็ว แม้แต่บันไดเลื่อนยังเร็วกว่าที่เมืองไทยไม่ว่าจะเป็นซีอีโอหรือพนักงาน ต่างต้องทำทุกอย่างให้บริษัทอยู่รอด สิ่งหนึ่งก็คือการมองการณ์ไกล เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงกลาง 80’s ทุกชาติพากันรัดเข็มขัด สิงคโปร์กลับใช้เงินสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการรถไฟฟ้าของเขาคิดทีหลังเรา แต่เสร็จก่อนเราและจ่ายถูกกว่าของเราหลายเท่า ขณะที่สนามบินนานาชาติของเขายังไม่เต็ม เขาก็สร้างสนามบินแห่งที่ 2 แล้ว และกำลังวางแผนสร้างแห่งที่ 3 สิงคโปร์ไม่มีดอกไม้ แต่โปรโมทว่าเป็นศูนย์กลางดอกไม้ ไม่ปลูกผลไม้ แต่สามารถโปรโมตต่อชาวโลกว่า เป็นแหล่งกลางของผลไม้เอเชีย ตามมาด้วยการตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี ศูนย์กลางของศิลปะ วัฒนธรรมอาหาร และอีกหลายๆ ศูนย์กลาง ฯลฯ อาจเพราะคำว่า “ความท้าทาย” นี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลใต้เงาของโก๊ะจ๊กตงสนับสนุน bilateral trade agreement ทำสัญญาต่างๆ เช่น FTA มากมายกับตางประเทศ และเป็นประเทศแรกในเอเซียที่เซ็นสัญญากับสหรัฐอเมริกา และอาจเป็นเหตุผลที่ทำไมสิงคโปร์ต้องเข้าข้างสหรัฐอเมริกาในเรื่องการต่อต้างการก่อการร้าย โดยการประกาศตัวเป็นพันธมิตรอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาไม่มีอะไรในมือเลย นอกจากการมองการณ์ไกล ผู้ใหญ่ทำงานอย่างหนัก เด็กๆ เรียนหนังสืออย่างหนัก ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์มองการณ์ไกล ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นยี่สิบสามสิบปีและไม่ใช่การมองการณ์ไกลสำหรับปัจเจก หากสำหรับการอยู่รอดของประเทศในองค์รวม ตั้งแต่หลายปีก่อน รัฐก็เริ่มตั้งแคมปัสของมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ของโลกที่นี่ ตั้งแต่จอห์นฮอปกิ้นส์ เอ็ม.ไอ.ที ไปจนถึง มหาวิทยาลัยต่างชาติจำนวนมาก เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา ล้วนไปตั้งสถาบันการศึกษาที่สิงคโปร์ สิ่งหนึ่งที่บริษัท ซิงกาโป จำกัด เน้นอย่างยิ่งคือความรู้ ทั้งในระดับพนักงานและลูกหลานของพนักงาน สำหรับคนทำงานที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป รัฐส่งเสริมให้เรียนเพิ่มทักษะในโครงการที่เรียกว่า SRP (Skill Redevelopment Programme) โดยส่งเสียให้เรียนฟรี หรือมากกว่าฟรี กล่าวคือ ผู้ที่เรียนสามารถเบิกเงินได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของค่าเรียน ขณะเดียวกันก็ได้รับค่าจ้างให้ไปเรียนชั่วโมงละ 6.10 เหรียญ (140 บาท) ดังนั้นเมื่อเรียนจบหลักสูตร อาจได้รับเงินมากกว่าที่จ่ายไป เด็กนักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะไม่ดีนัก (คำว่า “ไม่ดี” หมายถึงรายได้ไม่เกิน 1,500 เหรียญต่อเดือน) ได้รับค่าเรียนเพิ่มคนละ 150 เหรียญต่อปี (3,500 บาท) เป็นค่าเรียนเพิ่มเติม หากไม่ใช้เงินที่รัฐให้นี้ มันจะสะสมในกองทุน CPF (Central Provident Fund) ของเด็กคนนั้น หากสอบได้คะแนนดีก็เพิ่มเงินให้มากขึ้น ที่ว่าเป็นระบบการศึกษาที่ไม่ใช่การมองการณ์ไกลสำหรั้บปัจเจกเพราะเป็นการสอนวิชาที่ใช้ประโยชน์ก็ได้ในชีวิตจริงเท่านั้น ไม่เน้นวิชาวาดเขียน ศิลปะ สำหรับนักเรียนทั่วไป ใช่! เด็กนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่วาดรูปไม่เป็น คนต่างชาติ ไม่ชอบสิงคโปร์ เพราะนานมาแล้วในยุค 1970’s เขาถูกห้ามเข้าเมือง หากไม่ตัดผมที่ยาวรุงรังเสียก่อน ปัจจุบันไม่มีกฏดังกล่าวแล้ว แต่กฏหมายที่นี่ก็ยังคงจัดว่าเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากที่นี่ไม่มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเรื่องหยุมหยิม ต้องตัดสินใจเร็ว ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่กฏหมายที่นี่จะแข็งกระด้าง และผู้คนดูเหมือนไร้ชีวิต

เมื่อมีปัญหาหมากฝรั่งเลอะเทอะตามสถานที่สาธารณะ พวกเขาแก้ปัญหาโดยการแบนหมากฝรั่ง เมื่อมีปัญหาคนปัสสาวะในลิฟท์ พวกเขาแก้ปัญหาโดยการติดกล้องวงจรปิด เมื่อมีปัญหาคนขับรถฝ่าไฟแดง พวกเขาแก้ปัญหาโดยการติดกล้องวงจรปิด ใบสั่งค่าปรับจะถูกส่งไปหาคนฝ่าฝืนทางไปรษณีย์พร้อมรูปถ่ายหลักฐานและใบหักคะแนน (คล้ายๆ ที่บ้านเราเพิ่งทำ แต่บ้านเขาทำมานานแล้วกว่า 20-30 ปี) บุหรี่ทำให้คนป่วย เสียทรัพยากรบุคคล พวกเขาแก้ปัญหาโดยการแบนบุหรี่ ไม่ได้ห้ามโดยตรง แต่ลดพื้นที่ที่สูบบุหรี่ลงไปเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่เหลือให้คนสูบบุหรี่ได้อีกแล้ว ทุเรียนส่งกลิ่นเหม็น ก็ออกกฏห้ามนำทุเรียนขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าด้วยค่าปรับที่สูงกว่าราคาทุเรียนนับพันเท่าจนล้อกันว่า “Singapore is a FINE country” เมื่อมีปัญหาคนทำผิดซ้ำซาก อีกทั้งเศรษฐีหลายคนมีปัญหาเสียค่าปรับ พวกเขาแก้ปัญหาโดยใช้โทษการโบยตีด้วยไม้เรียว คนทำผิดก็ลดลงทันตาเห็นจนพอสรุปได้ว่า ที่นี่แก้ปัญหาตรงๆ แบบกำปั้นทุบดินแต่เป็นกำปั้นโปร่งใส ที่นี่ไม่มีเวลาเหลือสำหรับปัญหาหยุมหยิม

ชีวิตแบบนี้ทำให้ชาวต่างชาติมักมองว่า ชีวิตในสิงคโปร์จืดชืด และเป็นเส้นตรงจนเกินไป ในปี 1994 กรณีการโบยตีเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลสิงคโปร์ปฏิเสธยกโทษการโบยตีเด็กหนุ่มอเมริกันโทษฐานทำลายทรัพย์สินทางการ ไมเคิล เฟย์ ถูกเฆี่ยนโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ไม่มีนโยบายใดในโลกที่ไม่มีข้อเสีย การมีคดีความน้อยมาก ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นเต็มไปด้วย “คนดี” หากแต่เพราะการทำชั่วได้รับการลงโทษอย่างหนักต่างหาก ก่อนหน้าการติดกล้องวงจรปิดในลิฟท์ไม่นาน มีการพบร่องรอยฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ด้วย นี่คงเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีคนฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ เชื่อมั๊ยว่า พวกเขามิได้ต้องการฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ แต่อยากระบายความคับข้องใจบางอย่างออกมาในรูปของการฉี่(ปัสสาวะ) ต่างหาก

ความคิดสร้างสรรค์ของคนสิงคโปร์ถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเห็นใครกล้าคิด หรือเห็นประโยชน์จากการคิดออกนอก “กล่อง” หรือพลิกแพลงชีวิตไปตามสถานการณ์ คนที่คิดออกนอกกล่องมักพาร่างกายออกนอก “กล่อง” ไปด้วย ชาวสิงคโปร์จำนวนไม่น้อย เมื่อเดินทางออกนอกประเทศแล้วไม่คิดกลับมา เชื่อว่าท่านซีอีโอก็คงมองเห็น เวลาเปลี่ยนไป โลกแคบลง สิงคโปร์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องผ่อนปรนบ้าง มุ่งทิศไปเป็น Fine Country จริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วเชือกที่ขึงตึงเกินไปก็ขาดได้ ในช่วงท้ายการปกครองใต้เงาของโก๊ะจ๊กตง กฏเกณฑ์เข้มงวดผ่อนคลายลงมาก เช่น การอนุญาตให้พวกโฮโมเซ็กชวลทำงานในภาครัฐได้ กระทั่งยอมให้มีบาร์เต้นรำบนเคาน์เตอร์ (แม้ว่าคงร้อนแรงสู้บาร์ย่านพัฒน์พงษ์ไม่ได้) ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนตาค้าง ตามมาด้วยนโยบายผ่อนปรน หาทางดึง “มันสมอง” กลับบ้าน มาถึงปีนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่เริ่มหันมายอมรับว่าในที่สุดแล้ว การเรียนแบบจับยัดก็เป็นความคิดอ่านสุดขั้วเกินไป นโยบายใหม่ล่าสุดคือ การลดจำนวนนักเรียนต่อชั้น เพิ่มจำนวนครู เพื่อดูแลนักเรียนแบบใกล้ชิดขึ้น บางทีในอนาคตอีกไม่นาน เด็กๆ ที่นี่อาจได้เรียนวิชาศิลปะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ชาวต่างชาติไม่น้อยตั้งข้อสังเกตพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากว่า สิงคโปร์ก็คือรัฐเผด็จการ(ล้อเลียนรัฐสวัสดิการ) ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ประเทศนี้ยังไม่เปิดให้มีการชุมนุมทางการเมืองแบบเสรี แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจต่อคำเปรยดังกล่าว เพราะชาวสิงคโปร์คิดว่า จะเอาประชาธิปไตยไปทำไม หากประเทศไม่ก้าวหน้าไปไหน และเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น? (เอ๊ะ นี่มันกำลังต่อว่าประเทศไหนกันวะ) เขาไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศไหน ไม่ว่าเราจะเรียกประเทศสิงคโปร์ว่าอย่างไร หรือจะเรียก บริษัทซิงกาโป จำกัด นี้ว่าเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบรวบอำนาจ หรือรัฐเผด็จการ หรืออะไรก็ตาม แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ ชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่ในนั้นอ่ะ มีความสุขกันมั๊ย? ผมถามเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ผุ้ซึ่งเป็นคนเปิดเผยและกล้าแสดงออกโดยไม่กลัวใคร เคยใช้ชีวิตและเรียนในต่างประเทศมาพักใหญ่ว่า “ถามจริงๆ เถอะ คุณมีความสุขในประเทศนี้ไหม? คำตอบของเธอก็เหมือนคนจำนวนไม่น้อยที่บอกว่า ในเมื่อรัฐสามารถให้พวกเขาในด้านต่างๆ เป็นเมืองที่ปลอดภัย ไม่มีคอรัปชั่น บทลงโทษสูง ทำให้คนไม่กล้าเอารัดเอาเปรียบกัน พวกเขาก็ไม่เห็นว่าจะต้องเรียกร้องขออะไรอีก ส่วนอีกคนหนึ่งบอกผมว่า นี่เป็นประเทศที่ไม่มีลับลมคมใน ทุกคนรู้สิทธิหน้าที่ของตนเอง และสามารถยืนยันในสิทธินั้นได้เต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น การไปติดต่อราชการ จะไม่มีคำว่า “ใต้โต๊ะ” เป็นอันขาด ทั้งที่จะว่าไปแล้ว คนจีน(ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ)เป็นปรมาจารย์ในเรื่อง (น้ำร้อน) น้ำชา แน่นอน คนยากจนจริง ๆ ในบ้านเมืองนี้ยังมีอยู่ไม่น้อย และยากจนจริงๆ ด้วย แต่ช่องว่างระหว่างชนชั้นไม่แตกต่างกันเหมือนเมืองไทย แน่นอนบางคนที่พูดอาจไม่ได้เปล่งเสียงจากใจจริงแต่ความจริงก็คือไม่มีรัฐใดในโลกนี้อยู่ได้ หากมวลชนของเขายังยากจนแสนเข็ญอย่างยาวนาน

