วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม Nationalism Economics (Attitude Review Series)

ตอนที่ 5 เยอะเน๊อะ กิจกรรมการสร้างหนี้มันเยอะเน๊อะ


พี่...จะไปไหนอะ

อ๋อ...จะไป....

เปิดร้าน ซื้อเสื้อผ้า ซื้อนาฬิกา ซื้อมือถือ ซื้อแอลซีดี เที่ยวป่า อยากมีนา ดูเทนนิสไปซาฟารี ตีกอฟล์ ล่องเรือ ส่องสัตว์ ช็อปปิ้ง ดูทอล์โชว์ ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ดินเนอร์ ซื้อขนม อยากมีบัตร ไปเที่ยวอัมพวา อยากมีกล้อง เรียนทำครัว ทัวร์ธรรมมะ  เข้าสัมมนา ซื้อดอกไม้ให้แฟน เรียนเต้น แล้วก็ไปเกะ

วิกฤติเศรษฐกิจระดับมหภาคเราเจอหนี้สาธารณะ (กองทุนหนี้พอกพูนทวี เปิดจองแล้วทุกรัฐบาล)


วิกฤติเศรษฐกิจระดับจุลภาคเราเจอหนี้สินส่วนบุคคล หรือหนี้นอกระบบ (กองทุนผสมหนี้กลัดหนองในใส้เน่า เปิดจองซื้อเป็นแบบเฉพาะเจาะจง มีขั้นต่ำ หมดแล้วหมดตัว)

อ่วมแน่ทั้งระดับประเทศและระดับส่วนบุคคล ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งกันอยู่นี้ นักการเมืองพยายามนำเสนอนโยบาย โครงการ หรือผลประโยชน์ต่างๆ นานา เพื่อจูงใจประชาชน ทั้งลดแลกแจกแถม ผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ ที่สัญญาว่าจะให้ หากเราไปเลือกเขาเป็นผู้แทน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในอดีตอย่าง 30 บาท รักษาทุกโรค(บัตรทอง) ,ธนาคารคนจน ,กองทุนหมู่บ้าน ,โครงการเอื้ออาทรต่างๆ ,โครงการเรียนฟรี 12 ปี ,โครงการรับจำนำข้าว ,ประกันรายได้ , โครงการ otop ให้ใช้น้ำ ใช้ไฟฟรี นั่งรถเมล์/รถไฟฟรี ฯลฯ เดี๋ยวนี้หนักข้อกว่านั้นอีกครับ อาทิ รัฐสวัสดิการรักษาฟรี , แจกบัตรเครดิตชาวนา , เรียนก่อนผ่อนทีหลัง ,ประกันรายได้ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ,รายได้ประจำ 15,000 บาทต่อเดือน ,สร้างรถไฟฟ้า 12 สาย (ในนี้มีรถไฟความเร็วสูงด้วย) โดยเก็บค่าโดยสารเพียง 20 บาทตลอดสาย , มีการลดการจัดเก็บภาษี vat ลง 2/% เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถามว่าล้วนเป็นโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินสูงมาก ไปถามนักวิชาการเศรษฐศาสตร์หรือผู้รู้ด้านเศรษฐกิจทั้งหลาย ล้วนตอบตรงกันว่าเป็นสิ่งที่นักการเมืองเพ้อฝัน แต่จะทำได้จริงนั้นต้องใช้เงินงบประมาณมหาศาล ซึ่งจะหามาจากไหน ไม่มีนักการเมืองคนไหนนำเสนอควบคู่กันมาด้วยเลย เพราะเงินงบประมาณรายรับทั้งปีของรัฐบาลมีเพียงปีละ 2ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบประจำ (จ่ายเงินเดือนช้าราชการและนักการเมือง ก็ปาเข้าไป สามสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะนายจ๋า) จะทำได้อย่างไร ก็คือต้องไปเพิ่มในส่วนของรายรับให้มากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีรัฐบาลชุดไหนจะมีน้ำยาหรือเก่งในทางหาเงินเข้าประเทศได้จริงๆ จะมีก็สมัยคุณทักษิณ แต่ในสมัยที่คุณทักษิณเป็นนายกนั้น ถือว่าโชคช่วยหลายประการ เช่น เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว และเศรษฐกิจโลกเวลานั้นดีมากๆ แต่ถ้าเป็นในยุคสมัยปัจจุบันมันจะต่างกันสุดขั้วและยากหรือโจทย์หินกว่าสมัยก่อนมาก ไอ้ครั้นจะมาเร่งเก็บภาษีกันเพิ่ม ก็ดูจะเป็นการรีดนาtalent กันมากไป เพราะยุคนี้ขึ้นชื่อเรื่องสรรพากรทำงานหนัก และผู้ประกอบการโอดครวญเป็นที่สุด เพราะเศรษฐกิจกำลังจะดีก็มาเจอพิษไข้การเมือง ทำให้ฟื้นไม่จริง ในขณะที่ค่าครองชีพถีบตัวขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง จึงเป็นโจทย์ยาก ดังนั้นการนำเสนอนโยบายประชานิยมให้แก่ประชาชนจึงเสมือนการให้ยาพิษหรือยาเสพติดแก่ประชาชน นอกจากจะเป็นการเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆแล้วยังเป็นการทรมานไม่ให้ตายไปเลย จากการเสพติดประชานิยมไปเรื่อยๆ ไอ้ครั้นจะเลิกก็เลิกไม่ได้เพราะคนมันเคยตัวไปแล้ว เลิกยาก ถ้าเลิกเดี๋ยวมีโวย อันนี้คือต้นตอของการสร้างหนี้ทั้งในระดับประเทศที่เรียกว่าหนี้สาธารณะ และถ้าเป็นหนี้ส่วนบุคคลที่ไปกู้ยืมมาแม้จะเป็นของรัฐ ก็ถือว่าคุณเป็นลูกหนี้อยู่ดี ต้องใช้คืนภายหลัง เรียกว่าหนี้ส่วนบุคคล บางรายหนักกว่านั้นมีหนี้สินสะสมอยู่เดิมก่อนจะมีประชานิยมเสียอีก หรือภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเยอะแหล่งเงินกู้ของภาครัฐมันไม่พอ ต้องหยิบยืมหนี้เงินกู้นอกระบบอีก ซึ่งดอกเบี้ยบานตะเกียงผิดกัน แม้ภาครัฐจะมีนโยบายที่จะให้รีไฟแนนซ์โอนยอดหนี้มาเข้าสถาบันการเงินของรัฐ แต่ดูเงื่อนไขและความสะดวกแล้วสู้เอกชนหรือนอกระบบไม่ได้จึงจำใจต้องเป็นหนี้นอกระบบต่อไป ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงเพื่อจะบอกว่าคนไทยและรัฐบาลไทยกำลังจะก้าวไปสู่หายนะในวันข้างหน้าจากการสร้างหนี้ แทนที่จะสร้างรายได้ หรือหารายได้เพิ่มและพยายามลดรายจ่ายหรือควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตนเอง โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาใช้ แต่เราคนไทยกลับไม่ได้นำมาใช้เลย ใช้คำว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยก็ว่าได้ มีแต่คำพูดที่สวยหรูที่พูดถึงยอมรับกัน แต่ในทางปฏิบัติไม่มีแมวตัวไหนเลยจะปฏิบัติจริงๆ จังๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรม (กล่าวโทษแต่เฉพาะภาครัฐและประชาชนที่ยอมเป็นหนี้นอกระบบนะครับ)ยังทำตัวโง่จนเจ็บ อยู่อย่างเดิม

ประเทศมาเลเซีย ผู้นำของเขาแสดงวิสัยทัศน์ว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020 ส่วนประเทศเวียดนาม ผู้นำของเขาแสดงวิสัยทัศน์เช่นเดียวกันว่า เวียดนามจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วเช่นกันในปี 2025 ส่วนประเทศไทย สาระขัณฑ์อย่างเรา ผู้นำประเทศกล่าวว่า ไทยจะเป็นหนี้แบบทบต้นในปี 2020 ครับ (อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว) หากเรายังเดินกันไปแบบนี้อยู่ ดูตัวอย่างอย่างประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ ฮังการี โปรตุเกส นั่นไง ที่กำลังประสบปัญหาอยู่ หรือในอดีตก็อย่าง ประเทศอาร์เจนติน่า เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ เราอยากเป็นเหมือนประเทศเหล่านั้นจัง เป็นไอด้อลด้านเศรษฐกิจของเราเหลือเกิน ครับพี่น้อง

เมื่อตอนปี 2540 ที่ไทยเผชิญกับวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น ต้นตอเศรษฐกิจพังมาจากเงินกู้ภาคเอกชน จุดกำเนิดจากการเปิดเสรีทางด้านภาคการเงิน หรือ BIBF จนต้องมีการปิด 56 ไฟแนนซ์ ควบรวมกิจการสถาบันการเงิน มีปรส. มีกฎหมายล้มละลาย มีกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ หรือ letter of intent ประเทศไทยต้องก้าวเข้าสู่โปรแกรมนวดหน้า สปาเท้าที่เรียกว่า IMF ที่นำธุรกิจและสินทรัพย์ดีๆ ของไทยไปขายทอดตลาด ให้ต่างชาติอย่าง เลห์แมน บราเธ่อร์ มางาบเอาผลประโยชน์ไปเต็มๆ โดยฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็น รมว.คลังสมัยนั้น ซึ่งทำให้เอกชนไทยหลายคนล้มทั้งยืน ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือคุณศิริวัฒน์ แซนด์วิช (ขออภัยที่เอ่ยนาม เพราะคุณคือฮีโร่ของคนยุคปี 40) บางส่วนก็ล้มบนฟูกก็มี หรือบางท่านบางธุรกิจก็ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ขอยกตัวอย่าง

แต่ในยุคปี 2554ถึงปี 2560 นี้ นิยายน้ำเน่าเรื่องเก่ากำลังจะกลับมาฉายใหม่อีกแล้ว แต่งวดนี้มีการเปลี่ยนเวอร์ชั่น ผู้ร้ายจะไม่ใช่ตัวเดิมแล้ว มีการเปลี่ยนบทเล็กน้อยคือต้นตอเศรษฐกิจจะมาจากภาครัฐแทน (เพราะเอกชนเขามีภูมิคุ้มกันมากขึ้นหรือเจ็บแล้วกูจำ) งวดนี้เราจะไม่ได้เห็นสถาบันการเงินของบ้านเราพังครืนลงไปเหมือนคราวที่แล้วหรอก เพราะมันได้กลายไปเป็นของต่างชาติไปหมดตั้งนานแล้ว แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือรัฐวิสาหกิจดีๆ ของไทยจะกลายไปเป็นของเอกชนหรือต่างชาติกันหมดเนี่ยสิ น่าเป็นห่วง ตัวอย่างชัดๆ ก็คือ ปตท.เสร็จไปแล้ว คำถามก็คือทุกวันนี้คนไทยได้ใช้น้ำมันถูกลงจริงมั๊ย จากการแปรรูปไปเป็นบริษัทมหาชน จริงอย่างที่เขาบอกตอนแปรรูปหรือไม่ คนไทยรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลหน้าโง่ทุกสมัย ไม่สามารถหวังพึ่งพาได้อยู่แล้ว และงวดนี้หากประเทศไทยต้องเข้าคอร์ส International Mother & Father School แล้วหล่ะก็ คงต้องหมดอิสรภาพทางการเงินแบบหมดตัวเป็นแน่ มันคงปอกลอกเราจนหมดตัว เหลือแต่ตอเป็นแน่ ทรัพย์สินดีๆ ในประเทศจะถูกขายหรือแปรรูปไปให้ต่างชาติหมด แล้วประชาชนคนไทยก็คงต้องมีต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เราดูตัวอย่างจากประเทศกรีซ รอเอาไว้ได้เลย


http://www.huffingtonpost.com/news/greece

(คำเตือน : การเป็นหนี้มีความเสี่ยง ผู้อยากเป็นหนี้โปรดใช้วิจารณญาณศึกษาความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการเป็นหนี้ให้รอบคอบก่อนการเป็นหนี้ทุกครั้ง)

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แมกเบธ ต้นแบบของความเป็นทรราช

วรรณกรรมเรื่อง แมกเบธ นี้เป็นบทประพันธ์ ของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดเรื่องนึง ซึ่ง ถูกนำไปทำเป็นบทละครเวทีมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะในอังกฤษและอเมริกา และในวาระโอกาสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเปิดตัวศูนย์ศิลปะการแสดงสดใส พันธุมโกมล จึงมีการหยิบเอาบทละครเรื่องชื่อเรื่องนี้ มาแสดงเป็นปฐมฤกษ์เปิดตัวศูนย์ศิลปะแห่งนี้ เราจึงอยากนำเรื่องราววรรณกรรมเรื่องนี้มาถ่ายทอดต่อลงในบล็อกของเรา เพื่อให้ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเนื้อหา เป็นวรรณกรรมที่มีคติสอนใจ และเข้ากับยุคสมัยประเทศไทยเวลานี้มาก ซึ่งเป็นวาระของการช่วงชิงอำนาจการปกครองกัน เมื่อได้อ่านจนจบ ท่านผู้อ่านก็จะทราบเองว่าการได้อำนาจมา มันไม่จีรังยั่งยืน หากการก้าวเข้าสู่อำนาจเป็นไปแบบไม่ชอบธรรมและถ้าผู้ใช้อำนาจนั้นไม่มีคุณธรรม ก็จะถูกเรียกขานเป็นทรราชย์ และวันนึงก็จะต้องมีคนมาโค่นล้ม ให้สูญสิ้นอำนาจเอง ซึ่งการสูญเสียนี้ก็จะสูญเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ทรัพย์สิน บริวาร หรือแผ่นดิน (เมือง,รัฐ) รวมถึงสูญเสียชีวิตด้วยในบางกรณี ขอเชิญท่านผู้อ่านเสพอรรถรสจากวรรณกรรมเรื่อง แมกเบธ ได้ ณ บัดนี้


