ปี 1991.
ผู้กำกับ หว่องกาไว
นักแสดง เลสลี่ จาง จางมั่นอวี้ หลิวเต๋อหัว หลิวเจียหลิง จางเซียะโหย่ว เหลียงเฉาเหว่ย
เนื้อเรื่องย่อโดยสังเขป
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องชีวิตของสังคมหนุ่มสาวชาวฮ่องกงในช่วงปี1960 โดยเล่าผ่านตัวละครที่ชื่อยกไจ๋ (เลสลี่ จาง) เป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด และนำพาเรื่องของเขาไปพบปะกับตัวละครอื่นๆ อีก
ยกไจ๋เป็นหนุ่มหน้าตาดี คารมเยี่ยม มีรถเก๋งขับ อยู่แฟลตส่วนตัว ชีวิตเขาดูเหมือนว่าจะมีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ เขาพาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงมากมาย และแน่นอนที่ว่า ส่วนใหญ่เขาไม่เคยถูกปฏิเสธ !!!
เริ่มตั้งแต่โซวไหล่เจิน (จางม่านอวี้) พนักงานขายน้ำในสนามกีฬา เมื่อ ยกไจ๋ ได้พบเธอครั้งแรก เขาบอกกับเธอว่า “คืนนี้คุณจะฝันเห็นผม” หลังจากนั้นเขาก็แวะเวียนเข้ามาพูดคุยผูกมิตรกับเธอเสมอ
หลายวันผ่านไป ความสัมพันธ์ดูเหมือนยังไม่คืบหน้าซักเท่าไหร ยกไจ๋ ขอให้ให้เธอดูที่นาฬิกาข้อมือของเขาเพียงแค่นาทีเดียว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เธอก็ยอมทำตาม
ยกไจ๋ถามว่า “วันนี้วันที่เท่าไหร่”
โซวไหล่เจินตอบ “วันที่16”
ยกไจ๋พูดต่อไปว่า “วันที่16..16 เมษา..16 เมษา 1960 1 นาทีก่อนบ่ายสาม คุณอยู่กับผม เพราะคุณ ผมจะจำนาทีนั้นไว้ จากนี้ไป เราเป็นเพื่อนกันแล้ว 1 นาที เรื่องนี้คุณไม่ยอมรับไม่ได้หรอกนะ มันเกิดขึ้นแล้ว..พรุ่งนี้ผมมาใหม่”
หลังจากนั้นเสียงในใจของ โซวไหล่เจิน บอกกับเราว่า “ฉันไม่รู้ว่าเขาจำฉันได้รึเปล่า เพราะเวลา 1 นาทีนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้ หลังจากนั้น เขามาทุกวัน เราเป็นเพื่อนกัน จาก 1 นาที เป็น 2 นาที ไม่ช้าก็เจอกันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง..”
เมื่อได้คบหาเป็นคู่รักกันมานานพอสมควร ที่สุดฝ่ายหญิงร้องขอให้รุกคืบสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอไปสู่การแต่งงาน ยกไจ๋ ปฏิเสธมันโดยทันทีด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ต้องเสียเวลาคิด โซวไหล่เจิน จึงบอกกับเขาว่า เธอจะไม่มาหาเขาอีกแล้ว….
หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของ ยกไจ๋ ทั้งแฟลตที่อยู่ รถที่ขับ เงินที่ใช้ เขาได้มาจากแม่เลี้ยง (ซึ่งสร้างฐานะขึ้นมาด้วยอาชีพโสเภณี) ที่ซื้อเขามาจากแม่ที่แท้จริงตั้งแต่แรกเกิด แม้เธอจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี หยิบยื่นทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่การเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดให้ ยกไจ๋ ได้รู้ ทำให้เขาเกลียดเธอ เกลียดที่เธอไม่ยอมบอกว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร เขาเพียรพยายามแวะเวียนมาถามเธอในเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เธอก็ยืนยันจะให้ความลับนั้นตายไปกับตัวเธอ มันเป็นเหมือนข้อผูกมัดให้ยกไจ๋ไม่สามารถตัดขาดจากเธอไปได้ (นั่นอาจเป็นเหตุผลตั้งแต่แรกที่เธอซื้อยกไจ๋มาเลี้ยง-เพื่อเติมเต็มรายละเอียดของชีวิตที่ขาดหายไปสำหรับคนที่มีอาชีพแบบเธอ-ความสัมพันธ์ กับเพศชายในแง่มุมที่มิใช่ความใคร่) พันธนาการเช่นนี้ ถือเป็นที่ยอมรับไม่ได้สำหรับยกไจ๋ คนที่ยึดมั่นในความเป็นอิสระ เหมือนดังคำพูดที่เขาใช้เปรียบเปรยถึงชีวิตตัวเอง “ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินก็เพียงครั้งเดียว เมื่อถึงวันตาย…”
หลังจากเลิกรากับ โซวไหล่เจิน ได้ไม่นาน ยกไจ๋ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับมี่มี่ (หลิวเจียหลิง) นักเต้นในไนท์คลับ มี่มี่นั้นต่างจากโซวไหล่เจินอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะอาชีพของเธอทำให้เธอ “กร้านโลก” มากกว่า… อย่างน้อย..เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับยกไจ๋….
โซวไหล่เจิน ยังทำใจไม่ได้ในเรื่องของ ยกไจ๋ เธอมาดักรอพบเขาที่แฟลตตอนกลางคืนเพื่อขอรือฟื้นความสัมพันธ์ ยกไจ๋บอกกับเธอว่า “ผมไม่ใช่คนที่จะแต่งงาน…อย่าเอาชีวิตมาทิ้งกับผมเลย…คุณจะไม่มีความสุข” โซวไหล่เจินถามไปว่า “คุณเคยรักฉันบ้างไหม” เขาตอบเพียง “ผมจะรักผู้หญิงอีกหลายคน กว่าจะตาย ยังไม่รู้ว่าจะรักใครมากที่สุด…”
หลังจากนั้นโซวไหล่เจิน ยังคงมาเดินเตร่อยู่แถวแฟลตของยกไจ๋อีกหลายครั้ง ทำให้เธอได้พบกับตำรวจหนุ่ม (หลิวเต๋อหัว) ซึ่งเดินตรวจท้องที่อยู่แถวนั้น คงเพราะความรู้สึกอึดอัดจนอยากหาที่ระบายออก และต้องการหลีกหนีความเหงาที่รอคอยอยู่ที่บ้าน (เธอมาจากมาเก๊า และใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในฮ่องกง) เธอร้องขอให้เขาช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุย เธอบอกเล่าเรื่องราวของเธอกับ ยกไจ๋ ให้ตำรวจหนุ่มฟัง ส่วนเขาก็บอกกับเธอว่าจริงๆ แล้วเขาฝันอยากเป็นกะลาสี แต่เพราะต้องดูแลแม่ที่สุขภาพไม่ดี เขาจึงต้องพักความฝันของตัวเองเอาไว้ และทำหน้าที่ของลูกที่ดี จึงมาเป็นตำรวจ