บริษัทไซแอม จำกัด ก่อตั้งมานานกว่า อุดมด้วยทรัยากรธรรมชาติ มีพื้นฐานวัฒนธรรมที่เข้มข้น และมีศักยภาพมากกว่าบริษัทซิงกาโป จำกัด นับล้านๆ เท่า แต่กลับใช้ศักยภาพไม่ถึงครึ่ง ท่านผู้เฒ่าของเขานั้นเก่งแน่ แต่ในเมืองไทยก็มีคนเก่งไม่แพ้ท่าน และมีหลายคนด้วย คำถามจึงไม่ใช่ว่า ซีอีโอของเรากินปลาและทานวิตามินเอน้อยกว่าซีอีโอของเขาหรือไม่ แต่อาจอยู่ที่ว่า เราสามารถทำให้กฏหมายของเราศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “double standard” น้อยที่สุดได้หรือไม่ เราจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้หรือไม่ โดยไม่ลูบหน้าปะจมูกกับคนใกล้ตัวกัน ไม่เล่นพรรคเล่นพวกกันได้หรือไม่ ผู้นำของเรารักบ้านเมืองมากพอที่จะส่งไม้ต่อให้กับคนรุ่นต่อไป หรือมีวิสัยทัศน์เหมือนกับที่ท่านผู้เฒ่าของเขามองเห็นว่าระบอบรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จหากใช้ไปในทางเพื่อคนส่วนรวม และไม่ใช่สิ่งที่ใช้ได้ในทุกยุคสมัย ทุกประเทศหรือทุกสถานการณ์ จะนำพาประเทศชาติเจริญแบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

(ถอดความบางส่วนจาก รายงานผลประกอบการ บริษัท ซิงกาโป จำกัด, วินทร์ เลียววาริณ,china & east asia journal ตุลาคม 2547,สำนักพิมพ์ open books)

และประเทศสิงคโปร์เขาก็มองการณ์ไกลโดยตลอด ภายหลังลีเซียนลุง เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศแทนโก๊ะจ๊กตง เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เจอพิษไข้จากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปี 2008 ประเทศสิงคโปร์ก็เผชิญปัญหาทางด้านเศรษฐกิจถดถอย และเผชิญความท้าทายของการหารายได้เข้าประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลของเขาได้ปัดฝุ่น นำเอาโครงการที่เคยคิดไว้แล้วในอดีตมาปัดฝุ่นทำออกมาเป็นรูปธรรมก็คือ Marina Bay Sands ซึ่งจะตอบโจทย์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเขา เพื่อดึงเงินเข้าประเทศ สร้างการเจริญเติบโตของประเทศให้ยังคงอยู่ได้ในระยะยาว และยั่งยืนมากขึ้น โครงการนี้เปรียบเสมือนเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่ง ภายใต้การบริหารงานแบบมืออาชีพ ครบครันและสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งครั้งนึงเมืองดูไบของสหรัฐอาหรับอิมิเรตต์ ก็เคยคิดจะทำ แต่ยังไม่สำเร็จก็มาเจอพิษไข้ของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เสียก่อน โครงการ Marina Bay Sands จะเป็นอย่างไร รายละเอียดจะอยู่ถัดลงไปจากบทความนี้

การนำเสนอเรื่องราวของประเทศสิงคโปร์นี้ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะให้เมืองไทยนำเขามาเป็นต้นแบบพิมพ์เขียวทำตามอย่างแต่อย่างใด เพราะทราบดีว่าลักษณะทางภูมิประเทศ กายภาพ รากฐานทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ลักษณะนิสัยใจคอของผู้คนนั้นแตกต่างกันอย่างมาก และผู้เขียนก็ไม่ใช่พวกลัทธินิยมพวกสิงคโปร์ซักเท่าไหร่ เพียงแต่นำมาเป็นข้อคิดหรือชี้ให้เห็นวิธีคิด การทำงาน การมองไปข้างหน้า หรือการวางแผนอนาคตให้กับประเทศของผู้นำประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ว่าประเทศเราจะจงเกลียดจงชังประเทศเขาอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐสิงคโปร์ เป็นรัฐที่มีประสิทธิภาพ และมักถูกจัดอันดับให้อยู่ต้นๆ ของโลกในหลายๆ ด้าน เราจึงดูประเทศเขา เพื่อศึกษาและเรียนรู้ และนำมาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์ วิจัย ศึกษา ใช้กับการพัฒนาประเทศของเรา ไม่อยากให้ใกล้เกลือกินด่าง อีกทั้งยังเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและอยู่ใน AEC ด้วยกัน ควรที่จะศึกษาซึ่งกันและกันไว้

เมืองใหม่ Marina Bay Sands สุดหรู อลังการ…ของสิงคโปร์

ตึกสูงๆ รูปร่างแปลกประหลาดๆ หรูหราใหญ่มหึมา โดดเด่นที่มีเรือลอยฟ้าขนาดใหญ่ เชื่อมต่อสามอาคาร นั่นคือ “Marina Bay Sands” สถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยมแห่งใหม่ของเมืองสิงคโปร์ระดับเวิล์ดคลาส ที่มีกิจกรรมบันเทิงระดับเวิล์ดคลาสมากมายให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดงานประชุม, โรงแรมหรูที่มีห้องพักกว่า 2500 ห้อง ซึ่งประกอบด้วยตัวอาคารสามอาคารที่มีความสูงเหนืออ่าวมากถึง 55 ชั้นสวนลอยฟ้าแซนด์สกายพาร์ค (Sands SkyPark) อวดการเป็นหนึ่งในสวนลอยฟ้าสาธาณะขนาดใหญ่ที่สุดในโกลและสระว่ายน้ำกลางแจ้ง แบบน้ำล้นไร้ขอบขนาดใหญ่ที่สุด รูปทรงคล้ายเรือชื่อว่า The Sands SkyPark, แหล่งช็อปปิ้งของร้านแบรนด์ดังๆ มีศูนย์แสดงสินค้าหรือเรียกว่า The Sands Expo and Convention Center ด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 1.3 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีร้านบูติกสุดหรูชั้นนำจากต่างประเทศ เช่น Bottega ,Veneta,  Burberry ,Cartier , Chanel , Christian Dior , Fendi , Gucci , Hermes , Louis Vuitton , Miu Miu , Prada , Ralph Lauren  , Salvatore , Ferragamo  ,Yves Saint Laurent และอื่นๆ บริการอีกมากมาย, ร้านอาหารดังๆ มีให้ได้เลือกทานตามที่ต้องการ รวมทั้งแหล่งบันเทิงชั้นนำให้ได้เพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ในโรงภาพยนตร์ชั้นนำ ไนท์คลับหรู คาสิโน ระดับ world class

Marina Bay Sands เปิด ให้บริการแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2010 ที่ผ่านมา

อาคาร 200 เมตรสูง ที่ตอนนี้กลายเป็นไอคอนใหม่ของสิงคโปร์ในบริเวณ Marina Bay, สิงโตทะเล, รูปปั้นสิงโตในเวลากลางวันที่เก็บน้ำออกจากปากของเขาเข้ามาแทนที่

แซนด์รีน่าเบย์รีสอร์ทจะรวมอยู่ในชุมชนรอบอ่าวมารีน่า พื้นที่เป็นที่ตั้งอยู่ที่ปากของแม่น้ำสิงคโปร์


อาคารทางกายภาพของ Marina Bay Sands โรงแรมประกอบด้วยอาคารสามเสาแต่ละอาคารที่มีความสูงของ 55 ชั้น
สถาปนิกที่ออกแบบ คือ Moshe Safdie จากบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการออกแบบอาคารที่ไม่เคยซ้ำกัน

ที่ด้านบนของอาคารเป็นโรงแรม โดยการสร้างรูปร่างเหมือนเรือที่ถูกเรียกว่า SkyPark ซึ่งก็กลายเป็นมงกุฎของอาคารที่มีพื้นที่ 12,400 ตารางเมตรสะพาน SkyPark รองรับผู้คนและต้นไม้ถึง 250 650 ต้น และพืชอื่น ๆ ในสถานที่ที่ยังมีสระว่ายน้ำ 150 เมตรสูงที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าว่ายน้ำอยู่บนสรวงสวรรค์

สิงคโปร์ เป็นเมืองที่ไม่หยุดนิ่ง สะอาด สวยงาม เป็นระเบียบ มีสีสันทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ศิลปะ หรือสถาปัตยกรรม เกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่ถูกปลดปล่อยเป็นเสมือนพลังของเอเชียอาคเนย์ที่รวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดของโลกตะวันตกและตะวันออกเอาไว้ด้วยกันราวกับเป็นเมืองแห่งจินตนาการ

การท่องเที่ยวของสิงคโปร์ เน้นจุดเด่นของการเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ในย่านใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของโรงละครทั้งเล็กและใหญ่ จัดการแสดงละครท้องถิ่น ละครเพลง บัลเล่ต์ รวมทั้งการแสดงระดับสากล เช่น โรงละครวิคตอเรีย, เดอะ ซับสเตชั่น, เดอะ แบล็คบ๊อกซ์, สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดี้ยม, หอประชุมจูบิลี และโรงละครริมน้ำเอสพลานาด สถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมกันมากคือ บริเวณ Marina Bay, ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลอ้อน และสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำริมน้ำ คือ Clarke Quay, Boat Quay รวมไปจนถึง China Town, Little India และถนนช็อปปิ้ง Orchard Road

ความแปลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นย่านใจกลางเมือง บริเวณ Marina Bay คือ โครงการ “Marina Bay Sands” ที่ถูกสร้างให้เป็นจุดศูนย์กลางการพักผ่อนแบบครบวงจระดับโลก ทั้งโรงแรมที่มีบ่อนคาสิโนในตัว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชค อันเป็นคาสิโนรีสอร์ทแห่งแรกของสิงคโปร์ มีโรงละครขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์เนม ภัตตาคารหรู และร้านอาหารลอยน้ำ 20 แห่ง

การออกแบบ“Marina Bay Sands”มีความพิเศษโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์แห่งความทรงจำที่ดี รวมถึงสร้างแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางเข้ามาสัมผัสความงดงามของอ่าวมารีนา สถานที่แห่งนี้มีองค์ประกอบที่เหมาะสมในทุก ๆ ด้าน ถูกจัดเรียงมาอย่างสมดุล สำหรับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและอยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังพัฒนาการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นในอนาคต

อ่าวมารีนานั้นเป็นอ่าวที่มีความสะอาด เขียวชอุ่มด้วยแมกไม้และเด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสำหรับการสันทนาการและผ่อนคลาย การออกแบบสิ่งก่อสร้างในสถานที่แห่งนี้ มีลักษณะเป็นไปในแนวทางสถานที่ในฝัน นั่นก็คือสวนลอยฟ้าที่ตั้งอยู่เหนือโฮเทล ทาวเวอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั้ง 360 องศาของอ่าวมารีนา มุ่งเน้นให้เป็นแหล่งอากาศบริสุทธิ์เปรียบเสมือนเป็นปอดของเมืองเลยก็ว่าได้

ที่มา : www.singaporeair.com และ www.silkair.com

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยามนี้คนไทยต้องช่วยเหลือกัน

ข้อมูลบริจาคเงิน


มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ ออมทรัพย์ เลขที่ 020-2-53333-8 หรือ ธ.กสิกรไทย สาขาถนนหลังสวน เลขที่ 082-2-66600-0 http://bit.ly/psfe5U


สำนักนายก: บัญชี “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” ธ.กรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล ออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0 ลดหย่อนภาษีได้

มูลนิธีโอเพ่นแคร์ (www.opencare.org): บัญชี กองทุนร้อยนํ้าใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตลอดลำนํ้ายมมูลนิธีโอเพ่นแคร์ ธ.ไทยพาณิชย์ 402-177853-3 http://on.fb.me/oLnwNj

ArsaThai (พรรคประชาธิปัตย์): มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ธ.กรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่ 068-0-02-3607

อสมท: บัญชี “อสมท รวมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.กรุงไทย สาขาอโศก ออมทรัพย์ เลขที่ 015-015-999-4

ไทยพาณิชย์: บัญชี “มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัย” สาขา ATM & SCB Easy เลขที่ 111-3-90911-5


กรมการศาสนา: บัญชี “สงเคราะห์พระภิกษุสามเณร และผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย เลขที่ 059-1-29006-5

SpringNews TV: ชื่อบัญชี “ร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อผู้ประสบภัย” ธ.กรุงเทพ เลขที่ 196-075084-0 http://lockerz.com/s/137860608

ครอบครัวข่าว 3: บัญชี “ครอบครัวข่าว 3 ช่วยผู้ประสบอุทุกภัย 54″ กระแสรายวัน ธ.กรุงเทพ สาขามาลีนนท์ เลขที่ 014-3-00444-8

บริจาคช่วยน้ำท่วมทาง SMS: AIS/DTAC/TrueMove พิมพ์ 3 ส่ง 4567899 (10 บ/ครั้ง) มอบครอบครัวข่าว 3 http://twitpic.com/6k3gk6