แมกเบธ

สมัยที่กษัตริย์ดังแคนปกครองสก็อตแลนด์นั้น มีขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งนามว่า แมกเบธ นอกจากจะเป็นพระญาติสนิทของพระมหากษัตริย์แล้ว ยังเป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย เพราะเขาเป็นผู้ที่ฉลาดเฉลียวและมีความชำนาญในการรบอย่างยิ่ง และเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ได้แสดงความเก่งกล้าด้วยการเอาชนะกองทัพของทหารชาวนอร์เวย์


ขณะที่แมกเบธ และนายพลชาวสก็อตอีกท่านหนึ่ง มีนามว่า แบงคิโอ เดินทางกลับจากสนามรบผ่านสถานที่รกร้างด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด และในเย็นวันนั้น พวกเขาก็ได้เจอกับรูปลักษณ์แปลกประหลาด 3 รูป ซึ่งมีลักษณะคล้ายผู้หญิง แต่ว่ามีหนวดเครา ผิวหนังเหี่ยวย่น และเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ทำให้ดูแล้วไม่เหมือน*สรรคสัตว์ ที่ถือกำเนิดขึ้นจากพิภพนี้ (*สรรคสัตว์ หรือ creature หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น อาทิ คน สัตว์ หรือพืช)

แมกเบธ พูดกับพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าพวกมันแสดงอาการกราดเกรี้ยว แต่ละตัวก็ทำเป็นเอานิ้วมือโบกไปมาบนริมฝีปากเป็นเชิงว่าให้เงียบเสีย

ตัวแรกทักทาย แมกเบธ ก่อน ด้วยการเอ่ยชื่อของเขา “เจ้าศักดินาแห่ง*กลามิส” เขาประหลาดใจที่ว่า ‘สรรคสัตว์’พวกนี้รู้จักเขา (*กลามิส Glamis ในยุคนั้น เป็นเขตชุมชนหนึ่งที่อยู่ในแคว้นสก็อตแลนด์)

แต่ก็ยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อสรรคสัตว์รูปที่ 2 เรียกเขาว่า “เจ้าศักดินา แห่งคอวดอร์” เขาไม่ได้ท้วงติงสักนิดถึงเรื่องนี้

และก็ยิ่งอัศจรรย์เป็นทวีคูณ เมื่อสรรคสัตว์รูปที่ 3 กล่าวอวยชัยแก่เขา “ทรงพระเจริญ พระราชาแห่งอนาคต” การพยากรณ์กล่าวถึงอนาคตอย่างนี้ทำให้ แมกเบธ ประหลาดใจ ยิ่งนัก เพราะขณะที่พระราชโอรสของพระราชา ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นี้ เขาไม่สามารถหวังที่จะขึ้นครองราชย์ได้

แล้วรูปประหลาดเหล่านั้นก็หันมาทางแบงคิโอ และสัพยอกเขาว่า “เขาจะต่ำต้อยกว่า แมกเบธ แต่จะยิ่งใหญ่กว่า มีความสุขไม่มาก แต่จะสุขกว่าแมกเบธ !” แล้วพวกเขายังบอกว่า “ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นกษัตริย์ แต่ลูกชายของเขาก็จะได้เป็นพระราชาแห่งสก็อตแลนด์ในอนาคต” จากนั้นก็หายตัวไป


2 นายพล ต่างก็ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับเทวีแห่งชะตากรรมทั้ง 3 หรือแม่มดกันแน่ ขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีผู้นำสาสน์จากพระราชาเดินทางมาถึงพวกเขา มาเพื่อที่จะแจ้งแก่แมกเบธว่า เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาแห่งคอวดอร์ ซึ่งก็เป็นการตอบรับคำทำนายของสรรคสัตว์อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก จนเขาเองก็ประหลาดใจ

เขานิ่งด้วยความฉงน ไม่สามารถเอ่ยตอบกับผู้ถือสาสน์นั้นได้ ความหวังเริ่มจุดประกายขึ้นในใจเขาว่า คำทำนายของสรรคสัตว์รูปที่ 3 นั้น อาจจะกลายเป็นจริง และวันหนึ่งเขาจะได้เป็นพระราชาแห่งสก็อตแลนด์


แมกเบธ หันมาทาง แบงคิโอ พร้อมกับเอ่ยว่า “ถึงจะมีแม่มดมาบอกให้สัญญากับท่าน ท่านก็คงไม่หวังว่า ลูกของท่านจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ใช่ไหม?” แบงคิโอ ตอบกลับว่า “มันอาจจะเป็นภาพลวงตาที่ทำให้ท่านมีความหวังในราชบัลลังก์ บ่อยครั้งไปที่ปีศาจแห่งความมืดได้บอกความจริงอะไรเราเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เรากระทำการอันยิ่งใหญ่”


คำทำนายของแม่มดได้จุดประกายแห่งความหวังขึ้นในใจ ให้กับแมกเบธ จนทำให้เขาไม่ใส่ใจในคำเตือนของแบงคิโอ เพราะขณะนั้น ความคิดของเขามุ่งอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะได้ครอบครองราชบัลลังก์สก็อตแลนด์?

เมื่อกลับมาถึงบ้าน แมกเบธได้เล่าคำทำนายของสรรคสัตว์รูปร่างแปลกประหลาดที่เขาไปประสบพบมา และความจริงบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วให้แก่ภรรยาฟัง ภรรยาของแมกเบธ เป็นคนที่ทะเยอทะยาน เมื่อนางได้ฟังเรื่องราวจากสามี นางก็ได้เตรียมการณ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นใหญ่ หล่อนพูดถึงแผนการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ดังแคน และเกลี้ยกล่อมแมกเบธ ผู้ซึ่งไม่เต็มใจจะกระทำการฆาตกรรม หล่อนบอกเขาว่า การฆาตกรรมพระราชาเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำเพื่อคำทำนายจะได้เป็นจริง


พระราชาทรงเสด็จเยี่ยมเยียนเหล่าขุนนางอยู่บ่อยๆ ในครั้งนี้กำลังเสด็จไปประสาทของแมกเบธ พร้อมราชโอรส 2 พระองค์ พระนามว่า มาล์โคล์ม และโดเนลเบน พร้อมด้วยเหล่าขุนนางข้าราชบริพารจำนวนนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าไปที่ปราสาทของแมกเบธ เพื่อแสดงความยินดีที่เขาประสบความสำเร็จในการศึกครั้งนี้

ปราสาทของแมกเบธ ตั้งสง่าและบรรยากาศก็สดชื่นร่มรื่นน่าอยู่ นกนางแอ่นทำรังบนผนัง ซึ่งรังของมันยื่นออกไปจากตัวตึก นกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ก็แต่ในที่ๆ อากาศดีเท่านั้น พระราชาทรงพอพระทัยกับปราสาท และความเอาใจใส่ เคารพนบนอบของหญิงเจ้าของบ้าน นางคือ คุณหญิงแมกเบธ หล่อนมีศิลปะในการซ่อนความทรยศด้วยการแย้มยิ้มที่ดูเหมือนดอกไม้ที่ไม่ประสา ขณะที่ตลอดเวลานาง คืองูร้ายภายใต้การเสแสร้ง

พระองค์ทรงพอพระทัยกับการต้อนรับจึงได้พระราชทานรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ถวายการต้อนรับ พร้อมกันนี้ก็ได้พระราชทานเพชรให้แก่ คุณหญิงแมกเบธ และตรัสว่า “นางเป็นเจ้าของบ้านที่ให้การต้อนรับขับสู้ได้ดีมาก”


พระราชาทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงเข้าบรรทมเร็วกว่าปกติ โดยมีมหาดเล็ก 2 คนนอนอยู่ข้างๆ อันเป็นธรรมเนียมปกติ ขณะนั้น มันเป็นเวลาเที่ยงคืน สรรพสิ่งเงียบสงัด และความฝันอันโหดร้ายก็เข้าสิงสู่ภวังค์อันหลับใหลของมนุษย์ ในตอนนี้ไม่มีใครคาดหวังว่า จะมีหมาป่าและฆาตกรกำลังคืบคลานเข้ามา

คุณหญิงแมกเบธ ตื่นขึ้นมาวางแผนการลอบปลงพระชนม์พระราชา นางจะไม่เป็นผู้กระทำการที่ผู้หญิงไม่สมควรทำเด็ดขาด แต่นางก็เกรงว่า สามีของนางจะไม่กล้า นางรู้ว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังรู้ว่า ความแตกต่างระหว่างถูกและผิดเป็นอย่างไร และยังไม่กล้าพอที่จะกระทำการโหดร้ายในทางที่ความฝันอันน่าละอายสั่งการ นางเอาชนะเขาได้โดยการเสนอความคิดแห่งการฆาตกรรม แต่นางไม่แน่ใจว่า เขาจะมีความหนักแน่นในแผนการหรือไม่ นางเกรงว่าความรู้สึกอันนุ่มนวลอ่อนโยนจะมาทำให้เขาเปลี่ยนใจที่จะทำแผนลอบปลงพระชนม์ ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรค และจะทำให้คำทำนายของเหล่าปีศาจนั้นไม่เป็นความจริง นางถือดาบไปยังห้องบรรทมของพระราชาและแน่ใจว่า ทหารรับใช้ดื่มเหล้าไปมาก จึงหลับใหลไปด้วยความมึนเมา จนทำให้เกิดการละเลยไม่ใส่ใจในหน้าที่ที่จะทำการอารักขาพระราชา ณ ที่นั้น กษัตริย์ดังแคนกำลังบรรทมหลับสนิท นางมองดูพระองค์อย่างพินิจ มีบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของพระองค์เตือนให้นางระลึกถึงบิดาของนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพอที่จะปลงพระชนม์พระองค์ได้ในขณะนี้

นางกลับไปหาสามีและหารือกับเขา แมกเบธรู้สึกไม่แน่ใจ เท่าไหร่เกี่ยวกับการกระทำในครั้งนี้ เขาคิดว่ามีเหตุผลที่แน่วแน่ต่อต้านการฆาตกรรม ในประการแรก เขาไม่เพียงเป็นข้าแผ่นดิน หากแต่เป็นพระญาติสนิทของพระราชาอีกด้วย เขาเป็นผู้ที่กฏหมายมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลคุ้มครองพระราชา และมีหน้าที่ต้องขจัดฆาตกรทั้งหลาย ไม่ใช่ที่จะทิ่มแทงพระองค์ด้วยตนเอง จากนั้นจึงสำนึกได้ว่า พระราชาทรงเมตตาต่อเขาอย่างไร พระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎรและต่อตระกูลของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตัวเขาเอง กษัตริย์ดังแคน อยู่ในความดูแลอย่างพิเศษของสวรรค์ และหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกพันเป็นสองเท่ากับความตาย นอกจากนี้ เขายังเป็นที่โปรดปรานของพระราชา เขาจึงมีชื่อเสียงเกียรติยศที่ดีกว่าขุนนางคนอื่นๆ ทั้งหลาย แล้วเกียรติยศเหล่านี้จะถูกแปดเปื้อนด้วยการกระทำฆาตกรรมหรืออย่างไร?

คุณหญิงแมกเบธ รู้ว่า สามีของนางกำลังตกอยู่ในสภาพสับสนแก้ปัญหาไม่ตก เอนเอียงไปในทางที่ดีกว่า และตัดสินใจจะไม่ดำเนินการขั้นต่อไป นางเป็นผู้หญิงที่ไม่หวั่นไหวต่อจุดมุ่งหมายได้โดยง่ายอยู่แล้ว จึงเริ่มเป่าหูเขา ผสมด้วยอำนาจอันแข็งแกร่งของนาง นางยกเหตุผลสารพัดว่า ทำไมเขาจึงไม่สมควรผละจากสิ่งที่เขาได้กระทำไว้แล้ว และว่า มันจะง่ายอย่างไร มันจะเสร็จสิ้นเร็วเพียงใด โดยการกระทำเพียงชั่วคืนสั้นๆ จะนำไปสู่ค่ำคืนและวันเวลาแห่งราชบัลลังก์ จากนั้นก็แสร้งกล่าวหาว่า เขาเป็นคนขี้ขลาด นางกล่าวว่า นางมีลูก และรู้ว่าความรู้สึกนั้นนุ่มนวลเพียงใด เมื่อนางโอบกอดลูก แต่นางจะผละจากลูกขณะที่ลูกกำลังยิ้มกับนางอยู่ ถ้าเพียงแต่นางได้ให้สัญญาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่ แมกเบธ สัญญาว่า จะทำการปลงพระชนม์กษัตริย์ ดังแคน จากนั้นจึงกล่าวว่า “มันเป็นการง่ายมากที่จะโยนความผิดให้กับทหารที่ทำการอารักขาพระราชาซึ่งเมาหลับใหลอยู่ เป็นแพะรับบาปแทน นางทำให้เขาสับสน และเกลี้ยกล่อมให้เขารู้สึกกล้าพอที่จะกระทำการอันโหดร้าย จากนั้นนางก็ยื่นดาบให้เขา