ก่อนจากกัน ตำรวจหนุ่มบอกกับโซวไหล่เจินว่า “คุณโทรหาผมได้ เวลาประมาณนี้ ผมมักอยู่แถวนี้” พร้อมกับจดเบอร์โทรศัพท์ของตู้โทรสาธารณะบริเวณนั้นให้
หลังจากนั้นเสียงในใจของตำรวจหนุ่มบอกกับเราว่า “ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะโทรมาจริงๆ แต่เวลาที่เดินผ่านโทรศัพท์ ผมจะรอซักครู่ทุกครั้ง บางที่เธออาจจะกลับไปมาเก๊า หรือบางทีแค่ต้องการใครซักคนเป็นเพื่อนคุยคืนเดียว...หลังจากนั้นไม่นาน แม่ผมก็ตาย และผมก็ไปเป็นกะลาสีเรือ…”
ยกไจ๋มีเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กชื่อแดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) แดนนี่นั้นหลงรัก มี่มี่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ แต่ก็ต้องปิดบังความรู้สึกเอาไว้ กระทั่งแม่เลี้ยงของยกไจ๋ตัดสินใจย้ายไปอยู่อเมริกากับแฟนใหม่ เธอยอมบอกยกไจ๋ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาอพยพไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์
ยกไจ๋ ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่อ่องกงและเดินทางไปฟิลิปปินส์ ก่อนไปเขานัดแดนนี่ออกมาพบเพื่อกล่าวลาเพื่อน แดนนี่ถามเขาว่า “…เธอรู้หรือยัง..” ยกไจ๋ตอบเพียงว่า “ยังไงฉันก็จะไป ถ้าเธอมาถามบอกว่าฉันไปแล้วก็พอ” แล้วก็ยื่นกุญแจรถให้แดนนี่ “เอาไปสิ ฉันรู้แกชอบมัน ดูแลมันให้ดี…”
แดนนี่ไปหา มี่มี่ ที่ไนท์คลับและบอกกับเธอว่า ยกไจ๋ ไปฟิลิปปินส์แล้ว แดนนี่พยายามทำดีกับ มี่มี่ ทุกอย่าง (อาจจะดีกว่าที่เธอเคยได้รับจากยกไจ๋ด้วยซ้ำ!!!) แต่ก็โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เธอบอกแดนนี่ว่า “..ถึงไม่มีเขา…ฉันก็ไม่รักคุณหรอก..”
จากนั้นแดนนี่นัดมี่มี่ออกมาพบแล้วก็ยื่นธนบัตรปึกหนึ่งให้เธอ มี่มี่ถามว่า “เงินมากขนาดนี้เอามาจากไหน” แดนนี่ไม่กล้าสบตากับเธอ เขาตอบเพียง “ก็อย่างคุณว่า..ผมแทนเขาไม่ได้ รถนั่นเขาขับขับดูเท่สะบัด เป็นผมขับยังไงก็ดูตลก ขายซะดีกว่า” เขาบอกให้เธอไปหายกไจ๋ที่ฟิลิปปินส์ (ด้วยเงินที่เขามอบให้) และฝากเธอบอกยกไจ๋ด้วยว่า “รถเขาดีเกินไปสำหรับผม” สุดท้ายแดนนี่บอกกับเธอว่า “ถ้าไม่เจอเขา…กลับมาหาผมนะ..” แล้วก็เดินจากไป ทิ้งเสียงร้องไห้ของมี่มี่ไว้เบื้องหลัง…
ที่ฟิลิปปินส์..ยกไจ๋ไปถึงบ้านแม่ของเขา แต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาพบ โดยให้คนรับใช้บอกว่าเธอย้ายไปที่อื่นแล้ว ยกไจ๋รีบเดินออกจากบ้านหลังนั้น เขารู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองดูเขาอยู่ เขาคิดว่า “เมื่อเธอไม่ยอมให้เขาพบ เขาก็จะไม่ยอมให้เธอได้เห็นหน้าเช่นกัน”