ไปรษณีย์: ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เปิดจุดรับบริจาคเงิน ทุกที่ทำการทั่ว ปท.กว่า 2,000 แห่ง

กทม. : บัญชี “กองทุนกรุงเทพมหานครช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย สาขาถนนข้าวสาร เลขที่ 027-0-17081-2

แต้มสะสม KBank Reward Point: ใช้บริจาคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้ ผ่านสภากาชาดไทย (ถึง 31 ต.ค.) รายละเอียด http://ow.ly/6z7ky

มูลนิธิราชประชา: บัญชี “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” ออมทรัพย์ ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ 401-6-36319-9 http://t.co/HwMnGoEh

มูลนิธิวิจัยและพัฒนาระบบยา+กองพลที่ 1 รักษาพระองค์: เพื่อจัดซื้อ “ชุดยาสู้น้ำท่วม” รายละเอียดบริจาค http://ow.ly/6zt2w

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง: บัญชี “สถาปัตย์รวมน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม” ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยเทคโนโลยีฯ เจ้าคุณทหาร เลขที่ 088-251250-8 (แจ้งยอดโอนได้ที่ 02-329-8366 คุณภานิดา ผู้มีโชคชัย หรือ Email ได้ที่: misspanida@yahoo.com รายละเอียด http://ow.ly/6F81L

วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม บัญชี “วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม ธ. กรุงไทย สาขารัฐสภา ออมทรัพย์ เลขที่ 089-0-22222-3 สอบถาม 0-2244-1777-8, 0-2244-1578 หรือสายด่วนวุฒิสภา 1102

@POH_Natthawut บัญชี “ทวิตสกิดใจคนไทยรักกัน” ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาโฮมโปร ราชพฤกษ์ เลขท่ี 375-212428-9

จุดรับบริจาค

จุดบริจาค มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย ปทุมวัน โทร 0-2256-4583-4, 0-2256-4427-9, 0-2251-0385 http://bit.ly/psfe5U

จุดบริจาค อาสาดุสิต 1 ที่ ธ.กรุงไทย สนง.ใหญ่ ฝั่งเพลินจิต สุขุมวิท ซ.2 9.00-22.00 น. รายละเอียด http://ow.ly/6vjEI

จุดบริจาค อาสาดุสิต 2 ที่ ธ.ไทยพาณิชย์ สนง.ใหญ่ (รัชโยธิน) เต็นท์ลานน้ำพุ วันนี้-2 ต.ค. ต้องการ ข้าวสารถุง 5 กิโลกรัม น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันพืช อาหารแห้ง’ ช่วยอยุธยา อ่างทอง และสิงห์บุรี สอบถาม คุณปู 081 584 6885 www.arsadusit.com/6796

จุดบริจาค อาสาดุสิต 3 ศูนย์รับบริจาค หอสมุดเทศบาลนครพิษณุโลก www.arsadusit.com/6242ArsaDusit

จุดบริจาค กลุ่ม PS-EMC (หน้า ร.ร.ดุสิต สีลม) 7 ก.ย.-30 ต.ค. 19:30-22:30 น. รายละเอียด http://ow.ly/6zrs8

จุดบริจาค หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว: (สน.พหล กับ @e20ive) ต้องการ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม www.twitpic.com/6ltrsk

จุดบริจาค 96.75MHz: สิ่งของจำเป็น ข้าวสาร อาหารแห้ง ยารักษาโรค ฯลฯ สอบถาม 0-5581-7716-7 http://ow.ly/6r1sS

จุดบริจาค กองปราบปราม ถ.พหลโยธิน สอบถาม สายด่วน 1195

จุดบริจาค อาสาไทยฯ (พรรคประชาธิปัตย์) www.facebook.com/AsaThai แผนที่ http://ow.ly/6Bzaj

จุดบริจาค สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อาหารแห้งและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ที่ส่วนบริหารงานทั่วไป ชั้น 1 อาคารสำนักงานอธิการบดี สอบถามโทร 3177, 3781-4 ,0-2329-8110 รายละเอียด http://ow.ly/6F81L

(ปิดแล้ว) จุดบริจาค ทองหล่อ (กลุ่มจิตอาสาอิสระ) 16-24 ก.ย. รับบริจาค และจำหน่ายเสื้อช่วยน้ำท่วม รายละเอียด http://ow.ly/6uUu5

ททบ.5 บัญชีบริจาค “ช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.ทหารไทย สาขาสนามเป้า บัญชีออมทรัพย์ 021-2-69426-9

สอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-278 1698 และ 02-279 2598

ช่อง 3 โครงการประตูใจ ครอบครัวข่าว 3 ร่วมกับ คุณตัน ภาสกรนที เปิด ‘กองทุนประตูใจ ครอบครัวข่าว’ รับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วม เพื่อจัดซื้อประตูให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย บัญชีธ.กรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์ เลขที่บัญชี 014-300-4141

ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่าน SMS

พิมพ์คำว่า “น้ำใจไทย” หรือ “namjaithai” ส่งมาที่?? 4567899

ข้อความละ 10 บาท ในเครือข่าย DTAC, AIS และ TRUE MOVE

รายได้ทั้งหมดบริจาคเพื่อผู้ประสบอุทกภัย

กรมทางหลวงเปิดสายด่วนให้ข้อมูลน้ำท่วม 1586

กรมทางหลวงได้เปิดสายด่วน? 1586? เพื่อให้ประชาชนสอบถามข้อมูลน้ำท่วมได้ตลอด? 24? ชั่วโมง? พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่เสี่ยงภัยเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนอย่างเต็มที่? สำหรับประชาชนที่ต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง หรือต้องการความช่วยเหลือ? สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์? 02-354-6530, 02-354-6668-76? ต่อ? 2014,? 2031? ศูนย์บริการงานอุบัติเหตุ? สำนักบริหารบำรุงทาง? 02-354-6551? และตำรวจทางหลวง? 1193

ธนาคารออมสินเชิญชวนบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ธนาคารออมสิน ขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมแบ่งปันน้ำใจให้ผู้ประสบอุทกภัยที่ได้รับความเดือดร้อน โดยท่านสามารถบริจาคเงินเข้าบัญชีได้ที่ ธนาคารออมสินสาขาสำนักพหลโยธิน บัญชีประเภทเผื่อเรียก ชื่อบัญชี ?ออมสินรวมใจช่วยภัยน้ำท่วม? บัญชีเลขที่ 028888888881 ทั้งนี้ ธนาคารได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินเป็นกรณีพิเศษไว้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553

โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา แจ้งเบอร์โทร- เบอร์บัญชีบริจาคช่วยผู้ป่วย-น้ำท่วม

โรงพยาบาลมีความต้องการน้ำดื่มบรรจุขวด นมกล่อง และอาหารแห้ง รวมทั้งของใช้เบ็ดเตล็ดผู้ป่วย เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอนามัย เป็นจำนวนมาก ประชาชนแจ้งบริจาคได้ที่ 086 2512188 ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถโอนเงินบริจาคเข้าธนาคารกรุงไทย สาขานครราชสีมา เลขบัญชี 3013165804 และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาหัวทะเล นครราชสีมา เลขบัญชี 7902605487

อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย รับบริจาคของกินของใช้ เพื่อนำไปช่วยชาวบ้านที่น้ำท่วม 02-465-6165 มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน ได้ทั้งวัน

ช่อง 3 เปิดบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ชื่อบัญชี ครอบครัวข่าวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 2553 บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขามาลีนนท์ทาวเวอร์ เลขที่บัญชี 0143003689 หรือบริจาคเป็นสิ่งของที่อาคารมาลีนนท์ ถ.พระราม 4

อสมท. เปิดบัญชีช่วยผู้ประสบภัย “อสมท.ร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.กรุงไทย ออมทรัพย์ # 015-0-12345-0 โทร 02-245-0700-4 และเชิญร่วมบริจาคสิ่งของนำไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนน้ำท่วม อาคารปฏิบัติการ ชั้น 1 ถ.พระราม9 09.00-22.00

ทีวีไทยร่วมกับกองทัพอากาศ เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม รับบริจาคสิ่งของเพื่อจัดส่งอย่างเร่งด่วนโทร. 02-791-1385-7

สำนักข่าวเนชั่น เปิดศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของช่วยผู้ประสบอุทกภัย โทรศัพท์ 02-338-3333, 02 338-3000 กด 3

ช่อง 7 สีเปิดรับบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนํ้าท่วมได้ที่ บัญชี “001-9-13247-1″ ชื่อบัญชี 7 สีช่วยชาวบ้าน ธ.กรุงศรีอยุธยา สำนักเพลินจิต สิ่งของช่วยเหลือที่ช่อง7 ซ.พหลโยธิน 18/1

มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์ เพื่อผู้ประสบภัย ที่ATM/สาขา SCB ไม่มีค่าโอน? ช่วยผู้ประสบภัย SCB กระแสรายวัน 111-390911-5

กทม. เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยน้ำท่วม ลานหน้าศาลาฯกทม.เสาชิงช้า/กทม.2ดินแดง/สนง.เขต 50เขต เตรียมส่งเรือท้องแบน 20 ลำ ชุดแรกวันพฤหัสนี้

สภากาชาดไทย บัญชีธ.ไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี ? สภากาชาดไทยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย? # 045 304190 6 ออมทรัพย์

กอง บัญชาการ กองทัพไทย เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย นำสิ่งของบริจาคได้ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ (อาคาร6) เวลาราชการ โทร.02-5751500

ศูนย์รับบริจาคสิ่งของจังหวัดโคราช โทร 044259993-4, 044259996-8

อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย

พุธนี้ (20 ตุลาคม) ต้องการอาสาฯ ที่ โรงแรมดุสิต ช่วยแพคของ 13:00-23:00 น. ก่อนทีมนำของบริจาคไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่โคราช? ส่วนใครต้องการบริจาคสิ่งของ มาได้ได้ตั้งแต่ 9:00-23:00 น.

http://twitter.com/#!/SiamArsa

http://www.facebook.com/SiamArsa

กระทรวงคมนาคม ผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคสามารถรวบรวมและนำส่งได้ที่สำนักงานปลัด กระทรวงคมนาคม ถนนราชดำเนินนอก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. หรือโอนเงินบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว ชื่อบัญชี ?คค. ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย? บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 021-0-11932-2 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์? 02-282-9559 , 02-283-3138 , 02-283-3066 และ 02-283-3309

บขส.-ขสมก.

เปิดศูนย์รับบริจาคเครื่องอุปโภค-บริโภค บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 อาคาร

สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ(จตุจักร) และสถานีเดินรถ บขส.ทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่กองประชาสัมพันธ์ โทร0-2936-2996 หรือ Call Center 1490 เรียก บขส.

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ร่วมกับ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (โทลล์เวย์) และกองทัพบก ตั้งจุดรับบริจาคสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ณ บริเวณประตูทางเข้าศูนย์การค้าฯ ชั้น บี (ร้านซูกิชิ) ฝั่งโรบินสัน

ค่ายมือถือ 3 ค่าย คือ เอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟ เชิญร่วมส่ง sms โดยพิมพ์ ข้อความ ‘น้ำใจไทย’ หรือ ‘namjaithai’ ส่งไปที่หมายเลข 4567899 ค่าบริการครั้งละ 10 บาท โดยรายได้จากค่าบริการ sms นำช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทั้งหมด

การทางพิเศษร่วมกับBECL เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่อาคารด่านเก็บเงิน ทุกด่าน24ชม.และที่ศูนย์บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ ในเวลาราชการ

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แกรมมี่รุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี ยุทธศาสตร์ใหม่บนน่านน้ำสีน้ำเงินของอากู๋ (จริงเหรอ)

แกรมมี่รุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี ยุทธศาสตร์ใหม่บนน่านน้ำสีน้ำเงินของอากู๋ (จริงเหรอ)


