วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดูภาพยนตร์ "ขุนรองปลัดชู" แล้วสะท้อนการเมืองไทยยุคนี้



สวัสดีครับพี่น้อง ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวัน เพราะหมดมุก และหมด mood จากข่าวสารบ้านเมืองและผลการเลือกตั้งที่ออกมา ควันหลงในประเด็นต่างๆ รวมถึงความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลและยังมองไม่เห็นอนาคตอะไรที่ดีขึ้นเลย ทำให้ขาดแรงจูงใจที่จะเขียน และกำลังมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ อยู่ ก็พลันเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 9 กรกฏาคม ที่ผ่านมานี้เอง มีโอกาสได้ชม ภ.ไทยเรื่องนึงเข้า ทางช่อง TPBS เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีรชนคนถูกลืม วีรชนคนนั้นชื่อ ขุนรองปลัดชู กับวีรกรรมที่ท่านนำชาวบ้าน ซึ่งเป็นพลอาสาช่วยรบ จำนวน 400 คน ไปซุ่มโจมตีทหารพม่าทีเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา บริเวณอ่าวหว้าขาว  จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในเหตุการณ์นั้นทำให้ท่านและชาวบ้านทุกคนต้องเสียชีวิตกันหมด ในขุณะที่ทหารจริงๆ จากพระนครกับยืนมองตาปริบๆ ไม่ลงมาช่วยเหลือเลย เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อชมแล้ว ผมรู้สึกเศร้า สะเทือนใจ หดหู่ เพราะประเด็นที่หนังชี้ให้เห็น รวมถึงแง่มุม การเสียสละ ความรักชาติ ระบบความคิดของขุนรุองปลัดชูที่ท่านได้ชี้และเตือนสติให้คนไทยฉุกคิดนั้น แรงและสะเทือนใจเป็นที่สุด และมันสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศเสียยิ่งกระไร มันช่างประจวบเหมาะจริงๆที่ละครเวทีก็กำลังแสดงเรื่องทวิภพเดอะมิวสิคัลอยู่ (ถ่ายทอดเรื่องราวการเสียดินแดนในสมัย ร.5) ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดสร้าง ภ.ไทยเรื่องนี้ และน่าจะออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้ชมกันในวงกว้างกว่านี้ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เพราะเท่าที่พูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จักหลายคน แทบไม่มีใครได้รับรู้ว่ามีภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในสาระบบเลย จึงอยากให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ และกระทรวงวัฒนธรรมน่าจะซื้อไปจัดฉายตามโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์หรือการเมืองได้รับทราบ อีกทั้งอยากให้นักการเมืองไทยทุกคนควรจะต้องดูหนังเรื่องนี้ด้วย โดยเฉพาะพี่มาร์คกับน้องปู ควรจะได้ดูทั้งคู่เลย เพราะทั้งคู่กำลังจะมีบทบาทเป็นผู้นำในฐานะผู้นำรัฐบาลกับผู้นำฝ่ายค้าน ที่จะต้องมีหน้าที่ปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ ไม่ให้ต้องสูญเสียไปในรัชกาลปัจจุบัน


เรื่องย่อ ขุนรองปลัดชู

พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่า ได้ให้มังระ ละมังฆ้อนนรธาราชบุตรยกทัพมาตี เมืองมะริดของไทยซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นขุนรองปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไชยชาญซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคม แก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย จึงได้รวบรวมชาววิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน เข้าสมทบกับ กองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ โดยใช้ชื่อว่า “ กองอาทมาต ”


พระยารัตนาธิเบศร์ ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สั่งให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาต ไปตั้ง สกัดกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ พอกองทัพพม่ายกทัพผ่านมา ขุนรองปลัดชูจึงคุม ทหารเข้าโจมตีรบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ผ่านไป

1 คืน ถึงเที่ยงวัน รุ่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน แต่ทหารกองอาทมาต มีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า ทหารพม่าจึงไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็ถูกไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน ก็เสียชีวิตด้วย ฝีมือของพม่า

ชาววิเศษไชยชาญ เมื่อทราบข่าวก็โศรกเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ภาวนาขอบุญกุศลที่ได้สร้างสมไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวง วิญญาณของทหารกล้าได้ไปสู่สุคติ ความเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้น หมดกำลัง ใจในการทำมาหากิน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นที่ระลึกถึงผู้พลีชีพด้วยการสร้างวัดสี่ร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ ใช้ชื่อสี่ร้อยตามจำนวนกองอาทมาตสี่ร้อยคนที่ไม่ได้กลับมา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชน รุ่นหลังของชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพีถึงกับเสียชีวิต โดยชื่อว่า วัดสี่ร้อย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไป

ต่อมาเจ้าอาวาสในขณะนั้นก็ได้สร้างเจดีย์ ไว้เป็นที่รวบรวมดวงวิญญาณของ ชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ ที่เสียชีวิตจำนวน 400 คน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น