หลังจากนั้น ยกไจ๋ตัดสินใจเดินทางไปอเมริกา ระหว่างรอหนังสือเดินทาง (ปลอม) เขายังคงใช้ชีวิตเสเพลเช่นเดิม สุดท้ายก็โดนผู้หญิงมอมเหล้า, รูดทรัพย์ไปจนหมด และปล่อยให้นอนหลับอยู่ข้างถนน โชคดีที่ตำรวจหนุ่ม (แสดงโดยหลิวเต๋อหัว) ผ่านมาพบเข้า (เขาอยู่ระหว่างพักรอเรือของเขาถ่ายตู้สินค้าที่ฟิลิปปินส์)
รุ่งเช้ายกไจ๋และตำรวจหนุ่มไปที่สถานีรถไฟ ตำรวจหนุ่มเข้าใจว่ายกไจ๋จะมาขึ้นรถไฟ แต่ที่จริงแล้วยกไจ๋มาเพื่อรับหนังสือเดินทางที่จ้างพวกมาเฟียจัดการให้ (ทั้งที่เขาไม่มีเงินจะจ่าย!!) เมื่อรู้ว่าโดนหักหลัง ยกไจ๋จึงโดนพวกมาเฟียตามฆ่า ตำรวจหนุ่ม ช่วยเขาออกมาจากที่นั่น ทั้งสองหนีขึ้นรถไฟไป
บนรถไฟ ตำรวจหนุ่มต่อว่ายกไจ๋ที่ก่อเรื่องกับพวกมาเฟีย ยกไจ๋ว่าตัวเขาไม่สนใจหรอก ยังไงคนเราก็ต้องตายกันทุกคน…เรื่องนี้ตำรวจหนุ่มพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับยกไจ๋เอง เขาไม่ได้ร้องขอให้ตำรวจหนุ่ม ตามมาที่สถานีรถไฟ ระหว่างที่ตำรวจหนุ่ม เดินไปที่หัวขบวน ยกไจ๋โดนมาเฟียที่ตามขึ้นรถไฟมายิง
ระหว่างรอการมาถึงของห้วงสุดท้ายของชีวิต ตำรวจหนุ่มถามยกไจ๋ว่า “ยังจำได้ไหมว่าเขาทำอะไรอยู่ วันที่16 เมษา ปีก่อน ตอนบ่ายสาม” ยกไจ๋จึงนึกออกว่าเขาเคยพบตำรวจหนุ่มมาก่อน ยกไจ๋ว่า - เขาจำเรื่องที่ควรจำได้เสมอ..สำหรับเขา เรื่องนี้มันจบไปแล้ว…
บทสุดท้ายของเรื่องจบลงที่…สนามกีฬาแห่งเดิม… โซวไหล่เจิน ทำงานเสร็จแล้ว…เสียงโทรศัพท์ (ที่ตู้โทรฯสาธารณะแห่งนั้น) ดังขึ้นหลายครั้ง…แต่ไม่มีใครมารับโทรศัพท์…
บุคลิกลักษณะของตัวละครนำ 2 คน เมื่อมาเปรียบเทียบกัน
เช่นเดียวกันกับ ตำรวจหนุ่ม ก็มีความฝันที่จะเป็นกะลาสีเรือ แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริง เขามีแม่ที่ต้องดูแล เขาไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ ไม่ด่าทอโชคชะตาของตนเองและแบกรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ขณะเดียวกันก็ใช้อุปสรรคนั่นเป็นแบบทดสอบ หากความมุ่งหมายนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมแน่ใจได้ว่าเป็น “คำตอบสุดท้าย” อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าหากมองจากภายนอก คนแบบยกไจ๋ย่อมมี “จุดขาย” มากกว่าคนแบบตำรวจหนุ่ม แต่สุดท้ายเมื่อออกไปเผชิญโลกอย่างแท้จริง คนที่มีแต่ทฤษฎีแต่ไม่เคยปฏิบัติอย่างยกไจ๋ก็ไปไม่รอด (สุดท้ายแล้ว ที่ตัดสินใจไปอเมริกา ไม่แน่ว่าตั้งใจจะกลับไปอยู่ในกรงทองของแม่เลี้ยงอีกครั้งรึไม่) ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ “ของจริง” อย่างที่ตัวเองคิดว่าเป็น
ประโยคเด็ดที่ทำให้เราทราบถึงวิธีคิดของตัวละคร 2 คน ได้เป็นอย่างดี ระหว่างตำรวจหนุ่ม พูดตอนที่ยกไจ๋กำลังจะเริ่มเล่าเรื่องนกไร้ขาให้เขาฟัง “ไอ้ตัวที่ไม่มีขารึ เก็บเอาไว้หลอกผู้หญิงเถอะ”
“นกหรือ? นกบ้าอะไร คุณก็แค่คนเมาที่ผมเจอในไชน่าทาวน์ !”