พลันที่มีการเปิดตัวเจ้ากล่องรับสัญญาณที่เรียกว่า 1-SKY ที่ทำร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียมช่องอื่นๆ อีกหลายเจ้ามาผนึกรวมกันบนฐาน platform เดียวกัน ก็เป็นที่ฮือฮาของบรรดาสื่อมวลชน ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตลอดจนผู้ชมหรือผู้บริโภคที่เสพสื่อทางทีวีหรือเคเบิ้ลทีวีพอสมควร และก่อนหน้านี้ ก็พอจะรับทราบว่าอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แกมีความคิดที่อยากจะเปิดช่องทีวีเป็นของตนเองมาตั้งนานแล้ว และช่องทีวีดาวเทียมของเครือแกรมมี่ก็เปิดตัวชิมลางมาได้ซักพักนึงแล้วทั้ง 4 ช่องเดิม ก็คือ Green , Bang , Fan TV และ Acts แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกเรตติ้งได้สูงสุดในระบบได้ รวมถึงยังไม่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนดูได้ครบทุกเซ็กเม้นท์ตามแต่ใจของอากู๋ได้อย่างครบถ้วน มาคราวนี้จึงดำริ ที่จะเปิดอีก 4-6 ช่องให้ครบ 10 ช่อง เพื่อขอก้าวไปเป็นผู้นำในธุรกิจทีวีดาวเทียมนี้ แต่จริงๆ แล้ว เป้าหมายที่อากู๋มาเปิดทีวีดาวเทียมก็คือ ต้องการเม็ดเงินรายได้จากค่าโฆษณาที่จะได้รับจากธุรกิจทีวีดาวเทียมมากกว่า ซึ่งสมมติฐานที่อากู๋ตั้งเอาไว้ก็คือ หากมีช่องที่มีรายการที่ดี มีคอนเท้นต์ที่ดี มีผู้ชมที่ตรงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละช่อง ก็ง่ายต่อการที่สินค้าจะหันมาลงโฆษณาในช่องทีวีดาวเทียม เพราะผลประโยชน์ก็จะ win win ด้วยกันทั้งคู่ เจ้าของสินค้าก็จะลงโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ต้องหว่านแห หว่านเม็ดเงินไปแบบไร้ทิศทาง ประหยัดงบโฆษณาได้มากอักโข เพราะการลงโฆษณาในฟรีทีวีย่อมแพงกว่าในทีวีดาวเทียมหลายเท่านัก อีกทั้งยังสามารถต่อรองกับช่องทีวีดาวเทียมได้ง่ายกว่า เพราะการแข่งขันในช่วงแรกคงยังไม่สูงมากนัก ในส่วนของเจ้าของสถานีทีวีดาวเทียม ก็ได้ประโยชน์จากค่าโฆษณาสินค้าที่จะไหลออกจากฟรีทีวีมาเข้าช่องของตน และดูเหมือนแนวโน้มก็นับวันที่จะไปในแนวทางนั้น ขอเพียงแต่ว่ามีการจัดเรตติ้งในช่องทีวีดาวเทียมได้อย่างแน่ชัดว่าช่องไหน มีฐานกลุ่มลูกค้าใหญ่กว่ากัน มีกำลังซื้อมากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่ยากที่จะวิเคราะห์ เพราะดูจาก content ของช่อง และพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกรับชมช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการทำสำรวจความนิยมของคนดูได้อีกทางนึง ประโยชน์อีกอย่างนึงของช่องทีวีดาวเทียมก็คือเขาไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานหรือผลประโยชน์อื่นใดให้กับหน่วยงานของรัฐที่คุมสื่อ ทำให้เขาประหยัดเงินงบประมาณตรงส่วนนี้ ไปไว้ในการลงทุนทำรายการดีๆ เพื่อป้อนสู่ทีวีของเขาได้มากกว่าฟรีทีวี และเขาสามารถสื่อสาร message ต่างๆ ไปยังกลุ่มผู้ชมคนดูแบบเฉพาะกลุ่มทำให้สามารถสื่อได้ตรงและลึก ชัดเจนได้มากกว่ารายการบนฟรีทีวีที่ต้องทำออกมาเป็น mass และบางครั้งก็ขาดมุมมองด้านลึก มีแต่ด้านกว้าง และถูกจำกัดด้านเวลาหรือ airtime มากเกินไป ทำให้ความสมบูรณ์ของเนื้อหายังไงก็สู้รายการที่ผลิตเพื่อป้อนทีวีดาวเทียมไม่ได้

ถ้าจะมาวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดของแกรมมี่ในการรุกธุรกิจทีวีดาวเทียมหรือเคเบิ้ลทีวีนั้น ก็ต้องถือว่าแกรมมี่ได้เปรียบคู่แข่งหรือพันธมิตรทางธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียมเจ้าอื่นๆ อยู่มากโข ทั้งในฐานะเป็นบริษัทบันเทิงเบอร์ 1 ของไทย มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเองด้วย เป็นบริษัทแม่และบริษัทลูกในเครือที่ผลิต content ด้านบันเทิงป้อนสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีอยู่แล้ว เกือบทุกช่อง อีกทั้งมีบุคลากร ทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอยู่มากที่สุดในวงการ ทำให้แกรมมี่ได้เปรียบคู่แข่งในจุดนี้ จึงเป็นหัวหอกในการรวบรวมสื่อทีวีดาวเทียมเกือบทุกเจ้าเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรและร่วมเดินไปบน platform เดียวกัน โดยใช้พาหะที่ชื่อว่า 1-SKY เป็นเครื่องมือและรวมไปถึงเป็นตัวสินค้าที่จะสามารถนำออกมาขาย แปลงเป็นเงินหรือรายได้เข้าบริษัทได้ก่อนในชั้นแรก นี่คงเป็นความชาญฉลาดของอากู๋ที่ออกตัวแรงและก็ทำแต้มนำเจ้าอื่นไปได้ก่อนเลย โดยที่คู่แข่งคนอื่นๆ ได้แต่จำใจเข้าร่วม และกลืนน้ำลายเอื้อกๆ มองตาปริบๆ ให้อากู๋ และแกรมมี่ วิ่งแซงหน้าไปปักธงเอาไว้ก่อนเลย ในน่านน้ำสีน้ำเงินแห่งนี้

หันมามองยุทธศาสตร์ของบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเรื่อยตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี โดยเมื่อแรกก่อตั้งบริษัท บริษัทเป็นเพียงสตูดิโอในการผลิตเพลง และส่งให้บริษัทออนป้า จัดจำหน่าย พอหลังจากนั้นก็ตั้งบริษัท MGA มาเป็นแขนขาของตนเอง ในช่วง 10 ปีแรกของบริษัท ยังคงเป็นค่ายเพลงที่เน้นผลิตผลงานเพลงแต่เพียงอย่างเดียวและเริ่มรุกทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเพลงหรือมา support ธุรกิจเพลง อาทิ ตั้งบริษัท a-time media เพื่อดูแลสื่อวิทยุในเครือทั้ง 4 คลื่น (Hot wave,Green wave, Radiovote Sattlelite,Radio Noproblem) ตั้งบริษัทเอ็กซ์แซ็กท์ เพื่อผลิตละครป้อนสถานี และผลิตรายการทีวี ,ตั้งบริษัท Teentalk เพื่อผลิตรายการเพลงทางฟรีทีวี ,ตั้งบริษัทแกรมมี่ฟิมล์ เพื่อผลิตภาพยนตร์ ,ตั้งบริษัท (จีเอ็มเอ็มไลฟ์) ที่ดูแลการจัดคอนเสิร์ตให้กับศิลปินในค่าย เป็นต้น ปีที่ 11-20 นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในธุรกิจนอกไลน์สายงานเพลงมากขึ้น และตั้งบริษัทที่จะรองรับรูปแบบธุรกิจสื่อบันเทิงครบวงจร อาทิ ตั้งบริษัท อินเด็กซ์ เพื่อดูแลการจัดอีเว้นท์ และโชว์บิซ ,ตั้งบริษัทอามาทิส เพื่อดูแลบริหารศิลปินในค่ายในเครือทั้งหมด ,ตั้งบริษัทเพื่อดูแลด้านลิขสิทธิ์เพลง ,ตั้งบริษัทเพื่อผลิตและขายตรงสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย เช่น บะหมี่โฟร์ยู เครื่องสำอางค์ U-Star ,จัดตั้งสถาบันดนตรีมีฟ้า เป็นโรงเรียนสอนด้านดนตรีแก่บุคลากรภายในและภายนอกองค์กร พร้อมๆ กับยุคนี้มีการเปลียนแปลงโครงสร้างบริหารองค์กรครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อบริษัท จากแกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เป็น จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีการดึงตัวคนนอกมาเป็นผู้บริหารองค์กร อาทิ วิสิฐ ตันติสุนทร ,อภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นต้น มีการแตกค่ายเพลงออกเป็นค่ายย่อยๆ มากมายในยุคนี้ อาทิ มอร์มิวสิค กรีนบีนแกรมมี่แกรนด์ แกรมมี่โกลด์ อาร์พีจี เมกเกอร์เฮด จีนี่เรคคอร์ด เอ็กซ์แซ็กท์ เป็นต้น ปีที่ 21 ถึงปัจจุบัน มีการยุบหลายบริษัทที่ไม่ทำกำไร หรือควบรวมบางบริษัทที่ใกล้เคียงกัน เพื่อลดบุคลากร ลดค่าใช้จ่าย มีการจ้างพนักงานออก และก็มีการตั้งบริษัทใหม่ หรือซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อด้านอื่นๆ อาทิ มีการยุบบริษัทแกรมมี่ฟิมล์ทิ้งแต่ไปจัดตั้งบริษัท จีทีเอช โดยร่วมกับไทเอ็นเตอร์เทนและหับโห้หิ้น เป็น joint venture กัน ,ยุบค่ายเพลงเล็กๆ ทิ้งไปมากมาย ตั้งค่ายเพลงใหม่อย่างสนามหลวง มีการตั้งบริษัท gmm media ,gmmtv เพื่อดูแลการผลิตรายการโทรทัศน์ในเครือทั้งหมด บริษัทลูกอย่างเอ็กแซ็กท์ก็ตั้งบริษัทซีนาริโอขึ้นมาแยกออกเป็นอีกบริษัทเพื่อผลิตซิทคอมป้อนฟรีทีวี ตั้งบริษัทจีเอ็มเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อดูแลศิลปินไทยไปโกอินเตอร์ และมีผลงานในต่างประเทศ ดูแลด้านลิขสิทธิ์ทั้งหมดในต่างประเทศ รวมถึงศิลปินต่างประเทศที่มา cover งานเพลงของแกรมมี่ และเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับศิลปินต่างประเทศมาขายในบ้านเรา ซื้อกิจการนิตยสารอิมเมจ และซื้อหัวแม็กาซีนเมืองนอกมาผลิตในไทย อาทิ Maxim , Her World, Attitude , เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในเครือ นสพ.มติชน , ถือหุ้นใหญ่ในบ.แฟมิลี่โนว์ฮาว ที่เป็นเจ้าของ Money Channel ,ถือหุ้นใหญ่ใน Office Mate เรียกได้ว่า แกรมมี่เป็นบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ไม่ใช่แค่ในเมืองไทย น่าจะใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซี่ยนนี้ด้วย ซึ่งครั้งนึงเคยมีค่ายเพลงจากฝั่งยุโรปติดต่อขอซื้อกิจการ หรือ Takeover จากแกรมมี่ แต่อากู๋ ไพบูลย์ ไม่ยินดีที่จะขายให้ เพราะมองเห็นศักยภาพในตัวเอง ที่จะสามารถสร้างอาณาจักรความยิ่งใหญ่ได้เอง ยุคนั้นพี่เต๋อยังกุมบังเหียนนั่งเป็น CEO อยู่