และแล้ว แมกเบธ ก็คลานฝ่าความมืดไปยังห้องบรรทมอย่างเงียบๆ

กษัตริย์ดังแคนกำลังบรรทมอยู่ที่นั่น ขณะที่เขากำลังไปกระทำแผนโหดนั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขาเห็นดาบลอยอยู่ในอากาศ ด้ามมันยื่นมาทางเขา ปลายดาบมีหยดเลือดติดอยู่ แต่เมื่อเขาพยายามฉวยเอามา มันกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า เขาพยายามสลัดความกลัวออกไป เข้าไปในห้องบรรทมของพระราชาแล้วก็ลงมือแทงพระองค์ ขณะที่เขากำลังกระทำการฆาตกรรมนี้ ทหารองครักษ์คนหนึ่งก็ละเมอ หัวเราะขึ้น และอีกคนหนึ่งก็ละเมอตะโกนร้องขึ้น “ฆาตกรรม!” ทำให้เขาทั้งสองรู้สึกตัวขึ้น แต่ก็เพียงพึมพำสวดมนต์ คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พระเจ้าคุ้มครองเรา!” อีกคนหนึ่งตอบรับว่า “อาเมน” จากนั้นก็หลับต่อ

แมกเบธ ซึ่งยืนฟังพวกเขาอยู่ พยายามพูดว่า “อาเมน” ตาม ขณะที่ทหารองครักษ์กล่าวว่า “พระเจ้าคุ้มครองเรา!” แต่ขณะนั้นเขาต้องการคำอวยพอย่างยิ่ง คำพูดจึงติดอยู่ที่ลำคอ และก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงร้องว่า “อย่าได้นอนสลบไสล ตื่นได้แล้ว! แมกเบธ ฆาตกรรมคนกำลังหลับ คนหลับที่อยู่ในช่วงนิทรารมย์ และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย” แล้วก็ร้องต่อไปว่า “ตื่นได้แล้ว!” ไปทั่วทุกบ้าน “กลามิส ได้ถูกสังหารระหว่างนิทรารมย์ ดังนั้น คอวดอร์ ไม่ควรจะหลับใหลอีกต่อไป แมกเบธ สมควรตื่นได้แล้ว”


หลังจากปลงพระชนม์เสร็จ และด้วยจินตนาการอันน่ากลัวนี้ แมกเบธจึงไปหารือกับภรรยา ตอนแรก นางคิดว่า เขาทำแผนการล้มเหลว เนื่องจาก เขามาถึงในสภาพยุ่งเหยิง จนนางต้องบอกให้เขารู้ว่า เขาอยู่ในสภาพแย่ขนาดไหน นางสั่งให้เขาไปล้างคราบเลือดออกจากมือ ขณะที่นางเอาดาบจากเขาไปเช็ดบนตัวทหารองครักษ์เพื่อโยนความผิดให้พวกเขา

รุ่งอรุณมาเยือน ...พร้อมกับการสืบหาร่องรอยการลอบปลงพระชนม์ แมกเบธและคุณหญิงแมกเบธ แสดงสีหน้าเศร้าโศก ได้สมจริงสมจังมาก ข้อสงสัยก็ตกมาอยู่กับทหารองครักษ์ เนื่องจากเสื้อผ้าพวกเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดาบก็คงอยู่ในห้องนั้น จึงทำให้หลักฐานมัดแน่นขึ้น ข้อสงสัยในตัว แมกเบธ จึงไม่มี นอกจากนี้ เขายังมีหลายสิ่งที่จะต้องเก็บเกี่ยว และสำคัญกว่าองครักษ์หน้าโง่เหล่านั้น พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ของพระราชาได้หลบหนีไปได้ มาล์โคล์ม พระโอรสองค์โตหลบหนีไปยังประเทศอังกฤษ ขณะที่พระโอรสองค์เล็กโดเนลเบน หลบไปไอร์แลนด์

พระโอรสของพระราชาผู้สมควรจะได้สืบราชบัลลังก์ กลับต้องมาทิ้งราชบัลลังก์ให้ว่างลง ดังนั้น แมกเบธจึงเป็นผู้สืบราชบัลลังก์แทน เนื่องจากเป็นพระญาติที่เหลืออยู่คนเดียว และก็ได้รับการสถาปนาเป็นมกุฏกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ คำทำนายของปีศาจจึงกลายเป็นจริงอีกครั้ง ! ถึงแม้ว่าขณะนี้พวกเขากำลังปกครองสก็อตแลนด์ แต่แมกเบธกับภรรยา ของเขาก็ไม่ลืมคำทำนายของปิศาจที่ว่า ถึงแม้ แมกเบธ จะได้เป็นกษัตริย์ แต่ลูกของเขาก็จะไม่มีโอกาสสืบราชบัลลังก์ หากแต่เป็นบุตรของแบงคิโอ ที่จะได้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา ด้วยความคิดนี้ และการกระทำฆาตกรรมที่เพียงรังแต่ทำให้ครอบครัวแบงคิโอ จะได้ครองบัลลังก์ ก็ทำให้พวกเขาปวดร้าวมาก จนเขาต้องตัดสินใจที่จะฆ่า แบงคิโอ กับลูกชาย สิ่งนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้คำทำนายเกี่ยวกับแบงคิโอ เป็นจริงเหมือนกับเขา


ดังนั้น พวกเขาจึงเชิญเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาในงานเลี้ยง และเชื้อเชิญเป็นพิเศษไปแก่ แบงคิโอและบุตรชายชื่อเฟรียนซ์ ระหว่างทางไปปราสาทของแมกเบธ แมกเบธได้ว่าจ้างให้ฆาตกรกำจัดแบงคิโอกับลูกชาย แบงคิโอถูกแทงจนถึงตาย แต่ในขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนอยู่นั้น บุตรชายของเขา คือเฟรียนซ์ ก็หลบหนีไปได้ (ซึ่งในกาลต่อมานั้น เขาได้กลายมาเป็นพระอัยกาของกษัตริย์ที่ครองบัลลังก์สก็อต จนถึงสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก็อตแลนด์ และเป็นองค์แรก ของอังกฤษภายใต้การรวมตัวของมกุฏราชกุมารของทั้งอังกฤษ และสก็อตแลนด์)


ภายในงานเลี้ยง พระราชินี ผู้ซึ่งแสดงพระจริยวัตรได้งดงามและแสดงบทบาทของเจ้าภาพได้ดียิ่ง เอาใจใส่แขกทุกคนได้อย่างทั่วถึง แมกเบธพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเหล่าขุนนางทั้งหลายว่า คนทั้งหลายอยู่ภายใต้การปกครองของเขา ยกเว้น แบงคิโอ เขากล่าวว่า เขาจะต้องตำหนิ แบงคิโอ เสียแล้วที่เป็นคนไม่ตรงเวลา และจะไม่เห็นใจเขาด้วยที่ว่า ถ้าเขามาสายเพราะเกิดอุบัตเหตุ พอพูดถึงคำนี้ ผีของแบงคิโอ ก็เข้ามาปรากฏตัวในห้องและนั่งลงที่เก้าอี้ของแมกเบธ ถึงแม้ว่า แมกเบธจะเป็นคนกล้าหาญ และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับ สิ่งร้ายๆ อย่างไม่หวาดหวั่น แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขา ก็ขาวซีดด้วยความกลัวกับสิ่งที่เห็น เขายืนนิ่ง นัยน์ตาจ้องเขม็งไปที่วิญญาณนั้น


พระราชินีและเหล่าขุนนางซึ่งไม่มีผู้ใดมองเห็นอย่างเขา นอกจากเก้าอี้ที่ว่างเปล่า จึงคิดว่าเป็นความว้าวุ่นในจิตใจของเขา พระราชินีจึงเตือนสติเขาและกระซิบว่า นั่นเป็นเพียงจินตนาการเดิมเหมือนตอนที่ทำให้เขาเห็นดาบในอากาศ ขณะกระทำการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ดังแคน แมกเบธยังคงมองเห็นปิศาจและไม่สนใจในสิ่งที่ทุกคนพูด เขาพูดกับวิญญาณด้วยคำพูดที่สับสน แต่ความหมายกระจ่างชัดพอสำหรับพระราชินี จนพระนางรู้สึกวิตกว่า ความลับเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์จะถูกเปิดเผย พระนางจึงส่งแขกกลับบ้านอย่างรีบร้อน และเอ่ยขออภัยในการกระทำตัวเหมือนคนป่วยของ แมกเบธ แมกเบธเต็มไปด้วยจินตนาการที่น่ากลัว เวลาเข้านอนก็เต็มไปด้วยความฝันอันน่าสยดสยอง เรื่องที่น่ากลัวมากกว่า การฆาตกรรม แบงคิโอ ที่รบกวนจิตใจพวกเขาอยู่ นั่นคือ การหลบหนีไปได้ของเฟรียนซ์ บุตรชายของ แบงคิโอ ผู้ที่พวกเขาได้ตระหนักเดี๋ยวนี้ว่า จะเป็นพระราชบิดาของกษัตริย์องค์ต่อมาแทนบุตรชายของพวกเขา ความคิดอันขมขื่นนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจอยู่อย่างสงบได้

แมกเบธตัดสินใจค้นหาปิศาจอีกครั้ง เพื่อจะได้ทราบสิ่งเลวร้ายที่สุดที่มันจะเกิดขึ้น โดยจากคำบอกเล่าของปิศาจ

เขาพบแม่มดที่ถ้ำในป่าใหญ่ พวกแม่มดเหมือนรู้ว่า เขากำลังมา จึงวุ่นวายกับการเตรียมเวทมนตร์ และเครื่องเซ่นสรวงเรียกวิญญาณปิศาจเพื่อทำนายอนาคต ส่วนประกอบก็จะมี คางคก ,ค้าวคาว ,งู ,ตาจิ้งจก ,ลิ้นสุนัข ,ขาตุ๊กแก ,ปีกนกเค้าแมว ,เกล็ดของพญานาค ,ฟันของหมาป่า ,กระเพาะของปลาฉลาม ,ซากของปิศาจ ,รากของพันธุ์ไม้มีพิษ ,ถุงน้ำดีของแพะ ,ตับของฉลามยักษ์ ,กิ่งทาบของต้นยิวที่มีรากงอกเข้าไปในหลุมฝังศพ และนิ้วของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว ทั้งหมดนี้ถูกเตรียมขึ้นเพื่อทำการต้มในน้ำเดือดโดยใช้หม้อใบใหญ่ ซึ่งเมื่อร้อนแล้ว ก็จะทำให้เย็นโดยเลือดของลิงบาบูน จากนั้นก็รินใส่ในเลือดของหมูตัวเมียที่กินลูกตัวเอง แล้วก็โยนเข้าไปในเปลวเพลิงที่มีเชื้อเพลิง คือน้ำมัน ซึ่งมีเหงื่อของผู้ถูกฆาตกรรมแขวนคอผสมปนอยู่ด้วย ด้วยเวทมนตร์นี้ทำให้พวกเขา สามารถบังคับให้วิญญาณร้ายตอบคำถามได้

บรรดาแม่มด ถาม แมกเบธ ว่า อยากให้พวกนางตอบคำถามเขาเอง หรือจะให้เจ้านายใหญ่ตอบ (พวกเขา หมายถึงวิญญาณปิศาจ) แมกเบธ หาได้เกรงกลัวพิธีกรรมอันน่าสยดสยองนี้ไม่ เขากล่าวอย่างองอาจว่า “แล้วพวกเขาอยู่ไหน? ให้ข้าได้พบพวกเขาได้ไหม?” เหล่าแม่มดจึงเรียกวิญญาณร้ายออกมา

ปิศาจตนแรกลุกขึ้น มีลักษณะเหมือนศีรษะที่สวมหมวกเหล็ก มันเรียกชื่อแมกเบธ แล้วบอกเขาว่า “ให้ระวังเจ้าศักดินาแห่งไฟเฟ” แมกเบธเอ่ยขอบคุณ แต่ขณะเดียวกัน แมกเบธ ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอาฆาต แมกดัฟ แห่งไฟเฟ

ปิศาจตนที่ 2 มีท่าทางเหมือนเด็กที่เต็มไปด้วยเลือด เขาขานชื่อ แมกเบธ และบอกเขาว่า “ไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของมนุษย์คนใดที่ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ เพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้แมกเบธเจ็บปวดได้” และปิศาจยังแนะนำ แมกเบธให้อาบเลือด ให้ใจกล้าและหนักแน่น

“ถึงเวลาของเจ้าแล้ว แมกดัฟ” แมกเบธ ตะโกนก้อง “ทำไมข้าจะต้องเกรงกลัวเจ้า? ข้าจะทำให้แน่ใจเป็นสองเท่า ข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เพื่อข้าจะได้ตอบสนองหัวใจที่อ่อนล้าไม่ให้กลัว และสามารถนอนหลับทั้งๆ ที่สายฟ้าร้อง หรือพายุพัดกระหน่ำ!”

ปิศาจตนที่ 3 ปรากฏกายในลักษณะมกุฏราชกุมาร พร้อมถือต้นไม้ในมือ ขานเรียกชื่อ แมกเบธ และปลอบโยนเขาว่า “เขาจะไม่ถูกโจมตีจนกว่าป่าเบอร์แนมจะย้ายมาสู่ภูเขาดังซิแนน”

“วิเศษมาก!” แมกเบธ ร้อง “ใครจะสามารถขุดป่าทั้งป่า และเคลื่อนย้ายมันได้? ข้ารู้แล้วว่า ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ตามวันเวลาของมนุษย์ และจะไม่ปล่อยให้การตายอย่างทารุณมาทำให้ชีวิตสั้นลง แต่ข้าอยากจะทราบอะไรสักอย่าง จงบอกข้า ถ้าเจ้าสามารถตอบได้ว่า ทายาทของตระกูลแบงคิโอ จะได้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้หรือไม่?”