ปมร้าวที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจที่ทำให้ ยกไจ๋ ตัวละครเอกของเรื่องมีพฤติกรรมที่เป็นเสือผู้หญิง รักง่ายหน่ายเร็ว ไม่เคยจริงใจหรือจริงจังกับใครเลยสักคน ก็เพราะว่ายกไจ๋ถูกหญิงผู้เป็นแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เกิด เขาจึงแก้แค้น โดยการทำร้ายผู้หญิงทุกคนที่รักเขา
ยกไจ๋พูดเสมอว่าตัวเองคือนก แม้จะเป็นเพลย์บอยที่ชีวิตค่อนข้างสบาย แต่เขาก็ไม่มีความสุขแล้วพลอยทำให้คนอื่นไม่มีความสุข ผู้หญิงคนแรกของเขาทอดทิ้งเขา ผู้หญิงที่เลี้ยงเขาไม่ใช่แม่ ผู้หญิงที่เขาบอกว่าไม่รักเป็นคนที่จิตใจเขาถวิลหาอยากพบวนเวียนถึงเมื่อใกล้สิ้นใจ ผู้หญิงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยเป็นผู้หญิงที่เขารำคาญ
ตำรวจที่หันเหไปเป็นกะลาสีเรือเป็นตัวละครที่น่าสนใจรองจากยกไจ๋ คนสองคนนี้ไม่แตกต่างกันมากอย่างที่เหมือนจะเป็น แม้ว่าเมื่อยกไจ๋พูดถึงเรื่องนกไร้ขา เขาจะขัดคอว่ามันเป็นแค่คำพูดเท่ๆ เอาไว้หลอกผู้หญิง ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นอีกคนที่หัวใจเรียกร้องให้ “บิน” เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึงมันอย่างหมกมุ่น และการที่ไม่หมกมุ่นอาจทำให้เขาได้บินไปข้างหน้าจริงๆ แทนที่จะวนสู่ที่เดิม ซึ่งเท่ากับว่าไม่ได้บินไปไหน
“ผมเคยคิดเสมอว่ามีนกชนิดหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ได้แต่บิน บินจนตาย …. ความจริงคือ มันไม่เคยไปไหนเลย มันตายแล้ว...ตั้งแต่แรก”
ไดอะล็อก (บทพูด) วรรคทองที่เด่น ในหนังเรื่องนี้ ได้แก่
“โลกนี้มีนกอยู่ชนิดหนึ่งไม่มีขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินเพียงครั้งเดียว นั่นคือวันตายของมัน”
“วันที่ 16 เมษา 1960 หนึ่งนาทีก่อนบ่ายสามคุณอยู่กับผม เพราะคุณ...ผมจะจำนาทีนั้นไว้ จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกันแล้วหนึ่งนาที ความจริงข้อนี้คุณปฏิเสธไม่ได้หรอก มันเกิดขึ้นแล้ว”
“ผมไปหาเธอแล้วแต่คนใช้บอกว่าเธอไม่อยู่...หึ...ตอนเดินกลับออกมาผมรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตาม แต่ผมไม่หันกลับไปมอง ผมแค่อยากจะเห็นหน้าเธอสักครั้ง เมื่อเธอไม่ยอม เธอก็จะไม่ได้เห็นหน้าผมเหมือนกัน”
ประวัติและผลงานที่ผ่านมาของหว่องกาไว ผู้กำกับหนังเรื่อง Days of Being Wild
หว่อง คาไว เริ่มกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. 2531 เรื่อง "As Tears Go By" เริ่มมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง "Days of Being Wild" (2534) และภาพยนตร์เรื่องต่อมา ไม่ว่าจะเป็น "Chungking Express" (2537) , "Ashes of Time" (2537) , "Fallen Angels" (2538) ภาพยนตร์เรื่อง "Happy Together" (2540) เป็นผลงานสร้างชื่อให้กับหว่อง คาไว ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เขาได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องถัดมา "In the Mood for Love" (2543) ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ทั้งจาก รางวัลบาฟตา รางวัลซีซาร์ และรางวัลของสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ภาพยนตร์เรื่องถัดมา "2046" (2547) ใช้เวลาถ่ายทำถึง 4 ปี ในหลายประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย มีนักร้อง-นักแสดงซูเปอร์สตาร์ ของไทยร่วมแสดงด้วย คือ ธงไชย แมคอินไตย์ ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่หว่อง คาไว กำกับ ยกเว้นเรื่องแรกคือ As Tears Go By ล้วนกำกับภาพโดย คริสโตเฟอร์ ดอยล์
ผลงาน/Profile
Wong gok ka moon / As Tears Go By (1988)
A Fei zheng chuan / Days of Being Wild (1991)
Chung Hing sam lam / Chungking Express (1994)
Dung che sai duk / Ashes of Time (1994)
Duo luo tian shi / Fallen Angels (1995)
Chun gwong cha sit / Happy Together (1997)
Fa yeung nin wa / In the Mood for Love (2000)
2046 (2004)
Eros (2004) (หนังสั้น)
My Blueberry Nights (2007)
The Grand Masters (2010)
ถ้าเทียบงานของเขากับ จางอี้โหมว (Ju Dou), เทียนจวงจวง (The Blue Kite) หรือล่าสุด โจน เช็ง (Xiu Xiu: The Sent down Girl ) งานเขาอาจจะไม่สนองต่อ ความรู้สึก ที่มีต่อแผ่นดินใหญ่ ไม่กล่าวถึงความล้มเหลว ในระบบของประเทศ และก็ไม่ใช่หนังกำลังภายใน บู๊ล้างผลาญ อย่างของชอร์บราเธอร์ (เห็นจะมีแต่ As Tears Go By ที่ถือได้ว่า เป็นแอ็กชั่นโหด แบบลูกผู้ชาย เพียงเรื่องเดียวที่เขาทำ) แต่งานของเขา โดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางความแปลกแยก ของเนื้อหา หนังที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครทำ ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาหยิบยก และเจาะเน้นเรื่องราว ของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่อยู่ด้วยความสับสน และเปลี่ยวเหงา ภาวะจิตใจ ที่ไร้การยึดเหนี่ยวและการค้นหาตัวตน ซึ่งดูจะเป็นแกนของหนังทุกเรื่อง ของเขา และเป็นเรื่องของความรู้สึก ใกล้ตัวเราอย่างที่สุด
เมื่อผู้เขียนไปได้แผ่นหนังเรื่อง In the Mood for Love จากแผงกระบะลดราคามา เมื่อเห็นเป็นผลงานของเฮียเหลียงเฉาเหว่ยและผู้กำกับคู่บุญของเขาคือ หว่องกาไว จึงรีบฉวยมาชมด้วยความอยากดู พอดูจบ ไม่มีความเข้าใจเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าการจะชมหนังของหว่องกาไวให้เข้าใจนั้น ควรจะได้ชมอย่างน้อย 2-3 เรื่องขึ้นไป จึงจะเข้าใจบริบท ความเป็นหนังอาร์ตของเขา ลีลาท่วงท่าของเขาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจริงๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับเอเซียคนนึง อีกทั้งเรื่อง In the Mood for Love เล่าต่อจาก Days of Being Wild และเป็นต้นกำเนิดของเรื่อง 2046 อีกด้วย จึงทำให้ผู้เขียนต้องเดือดร้อนควานหาหนังที่เหลืออีก 2 เรื่องมาดูต่อกันในคราวเดียว แม้ว่าเรื่อง Days of Being Wild เคยได้ชมผ่านตามาแล้วเมื่อครั้งสมัยที่ยังลงโรงฉายและก็กลายมาเป็น