บทวิเคราะห์ของผู้เขียนต่อกรณีของการรุกไปในธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวีของอากู๋ หรือแกรมมี่ในครั้งนี้นั้น น่าจะเป็นไฟต์บังคับมากกว่า มากกว่าที่จะเป็นวิสัยทัศน์อันเฉียบคมหรืออะไรของอากู๋มากนัก เพราะแต่เดิมอากู๋ต้องการทำทีวีแบบเดียวกับช่องฟรีทีวี ประเภท ไอทีวีเดิม หรือช่องทีวีไทย แต่ติดตรงการจะเปิดช่องฟรีทีวีใหม่ในยุครัฐบาลอานันท์ มีการแข่งขันประมูลกันสูงมาก และไอทีวีได้ไป (จนตอนหลังโดนให้จ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังถึงกับเจ๊ง ปิดกิจการไป) ต่อมาในยุคสุรยุทธ์ การให้สัมปทานฟรีทีวีใหม่บนคลื่นสัญญาณ UFH ถูกกำหนดให้ต้องเป็นรูปแบบทีวีสาธารณะ ต้องมีกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมายที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจหากำไร จนอากู๋ก็ต้องล่าถอยออกไปอีก พอมาในยุคปัจจุบันกระแสทีวีดาวเทียมได้รับความนิยม โดยช่องที่เป็นโมเดลต้นแบบที่ทำแล้วประสบความสำเร็จก็คือ astv โด่งดังมาจากการชุมนุมขับไล่ทักษิณ ตั้งแต่ช่วงปี 2548 และช่องเนชั่นทีวี 2 ช่องนี้น่าจะเป็นช่องบุกเบิกฟรีทีวีดาวเทียมยุคแรกๆ ที่คนหันมาติดดาวเทียมกันมากขึ้น จากการอยากจะติดตามข่าวสารบ้านเมือง และก็ช่องทรูวิชั่นส์เดิมที่เป็นช่องเคเบิ้ลเก่าแก่แบบบอกรับสมาชิกที่มีฐานคนดูแบบมีกำลังซื้อสูง พอมีการติดจานรับสัญญาณดาวเทียมกันมากขึ้นโดยเฉพาะตามต่างจังหวัดอันเนื่องมาจาก ตจว.รับสัญญาณโทรทัศน์ไม่ดี พวกเสาหนวดกุ้งไม้เวิร์ค จึงหันมาติดจานดาวเทียม ซึ่งก็มีการทำราคาถูกลงมามาก จากนโยบายจานแดงติดฟรีของทรูวิชั่นส์นั่นแหละเป็นตัวจุดกระแสแรกๆ ที่ทำให้คนหันมาติดจานกันมากขึ้นแทนเสาโทรทัศน์แบบเดิมๆ ทำให้อากู๋ ไพบูลย์สบช่องรุกทำธุรกิจทีวีดาวเทียมทันที โดยหวังจะเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ให้ได้ ซึ่งก็ไม่ง่ายนั้น (เดี๋ยวจะได้วิเคราะห์ต่อไปถึงเหตุผล) แต่หากดูจากวิสัยทัศน์ของอากู๋ จริงๆ แล้วนั้น โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าถ้าอะไรเป็นความคิดไอเดียของท่านนั้นมักจะล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จ เสียส่วนใหญ่ (ขอโทษอากู๋ด้วยนะครับที่ต้องพูดแบบตรงไปตรงมา และวิเคราะห์ไปตามเนื้อผ้าจริงๆ) พอสิ้นยุคพี่เต๋อ มาแล้ว การนำพาองค์กรอย่างแกรมมี่ของอากู๋นั้น แตกไลน์ไปเยอะมาก พยายามจะหันลงไปทำธุรกิจในหลายด้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มี know how และยังไม่มีบุคลากรเลยด้วยซ้ำ มีแต่เงินทุนที่ทุ่มลงไป จะเห็นว่าในรอบหลายปีมานี้ ธุรกิจที่แกรมมี่ทำแล้วไม่สามารถทำรายได้หรือกำไรเป็นกอบเป็นกำ มีอยู่มากมาย ทั้งๆที่บริษัทมี asset มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ ในค่ายอยู่เป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นได้จากช่วง 10 ให้หลังมานี้ บริษัทแกรมมี่ทำกำไรในแต่ละปีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ หรือบุคลากรที่ตัวเองมีอยู่ และแม้จะมีการซื้อตัวหรือดึงนักบริหารมืออาชีพเข้ามานำทัพในบริษัทอยู่ช่วงนึงแล้วก็ยังไม่ประสบผลเท่าที่ควร ในมุมมองของผู้เขียนนั้นมองว่า แกรมมี่โดยอากู๋นั้นได้มองข้ามหรือลืมปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของตนเองไป ลืมรากเหง้าขององค์กรไป นั่นก็คือ ตัว core business ที่แท้จริง ซึ่งก็คือธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นปรัชญาในการก่อตั้งบริษัทเมื่อครั้งเริ่มแรกกับพี่เต๋อ อุดมการณ์ในการที่จะก่อตั้งค่ายเพลงและสร้างธุรกิจเพลง การขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมผลิตเพลงไทยก้าวไปข้างหน้าและให้เติบโตต่อไปได้ แกรมมี่ทำเหมือนกัน พอยึดกุมตลาดเอาไว้ได้ก็หยุดพัฒนาต่อ แล้วหันไปทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อ โดยไม่สนใจที่จะโฟกัสตัวธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นหลักชัยที่สำคัญ อีกทั้งยังทำไปไม่สุดทางด้วย คือหยุดที่จะคิดและพัฒนาต่อ ซึ่งจะด้วย key man ที่เป็นหัวใจอย่างพี่เต๋อเสียชีวิต หรือจะอ้างการมาของเทคโนโลยีการดาวน์โหลดเพลงทำให้อุตสาหกรรมเพลงถึงทางตัน แต่จริงๆ แล้วผู้เขียนยังคิดว่า นั่นไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง จะขอตอบทีละอัน ในกรณีของขาดตัวขับเคลื่อนหรือ key man ที่สำคัญ นั้น ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะในตอนนั้นแกรมมี่ไม่ได้สร้างงานโดยพี่เต๋อเพียงคนเดียว ทีมงานที่พี่เต๋อได้สร้างไว้เก่งๆ มีมากมาย สุดแล้วแต่จะเรียกใช้ใคร ทีมโปรดิวเซอร์เก่งๆ ในประเทศนี้มารวมกันอยู่ในแกรมมี่ไม่รู้กี่สิบคน และทีมแต่งเพลงอีกหลายสิบชีวิต ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่มันสมองไม่มี แต่อยู่ที่กรอบความคิดและวิสัยทัศน์ของผู้นำ กำหนดทิศทางผิดหรือไม่ และมองไม่เห็นเฟรมเวิร์คอันนี้มากกว่า ส่วนข้อต่อมาก็คือการมาของเทคโนโลยีการดาวน์โหลดเพลง มาฆ่าอุตสาหกรรมเพลงหรือทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ยิ่งไม่เห็นด้วยหนักเข้าไปอีก ไม่ว่าจะมองว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าหรือตลาดเพลงที่บริโภคหรือเสพงานผ่านรูปแบบเดิมๆ คือ CD,cassette tape แผ่นเสียง, MP3 หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นแต่เพียงตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นมาของทางเลือกในการเสพงานมากกว่า ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีคือเหรียญ 2 ด้าน ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการผลิตงานเพลงให้ง่ายขึ้น ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ประหยัดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำไมมุมนี้ถึงไม่มองบ้างหล่ะ แต่กลับไปมองว่ามันมาแล้วทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อเทป ไม่ซื้อซีดี หันมาโหลดฟรีกันอย่างเดียว ในส่วนตัวของผู้เขียนยังมีความนิยมชมชอบที่จะซื้องานเพลงในรุปแบบเดิมอยู่คือซื้อเป็นซีดี คาสเซ็ทเทป หรือแผ่นเสียงมากกว่าที่จะเก็บเป็นในรูปของไฟล์หรือ load bit หรือโหลดเข้ามาไว้ในมือถือ อาจจะด้วยเป็นคนรุ่นเก่า แต่เชื่อว่าแม้กระทั่งคนรุ่นใหม่สมัยนี้ยังชอบที่จะสะสมงานเพลงในรูปแบบซีดี แผ่นเสียง คาสเซ็ท อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะมีคุณค่าจับต้องได้ สะสมได้ โดยเฉพาะแฟนคลับที่ตามงานศิลปิน เป็นแฟนพันธุ์แท้ชอบสะสมเป็นคอลเลคชั่น เพียงแต่ในปัจจุบันงานเพลงใหม่ๆ ค่ายเพลงไม่นิยมทำออกมาในรูปแบบเดิมๆ หรือทำมาในจำนวนจำกัด ผู้เขียนเห็นว่าการที่ยอดขายในปัจจุบันลดลงไม่ใช่ผลจากเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว แต่เพราะความอ่อนด้อยของคุณภาพงานเพลงในปัจจุบันมันลดน้อยถอยลงมากกว่า เมื่อเทียบกับงานเพลงในสมัยก่อน เพราะปัจจุบันหันมาเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต ดนตรีที่ใช้บันทึกเสียงในห้องอัดยังใช้คอมพิวเตอร์ผลิตเอาเลย คุณภาพการร้องของนักร้องในสมัยนี้ก็เทียบไม่ได้กับนักร้องสมัยก่อน พอร้องสดขึ้นเวทีแต่ละครั้งจะรู้เลยว่าลิปซิงค์ หรือพอร้องเต็มเสียงก็รู้เลยว่าเสียงไม่เหมือนตอนฟังในอัลบั้มหรือห้องอัดที่มีการตัดต่อออกมาอย่างดี ทำให้เราไม่ประทับใจในความสามารถของนักร้องในปัจจุบันเท่ารุ่นก่อน นักร้องคุณภาพในยุคนี้นั้นนับหัวนับตัวได้เลยว่ามีกี่คน ในขณะที่จำนวนนักร้อง ศิลปิน หรือวงดนตรีผุดขึ้นใหม่รายวันราวกับดอกเห็ด เวทีประกวดเยอะแยะมากมายที่คัดนักร้องที่หน้าตา ไม่มีคุณภาพการร้องเอาเสียเลย ความเป็นจริงก็คือคุณภาพของงานเพลงในยุคนี้ต่างหากที่มันทำลายอุตสาหกรรมเพลงโดยภาพรวม ทำให้ผู้บริโภคในยุคนี้ที่เขาฉลาดและมีทางเลือกมากขึ้น เลือกที่จะไม่ซื้องานแบบทั้งอัลบั้ม ทำให้ค่ายเพลงต้องหันมาทำเพลงแบบเพลงต่อเพลง คือโปรโมตเป็นซิงเกิ้ล ทำไมอุตสาหกรรมเพลงในเกาหลีถึงไปได้ดีหล่ะ ค่าย SM Entertainment , หรือ JYP ทำไมถึงสร้างนักร้องของเกาหลีให้โด่งดังในระดับเอเชียและระดับโลกได้หล่ะ อีกทั้งแผ่นเสียงและการโหลดก็ค่ายดีควบคู่กัน อาทิ อัลบั้มของศิลปิน Wondergirl , rain, TVXQ, Binbang, CN Blue , 2 PM ,SuperJunior, Girl generation , Cara จึงขายดีในระดับเอเชียและไปตีตลาดได้ทั่วโลกหล่ะ หากแกรมมี่จะผลักดันจริงๆ ศิลปินในค่ายที่มีศักยภาพอีกหลายคนที่ไม่ใช่พี่เบิร์ดทำไมไม่ถูกผลักดันให้โกอินเตอร์ มากกว่านี้ ทั้งๆ ที่แกรมมี่มีบุคลากรเก่งๆ ที่มีศักยภาพอยู่เยอะ ที่ผ่านมาการผลักดัน เต๊ะ ศตวรรษ ,ไชน่าดอลล์ ,ดราก้อนไฟว์ ,กอล์ฟ ไมค์ ชิน ชินวุฒิ ไอซ์ ศรัณญู นั้น ผู้เขียนยังไม่ขอเรียกว่าโกอินเตอร์แล้ว แต่เป็นการโกเป็นบางประเทศของเอเชียเท่านั้น เอาง่ายๆ เก่งจริง ต้องครองตลาดที่อยู่ใกล้ๆ อย่างอาเซี่ยนให้ได้ก่อน และก็ตลาดจีน ญี่ปุน เกาหลี ไต้หวันนั้นต้องเจาะได้ทุกประเทศ ศิลปินที่แกรมมี่ผลักดันทีผ่านมานั้นยังมีศักยภาพไม่เพียงพอ ต้องระดับพี่เบิร์ด อัสนีวสันต์ ทาทายัง ใหม่ คริสติน่า เจเจตริน ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องเป็นบี้เดอะสตาร์ ดาเอ็นโดรฟิน อ๊อฟ ปองศักดิ์ ตูน บอดี้สแลม ปั๊บโปเตโต้ แก้มวิชญานี แต่ศิลปินเบอร์ระดับนี้กับไม่ถูกผลักดันออกนอกประเทศเท่าที่ควร ทั้งที่ศักยภาพไปได้ไกลกว่าระดับประเทศแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ตัวผู้เขียนใช้คำว่าไปไม่สุดทางของการทำธุรกิจค่ายเพลง และไม่โฟกัสในจุดแข็งอันนี้ กลับไปมุ่งธุรกิจอื่นที่คาดคิดเอาเองว่าจะสร้างกำไรได้มากกว่า โดยลืมไปว่าธุรกิจที่กำลังจะมุ่งไปนั้นตัวเองไม่ได้มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งเลย และต้องลงทุนลงแรงเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์