เป็นเวลาพอดีกับหม้อน้ำขนาดใหญ่จมลงไปในพื้นดิน ได้ยินแต่เสียงดนตรี เงาทั้ง 8 เงา รูปลักษณ์ราศีคล้ายกับบุคคลที่จะเป็นพระราชากรายผ่านแมกเบธ ท้ายสุดตามด้วยเงา แบงคิโอ เขาเดินทะลุกระจกที่แสดงให้เห็นถึงเค้าโครงรูปร่างหลายหลาก เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เขายิ้มให้กับ แมกเบธ พร้อมกับชี้มาทางพวกเขา แมกเบธรู้ว่ารูปร่างเหล่านี้ คือ บรรดาทายาทของแบงคิโอ ผู้ซึ่งจะได้ปกครองอาณาจักรสืบต่อจากเขาในสก็อตแลนด์ แล้วปิศาจทั้งหลายพร้อมด้วยเสียงดนตรีก็จางหายไป


ข่าวแรกที่แมกเบธได้ทราบหลังจากออกจากถ้ำแม่มด ก็คือแมกดัฟ เจ้าศักดินาแห่งไฟเฟ ได้เดินทางไปอังกฤษ เขาตั้งใจจะไปร่วมกองทัพกับมาล์โคล์ม ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระราชาที่ถูกลอบปลงพระชนม์ เพื่อยกกองทัพมาต่อสู้กับแมกเบธ แมกเบธปวดร้าวด้วยความโกรธ จึงสั่งฆาตกรไปที่ปราสาทของแมกดัฟ ทำการฆาตกรรมภรรยาและลูกๆ พร้อมทั้งข้ารับใช้ทุกคนในครอบครัวของแมกดัฟ การกระทำครั้งนี้ ทำให้เจ้าศักดินาแห่งสก็อตทั้งหลายโกรธ และเกลียด แมกเบธมาก หลายคนเดินทางไปร่วมทัพกับมาล์โคล์ม และแมกดัฟ ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมกำลังพลในอังกฤษขึ้นมาซึ่งเกือบจะเพียงพอแล้ว ที่เหลือก็แอบภาวนาให้พวกเขาประสบผลสำเร็จ เพราะพวกเขาเกรงกลัวแมกเบธ จึงไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในสมรภูมิที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ทุกคนเกลียดทรราช ไม่มีใครรักและนับถือแมกเบธ ทุกคนสงสัยเขาเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ดังแคน และเริ่มอิจฉาพระราชาผู้ทรงหลับไหลไม่ได้สติในหลุมฝังศพ กบฏได้กระทำการที่เลวร้ายต่อพระองค์ พระองค์ไม่มีความเจ็บปวดหรือถูกรบกวนโดยมีดสั้นยาพิษ หรือปัญหาใดๆ ในสก็อตแลนด์ หรือศัตรูต่างชาติอีกต่อไปแล้ว

ขณะนั้นพระราชินีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในความโหดร้ายของแมกเบธ เพียงผู้เดียว พระนางมีความรู้สึกเหมือนกับแมกเบธที่ถูกตามล่าด้วยฝันร้าย ในที่สุดพระนางก็สิ้นพระชนม์ อาจจะเป็นเพราะพระนางปลงพระชนม์ตัวเอง เนื่องจากไม่สามารถทนความผิดและความเกลียดทั้งหลายได้

บัดนี้แมกเบธ จึงเหมือนเหลือตัวคนเดียว ปราศจากวิญญาณที่จะรักและเอาใจใส่อีกต่อไป แม้แต่เพื่อนที่เขาจะสามารถบอกเล่าถึงแผนการชั่วร้ายได้ เขาเลิกคิดที่จะอยากมีชีวิตอยู่ หากแต่ปรารถนาถึงความตาย แต่กองทัพของมาล์โคล์ม ที่ใกล้เข้ามากระตุ้นความกล้าหาญของเขาให้คืนมา เขาตัดสินใจที่จะสู้ตาย เขาแสดงความมั่นใจอย่างชัดแจ้ง “กับชุดเกราะของเขา” นอกจากนี้ยังได้แก่ คำทำนายของปิศาจได้ทำให้เขามั่นใจขึ้น เขายังจำคำพูดของปิศาจ ได้ว่า ไม่มีใครจะสามารถทำร้ายเขาได้ จนกว่าป่า เบอร์แนม จะถูกย้ายมาที่ภูเขา ดังซิแนน ซึ่งเขาคิดว่า ไม่มีวันเป็นไปได้ ดังนั้น เขาจึงพยุงตัวลุกขึ้นภายในปราสาทที่แข็งแรงหนาแน่นไม่มีทางที่จะพังทลายล่มสลายไปได้ของเขา เพื่อรอคอยกองทัพของมาล์โคล์ม


เกือบจะทันทีที่ทหารนำสาสน์มาพบเขา ด้วยใบหน้าซีดเผือดและสั่นสะท้านด้วยความกลัว แทบจะพูดไม่ออกว่าเขาได้พบเจออะไรมา เขากล่าวว่า ขณะที่เขากำลังยืนทำหน้าที่ดูแลสอดส่องบนเนินเขา เขามองเห็นป่าเบอร์แนม และดูเหมือนว่า ต้นไม้นั้นสามารถเคลื่อนไหวได้

“เจ้าคนโกหก!” แมกเบธ ตวาดด้วยเสียงอันดัง “ถ้าเจ้าโกหก ข้าจะแขวนคอเจ้าจนกว่าจะตาย ถ้าพูดความจริง เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” การตัดสินใจของแมกเบธเริ่มอ่อนลง และเขาเริ่มสงสัยในคำทำนายของปิศาจ เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว จนกว่าป่าเบอร์แนม จะถูกย้ายมาที่ภูเขาดังซิแนน และขณะนี้ต้นไม้ก็กำลังถูกเคลื่อนย้ายมา

“อย่างไรก็ตาม...” เขากล่าว “ถ้าสิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นจริง เราก็เริ่มใส่เสื้อเกราะ และก็จะออกไป ไม่มีเหตุผลใดที่จะวิ่งหนีหรืออยู่กับที่ ข้ากำลังเหนื่อยมาก และปรารถนาให้ชีวิตถึงจุดจบเสียที” ด้วยคำพูดที่สิ้นหวังนี้ เขาผลุนผลันออกจากปราสาทไป จากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้ทหารที่ส่งข่าวเข้าใจว่า ต้นไม้กำลังเคลื่อนย้าย


เป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายมากเมื่อกองทัพของ มาล์โคล์มมาถึงป่าเบอร์แนม เขาได้สั่งการให้ทหารแต่ละคนตัดกิ่งไม้ลงมาแล้วนำมาเป็นที่กำบังตัว เมื่อเหล่าทหารพร้อมด้วยกิ่งของต้นไม้กำลังเคลื่อนไหว ถ้ามองในระยะไกลก็จะดูคล้ายกับว่า ต้นไม้กำลังเคลื่อนไหว ดังนั้น คำพูดของปิศาจจึงเป็นจริง แต่ในทางที่แตกต่างจากที่ แมกเบธได้เข้าใจ

และขณะนี้สมรภูมิที่ดุเดือดก็เริ่มขึ้น แมกเบธได้รับการสนับสนุนจากผู้เรียกตัวเองว่า ‘เพื่อน’ มาช่วยรบอย่างกล้าหาญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเกลียด แมกเบธ ผู้เป็นทรราช จึงเอนเอียงไปทางฝ่ายของมาล์โคล์ม และแมกดัฟ แมกเบธ ยังรบอยู่ด้วยความกล้าหาญและรบอย่างบ้าระห่ำ ด้วยอารมณ์เดือดของเขา เขาฟาดฟันผู้ที่เข้าใกล้เขาออกเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับแมกดัฟ แมทเบธนึกถึงคำเตือนของปิศาจให้ระวังแมกดัฟ มากกว่าคนไหน ดังนั้นเขาจึงทำท่าจะถอยหนี แต่แมกดัฟผู้ซึ่งกำลังจ้องมาที่เขาตลอดเวลาได้กระโจนมาทันทีแล้วก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

แมกดัฟกล่าวอย่างขมขื่นเกี่ยวกับการฆาตกรรมภรรยาและลูกๆ ของเขา แมกเบธซึ่งก็รู้สึกผิดพออยู่แล้วกับการเสียชีวิตของครอบครัวนี้ อยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่แมกดัฟ ก็ยังยั่วอารมณ์เขา และเรียกเขาว่า ทรราช ฆาตกร สุนัขแห่งขุมนรก และคนชั่วช้า

แมกเบธ จำคำพูดของปิศาจได้ว่า ไม่มีใครที่ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติจะสามารถทำลายเขาได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างมั่นใจ และกล่าวต่อแมกดัฟว่า “เจ้ากำลังเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ แมกดัฟเจ้าจะสังหารก็แต่อากาศเท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก ข้ามีชีวิตที่มีมนตร์ขลัง ซึ่งใครที่กำเนิดโดยวิธีธรรมชาติจะไม่สามารถคร่าชีวิตข้าได้”

“เสียใจกับเวทมนตร์ของเจ้าเสียจริง” แมกดัฟกล่าว “ปิศาจจอมโกหก นั่นควรจะบอกเจ้าด้วยว่า ข้าไม่ได้ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติเลย หากแต่โดยวิธีผ่าตัด หมอนำข้าออกมาสู่โลกภายนอกก่อนเวลากำหนดคลอด”

“ข้าขอสาปแช่งเจ้าปิศาจที่บอกข้าอย่างนี้ !” แมกเบธ กล่าวด้วยอาการสั่นเทิ้ม และรู้สึกว่า ความเชื่อมั่นครั้งสุดท้ายของเขาได้อันตรธานหายไป “และข้าขอเตือนว่า อย่าให้ใครเชื่อในถ้อยคำกล่าว พล่อยๆ ของพวกแม่มด ปิศาจที่หลอกลวง ที่หลอกให้เราเชื่อในคำพูดที่มีความหมายเป็นสองนัย ขณะที่พวกเขารักษาสัญญาตามลำดับ แต่พวกเขาก็ยังทำให้เราผิดหวังด้วยความหมายที่ผิดไป ข้าจะขอสู้ตาย!”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” แมกดัฟ กล่าวด้วยความเยาะเย้ยเหยียดหยาม “พวกเราจะนำเจ้าไปออกงานในฐานะมนุษย์ แสดงเป็นตัวประหลาด เราจะติดป้ายที่เขียนว่า ‘ท่านทั้งหลาย ขอเชิญชมทรราช’ ”

“ไม่มีทาง!” แมกเบธ กล่าว พร้อมกับความกล้าแกร่งกลับมาอย่างสิ้นหวัง “ข้าจะไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาที่ต้องก้มหน้าจุมพิตผืนดินเบื้องหน้าฝ่าเท้าของ เจ้าหนุ่มมาล์โคล์ม นั่น ไหนจะต้องถูกทุบตีด้วยความโหดร้ายจากไม้ถูพื้น ถึงแม้ว่าป่าเบอร์แนม จะย้ายมาสู่ภูเขาดังซิแนน และเจ้าผู้ซึ่งไม่ได้ถือกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติก็ต่อต้านข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังจะสู้!” พร้อมคำพูดอันกราดเกรี้ยว เขากระโจนเข้าใส่แมกดัฟ


หลังการต่อสู้อย่างดุเดือด ในที่สุดแมกดัฟก็เอาชนะแมกเบธได้ เขาตัดศีรษะของแมกเบธ และนำถวายต่อกษัตริย์หนุ่มที่สืบราชบัลลังก์ถูกต้องตามกฏหมาย คือ มาล์โคล์ม ต่อมาพระราชาองค์ใหม่นามว่า มาล์โคล์ม ก็เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมา ท่ามกลางความปิติยินดีของเหล่าขุนนางและพสกนิกรทั้งหลาย คืนความสันติสุขมาสู่แผ่นดินอีกครั้ง

(ที่มา : สืบสานวรรณคดีเชกสเปียร์ เล่ม 1 สำนักพิมพ์คลาสสิค แปลและเรียบเรียง จาก Tales from Shakespeare ; First Published in U.K. 1807 )

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เป็นอยู่อย่างเซน

เซนคืออะไร อะไรคือเซน

Paul reps, Zen Flesh, Zen Bones, Penguin Books 1982 พอล เรพส์ ได้เขียนไว้ในคำนำหนังสือที่ชื่อ “เนื้อหนังและกระดูกแห่งเซน” ว่า อาจกล่าวได้ว่า เซน เป็นศิลปะในด้านใน เป็นประดิษฐกรรมของชาวตะวันออกที่เริ่มรากขึ้นในประเทศจีนโดยท่านโพธิธรรม ซึ่งเดินทางจากประเทศอินเดียไปถึงประเทศจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 6 และต่อมาเซนก็ได้เผยแผ่ออกไปยังทิศตะวันออก ไปสู่ประเทศญี่ปุ่น ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ทั้งนี้โดยมีอัตลักษณ์ว่า “การส่งมอบหรือการถ่ายทอดชนิดพิเศษนอกพระสูตร ไม่พึ่งพิงอยู่บนคำพูดและตัวอักษร ชี้ตรงไปยังจิตของบุคคล ให้เห็นธรรมชาติเดิมแท้ของตนโดยตรง และบรรลุเป็นพุทธะ ในประเทศจีน คำว่า “เซน” นี้จะถูกเรียกว่า ฌาน และฌานาจารย์หรือคณาจารย์เซนทั้งหลายนั้นแทนที่จะวางตัวเองในฐานะศิษย์หรือสาวกแห่งพระพุทธะ กลับปรารถนาที่จะเป็นเพื่อนของพระองค์ คือมองว่าพระพุทธะเป็นเพื่อนผู้แสวงหาทางรอดด้วยกัน และยังกำหนดความสัมพันธ์ของพวกท่านเหล่านั้นเองที่มีต่อจักรวาลนี้ ให้มีลักษณะเฉกเช่นพระพุทธะและพระเยซูด้วย เหตุนั้นเซนจึงไม่ใช่นิกายแต่จะหมายถึงประสบการณ์ในการเข้าถึงธรรมเท่านั้น ลักษณะนิสัยของเซนในการแสวงหาตัวเอง โดยใช้สมาธิภาวนา เพื่อที่จะประจักษ์ได้ถึงธรรมชาติแท้ของบุคคลนั้น ประกอบกับการไม่สนใจต่อพิธีรีตองต่างๆ นานา รวมทั้งย้ำที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ เป็นนายตัวเองให้ได้ และเน้นการใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ เช่นนี้ ในที่สุดทำให้ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากชนชั้นขุนนางและชนชั้นปกครองในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้รับความคารวะอย่างลึกซึ้งจากนักศึกษาปรัชญาทุกระดับชั้นในโลกซีกตะวันออก (อ้างอิง ปล่อยวางอย่างเซน : ละเอียด ศิลาน้อย มีนาคม 2536 สนพ.ดอกหญ้า)