vcd, dvd มาเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่ใช่ว่าผู้เขียนจะจำเนื้อหาของเรื่องได้ จึงต้องไปขวนขวายซื้อหามาดูกันใหม่อีก และก็ไม่ใช่งานง่ายเลยกับหนังของคุณพี่หว่องกาไว ที่จะหาซื้อได้ง่ายๆ ตามท้องตลาด ขนาดควานหาทั่วตลาดย่านคลองถม ดินแดนที่เรียกว่าเป็นศูนย์กลางจำหน่ายหนังแผ่นมากที่สุด ก็ยังไม่พบเจอ ทั้งร้าน J Big และชิบูญ่า ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าหมดไปนานแล้ว และเคยนำมาจัดรายการก็ไม่เห็นมีใครสนใจ มิพักต้องไปออกแรงหาหนังเรื่องอื่นๆ ของเขา เพราะทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมาก็ถือว่าเป็นหนังที่ดังที่สุดของเขาแล้ว ยังหาซื้อไม่ได้เลย แต่เดชะบุญผู้เขียนไปได้ Days of Being Wild มาได้จากร้านเจบิ๊ค ที่คลองถม เขานำมาวางขายใหม่ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ของหว่องกาไว เกือบจะครบเซ็ท ขาดก็เพียงหนังเรื่องหลังๆ ของเขา และก็เรื่อง 2046 ยังตามหาไม่เจอ (คงหมดลิขสิทธิ์ไปแล้ว สำหรับตัวแทนจำหน่ายในบ้านเรา หากอยากได้ต้องสั่งซื้อจากเมืองนอกเข้ามา) นี่แหละหนอเวลาไม่เห็นคุณค่าของอะไรซักอย่าง แม้วางรวมอยู่ในกองเดียวกันยังเมินเลย แต่เวลาเป็นของมีค่าอยากจะได้มาเชยชม ต้องควานหาแทบพลิกแผ่นดิน เข้าเรื่องดีกว่า
Days of Being Wild เมื่อครั้งที่เคยได้ชมตอนสมัยมาลงโรงฉายในบ้านเรา ดูแล้วก็เฉย ๆ กับพล็อตเรื่องและก็บทหนังที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกหรือติดใจอะไรนักหนา แต่ที่ชื่นชอบคงเป็นที่นักแสดงในเรื่องหลายคนเป็นนักแสดงที่เราชื่นชอบ และก็เล่นส่งบทกันได้ดีทุกคน โดยเฉพาะที่โดดเด่นมากก็คือเลสลี่จาง เฮียแกเล่นหนังแนวนี้ได้ดีกว่าหนังแนวกำลังภายในมาก ชื่นชอบทั้งในเรื่องโหดเลวดี Farewell to My Concubine และก็ Happy Together มากกว่าในโปเยโปโลเย แต่ไม่คาดคิดว่าบรมครูผู้กำกับอย่างหว่องกาไว แกจะมาเหนือเมฆ แกวางโครงเรื่องนี้ (Days of Being Wild) ให้เป็นธีมหลักเพื่อเดินเรื่องเล่าในอีกแบบต่อๆ มา ยัง In the Mood for Love และก็ 2046 เมื่อดูไตรภาคของ 3 เรื่องนี้แล้วกลายเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ภาค 2-3 เปลี่ยนคนเล่าเรื่องจาก ยกไจ๋ (เลสลี่จาง) มาเป็นเล่าผ่านโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) แทน และตัวละครอย่างโจวมู่หวันก็มีไปโผล่แซมๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก่อนแล้วในภาคแรกคือ Days of Being Wild นี่คือชั้นเชิงขั้นเทพทีเดียว เราเคยได้รับความรู้สึกดีๆ จากหนังไตรภาคแบบนี้สักกี่เรื่อง สำหรับผู้เขียนเคยได้รับจาก Infernal Affairs มาก่อนแล้วด้วย อยากจะบอกว่าถ้าใครอยากจะเห็นการแสดงที่ดีที่สุดของนักแสดงแถวหน้าของเอเซีย และก็เทียบชั้นการแสดงในระดับฮอลลีวู้ด จะต้องชมภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้แหละ และการดูก็อย่าไปทำความเข้าใจหนังให้มันละเอียดทุกซอกทุกมุมมากเกินไปเลย จับพล็อตจับประเด็นให้ถูกเป็นพอ เชื่อว่าส่วนที่เหลือ เราจะได้ดื่มด่ำกับบทเพลง การกำกับภาพ องค์ประกอบศิลป์ ฉาก เครื่องแต่งกาย การแสดงสีหน้าอารมณ์ของนักแสดง แค่นี้ก็อิ่มเอม คุ้มเกินพอแล้ว อยากจะบอกว่าถ้าคุณเป็นนักดูหนังจีนตัวยง แต่คุณพลาดหนังทั้ง 3 เรื่องนี้แล้วหล่ะก็ คุณยังไม่ใช่แน่ๆ และคุณกำลังพลาดหนังจีนดีๆ ในรอบ 20 ปีไปเลยทีเดียว