ผู้เขียนขอขยายความในส่วนของธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวีดังนี้ การที่แกรมมี่รุกทำธุรกิจนี้โดยกะจะทำถึง 10 ช่อง ซึ่งก็ไม่ได้เยอะอะไรเมื่อเทียบกับปริมาณ 200 กว่าช่องที่มีอยู่ในปัจจุบัน การจัดหมวดหมู่ของช่องเคเบิล้นั้นจำแนกตามประเภทเนื้อหาได้ดังนี้ กลุ่มแรกคือกลุ่มช่องข่าวหรือรายงานสถานการณ์ประจำวัน อาทิ ช่อง TNN 24 , Astv new1, Nation, Spring News, Voice TV, T-News ,Money Channel ,CNN,NHK,BBC,CNBC,Bloomberg เป็นต้น กลุ่มต่อมาคือกลุ่มช่องบันเทิง,ละคร,ภาพยนตร์,เพลง อาทิ ช่องเพลงของทั้งแกรมมี่,อาร์เอส, channel V, MTV, POP,Majung ช่องละครของ Media, Acts ,ช่องหนัง เช่น HBO,Star Movies,Cinemag,Syfy,Universal, KBS,Cartoon Network, M picture กลุ่มของสารคดี ทอล์คโชว์ เรียลลิตี้โชว์ เช่น Discovery ,Animal Plannet,History,Documentary ,National Geographic,FTV,Tango กลุ่มของช่องกีฬา,ผจญภัย ได้แก่ ช่อง  Espn,Truesport ,Football Plus ,X-Zyte เป็นต้น โดยช่องกีฬา เป็นช่องที่คนดูเคเบิ้ลทีวีของ Truevision หรือบอกรับสมาชิกต้องการดูมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งที่รับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีคทีมใหญ่ๆเพียงที่ดียว จะเห็นได้ว่าแกรมมี่จะมีช่องที่รวมกันอยู่ในหมวดบันเทิงเสียส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ซึ่งฐานคนดูส่วนใหญ่ในบ้านเรากลับดูข่าว วิเคราะห์ข่าว และรายงานสถานการณ์ประจำวัน รวมถึงกีฬาเสียเป็นหลักใหญ่มากกว่า ซึ่งเป็นช่องทีมี content ที่ดีที่สุด รองลงมาคือในกลุ่มสารคดี ทอล์คโชว์ เรียลลิตี้โชว์ อีกทั้งการยัดเยียดโฆษณาเข้าไปมากๆ ในเคเบิ้ลทีวีหรือทีวีดาวเทียมก็ไม่เป็นผลดีมากนัก หากรายการไม่มีกลุ่มฐานที่เหนียวแน่นแล้วหล่ะก็ ลูกค้ามีรีโมตที่จะเปลี่ยนไปเลือกดูช่องอื่นได้ทันที และยิ่งมีตัวเลือกยิ่งมากยิ่งเสี่ยงต่อการเสียฐานลูกค้าไปได้โดยง่าย ส่วนประเด็นที่แกรมมี่โดยอากู๋ ไพบูลย์ ได้ซื้อลิขสิทธิ์บอลยูโร 2012 มาเพื่อไว้เป็นจุดขายในการจูงใจให้ผู้บริโภคคนไทยหันมาติดกล่อง 1-SKY เพื่อรับชมแบบต้องเสียค่าบริการรายเดือนด้วย น่าจะเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากย์วิจารณ์โจมตี ในส่วนที่ค้ากำไรเกินควรหรือไม่ ในเมื่อขายกล่องได้แล้วยังจะมาเก็บค่าสมาชิกเป็นรายเดือนอีก โมเดลนี้ทรูวิชั่นส์ก็ทำมาแล้ว และผู้บริโภคคนไทยจำนวนหนึ่ง (ก็มากพอดู) ที่ไม่พร้อมจะจ่ายก็หันไปซื้อกล่องสัญญาณเถื่อนมาลักลอบดักจับสัญญาณเพื่อชมฟรีไม่เสียรายเดือน ใช่ว่าบางคนจะไม่มีกำลังซื้อ เพียงแต่เขาไม่ยอมรับหรือรับไม่ได้กับการเอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไปของผู้ให้บริการต่างหาก มันควรจะเป็นการคืนกำไรให้กับสังคมมากกว่าเหมือนเมื่อครั้งนึง บ.ทศภาค ในเครือไทยเบฟเวอเรจ ก็เคยได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลยูโรมาก่อน และก็ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีให้ประชาชนได้ชมฟรี แล้วตัวเองก็ได้เม็ดเงินจากค่าโฆษณาของสปอนเซอร์ทั้งหลายแล้ว ขาดทุนนิดหน่อยแต่ได้คืนกำไรกลับสู่สังคม จึงทำให้ช่วยสร้างภาพลัษณ์ให้กับเบียร์ช้างและคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และได้รับคำชื่นชมจากประชาชนเป็นวงกว้างอีกด้วย ทางแกรมมี่น่าจะนำไปพิจารณาให้ดี เพราะบางทีการได้มาในสิ่งหนึ่งอาจเสียอีกสิ่งหนึ่งหรือที่เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะในอนาคตถ้าคุณได้ใจประชาชนในวงกว้างแล้ว เขาก็จะสรรเสริญชื่นชมคุณแบบปากต่อปากซึ่งจะกลายมาเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับด้านบวก ทำให้คุณมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าอากู๋จะคิดในประเด็นเหล่านี้ได้หรือไม่ หรือไม่คิดหรอก เพราะที่ผ่านมาคิดจะทำอะไรก็ทำไปเลย ซึ่งผู้เขียนเองก็รู้สึกผิดหวังในแกรมมี่ เมื่อก่อนจะติดตามงานเพลงของศิลปินแกรมมี่เกือบทุกคน มาตลอด เรียกได้ว่าเพลงไหน ใครแต่งคำร้อง ทำนอง สามารถจะบอกได้ เดี๋ยวนี้แทบไม่รู้จักทั้งทีมผู้ผลิตงานและตัวศิลปินก็ไม่รู้จักซักเท่าไหร่ เยอะเหลือเกิน เมื่อก่อนเรายังตามงานเป็นอัลบั้ม ซื้อเป็นคาสเซ็ทหรือ CD เราจะรู้ที่มาที่ไปของศิลปิน ตลอดจนพัฒนาการของศิลปินแต่ละคน คอนเซ็ปต์อัลบั้มนี้ต่างจากอัลบั้มชุดก่อนอย่างไร เดี๋ยวนี้ต้องฟังกันเป็นเพลงๆ ไป ถ้าศิลปินคนใดเปิดตัวมาไม่ชอบ ฟังไม่ติดหู มีอันต้องจบเลิกติดตามกันไปเลย ยังเสียดายอุดมการณ์การทำธุรกิจเพลงของพี่เต๋อ นี่ถ้าพี่เต๋อยังมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้แล้วหล่ะก็ ไอ้เจ้าสหภาพการดนตรีอาจก่อตั้งโดยการนำของพี่เต๋อมากกว่าก็เป็นได้ และผู้ที่จะติดตามแห่กันลาออกจากแกรมมี่ตามมาจะมีมากกว่าแค่ดี้ อัสนี วสันต์ และโอมชาตรี เป็นแน่ เพราะพี่เต๋อคงจะอยากลาออกมาโฟกัสที่ธุรกิจเพลงจริงๆ มากกว่าทำธุรกิจครอบจักรวาลแต่หาความเป็นจุดแข็งในตัวเองไม่เจอ เช่นที่อากู๋ทำอยู่เวลานี้

บางทีการที่เราจะคิดใหญ่แต่ทำเล็ก ผลที่ได้อาจยิ่งใหญ่เกินกว่ากิจการที่ทำใหญ่ขยายใหญ่โตแบบไร้ทิศทาง แต่หารากไม่เจอ พอเมื่อเวลาเอ่ยชื่อถึงองค์กรนั้นแล้วทุกคนร้องยี้ อันนี้เราจะเป็นแบบไหนดี ระหว่าง IBM กับ Apple หรือ Grmmmy กับ Love is

รวบรวมข่าวที่เกี่ยวกับการเปิดตัว 1-SKY และรุกธุรกิจทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลทีวี

แกรมมี่ทุ่ม 3,000 ล้าน เปิดตัวกล่อง "1 SKY" ชูกลยุทธิ์ "All in one" รวมพันธมิตร ไทย-เทศ เสริมทัพ ปฏิวัติการดูทีวีของคนไทย


เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ทีเดียว สำหรับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ย่านอโศก อย่าง "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" ที่ยอมทุ่มเงินถึง 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ เปิดตัวกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม 1SKY งานนี้" อากู๋- ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" ประธานใหญ่กลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ธุรกิจใหม่นี้ ทุ่มทุนถึง 3,000 ล้านบาท เป็นความร่วมมือของเหล่าพันธมิตรกลุ่มธุรกิจบันเทิงไทยและเทศ บุคคลชั้นนำในวงการโทรทัศน์ รวมทั้งผู้ประกอบการเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม อาทิ เจเอสแอล, กันตนา, อาร์เอส, เวิร์คพ้อยท์ฯ, ลักษ์ 666 , ทีวีพูล ฯลฯ ตลอดจนผู้ผลิตรายการชั้นนำจากต่างประเทศ ทั้งช่องรายการเอ็นเตอร์เทนเมนและกีฬา อาทิ คิกซ์, Thrill,วอเนอร์ ทีวี ,เอเอสเอ็น และยูโรสปออร์ต โดยเชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้ จะกลายเป็นธุรกิจหลักสำคัญในอนาคต โดยคาดหมายทำรายได้ในปีแรก 2,500 ล้านบาท จากการขายกล่อง 1.5 ล้านกล่อง ซึ่งปัจจุบันมียอดสั่งซื้อจากทั่วประเทศแล้วกว่า 1.5 แสนกล่อง และจากการสั่งสมประสบการณ์ด้านบันเทิงมาถึง 28 ปี จะสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างแบรนด์ให้กับคอนเทนต์ชั้นนำ ได้รับความนิยมในตลาดเมืองไทยแน่นอน นอกจากกล่อง 1SKY ยังสามารถเชื่อมต่อกับจานดาวเทียมทุกประเภท มีทั้งช่องรายการแบบฟรีทีวี ให้ชมกว่า 100 ช่อง และยังเพิ่มเติมด้วยช่องรายการพิเศษแบบเพย์ทีวี ที่เลือกจ่ายเมื่ออยากดู ไม่นับรวมอีก 3 ช่องรายการพิเศษระดับโลก ที่ให้เฉพาะลูกค้าชมฟรี แบบไม่มีรายเดือน โดยกล่อง "วันสกาย" จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย. 54 นี้

1 SKY กล่องรับสัญญาณเคเบิ้ลทางเลือกใหม่ของผู้ชมทีวี


คุณผุ้ชมที่เป็นคอทีวี เอ็นเตอร์เทรนเม้น กีฬาและอื่นๆ ห้ามพลาดข่าวนี้ค่ะ เพราะตอนนี้วงการเคเบิ้ลได้ปฏิวัติช่องทางการรับชมทีวีให้คุณผู้ชมสะดวกสบาย

จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เปิดตัวกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม 1SKY รวมพันธมิตรชั้นนำในวงการโทรทัศน์ไทย-เทศ ผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม อย่าง เนชั่นกรุ๊ป//เจเอสแอล//กันตนา//อาร์เอส//เวิร์คพ้อยท์//ลักษ์666//ทีวีพูล//เมเจอร์ซินิเพล้กกรุ๊ป//สหมงคลฟิล์ม//จีทีเอช// รวมทั้งผู้ผลิตรายการจากต่างประเทศ เอ็นเตอร์เทรนเม้น กีฬา ไม่ว่าจะเป็น วอเนอร์ทีวี//เอเอสเอ็น//ยูโรสปอร์ต และอีกมากมายที่พร้อมใจกันมาผนึกกำลังกันสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้ชมโทรทัศน์ไทย กว่า100ช่อง

นอกจากทีมผู้บริหาร ผู้ผลิตรายการ ผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม แล้วในงานยังมี ศิลปินดารา ทุกสังกัดในวงการบันเทิงตบเท้ามาร่วมแสดงความยินดีกับ วันสกาย ที่พวกเค้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละคือการปฏิวัติการดูทีวีของคนไทย

กล่องรับสัญญาณ วันสกายนอกจากจะรวบรวมจัดเรียงหมวดหมู่ประเภทของรายการต่างๆเพื่อสะดวกต่อการรับชมแล้ว ราคายังสบายกระเป๋าไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน และเชื่อมต่อได้กับจานดาวเทียมทุกประเภททั้ง ซีแบนและ เคยูแบน อีกด้วยค่ะ ที่สำคัญคุณผู้ชมสามารถติดตามรับชมข่าวสารในวงการบันเทิง และรายการวาไรตี้สนุกจากช่องแมงโก้ทีวีของเราได้จากกล่อง วันสกาย ที่ช่อง104 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้

หลายปีก่อน "อากู๋-แห่งจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ได้ประกาศปรับโครงสร้าง พัฒนาธุรกิจ จากค่ายเพลง สู่การเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์ มาปีนี้ อากู๋ ประกาศก้องอีกครั้ง กับการรุกเข้าสู่การเป็น "โอเปอเรเตอร์" หรือผู้ให้บริการด้านทีวีดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ โดยทุกแนวทางของการก้าวไปข้างหน้า อากู๋ จะมีธุรกิจฐานหลัก ทั้ง เพลง ละคร โชว์บิซ หนัง และบันเทิงอื่นๆ ในเครือ เป็นแกนของการขยายงานไปข้างหน้า


++ปูฐานรากธุรกิจทีวีดาวเทียม

ปีที่ผ่านมา บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รุกเข้าสู่การเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม โดยการทยอยเปิดช่องทีวีดาวเทียม 4 ช่อง ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง ได้แก่ ช่องที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ช่อง รายการแฟนทีวี ช่องเอ็กซ์ แชนแนล เป็นช่องละครของกลุ่มเอ็กแซ็กท์ และซีเนริโอ ช่องแบง แชนแนล เป็นช่องรายการวาไรตี ที่จับกลุ่มคนดูตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงคนทำงาน และช่องกรีน แชนแนล เป็นช่องรายการเพลง 24 ชั่วโมง ที่มีทั้งเพลงเก่า เพลงใหม่ และมิวสิกวิดีโอ ที่หาชมยาก เจาะกลุ่มคนทำงาน และกลุ่มครอบครัว