เซนเป็นคำที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง หนังสือเกี่ยวกับเซนมีมากมายหลายภาษาหลายเวอร์ชั่น บางตำราว่าเซนเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน บางตำราว่าเซนคือปรัชญาที่ผสมผสานแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานกับลัทธิเต๋าของจีน แต่ผู้เชี่ยวชาญเซนระดับแถวหน้าหลายคน เช่น ดร.ดี.ที.ชูชุกิ (ไดเช็ทส์ เททาโร ชูชุกี) ยืนยันว่า เซนไม่ใช่ปรัชญา และก็มีใช่ศาสนา เพราะสาระของมันแตกต่างจากทั้งปรัชญาและศาสนา มันเชื่อมโยงกับทั้งปรัชญาและศาสนาอย่างยิ่งในฐานะทางเลือกทางหนึ่ง แต่ต่างจากศาสนาอื่นๆ เซนไม่มีพระเจ้า ไม่มีวิญญาณ ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ไมมีการรดน้ำมนต์ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีสวรรค์ อลัน วัตต์ส นักปรัชญาชาวอังกฤษ-อเมริกัน ผู้เชียวชาญเรื่องเซน เขียนในหนังสือ The Way of Zen (1957) ว่า เซนเป็นวิถีทางและมุมมองของชีวิต เซนไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่จิตวิทยาหรือวิทยาศาสตร์ และเช่นเดียวกับพุทธและเต๋า หลักการของเซน คือ การปลดปล่อยตนเป็นอิสระ (self liberation) แม้ว่าเซน เป็นส่วนผสมของศาสนาพุทธกับเต๋า แตกแขนงเป็นอีกสารธารหนึ่ง แต่ก็เป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่ต่างจากเดิม อย่างที่บางท่านบอกว่า เซนก็คือสิ่งประดิษฐ์ในสมัยราชวงศ์ถัง


ท่านพุทธทาสภิกขุ บอกว่า เราไม่ควรนับเซนเป็นมหายาน เพราะเซนไม่บูชาสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอมิตาภะ โพธิสัตว์ ตารา (หรือ พระรัตนตรัย ของฝ่ายมหายาน ไม่มีแดนสุขาวดี ไม่มีทัวร์สวรรค์ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีรางวัลสำหรับชาติหน้า อีกทั้งเซนยัง “ขนสัตว์ข้ามฝั่ง(หมายถึงรู้แจ้ง) ไปได้น้อยกว่าพวกหินยานหรือเถรวาทเสียอีก”

คำวา เซน (zen) มี่รากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า ธยาน (Dhyana) ภาษาบาลี ฌาน Jhana แปลว่า สมาธิ ภาษาจีนออกเสียง ฉาน (Ch’an) ถือกำเนิดที่เมืองจีน แต่สืบรากเหง้ามาจ่ากพุทธศาสนา บุคคลแรกที่เป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมพุทธศานากับเซนก็คือพระโพธิธรรม (Bodhidharma) ผู้เดินทางจากอินเดียไปเมืองจีนในราว ค.ศ. 520 ชื่อจีนของพระโพธิธรรมก็คือ ตั๊กม้อ เจ้าสำนักวัดเส้าหลินอันเลื่องลือ หลายร้อยปีต่อมา ลัทธิฉานก็เข้าสู่ญี่ปุ่น ออกเสียงตามสำเนียงญี่ปุ่นว่า เซน แตกออกเป็นสาขาย่อย เช่น รินไซ เชน ,โชโต เซน เป็นต้น แต่ไม่ว่าเป็นสายใด หัวใจของมันก็ไม่ได้แตกต่างกัน เน้นการใช้สมาธิและเข้าถึงธรรมด้วยปัญญา

ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เซนไม่มีรูปธรรม เช่นคำว่า พระโพธิสัตว์ไม่ได้หมายถึงคน แต่หมายถึงคุณธรรมอย่างหนึ่ง เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หมายถึงความเมตตากรุณา พระโพธิสัตว์มัญชุศรี หมายถึงกฎแห่งเหตุผลที่ว่าสัตว์เป็นพุทธะอยู่แล้ว เป็นต้น

(อ้างอิง มังกรเซน : วินทร์ เลียววาริณ ตุลาคม 2552 ,สำนักพิมพ์ 113)

ปรัชญาข้อคิดที่เกี่ยวกับเซน

เรียนรู้ด้วยใจถ่อม “คนที่รอบรู้ที่สุด จะบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย”

ปล่อยวางอย่างเซน “ยึดมั่นคราใด เป็นทุกข์ครานั้น”

เซนผู้ไม่หวั่นไหว “ชีวิตที่มีค่าดูได้ที่เนื้อหาสาระ ไม่ใช่ดูที่รูปแบบอันสวยหรู”

ชีวิตประจำวัน นั่นแหละคือเซน “ชีวิตเซนเป็นชีวิตที่ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีอยู่แต่วันนี้”

สปิริตแห่งเซน “รู้จักปลง รู้จักยอม รู้จักเย็น”

ดูจิต “หากไม่ดูจิตก็จะไม่เห็นจิต จะไม่รู้จักตัวเอง”

ทำใจ “ ต้องมั่นใจให้ได้ว่า ไม่มีอะไรได้ดังใจเรา”

ปลงให้ตก “ การปลง เป็นการยุติเรื่องนั้นให้หยุดอยู่แต่นั้น”

จัดชีวิตให้เป็นระเบียบ “เคยชินต่อความเป็นระเบียบ แล้วจะประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน ประหยัดหัวสมอง”

ผู้หญิงกับเซน “ในเซนไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ “

เซนไม่เลือกปฏิบัติต่อ... “คนมันไม่เหมือนกัน ต้องเข้าใจเขา เข้าใจเราให้ถูกต้อง”

กับคนบางคนพูดด้วยยาก “เป้าหมายของใครก็เป้าหมายของคนนั้น”

ทุ่มชีวิตตามเจตจำนง

เถรตรง บางครั้งต้องดื้อรั้น/เชื่อมั่น หรือตรงแน่ว “คนตรงคือคนที่รอบรู้สถานการณ์ต่างๆ ดี มีความยืดหยุ่นในตัวเองสูง”

กุศโลบาย “เราต้องใช้กุศโลบายในการควบคุมจิตของเราด้วย”

“ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ กับชีวิตที่ร่ำรวย มันเป็นคนละเรื่องกัน”

อย่า “อะไรก็ได้” “เรามักเข้าใจผิดว่าการเป็นคน อะไรก็ได้นั้น หมายถึงการเป็นคนง่ายๆ ไม่มีปัญหามาก เป็นคนสมถะ ซึ่งทางศาสนายกย่องนั้น ผิดถนัด! “

สติ ที่พึ่งอันปลอดภัย “เพราะไม่รู้ตัวอยู่เสมอๆ พอความคิดเกิดขึ้น ก็ตั้งตัวไม่ติด พลัดตกลงไปในกระแสแห่งความคิด”

สมาธิ ทางรอดของชีวิต “สมาธิทำให้เกิดความสุขในการปฏิบัติ”

ปัญญา ศาสนาวุธ “ใช้ชีวิตอยู่ในโลก แต่อย่าให้ฝุ่นของโลกเกาะติดได้”

โกอาน ปริศนาธรรม “ปริศนาธรรมของเซนนั้น ว่ากันว่าหากขบแตกแล้วก็จะตรัสรู้หรือบรรลุธรรมได้ในที่สุด”

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วัฒนธรรมการดื่มกาแฟ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การจิบกาแฟ

เรื่องเล่าของร้านกาแฟ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การจิบกาแฟเท่านั้น

การดื่มกาแฟ คือพฤติกรรมทางสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต การแสดงอัตลักษณ์ วิธีคิด ทัศนคติ รสนิยม และกิจกรรมที่ทำบนโต๊ะกาแฟ ทั้งหมดนี้รวมๆ เรียกว่าวัฒนธรรมของการดื่มกาแฟ ก่อนอื่นเรามารู้จักกับคำว่า”กาแฟ” กันก่อน

รสขมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นปราการธรรมชาติที่ต้นกาแฟสร้างขึ้นเพื่อปกป้องไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นมากินผลกาแฟ (เช่นเดียวกับสารนิโคตินในใบยาสูบ) แต่เมื่อมนุษย์รู้จักวิธีการนำมันมาผ่านกระบวนการต่างๆ รสชาติและน้ำมันหอมระเหยในเมล็ดกาแฟก็กลับกลายเป็นเสน่ห์และคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ “กาแฟ” กลายเป็นเครื่องดื่มขวัญใจมหาชนไปทั่วโลก

ขั้นตอนในการจัดการกับเมล็ดกาแฟ จะเริ่มจากการเก็บผลกาแฟสด (กาแฟมี 2 สายพันธุ์ที่สำคัญในโลกนี้คือ Coffee Canephora หรือ Robusta และ Coffee Arabica) มาตากให้แห้ง หรือบางแห่งจะใช้วิธีแยกเนื้อออกจากเมล็ดก่อน แล้วนำไปหมัก จากนั้นจึงนำมาล้างเอาเมือกที่ยังติดอยู่กับเมล็ดออกให้หมด จนได้เป็นเมล็ดกาแฟดิบ (green beans หรือสารกาแฟ) ที่จะถูกนำไปคั่วเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีในเมล็ดกาแฟ จนเกิดเป็นคุณสมบัติและกลิ่นรสที่แตกต่างกันของกาแฟแต่ละชนิด ความร้อนจะทำให้แป้งในเมล็ดกาแฟเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาล และเกิดกระบวนการ caramelization ที่ทำให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณน้ำตาลที่ค่อยๆ หมดไป ในขณะเดียวกันคาแฟอีน น้ำมันหอมระเหย และกรดต่างๆ ก็จะลดปริมาณและความเข้มข้นลงตามเวลาที่มากขึ้นในการคั่วด้วย (แปลว่ายิ่งคั่วเข้ม คาเฟอีนจะยิ่งน้อยลง และมีรสชาตินุ่มนวลขึ้น) จากนั้นจึงนำกาแฟคั่วมาบดในความละเอียดที่แตกต่างกันไปตามวิธีการชงที่แต่ละคนชื่นชอบ แน่นอนว่าถิ่นที่ปลูกกาแฟ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งความสูงจากระดับน้ำทะเล ลักษณะของดิน สภาพอากาศ วิธีการปลูกและเก็บเกี่ยว ล้วนแล้วแต่มีผลต่อรสชาติของกาแฟในแต่ละสถานที่ แต่ละร้าน และแต่ละถ้วยทั้งสิ้น

ชนิดของกาแฟแต่ละประเภท หรือส่วนผสมที่ทำให้ได้รสชาติกาแฟในแต่ละชนิด มีดังนี้

Café’ Americano คือการใส่เอสเปรสโซ่ หนึ่งหรือสองช็อตลงในน้ำร้อน (ใส่กาแฟทีหลังเพื่อไม่ให้ทำลาย crema ในกาแฟ ) ปกติมักจะไม่เติมน้ำตาล เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่แท้ดั้งเดิม

Long Black ชื่อเรียกคาเฟ่อเมริกาโน่ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

Short Black เหมือนกับ Long Black แต่ใสเอสเปรสโซ่เพียงแค่ช็อตเดียว

Latte กาแฟใส่นมธรรมดาๆ นี่แหละ แต่ละที่เรียกต่างกันดังนี้ (Café au Lait ฝรั่งเศส, Caffe Latte อิตาเลียน , Caf’e con Leche สเปน , Caf’e com leite โปรตุเกส , Milchkaffee เยอรมัน)

Caffe corretto กาแฟใส่เหล้ากรัปป้าหรือบรั่นดี นิยมดื่มหลังอาหาร

Caf’e Mocha กาแฟเอสเปรสโซ่หนึ่งส่วน นมสองส่วน และช็อกโกแลตละลาย ปิดหน้าด้วยวิปปิ้งครีม โรยด้วยผงอบเชยและมาร์ชเมลโลว์

White Caf’e Mocha กาแฟเอสเปรสโซ่หนึ่งส่วน นมสองส่วน และช็อกโกแลตขาวละลาย

Cappuccino กาแฟเอสเปรสโซ่ นมร้อน และฟองนม (น้อยกว่าลาเต้) ฟองนมบนคาปูชิโน่ จะช่วยรักษาอุณหภูมิของกาแฟและนมให้ร้อนนานขึ้น

Cortado มาจากภาษาสเปนและโปรตุเกส กาแฟเอสเปรสโซ่ที่ใส่นมร้อนลงไปเพียงเล็กน้อยเพื่อตัดความเข้มข้น