ผู้เขียนมักติดนิสัยการดูหนังแล้วมามองย้อนดูตัวเองเสมอ แต่ชีวิตตัวเองไม่ได้โลดโผน ตื่นเต้นหรือมีสาระอะไร ดังนั้นจึงขอนำไปเปรียบเทียบกับบรรยากาศการเมืองในบ้านเราดีกว่า ขอเปรียบเทียบยกไจ๋ จากเรื่อง Days of Being Wild เป็นอดีตนายกฯ คุณทักษิณ แกก็เป็นคนที่มีปมลึกในใจ (ไม่รู้ว่าปมอะไรนะ) แกก็เลยทำร้ายทำลายคนที่แกเคยรักซะทุกคนเลย คนที่เคยรักแกเตือนแกก็ไม่ฟัง (สนธิ,จำลอง) แต่แกจะฟังคนที่มาปอกลอกเอาผลประโยชน์จากแก มาป้อยอเอาอกเอาใจ เลียแข้งเลียขา แบบนี้แกจะฟัง เสร็จแล้วแกก็สร้างเรื่องราวต่างๆ เอาไว้มากมาย เปรียบเสมือนนกไร้ขาในเรื่อง ที่โบยบินไปเรื่อยๆ หาทางลงไม่ได้ เมื่อไหร่ที่แกจะลง นั่นก็คือแกตายแล้ว หรือแกต้องตายนั่นแหละ (อุ๊ย อันนี้ไม่ได้แช่งนะ พูดตามเนื้อหาเรื่อง Days of Being Wild) ส่วนอีกคน คือ โจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) จากเรื่อง In the Mood for Love และ 2046 เปรียบเทียบเป็นคุณอภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ อีกคนจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีบุคลิกหวนคิดคำนึงแต่เรื่องราวในอดีต อันแสนหวาน (เมื่อครั้งเป็นนายก และดูดดื่มกับศิริโชค) กับความเจ็บปวด (พวกพันธมิตรและการโหวตโน) ยังคงคิดถึงห้องทำงานหมายเลข 2046 ในตึกไทยคู่ฟ้า และบ้านพิษณุโลก ผ่านรถไฟสายแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่เจ๊งไม่เป็นท่า เอ๊ยไม่ใช่ หมายถึงรถไฟสายอดีต ที่นั่งย้อนเวลากลับไปหาอดีตหรืออนาคตก็ไม่รู้ ชักสับสนในตัวเอง เหมือนตัวละครโจวมู่หวัน ในเรื่อง In the Mood for Love และ 2046 ซึ่งขอทิ้งทายไว้ด้วยไดอะล็อค บทพูด วรรคทอง เด็ดๆ ของหนัง 2 เรื่องนี้ไว้ดังนี้
“การที่รักแล้วต้องเจ็บปวด และบาดแผลจากความรักที่ไม่มียาใดรักษาได้ แม้แต่เวลาที่ว่า รักษาได้ทุกอย่าง หัวใจที่แตกสลายก็ยังเป็นข้อยกเว้น”
“คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้ พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น ...เจาะรูบนต้นไม้ และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดรูไว้ ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
"ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน"
ที่มา : ถอดความบางส่วนจากบทความของคุณสุทธากร สันติธวัช,คุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์,คุณ merveillesxx และบทความ เดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกาไว ในนิตยสารไบโอสโคป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น