แต่ละช่องที่เปิดให้บริการในปีที่แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างดี มีฐานคนดูขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยรายได้ของกลุ่มธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง เติบโตดีมาก มียอดรายได้กว่า 360 ล้านบาท โดยช่อง เอ็กซ์ แชนแนล เติบโตสูงมากถึง 200% และแฟน ทีวี ยังคงเป็นช่องที่สร้างรายได้สูงสุด ปีนี้คาดว่าจากช่องเดิม 4 ช่อง คือ ช่องแฟนทีวี ,แบง แชนแนล ,กรีน แชนแนล และเอ็กซ์ แชนแนล ยังสามารถเติบโตได้อีกไม่ต่ำกว่า 80%

ส่วนช่องใหม่ที่เปิดตัวไปแล้ว โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ช่อง เจ เอส แอล แชนแนล ซึ่งจับมือกับบริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด จัดตั้ง บริษัท เจ เอส แอล แชนแนล จำกัด เข้ามาบริหาร ช่องสาระแน แชนแนล ที่แกรมมี่ร่วมทุนกับ บริษัท ลักษ์ (666) จำกัด ช่องเจเคเอ็น ที่ร่วมมือกับบริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย ฯเป็นช่องซีรีส์ญี่ปุ่น เกาหลี และช่องเพลย์ แชนแนล โดยความร่วมมือระหว่างแกรมมี่กับ จีทีเอช ทุกช่องได้รับการตอบรับที่ดี

การเกิดขึ้นของช่องรายการใหม่ๆ ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งตามแผนเดิมของ อากู๋ คือ เปิดใหม่อีก 5-10 ช่อง โดยรูปแบบการลงทุนจะมีทั้งที่ลงทุนเองทั้งหมด และการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นช่องกีฬา หรือช่องอื่นๆ

++ก้าวเข้าสู่โอเปอเรเตอร์รายใหญ่

ในความคิดของนายไพบูลย์ กับการรุกเข้าสู่ธุรกิจทีวีดาวเทียม ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เท่านั้น จากคำบอกเล่าของกูรูในแวดวงสื่อ พูดเหมือนกันว่า อากู๋ มองและคิดเยอะกว่าที่คนทั่วไปเห็น และสิ่งที่ได้เห็นล่าสุด คือ การเปิดตัวเป็นโอเปอเรเตอร์ด้านสื่อทีวีดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ โดยการนำร่องด้วย "วัน สกาย" (1 Sky) กล่องมหัศจรรย์ ที่ให้บริการครบวงจรรองรับการรับชม ทั้งฟรีทีวีและเพย์ทีวี (Pay TV)

ครั้งนี้อากู๋ทุ่มทุนมหาศาลกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบในการจัดซื้อคอนเทนต์ประมาณจำนวน 2,100 ล้านบาท ได้แก่ ลิขสิทธิ์รายการบันเทิง 650 ล้านบาท และกีฬา 1,500 ล้านบาท ในระยะ 3 ปีนับจากนี้ ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนผลิตและจำหน่ายกล่องรับสัญญาณวัน สกาย

สำหรับ "วัน สกาย" ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อากู๋วางเป้ายอดขายปีแรกไว้ที่ 1.5 ล้านกล่องภายใน 1 ปี(ถึงสิ้นปี 2555) และภายในปี 2557 คาดว่าจะจำหน่ายได้ 4 ล้านกล่อง โดยกล่องรับสัญญาณวัน สกาย มี ทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่นสมาร์ท ราคา 1,500 บาท รับชมฟรีทีวีเกือบ 200 ช่อง รวมทั้ง 3 ช่องพิเศษ 1SKY one, 1 SKY two, 1SKY three ฟรี และสามารถชมช่อง Pay TV เพิ่มเติมได้ เริ่มออกจำหน่ายในตลาดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป กล่องรุ่น 1 SKY รุ่น อีซี่ (easy) ราคา 500 บาท สำหรับกลุ่มที่เน้นดูเฉพาะฟรีทีวี และ 1 SKY รุ่น จีเนียส เอชดี (Genius HD) ราคา 2,500 บาท สำหรับรับชมช่องสัญญาณเอชดี ซึ่งจะเริ่มต้นจากจำนวน 6 ช่อง ซึ่งกล่องทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มขายประมาณต้นปีหน้าพร้อมกัน

การเกิดขึ้นของกล่องรับสัญญาณ "วัน สกาย" เป็นเครื่องกระตุ้นให้ตลาดทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวีขยายตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างชัดเจน ผู้ผลิตคอนเทนต์ไม่ต้องมาเสียค่าเรียงช่อง ทำให้ใช้งบกับการทำตลาดสร้างแบรนด์ และการลงทุนอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้ชมก็สามารถรับชมรายการได้มากขึ้น ซึ่งในอนาคต "วัน สกาย" จะสามารถใช้ได้กับจานรับสัญญาณเคยู- แบนด์ จากปัจจุบันที่ใช้ได้กับซี-แบนด์เท่านั้น

ส่วนจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รายได้จาก "วัน สกาย" ที่จะเกิดขึ้น ปีแรกจะมาจากการขายกล่องรับสัญญาณเป็นหลัก มีสัดส่วนประมาณ 45% ส่วนอีก 3 ปีข้างหน้ารายได้หลักจะมาจากระบบสมาชิกที่ซื้อแพ็กเกจ คิดเป็นสัดส่วน 60% หรือมีสมาชิกประมาณ 6 แสนราย ทั้งนี้ ภายใน 1 ปี คาดว่าจะมีรายได้จากวัน สกาย 2,500 ล้านบาท และ ภายใน 3 ปี จะคิดเป็นสัดส่วน 28% ของธุรกิจโดยรวมของแกรมมี่ และทำให้บริษัทเติบโตปีละไม่น้อยกว่า 12% จากปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท

เห็นกันชัดๆ เลยว่า อนาคตจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จะไม่ใช่แค่ค่ายเพลง หรือแค่ผู้ผลิตคอนเทนต์อีกต่อไป แม้งานทั้ง 2 ส่วนนั้นจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่จะยังทำอยู่ และก็ยังเป็นเส้นเลือดที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงธุรกิจและทิศทางการเติบโตใหม่ๆ การลงทุนด้านช่องรายการ ปีหน้ายังคงเดินต่ออีกอย่างน้อย 5 ช่องที่บริษัทจะผลิตเอง โดยจะมีช่องข่าว 2 ช่อง และอื่น ๆ อีก 3 ช่อง ส่วนช่องที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศไม่ได้กำหนด บริษัทพร้อมลงทุนโดยพิจารณาจากคุณภาพ โดยเฉพาะรายการกีฬา ที่พร้อมจะประมูลซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาทุกประเภท เพราะต่อจากนี้ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สามารถให้บริการในรูปแบบสมาชิกในระบบแพ็กเกจและเพย์ เพอร์ วิวได้

ธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้น นอกจากการเป็นวิชันในการก้าวไปสู่ความฝัน และความคาดหวังของอากู๋แล้ว ธุรกิจหลัก ก็ยังเป็นธุรกิจก้าวไปพร้อมๆ กันอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ นับจากนี้ คงไม่ต่างอะไรกับ "วอเนอร์ เมืองไทย" ที่มีเครือข่ายพร้อมทั้งบันเทิง และสาระ และยังเป็นโอเปอเรเตอร์ เป็นเจ้าของสื่อและเป็นคล้ายๆ ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายไปในตัว

การสยายปีกจาก “คอนเทนท์ โพรวายเดอร์” ผลิตคอนเทนท์เพลงและบันเทิงมากว่า 28 ปี ปีนี้ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ขยายการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดเตรียมงบลงทุน 3,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ เพื่อก้าวสู่ธุรกิจใหม่ “แพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์” ที่ให้บริการครบวงจรรองรับได้ทั้งฟรีทีวีและเพย์ทีวี (ผ่านดาวเทียม) ที่สำคัญยังเป็นการรุกธุรกิจทีวีดาวเทียมที่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ภายใต้ยุทธการล้าง "เสาก้างปลา"


จุดไคลแมกซ์ของพญาเสือแห่งวงการบันเทิง "อากู๋" ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม คือการ "กินรวบ" ตั้งแต่ "ต้นน้ำ" ยัน "ปลายน้ำ" ขย่มธุรกิจ "ฟรีทีวี" เขย่าธุรกิจ "ทีวีดาวเทียม"

เบื้องหลังแผนกินรวบของอากู๋ ภายใน 1-2 ปีนี้ ทีวีดาวเทียมจะแย่งส่วนแบ่ง "งบโฆษณา" จาก "ฟรีทีวี" (ช่อง 3,5,7,9,11) ได้เพิ่มเป็น 20% คิดเป็นมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 10% มูลค่า 6,000 ล้านบาท อากู๋มองว่าหลังจากแกรมมี่ได้สร้างแพลตฟอร์มกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียมรูปแบบใหม่ “วันสกาย” (1sky) จะมีการจัดเรียงช่องรายการใหม่เป็นหมวดหมู่ ต่างจากปัจจุบันที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย ไม่มีมาตรฐาน อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีมาแสวงหาประโยชน์ในการจัดเรียงช่องอย่างไม่เป็นธรรม โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเรียงช่องเป็นหลักล้านบาทต่อเดือน

อย่าแปลกใจทำไม! "ตระกูลมาลีนนท์" ถึงเฉือนหุ้น "บีอีซีเวิลด์" (ช่อง 3) ขายให้สถาบันในและต่างประเทศ 111.26 ล้านหุ้น ที่ราคา 34 บาท รับเงินเข้ากระเป๋า 3.78 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 นั่นเพราะวิชั่นที่ยาวไกล วันหนึ่งอีกไม่ไกลฟรีทีวีจะสูญเสียฐานผู้ชมให้กับทีวีดาวเทียมอย่างถาวร

"ที่แกรมมี่เงียบอยู่นานใช่ว่าเรา 'แอบหลับ' แต่กำลังใช้ 'ความคิด' (การใหญ่)" อากู๋ บอกนักข่าว แต่ทว่าเกมทั้งหมดที่อากู๋เดิน ผลประโยชน์วัดกันที่ "มูลค่าหุ้น" ความมั่งคั่งที่สื่อถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

"หุ้นผมจะขึ้นมั้ยเนี่ย!" แม่ทัพใหญ่แกรมมี่ โพล่งเรื่องหุ้น GRAMMY ติดตลกถึง 2 ครั้งติดต่อกัน กลางห้องประชุมชั้น 21 ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่เต็มไปด้วยเหล่านักวิเคราะห์ไม่ต่ำกว่า 20 ราย พากันมานั่งรออากู๋ กับลูกชายคนโต ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม และทีมงานวันสกาย มัลติมีเดีย

ช่วงต้นปี 2554 อากู๋เริ่มเดินแผนคลื่นใต้น้ำแอบไปจับมือกับ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ จ้างสามารถคอร์ปอเรชั่น ผลิตอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม ปิดข่าวเงียบเชียบไม่ยอมให้คู่แข่งรู้ เพิ่งมาเปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 จากนั้นก็วางสตอรี่ออกข่าวเป็นช็อตๆ ผ่าน เดียว วรตั้งตระกูล กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม บรอดคาสติ้ง ได้ ปรีย์มน ปิ่นสกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน ศิษย์เก่าดีแทคมาช่วยวางแผนทางการเงิน

ในปี 2555 อากู๋ประมาณการรายได้ในปีแรกขายกล่องวันสกาย อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท โดยมียอดขาย 1.5 ล้านกล่อง ปี 2556 รายได้เพิ่มเป็น 2,800 ล้านบาท และในปี 2557 รายได้เพิ่มเป็น 3,136 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตปีละ 12% โดยยอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมในช่วง 3 ปีที่ 4 ล้านกล่อง

กล่องวันสกาย มีทั้งหมด 3 รุ่น ราคา 500 บาท 1,500 บาท และ 2,500 บาท ได้ฤกษ์เปิดศึกถล่มคู่แข่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 พร้อมกันทั่วประเทศ สามารถเชื่อมต่อกับจานดาวเทียมทุกระบบ สามารถดูทีวีได้มากกว่า 100 ช่อง ภายใต้แนวคิด “ออล อิน วัน สกาย เยอะดี น่าดู”