Greek Frappe’ กาแฟเย็นที่มีฟองนมปิดหน้า เป็นที่นิยมมากในประเทศกรีซช่วงหน้าร้อน

Irish Coffee กาแฟร้อนผสมไอริชวิสกี้ และน้ำตาลคนให้เข้ากัน ปิดหน้าด้วยครีมก่อนดื่ม

Caffe Macchiato กาแฟเอสเปรสโซ่กับนมร้อนและฟองนมเล็กน้อยบน crema

Latte Macchiato นมร้อนใส่เอสเปรสโซ่ กาแฟและ crema ในกาแฟจะทิ้งรอยไว้บนนมเป็นจุดสีน้ำตาล

Flat White กาแฟเอสเปรสโซ่หนึ่งส่วน นมร้อน 2 ส่วน เป่าจนเป็นฟองละเอียดและใส่ฟองนมด้านบนแค่บางๆ นิยมมากในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

Caf’e Affogato เครื่องดื่มหรือขนมหวาน เช่น ไอศกรีมวานิลลา ราดด้วยเอสเปรสโซ่

กาแฟไทยโบราณ คำว่า “กาแฟ” เป็นคำสมัยใหม่ แรกเริ่มเดิมทีคนไทยเรียกเจ้าเครื่องดื่มที่มีรสชาติขมนี้ว่า “ข้าวแฝ่” แผลงมาจากคำว่า coffee (ปรากฏในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2416 ว่า “กาแฝ่” คือต้นไม้อย่างหนึ่ง มาแต่เมืองนอก เม็ดมันต้มน้ำร้อนกินคล้ายใบชา )

มีบันทึกว่ากาแฟเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีข้อความปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุของฝรั่งที่เข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่า “พวกแขกมัวร์ชอบดื่มกาแฟมาก แต่คนไทยยังไม่ค่อยนิยมดื่ม เพราะมีรสขมจนคิดว่าเป็นยาไปด้วยซ้ำ เพิ่งจะมาแพร่หลายจริงจัง นิยมปลูก และนิยมดื่มกันก็เมื่อล่วงเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์แล้ว

ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งร้านกาแฟชื่อ”นรสิงห์” ขึ้นบริเวณถนนศรีอยุธยา ริมลานพระบรมรูปทรงม้า และได้รับความนิยมจากข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนทั่วไป ที่ทำให้ต่อมาได้มีการตั้งร้านกาแฟขึ้นอีกหลายร้าน ร้านที่ได้รับความนิยม และมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ได้แก่ ออนล็อกหยุ่น เอี๊ยะแซ ฯลฯ

เดิมที “การดื่มกาแฟเคยเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงมาก่อน แล้วจึงค่อยแพร่มาสู่ชนชั้นกลางและประชาชนทั่วไป ในยุคที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟแพร่หลายมาถึงคนในระดับล่าง มีร้านกาแฟปรากฏขึ้นทั่วไป ในบริเวณที่เป็นชุมชนหรือตลาดที่มีคนมากๆ การมานั่งดื่มกาแฟในตอนเช้า ของกลุ่มคนคุ้นเคยในละแวกบ้านเดียวกัน พร้อมทั้งพูดคุยถกปัญหาประจำวันไปมากๆ ได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมที่เรียกว่า “สภากาแฟ” ที่รู้จักกันโดยทั่วไป สภากาแฟหรือสังคมร้านกาแฟที่จะต้องมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 สิ่งด้วยกันคือ เครื่องดื่ม คนกิน(ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) และพื้นที่หรือร้านกาแฟนั่นเอง

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ รูปแบบของร้านกาแฟได้เปลี่ยนไปและได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดรูปแบบ หรือดีไซน์ให้กับร้านกาแฟ รวมถึงบรรยากาศ ในลักษณะของการสร้างเอกลักษณ์ภายในร้านเพื่อโยงเข้ากับรสนิยมการบริโภค การตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศสบายๆ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย โต๊ะเก้าอี้ โซฟา ที่สามารถนั่งเอกเขนก มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำบรรยากาศให้เหมือนห้องรับแขกภายในบ้าน จึงทำให้ร้านกาแฟในยุคนี้ ถูกเรียกขานว่าเป็นบ้านหลังที่ 3 หรือ third place รองจากบ้าน และที่ทำงาน ตัวอย่างของร้านกาแฟในรุปแบบนี้ ก็เช่น ร้าน Starbucks หรือ au bon pain

จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมการดื่มกาแฟและร้านกาแฟก็คงมาจากฝรั่งเศส และอิตาลี ในฝรั่งเศส มี คาเฟ่อินปารีส ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของกวี นักปรัชญา นักประพันธ์ ทั้งหลายใช้เป็นสถานที่ทำงาน สุมหัว ถกเถียงหรือนัดหารือพบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความคิด ทรรศนะ หรือแลกเปลี่ยนผลงานซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นสังคมร้านกาแฟขึ้น ส่วนอิตาลีเป็นแม่แบบเรื่องการผลิตเครื่องชงกาแฟ และเครื่องดื่มเอสเปรสโซ่ แต่ตลาดกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังคงเป็นประเทศอเมริกา และเป็นที่ถือกำเนิดร้านกาแฟในนาม Starbucks อีกด้วย

ย่านร้านกาแฟในกรุงเทพฯที่สำคัญก็ได้แก่ แถวหลังสวน ทองหล่อ เอกมัย เพลินจิต ชิดลม สีลมและ สาทร อันนี้เป็นส่วนของร้านกาแฟสมัยใหม่ แต่หากเป็นร้านกาแฟโบราณ ต้องเป็นย่านถนนพระอาทิตย์ ถนนหน้าพระลาน และบริเวณโดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์

ย่านร้านกาแฟตามหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ก็จะเป็นบริเวณถนนนิมมานเหมินทร์ทั้งเส้น ,หัวหิน ,ตลาดอัมพวา ,พัทยา ,ป่าตอง ภูเก็ต

และไม่ว่าโลกจะเจริญทันสมัยขึ้นเพียงใด วัฒนธรรมการดื่มกาแฟ สังคมของคนชอบดื่มกาแฟ ไม่เคยเปลี่ยนไป และนับวันจะพัฒนาให้ทันสมัยขึ้นไปตามกาลเวลา ปัจจุบัน มีร้านกาแฟรูปแบบใหม่ๆที่เน้นอุปกรณ์ความสะดวกในการสื่อสารครบครัน ทั้ง 3G Wifi เช่น True Coffee , Mc Café , Starbucks , บ้านไร่กาแฟ, Vavi เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม ก็คือพฤติกรรมของผู้คนที่ชอบมานั่งพูดคุย พบปะสังสรรค์ มาละเลียด ดื่ม ชิม จิบกาแฟ พูดคุยกันอย่างออกรสชาติ ในบรรยากาศชิลล์ๆ ไม่อยากรับรู้ หลีกลี้ความเร่งรีบแข่งขันของผู้คนภายนอกร้าน เพราะนี่คือโลกส่วนตัวหลังที่ 3 ที่คุณจะหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว เป็นการปิดกั้นการรับรู้จากโลกภายนอกชั่วคราว อย่างลงตัวที่สุด

ขอยืมวลีเด็ดจากโกวเล้งในอมตะนิยายจีนกำลังภายในของเขามาใช้ดังนี้

ข้าพเจ้าไม่ได้ชมชอบการดื่มกาแฟ แต่ข้าพเจ้าชมชอบบรรยากาศของร้านค้า ผู้คน และพิธีกรรมในการดื่ม(ด่ำ) กาแฟเป็นที่สุด


วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นักเขียนผู้เป็นแรงบันดาลใจ 3

หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช


เกิดวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2454 ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโอรสคนสุดท้อง ในบรรดาโอรส-ธิดา ทั้ง 6 คน ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นคนที่ 4) โดยชื่อ "คึกฤทธิ์" นั้น มาจากการที่ ชอบร้องไห้เสียงดังในวัยทารก จึงได้รับพระราชทานนามนี้จาก สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ

ชีวิตส่วนตัวสมรสกับ หม่อมราชวงศ์หญิงพักตร์พริ้ง ทองใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2479 มีบุตรธิดา 2 คน คือ หม่อมหลวงรองฤทธิ์ ปราโมช และ หม่อมหลวงหญิง วิสุมิตรา ปราโมช ต่อมาได้แยกกันอยู่กับหม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้ง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พักอยู่ที่บ้านในซอยพระพินิจ ซึ่งเป็นซอยย่อยอยู่ในซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร บ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "บ้านซอยสวนพลู"

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นับเป็นบุคคลที่มีบุคลิกและบทบาทที่หลากหลาย มีชื่อเสียงในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการประพันธ์ การแสดง และยังเป็นนักการเมือง ท่านเป็นผู้ก่อตั้งพรรคก้าวหน้า เมื่อ พ.ศ. 2488 ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในปีถัดมา ต่อมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2493 และก่อตั้งพรรคกิจสังคม เมื่อ พ.ศ. 2517 และได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 โดยสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลทั้งที่มีจำนวน ส.ส.ในมือเพียง 18 คน รัฐบาลคึกฤทธิ์ในครั้งนั้นมี นายบุญชู โรจนเสถียร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกิจสังคม เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบาย "เงินผัน" เป็นที่รู้จักเลื่องลือทั่วไปในสมัยนั้น

ก่อนดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยรับบทเป็น นายกรัฐมนตรี ของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ชื่อว่าประเทศ สารขัณฑ์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Ugly American (1963) คู่กับมาร์ลอน แบรนโด เมื่อ ปี พ.ศ. 2506 และหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยรับบทเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ ผู้แทนนอกสภา กำกับโดย สุรสีห์ ผาธรรม นำแสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี เมื่อปี พ.ศ. 2526

ระหว่างการเล่นการเมือง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเองที่ทุกคนรู้จักดี คือ วาทะศิลป์ และบทบาทเป็นที่ชวนให้จดจำ เช่น การผวนพูดเล่นชื่อของตัวเองเมื่อมีผู้ถามว่า หมายถึงอะไร โดยตอบว่า "คึกฤทธิ์ ก็คือ คิดลึก" เป็นต้น

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้รับฉายาจากนักการเมือง และสื่อมวลชนมากมาย เช่น "เฒ่าสารพัดพิษ" "ซือแป๋ซอยสวนพลู" ภายหลังเมื่อมีอาวุโสสูงวัย จนสามารถแสดงความเห็นทางการเมือง ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ จึงได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย" นอกจากนี้อีกฉายาหนึ่งที่ใช้เรียก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ในบางแห่งคือ "หม่อมป้า"

ในด้านวรรณศิลป์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีผลงานหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับประเทศมากมาย ที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น สี่แผ่นดิน, ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, หลายชีวิต, ซูสีไทเฮา, สามก๊กฉบับนายทุน และเรื่องสั้น "มอม" ซึ่งได้ใช้เป็นบทความประกอบแบบเรียนภาษาไทยในปัจจุบัน บางชิ้นมีผู้นำไปทำเป็นละครโทรทัศน์ เช่น สี่แผ่นดิน, หลายชีวิต และทำเป็นภาพยนตร์ เช่น กาเหว่าที่บางเพลง


การศึกษา

ในเบื้องต้น ท่านได้เข้าศึกษาในโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (วังหลัง) จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียน Trent College จากนั้น ได้สอบเข้า 'วิทยาลัยควีนส์' (The Queen's College) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา,เศรษฐศาสตร์ และการเมือง (Philosophy, Politics and Economics - PPE) โดยสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม (และ 3 ปีต่อมา ก็ได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยดังกล่าว ตามธรรมเนียมสำหรับผู้สำเร็จปริญญาเกียรตินิยม และได้ผ่านการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาที่ร่ำเรียนมาจนมีประสบการณ์ช่ำชองมาระยะหนึ่ง)

เมื่อกลับมาเมืองไทยได้ทำงานที่กรมสรรพากร แล้วลาออกไปทำที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จนเป็นผู้จัดการสาขาในจังหวัดลำปาง พอดีเกิดสงครามจึงถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร เมื่อรัฐบาลจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้น ม.ร.ว..คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับเชิญมารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายในสำนักผู้ว่าการ ระหว่างนี้ได้ไปเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์และการธนาคารที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติดต่อกันหลายปี ภายหลังสงครามได้ลาออกจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ รัฐมนตรีว่าการ ประธานสภานิติบัญยัติแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีในท้ายสุด

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ก่อตั้ง นสพ.สยามรัฐและหนังสือในเครือ และเขียนเรื่องลงหนังสือดังกล่าวเป็นประจำ ทั้งบทนำ คอลัมน์ นิยาย และเรื่องสั้น อาทิ สี่แผ่นดิน ,หลายชีวิต ,ไผ่แดง ,ฮวนนั้ง, ซูสีไทเฮา ,ห้วงมหรรณพ ,พม่าเสียเมือง ฯลฯ และได้รับประกาศเกียรติคุณเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เป็นคนแรกเมื่อ พ.ส. /2528

พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ส. 2538 เมื่ออายุได้ 84 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอชื่อให้ท่านเป็น บุคคลสำคัญของโลก กับทาง ยูเนสโก พร้อมกับครูเอื้อ สุนทรสนาน ซึ่งได้รับในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลพ.ศ. 2553


ผลงานเขียน

นวนิยาย

• สี่แผ่นดิน

• ไผ่แดง

• กาเหว่าที่บางเพลง

• ซูสีไทเฮา

• สามก๊กฉบับนายทุน

• ราโชมอน

• ฮวนนั้ง

• โจโฉ นายกตลอดกาล

รวมเรื่องสั้น

• มอม

• เพื่อนนอน

• หลายชีวิต

นวนิยาย

• สี่แผ่นดิน

• ไผ่แดง

• กาเหว่าที่บางเพลง

• ซูสีไทเฮา

• สามก๊กฉบับนายทุน

• ราโชมอน

• ฮวนนั้ง

• โจโฉ นายกตลอดกาล

รวมเรื่องสั้น

• มอม

• เพื่อนนอน

• หลายชีวิต

บทละครเวที ลูกคุณหลวง

รงค์ วงษ์สวรรค์

’รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2538 เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 ที่จังหวัดชัยนาท เป็น นักเขียนที่มีผลงานหลายอย่าง เช่น คอลัมน์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี บทภาพยนตร์ เอกลักษณ์ของงานเขียนคือการใช้ภาษา ซึ่งใช้คำยุคเก่า แต่สื่อถึงเรื่องราวที่ทันสมัย นามปากกา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ย่อมาจากชื่อจริง คือ ณรงค์ วงษ์สวรรค์

’รงค์ วงษ์สวรรค์ เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เมื่อเวลาประมาณ 18.05 น. ของวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552 ณ โรงพยาบาลเทพปัญญา จังหวัดเชียงใหม่

ผลงานหนังสือแยกตามปี

• 2503 - หนาวผู้หญิง, เถ้าอารมณ์ , ไฟอาย

• 2504 - สนิมสร้อย,บนถนนของความเป็นหนุ่ม, สนิมกรุงเทพฯ

• 2505 - ปักเป้ากับจุฬา, บางลำพูสแควร์, คืนรัก

• 2506 - เสเพลบอยบันทึก,พ่อบ้านหนีเที่ยว

• 2511 - ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนหนึ่ง, หอมดอกประดวน,นิราศดิบ

• 2512 - เสเพลบอยชาวไร่, ผู้มียี่เกในหัวใจ, หัวใจที่มีตีน, ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนสอง,หลงกลิ่นกัญชา

• 2513 - ฝนซาฟ้าหม่น

• 2514 - น้ำค้างเปื้อนแดด, ไอ้แมลงวันที่รัก,แดง รวี,หนามดอกไม้, ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนสาม

• 2515 - 00.00 น., ปีนตลิ่ง, ดลใจภุมริน,บ้านนี้มีห้องแบ่งให้เช่า

• 2516 - นักเลง โกเมน,กรุงเทพฯ รจนา, สัตหีบ : ยังไม่มีลาก่อน, ตาคลี : น้ำตาไม่มีเสียงร้องไห้,ชุมทางพลอยแดง (สารคดี),นาฑีสุดท้ายทับทิมดง

• 2517 - อเมริกันตาย, แม่ม่ายบุษบง

• 2518 - คึกฤทธิ์แสบสันต์, 23 เรื่องสั้น,ไม่นานเกินรอ,น้ำตาสองเม็ด,ความหิวที่รัก,มาเฟียก้นซอย,๒๘ ดีกรีเที่ยงวัน บรั่นดีเที่ยงคืน (’รงค์ วงษ์สวรรค์ และ "หำน้อย"), ดอกไม้ในถังขยะ

• 2519 - จากแชมเพญถึงกัญชา, ขี่ม้าชมดอกไม้, จากโคนต้นไม้ริมคลอง, ถึงป่าคอนกรีต, 2 นาฑีใต้แสงดาวแดง, ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ, ซูสีไทเฮา, กัญชาธิปไตย

• 2520 - ดอกไม้และงูพิษ, ยินโทนิค 28 ดีกรี

• 2521 - แอลกอฮอลิเดย์, เบื้องข้างพันเอกณรงค์ กิตติขจร, บนหลังหมาแดดสีทอง, ผู้ดีน้ำครำ 1, ’รงค์ วงษ์สวรรค์ แสบสันต์, แกงส้มผักบุ้ง 22.00น.

• 2522 - ผู้ดีน้ำครำ 2

• 2525 - บักหำน้อย ซ้ายปลาร้าขวาเนย, สาหร่ายปลายตะเกียบ

• 2527 - นินทากรุงเทพฯ บุหลันลบแสงสุรยา-บรูไน, ระบำค้อนเคียว, ลมหายใจสงคราม

• 2528 - ไสบาบานักบุญในนรก

• 2529 - สามเหลี่ยมในวงกลม

• 2531 - สารคดีไฉไลคลาสสิค , ครูสีดา

• 2535 - ผกานุช บุรีรำ

• 2536 - ดอกไม้ดอลล่าร์, ระบำนกป่า,พูดกับบ้าน, ขุนนางป่า

• 2537 - แมงบาร์

• 2538 - 2 นาฑีบางลำพู,บูชาครูนักเลง,บาลีนีส์ทัดดอกลั่นทม,ดอกไม้ในถังขยะ, พรานล่าอารมณ์ขัน

• 2539 - คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์, บนถนนอากาศ

• 2540 - กินหอมตอมม่วน

• 2542 - เมนูบ้านท้ายวัง, เงาของเวลา, นอนบ้านคืนนี้, ลมบาดหิน

• 2544 - นินทา ฯพณฯ สากกะเบือ, นินทานายกรัฐมนตรี, โคบาลนักเลงปืน, หงา คาราวาน เงา-สีสันของแดด, อเมริกา -อเมริกู

• 2545 - มาดเกี้ยว

• 2546 - ฝนเหล็ก -- ไฟปืน '๓๕, นาฑีสุดท้ายทับทิมดง (รวมเล่มครั้งแรก)

• 2547 - บักสี อีจำปา

บัณฑิต อึ้งรังษี

บัณฑิต อึ้งรังษี (เกิด 7 ธันวาคม พ.ศ. 2513 ที่หาดใหญ่ สงขลา) วาทยกรชาวไทยที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติและเป็นที่ยอมรับในหมู่นักดนตรีในเมืองไทย บัณฑิตเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันมาร์เซล วิล่า (Maazel-Vilar International Conducting Competition) [1] ซึ่งเป็นการแข่งขันอำนวยเพลงรายการใหญ่และมีเกียรติสูงสุด ที่ คาร์เนกีฮอลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2545

ชีวิตงานดนตรี

การที่เขาได้รับรางวัลการแข่งขันวาทยกรระดับนานาชาติหลายครั้ง เช่น ที่ประเทศฝรั่งเศส ( Besancon Competition ) ในปี พ.ศ. 2540, ที่ประเทศโปรตุเกส (รางวัลชนะเลิศ) ในปีพ.ศ. 2542 ที่ประเทศฮังการี ในปีพ.ศ. 2545 และล่าสุดที่ Carnegie Hall มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2545 ในการแข่งขัน Maazel-Vilar International Conducting Competition[2] ซึ่งเป็นการแข่งขันวาทยกรที่สำคัญที่สุดในโลก [ต้องการอ้างอิง] โดยเป็นผู้ชนะเลิศจากผู้แข่งขัน 362 คนทั่วโลก จากการตัดสินของคณะกรรมการที่มีชื่อเสียงของโลกเช่น Lorin Maazel, Kyung-Wha Chung, Glenn Dicterow, Krzysztof Penderecki ฯลฯ ทำให้ตัวเขาเอง ผู้ที่ชื่นชอบเขา และฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเขามักกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเขาเป็น "วาทยกรไทยระดับโลก"

บัณฑิตได้รับเชิญไปอำนวยเพลงให้กับวงออร์เคสตร้าและโรงอุปรากร (Opera House) ที่สำคัญต่างๆทั่วโลก รวมกันแล้วมากกว่า 400 คอนเสิร์ต วงต่าง ๆที่เขาได้กำกับมาแล้วก็มีวง New York Philharmonic Orchestra, Los Angeles Philharmonic Orchestra, Orchestra Filarmonica di Arturo Toscanini, La Fenice ในเมืองเวนิส, Orchestra of Rome and Lazio และวงในประเทศต่าง ๆ เช่น สเปน ตุรกี เกาหลี ออสเตรีย ญี่ปุ่น รัสเซีย อิตาลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมนี เชคโกสโลวาเกีย มาเลเซีย ไทย โปรตุเกส และทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งคณะนักร้องประสานเสียงชื่อดังของโลก Mormon Tabernacle Choir ซึ่งถ่ายทอดสดออกอากาศทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับการเชิญหลายครั้งจาก Orchestra Internazionale d’Italia ในการตระเวณเปิดการแสดงทั่วเอเชีย

บัณฑิตได้เคยทำงานร่วมกับศิลปินชั้นนำของโลก เช่น Maxim Vengerov, Julia Migenes, the LaBeque Sisters, Paula Robison, Christopher Parkening, Christine Brewer และ Elmer Bernstein และเขายังได้รับการกล่าวขวัญถึงจากหนังสือพิมพ์และสื่อสำคัญต่าง ๆ ของโลก ได้แก่ Los Angeles Times, New York Times, American Record Guide, Charleston Post and Courier, Deseret News, Salt Lake Tribune, Gramophone magazine, New York Magazine, L’Unione Sarda (อิตาลี), El Correo Gallego (สเปน) ฯลฯ

นอกเหนือจากการเดินทางไปกำกับวงต่าง ๆ รอบโลกแล้ว บัณฑิตยังเคยดำรงตำแหน่งให้กับวง New York Philharmonic และวง Charleston Symphony Orchestras รวมทั้งเป็น Principal Guest Conductor ของ Seoul Philharmonic Orchestra ในประเทศเกาหลีใต้, Associate Conductor ของวง Utah Symphony, Music Director ของวง Debut Orchestra (Los Angeles), Apprentice Conductor ของวง Oregon Symphony Orchestra และ Assistant Conductor ของวง Santa Rosa Symphony ทั้งยังได้รับความไว้เนื่อเชื่อใจจากรัฐบาลเกาหลีใต้ เมื่อได้มีการปรับปรุงวงการดนตรีคลาสสิคครั้งใหญ่ของเกาหลีในปี พ.ศ. 2548 ให้ไปพัฒนาวงออร์เคสตร้าที่ดีที่สุดของประเทศนั้นให้พัฒนาถึงระดับโลกได้

บัณฑิตได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญ อัสสัมชัญพาณิชย์ และ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) และได้รับปริญญาตรีสองสาขา ทั้งทางด้านดนตรี และบริหารธุรกิจ ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้รับปริญญาโทเอกการอำนวยเพลงที่ University of Michigan ในสหรัฐอเมริกา และศึกษาเพิ่มเติมในประเทศอิตาลี ออสเตรีย รัสเซีย เยอรมนี และ ฟินแลนด์ ในปีพ.ศ. 2541 เขาเป็นหนึ่งในวาทยกรรุ่นใหม่ 9 คนจากทั่วโลกที่ได้รับเชิญไปศึกษาที่ Carnegie Hall ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเหตุให้เขาได้รับทุน Leonard Bernstein Fellowship ไปศึกษาต่อกับ Seiji Ozawa ที่ Tanglewood Music Center ระหว่างเรียนได้ทำงานดนตรี ในฐานะวาทยกรสมัครเล่นมาโดยตลอด

ในประเทศบ้านเกิดของตนเอง คุณบัณฑิตได้รับความสนใจจากสื่อ ได้รับเชิญไปออกรายการทีวีและวิทยุ ที่สำคัญ ๆ คือ รายการเจาะใจ ชีพจรโลก ตาสว่าง กว่าจะเป็นดาว กฤษณะล้วงลูก ฯลฯ

ปัจจุบันนี้คุณบัณฑิตแบ่งเวลาให้กับการเดินทางไปกำกับวงออร์เคสตร้า การเขียนหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษ และการเป็นวิทยากรพิเศษให้ความรู้กับนักธุรกิจ นักศึกษาและองค์กรต่าง ๆ มากมาย หนังสือทั้งสองเล่มของเขา ชื่อ "ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้" และ"30 วิธีเอาชนะโชคชะตา" ได้ติดอันดับหนังสือขายดี และตอนนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วภายใต้ชื่อว่า "Conduct Your Dreams" และ "The Luckiest Man in the World" ตามลำดับ

ผลงาน "การอัดเสียง" มีสองอัลบั้ม คือ Mozart in Love ทีอัดกับวง Charleston Symphony Orchestra ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ Elgar Violin Concerto ที่อัดให้กับ Naxos และ DVD 2 อัลบั้ม คือ Beethoven Symphony No. 5 กับวง Orchestra Internazionale d’Italia และ Classics Meet Jazz กับวง Seoul Philharmonic Orchestra

คุณบัณฑิตได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงวัฒนธรรมให้เป็น "ทูตวัฒนธรรม" ในปี พ.ศ. 2549 และทั้งได้รับรางวัล "ศิลปาธร" ในปี 2548

คุณบัณฑิตมีภรรยาเป็นนักร้องเพลงแจ๊สมืออาชีพชาวอเมริกันชี่อ แมรี่ อึ้งรังษี มีบุตรสาวด้วยกันสามคน

ผลงานเขียน

ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้

30 วิธีเอาชนะโชคชะตา

39 ข้อคิดจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ
 
ทำสิ่งที่รัก...ยังไงก็รุ่ง
 
กฏแห่งความโชคดี
 
สำเร็จก่อนใคร
 
ดนตรีดีๆ ไม่มีกระได
 
ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดตัวห้างไฮเอ็นด์แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ กับ Central Embassy

โครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ที่สี่แยกเพลินจิต ติดกับเซ็นทรัลชิดลม