ดูเหมือนว่าเป้าหมายของอากู๋ จ้องเบียด True Visions ผู้ประกอบการ "แพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์" รายใหญ่ของเมืองไทย มีจำนวนสมาชิก 1.7 ล้านราย และจานดาวเทียม PSI ที่เป็นเจ้าตลาด 40% ทำธุรกิจมา 20 ปี มีฐานลูกค้ามากกว่า 7.5 ล้านครัวเรือน
เกมของอากู๋ ไม่เพียงมี สามารถคอร์ปอเรชั่น เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ยังจับมือกับ นิรันดร์ ตั้งพิรุฬธรรม ประธานชมรมผู้ผลิตและค้าจานดาวเทียม เจ้าของ "อินโฟแซท" รวมผู้ประกอบการอีก 5 ราย คือ ไดนาแซท, อินโฟแซท, ไทยแซท, ไอเดียแซท และลีโอเทค ที่พร้อมรับกล่องสัญญาณทีวีดาวเทียมวันสกาย ไปจำหน่ายพ่วงกับจานดาวเทียม โดยแกรมมี่ทุ่มงบการตลาดสูงถึง 200 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงทุกครัวเรือน
ทำไม! ถึงไม่เอา PSI ของ สมพร ธีระโรจน์พงษ์ มาเป็นพันธมิตร อากู๋ ตอบว่า "จุดยืนอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน" ก่อนจะให้เหตุผลว่า PSI เก็บค่าเรียงช่องใครอยากอยู่ข้างหน้าต้องเสียเงิน แต่ของแกรมมี่ไม่เก็บค่าเรียงช่องได้ปีละ 100 ล้านบาท

อากู๋ เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังหลังเสร็จแจกแจงรายละเอียดต่างๆ ให้นักวิเคราะห์ฟังว่า อีกไม่นานแกรมมี่ จะได้เงิน 3,000 ล้านบาท ที่ต้องควักสดๆ เพื่อลงทุนธุรกิจดาวเทียมกลับคืนมา ประมาณปลายปี 2554 หรือต้นปี 2555 แกรมมี่จะได้ "เพื่อนใหม่" จาก "ฝั่งอเมริกา" เขาเป็นก๊วนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องทีวีดาวเทียมมากๆ เขาแวะเวียนมาคุยตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังคุยกันทางโทรศัพท์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถามว่าพันธมิตรใหม่จะเข้ามาในรูปแบบใด อากู๋ อธิบายคร่าวๆ ว่า มีหลากหลายวิธี เช่น แกรมมี่เสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) หรือให้ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นออกมาขาย หรือขายหุ้นในส่วนของวันสกาย มัลติมีเดีย ก็ได้ จากนั้นก็นำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"สุดท้ายจะเป็นรูปแบบใดใกล้ๆ ปลายปีนี้ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกที แต่รูปแบบขายหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมคิดว่าคงไม่ค่อยโอเคเท่าไร เพราะผมไม่มีนโยบายขายหุ้นตัวเองออกมา (ถืออยู่ประมาณ 56%) มีแต่จะเก็บเพิ่ม “ของดี” ใครเขาขายกัน (หัวเราะ)"
เจ้าตัวยังฝากบอกผ่าน BizWeek ด้วยว่า ใครไม่อยากเก็บหุ้น GRAMMY ไว้แล้ว เพราะกลัวน้ำตาตก "ให้เอามาขายให้ผมจะรับซื้อหมด" คิดดูเราจ่ายเงินปันผลทุกปี เราให้ผลตอบแทนปีละ 10-20% (ปันผล+กำไรส่วนต่าง) ใครจะไม่อยากได้..จริงมั้ย!!!
แม่ทัพใหญ่แกรมมี่ บอกว่า ทุกวันนี้ราคาหุ้น GRAMMY ยังต่ำกว่าพื้นฐานมาก ผู้ถือหุ้นกำกันแน่นไม่ยอมปล่อย รวมถึงตัวผมด้วย (หัวเราะ) จำได้ปีก่อน (ปี 2553) เคยบอกนักข่าว นักวิเคราะห์ และนักลงทุนทุกคนว่า ราคาเป้าหมายหุ้น GRAMMY ต้องหุ้นละ 30 บาทเท่านั้น...อากู๋หงายไพ่ป๊อก!! เผยไต๋จดหมายความคิด การเดินหมากแบบ "เผยไต๋-เล่นกับไฟ" ไม่เพียงสร้างราคา สร้างความมั่งคั่งทางลัดได้เท่านั้น เจ้าตัวยังเอ่ยด้วยว่า เชื่อมั้ย! ป่านนี้ราคาหุ้นยังไม่ถึงไหนเลย ยิ่งตอนนี้มีธุรกิจทีวีดาวเทียมมาเสริมทัพแล้ว แถมยังทำไม่เหมือนใครอีก ฉะนั้นราคาเหมาะสมต้องสูงกว่านี้แน่นอน
"อย่าให้บอกเลยว่า ตัวเลขราคาหุ้น (GRAMMY) ในใจของผมตอนนี้เท่าไร..อายเขา (สงสัยจะสูงมาก)"
กลับมาที่เรื่องพันธมิตร บอสใหญ่แกรมมี่ บอกว่า เหตุที่อยากได้เพื่อนใหม่ เพราะ "อยากได้เงิน" มาต่อยอดธุรกิจ อยากให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นนำกลับมาจ่ายเงินปันผลให้แฟนพันธุ์แท้ที่ถือหุ้นแกรมมี่มานาน
"ตอนนี้คิดเล่นๆ นะ อาจออกหุ้นเพิ่มทุนขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมก็ได้ ตอบแทนที่เขาอยู่กับเรามานานแสนนาน ถือเป็นการเพิ่มสภาพคล่องด้วย" หนึ่งในแขนงความคิดที่แตกออกมา
ถามว่าธุรกิจดาวเทียมตอบโจทย์แกรมมี่ทั้งหมดหรือยัง อากู๋ ตอบว่า "นี่แค่เริ่มต้น" ยังมีอะไรอีกมากมายที่คิดจะทำภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ ให้รอดูทุกคนจะเห็นแกรมมี่ผุดอีก 4-5 ธุรกิจใหม่มาอีก
"หลักการคือ ผมจะนำคอนเทนท์ที่มีอยู่มาต่อยอดธุรกิจ เช่น ต่อยอดไปในธุรกิจ Real Estate หรือธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น ตอนนี้ยังไม่อยากเล่ารายละเอียด เดี๋ยวรอให้เป็นรูปเป็นร่างค่อยกลับมาเล่าให้ฟัง เรายังมีเรื่อง “เซอร์ไพรส์” นักลงทุนอีกเพียบ (พูดไปอมยิ้มไป)"
เจ้าตัวไม่ลืม "คุย" ติดปลายนวมไว้ "ข่ม" คู่แข่งเล็กๆ "ที่ผ่านมาผมเป็นลีดเดอร์ในทุกๆ เรื่อง" ฉะนั้นเมื่อคิดจะทำอะไรต้อง "แตกต่าง" และสามารถ "ต่อยอดธุรกิจ" ที่แกรมมี่มีได้ ที่สำคัญต้องทำธุรกิจแบบเป็นมิตรไม่เป็นภัยกับสังคม ดีลเลอร์ทุกคนที่รับของแกรมมี่ไปขายต้องได้กำไรอย่างคุ้มค่า

อย่างเราขายกล่องรุ่น 1SKY Smart ราคา 1,500 บาท ต้นทุนแค่ 1,000 บาท ส่วนรุ่น 1SKY รุ่นอีซี ราคา 500 บาท เราก็ขายให้ดีลเลอร์แค่ 360-380 บาท ส่วนต่างที่เหลือเขาก็รับไปเต็มๆ ส่วนใครอยากซื้อจานของสามารถ พ่วงกล่องรับสัญญาณ 1SKY ก็ไม่น่าเกิน 2,000 บาท ต้นทุนของสามารถ น่าจะประมาณ 1,500-1,600 บาท เห็นมั้ย! ทุกคนได้ประโยชน์เท่าๆกัน คนดูก็ได้เพราะ "ถูกมาก" (ถูกกว่าเจ้าอื่น)

บิ๊กแกรมมี่ เอ่ยขึ้นว่า การที่แกรมมี่เลือกจะเติบโตในธุรกิจทีวีดาวเทียม ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจหลักที่ทำอยู่มันแย่ หรือเดินเข้าสู่ทางตีบตันเหมือนที่ใครพยายามบอก อย่างในปี 2554 ธุรกิจเพลงยังคงสร้างกำไรสุทธิอันดับ 1 มากกว่า 60% หลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ธุรกิจดิจิตอล สร้างรายได้อันดับ 2 ก็ยังเติบโตมากขึ้น ส่วนธุรกิจโชว์บิซ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราจะพยายามผลักดันผลประกอบการธุรกิจเดิมในขยายตัวปีละ 15%  ส่วนธุรกิจทีวีดาวเทียม แนวโน้มจะขึ้นแท่นสร้างรายได้ให้แกรมมี่เป็นอันดับ 2 คิดดูกำไรขั้นต้นเฉพาะ Set-Top Box ก็เกิน 20% แล้ว ยังไม่รวมกำไรขั้นต้นอย่างอื่นๆ นะ ถ้ารวมปี 2555 กำไรขั้นต้นจะอยู่ 9% ปี 2556 ประมาณ 30% ปี 2557 ราวๆ 35%  "เรามั่นใจคงใช้เวลาไม่นานจะขึ้นแท่น "อันดับ 1" ธุรกิจแพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์ หาก พีเอสไอ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยากรับกล่องเราไปขาย..ผมยินดีนะ ไม่ปิดกั้น ที่ผ่านมาเราถือเป็นเจ้าของคอนเทนท์รายสำคัญที่ทำให้ PSI ขายจานได้ ที่ผ่านมาเขาก็เกรงใจเราตลอด” เจ้าพ่อแกรมมี่ บอกในห้องแถลงข่าวว่า ตอนนี้แกรมมี่มองข้ามไปถึงปี 2557 แล้ว ธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้ให้แกรมมี่มากถึง 28% ส่วนอีก 72% เป็นรายได้จากธุรกิจเดิม สัดส่วนธุรกิจใหม่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ธุรกิจทีวีดาวเทียมมีสัดส่วนรายได้เพียง 2% พอปี 2555 จะขึ้นเป็น 20% ปี 2556 ประมาณ 26% รายได้ของธุรกิจทีวีดาวเทียม จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% สำหรับสัดส่วนรายได้ในปี 2555 ของ วันสกาย มัลติมีเดีย จะมาจากการขายกล่อง 45% สมาชิก 32% คิดเป็น 330,000 ราย โฆษณาและสปอนเซอร์ 11% ส่วนในปี 2556 จะมีรายได้จากการขายกล่อง 30% สมาชิก 51% คิดเป็น 450,000 ราย และโฆษณาและสปอนเซอร์ 9% และปี 2557 จะมีรายได้จากการขายกล่อง 27% สมาชิก 60% คิดเป็น 600,000 ราย โฆษณาและสปอนเซอร์ 10%
"ตัวเลขที่ยกมานี้ หลายคนอาจมองว่าผมฝันไปหรือเปล่า! ลองคิดตามผมดูนะ ทั่วประเทศยังต้องการกล่องรับสัญญาณอีก 50 ล้านเครื่อง แค่นี้ก็ต้องร้องอุทาน!..ไอ้หยา!!! ดังๆ แล้ว นี่คือ โอกาสของวันสกาย จะเข้าไป ที่สำคัญเราจะคุ้มทุนภายใน 1 ปีครึ่ง อีกอย่างคอนเทนท์ของเราสามารถนำไปทำอะไรได้มากมาย ช่องดาวเทียมเราก็ไม่เหมือนคนอื่น ผมคิดจะทำคาราโอเกะออนไลน์ คุณไม่ต้องไปซื้อแผ่น หรือชิพแล้ว แค่ติดตั้งกล่องสัญญาณของเราก็สามารถร้องคาราโอเกะได้แล้ว"

นอกจากนี้ อากู๋ บอกว่า กำลังคิดจะทำ "โฮมช้อปปิ้ง" ร่วมมือกับเกาหลีนำของมาขาย และคิดจะนำนักฟุตบอลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมาแข่งกีฬาในเมืองไทย เราก็จะมีรายได้จากการจัดกิจกรรมเพิ่ม ยังทำอะไรได้อีกมากมาย ยิ่งตอนนี้เรามีคนรุ่นใหม่ 30-40 คน มาร่วมงานรับรองง่ายนิดเดียว
ไอเดียอากู๋กำลังบรรเจิดเล่าต่อว่า คนอยู่บนตึกสูง โครงการอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม ไม่ต้องน้อยใจ คุณก็ติดกล่องสัญญาณของเราได้ ทำเหมือนเป็นเคเบิล โอเปอเรเตอร์ ตอนนี้มีคนติดต่อเข้ามาแล้ว ไม่นานคงได้เข้าไปคุยกัน ผมเชื่อว่ารุ่น 1SKY Smart (ราคา 1,500 บาท) จะขายดีที่สุด เพราะไม่แพงแถมได้ดูเป็นร้อยช่องคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

นายใหญ่แกรมมี่ กล่าวปิดท้ายว่า การรุกธุรกิจแพลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์ ถือเป็นการขยับตัวครั้งที่ 3 ของแกรมมี่ และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
"รอติดตามตอนต่อไปของผมเร็วๆ นี้ ผมจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แบบที่ใครไม่เคยเห็น รับรองรายได้เยอะดีน่าดู" พญาเสือแห่งวงการบันเทิงไม่ลืมที่จะทิ้ง "รอยเขี้ยว" เขย่าราคาหุ้น GRAMMY เติมกำไรด้วยคำพูดแบบยังไม่ต้องลงทุน