วิสัยทัศน์


นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2470 เซ็นทรัลกรุ๊ปได้เป็นผู้บุกเบิกและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกของไทยเรื่อยมา ด้วยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะสืบทอดเจตนารมณ์นี้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยทัศนคติอันเป็นสากลและทันสมัย
เปี่ยมล้นไปด้วยแรงดลใจ อีกทั้งตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี จะนำพาให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้นำเทรนด์และผู้นำความคิดทั่วโลก   ทัศนียภาพของกรุงเทพฯ จะได้รับการเปลี่ยนโฉมด้วยงานสถาปัตยกรรมอันตระการตา ด้วยการเลือกที่จะผสานเอาศิลปะและวัฒนธรรมเมืองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัว โครงการ เซ็นทรัล เอ็มบาสซีจะทำหน้าที่เป็นโฉมหน้าแห่งสไตล์และศูนย์การค้ารูปแบบใหม่ประจำ ประเทศไทย โดยยึดมั่นในแนวความคิดล้ำสมัยที่พร้อมจะเป็นทั้งแบบอย่าง, แรงบันดาลใจตลอดจนมอบความสุขให้แก่คนทุกคน

ที่ตั้ง

ด้วยตั้งอยู่ ณ แยกใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครและตั้งชื่อตามสถานทูตอังกฤษซึ่งเคยตั้งอยู่ในอดีต เซ็นทรัล เอ็มบาสซีได้ครอบครองอาณาบริเวณเป็นศูนย์การค้าเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางจุดตัดระหว่างถนนสายหลักอย่างวิทยุและเพลินจิต ที่ตั้งผืนงามแห่งนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องรับประกันการสัญจรอันพลุกพล่านจากย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท, สาทร, สีลม ฯลฯ กอปรกับการที่รายล้อมไปด้วยอาคารใกล้เคียงระดับหรูซึ่งรวมถึงที่อยู่อาศัย, อพาร์ตเมนท์, โรงแรม, อาคารสำนักงานและสถานที่สำคัญต่างๆ ความหลากหลายที่เกิดขึ้นจึงเอื้อต่อการเยี่ยมชมอย่างล้นหลามไม่ว่าจะเป็นจากชาวไทยหรือชาวต่างชาติ   เซ็นทรัล เอ็มบาสซีจะกลายเป็นศูนย์การค้าและศูนย์รวมทางวัฒนธรรมประจำเมืองกรุงเทพฯ ที่บรรดาผู้บริโภคระดับหรูไม่อาจพลาดที่จะเยี่ยมชม

รถไฟฟ้า

เซ็นทรัล เอ็มบาสซีอำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางสูงสุด เนื่องด้วยถือเป็นศูนย์การค้าเพียงแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี – สถานีชิดลมและสถานีเพลินจิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถสัมผัสประสบการณ์ความประทับใจของศูนย์การค้าและโรงแรมได้อย่างสะดวก ไร้ความยุ่งยาก

การเติบโตและความมั่งคั่ง

ณ แยกวิทยุ-เพลินจิต และบริเวณโดยรอบมีมูลค่าการเติบโตในปัจจุบันสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเชื่อว่าจะเป็นแยกธุรกิจการค้าที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ

ประมาณการณ์การเติบโตในพื้นที่:

• พื้นที่อาคารสำนักงานระดับหรู มีอัตราการเติบโต 15% หรือคิดเป็น 725,000 ตร.ม.

• จำนวนห้องพักโรงแรมระดับ 5 ดาว มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 5,000 ห้อง

• เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ระดับหรู มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 3,000 ยูนิต

• คอนโดมิเนียมระดับหรู มีอัตราการเติบโต 50% หรือ 3,000 ยูนิต

กลุ่มของประชากรที่มีฐานะดีซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 80,000 คนซึ่งพักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นมากกว่า 100,000 คน ณ วันที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2556

คอนเซ็ปและการออกแบบ

เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปรียบประดุจงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอก ด้วยรับเอาแรงบันดาลใจจากวัดวาอารามไทยแบบดั้งเดิม ด้านหน้าของตัวอาคารซึ่งมีความยาวถึง 200 เมตรได้รับการประกอบขึ้นผ่านการเรียงซ้อนของแผ่นวัสดุที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง รังสรรค์ให้เกิดพื้นผิวด้านหน้าที่ยาวต่อเนื่อง ดุจพลิ้วไหว ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าของถนนเพลินจิตให้ก้าวสู่ระดับสากล การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีการออกแบบล้ำสมัยกับรูปทรงอาคารในสไลล์ต่อเนื่องเป็นที่มาของอาคารสูง 37 ชั้น ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนของศูนย์การค้าสูง 8 ชั้น, ระเบียงลอยฟ้าอันเขียวชอุ่มและโรงแรมระดับ world class ซึ่งได้รับการหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมีเอกลักษณ์ สัมผัสรายละเอียดการตกแต่งภายในที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านการเล่นลวดลาย เส้นสาย โค้งเว้า มุม และพื้นผิว ที่ไม่รู้จบ

แลนด์มาร์คใหม่แห่งโลกธุรกิจค้าปลีก

ร่วมสัมผัสจุดนัดพบทางวัฒนธรรมและค้นพบที่สุดแห่งแฟชั่น, ไลฟสไตล์, ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ความบันเทิง และการบริการ ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เลือก สรรมาเพื่อแนวคิดสมัยใหม่และการแสวงหาความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสานรวมเรื่องของคอนเซ็ปต์แปลกใหม่แหวกแนว เปิดโลกทัศน์สู่โปรแกรมอันนำสมัย ที่ผ่านการคิดค้นด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด

พาร์ค ไฮแอทต์

โรงแรมระดับโลกอันโดดเด่นด้วย Sky Bar พร้อมกับทัศนียภาพ ที่สวยงามของท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครและอาหารเลิศรส ที่ซึ่งลูกค้าจะได้พบกับการบริการอย่างเอาใจใส่และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งยังมีห้องพักที่กว้างขวางที่สุดในกรุงเทพและการบริการที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผู้ให้บริการด้านการต้อนรับที่หรูหรา เป็นที่ยอมรับ

ลูกค้าแถวหน้าระดับประเทศ

ในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศมีความรอบรู้และความต้องการสูงขึ้นซึ่งเป็นผลพวงจากการเติบโตของกรุงเทพมหานครสู่ฐานะของผู้นำภูมิภาค ทั้งด้านการค้าปลีก ธุรกิจ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ศูนย์การค้าใหม่ที่ครบครันและสอดคล้องกับวัฒนธรรมเมืองสมัยใหม่ได้ถือกำเกิดขึ้น ณ ปี พ.ศ. 2556 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จะต้อนรับศักราชใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมเมืองกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนนอกผู้มีมุมมองก้าวทันโลก ผู้บริหารต่างชาติพร้อมคู่ครองมีสไตล์ไปจนถึงลูกค้าหัวสร้างสรรค์และแฟชั่นนิสต้าผู้นำกระแส ต่างค้นพบสิ่งที่ตามหาได้ที่นี่ที่เดียว   เหล่านักช้อปตัวจริงผู้หลงใหลในเรื่องดีไซน์และเทคโนโลยีทันสมัยจะนำเอาประสบการณ์ชีวิตหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกและขับเคลื่อนให้กรุงเทพฯเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในเรื่องของวัฒนธรรมและการค้า

ลูกค้าแถวหน้าระดับภูมิภาคและทั่วโลก

ภายในระยะเวลาไม่นาน กรุงเทพฯได้ก่อร่างสร้างตัวสู่ฐานะผู้นำทางพาณิชย์ วัฒนธรรมและการค้าปลีกในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรดาผู้นำเทรนด์และความคิดระดับภูมิภาคและระดับโลกจึงถูกดึงดูดเข้าสู่ที่แห่งนี้อย่างน่าอัศจรรย์ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มุ่งมั่นที่จะขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับการตามหาสูงสุดในหมู่ผู้นำแฟชั่น ผู้นำเทรนด์ คนทำงานรุ่นใหม่ไฟแรง วัยรุ่น นักโฆษณา รวมไปถึงคนดังของสังคมและผู้บริหารระดับสูง การรวมตัวกันของเหล่านักช้อปตัวจริงซึ่งมีทั้งกำลังซื้อและอิทธิพลในสังคมสะท้อนให้เห็นถึงการบรรจบเรื่องของเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียงและเสน่ห์เย้ายวนใจ

ตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง – จีนแผ่นดินใหญ่

คนจีนรุ่นใหม่ถือเป็นผู้ชี้นำทิศทางที่มีอิทธิพลสูงสุดของสังคมเอเชียด้วยล้วนเป็นผู้มีฐานะดีมากหน้าหลายตาซึ่งกำลังมองหาโอกาสและสถานที่ใหม่ให้พวกเขาได้จับจ่ายใช้สอย ตั้งแต่เศรษฐีระดับท้องถิ่น แวดวงผู้บริหาร เรื่อยไปจนถึงผู้ทรงอิทธิพลในโลกสื่อและผู้นำเทรนด์ยุคใหม่ ประเทศจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของการหลอมรวมผู้บริโภคหลากหลายสายงานเข้าไว้ในที่แห่งเดียว การคลั่งไคล้ในเรื่องของความหรูหราและสไตล์อันมีระดับนับเป็นใบเบิกทางที่น่าดึงดูดใจ เมื่อรวมความปรารถนาที่จะใช้จ่ายและความหลงรักในเรื่องของไลฟสไตล์ การช้อปปิ้งและการกินดื่มเข้ากับ คุณค่าและเกียรติประวัติที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่อาจพลาดได้

ข้อมูลจาก www.centralembassy.com

แถลงข่าว กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--เซ็นทรัลรีเทล


เซ็นทรัลรีเทล มั่นใจทิศทางเศรษฐกิจไทยปีกระต่ายรุ่งหลังเปิดตัวอภิมหาโปรเจคยักษ์ใหญ่แห่งปี Central Embassy
เผยทุ่มงบลงทุนปี 54 กว่า 13,300 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มในจีน พร้อมวางยุทธศาสตร์ทางการค้าแนวใหม่ รุกขยายสาขาแถบแนวชายแดน ช่วยดึงรายได้เข้าประเทศ รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งเป้าสิ้นปียอดขายทะลุกว่า 100,000 ล้านบาท   แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 เซ็นทรัลรีเทลยังคงปักหลักเดินหน้าไม่หยุด ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2554 เผยแผนการลงทุนอัดงบเพิ่มอีก 13,300 ล้านบาท ผุดสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ประเดิมเปิดตัวโครงการใหญ่ Central Embassy โปรเจคแรกแห่งปี ที่จะพลิกโฉมวงการค้าปลีกของกรุงเทพฯ เตรียมอวดโฉมห้างเซนรูปแบบใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม พร้อมเปิดตัวโครงการห้างสรรพสินค้าสาขาที่ 4 ในประเทศจีน คาดสิ้นปีเป้าโต 10.1%


นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2553 ว่า “เซ็นทรัลรีเทล มีรายได้รวมทั้งสิ้น 97,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 จากปีก่อน แม้ว่าบริษัทฯ จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ยังมีปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น นั่นคือการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งได้แก่ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จังหวัดตรัง ร้านเพาเวอร์บาย อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง รวมถึงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่เมืองหังโจว ประเทศจีน”  

ผลงานความสำเร็จที่ชัดเจนของเซ็นทรัลรีเทลในการบริหารจัดการในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้จาก
? การปรับปรุงสาขาหลักให้สวยงามและทันสมัย สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้างเซ็นทรัลสรรพสินค้าสาขาชิดลม ปรับเพิ่มโซนใหม่ “ลักซ์โซน” (Luxe Zone) อีกทั้งสาขาปิ่นเกล้าและบางนา ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาราชบุรีและหาดใหญ่ รวมถึงเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ปรับโฉมให้สวยงาม หาสินค้าได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า
? การขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ตรัง ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ร้านไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง (เดือนมกราคม 2553) ร้านเพาเวอร์บาย สาขาหัวหิน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (เดือนธันวาคม 2553) และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาหังโจว ประเทศจีน ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
? การขยายธุรกิจใหม่ Financial Services เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นธุรกิจขายและให้บริการด้านประกันภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน “Central Smart Insure” ความสุขที่รับประกันได้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี
? การรุกธุรกิจออนไลน์ ซึ่งมาแรงและอยู่ในกระแสของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการท่องไปในโลกไซเบอร์ เราได้เปิดให้บริการช็อปปิ้งออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.central.co.th และ www.tops.co.th เพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าสามารถช็อปปิ้งได้ทุกที่และทุกเวลา หลังจากเปิดให้บริการได้ไม่นาน ลูกค้าต่างให้ความสนใจและมีผลตอบรับที่ดี

“ในสิ้นปี 2553 เซ็นทรัลรีเทลมีจำนวนร้านค้าทั้งสิ้น 441 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่รวม 1.8 ล้านตารางเมตร และคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนสาขาในประเทศได้ถึง 525 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับปี 2554 เราตั้งเป้าหมายว่าจะมียอดขายถึง 108,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 10.1 ส่วนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายสาขาสู่จังหวัดยุทธศาสตร์หลักการค้าตามแนวชายแดนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ และเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) รวมถึงการลงทุนในโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซีเป็นหลัก”

การลงทุนในปี 2554 บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์หลักไว้ 4 แนวทาง คือ

1. การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน

บริษัทฯ มีแผนการลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ การพัฒนาโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี การเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันอีก 3 สาขา ที่จ.เชียงราย จ.พิษณุโลก และพระราม 9 ร้านท็อปส์ เดลี่ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 100 สาขาภายในปีนี้ ร้านเพาเวอร์บาย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดสาขาที่หัวหิน จะให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนร้านไทวัสดุเตรียมเปิดเพิ่มอีก 6 สาขา โดยสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาคือ สาขาร่มเกล้า ส่วนสาขาบางนาจะพร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายนนี้   สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ยังคงเน้นที่ประเทศจีนเป็นหลัก และมีแผนการเปิดที่แน่นอนภายในปีนี้ 2 สาขา คือ ห้างเซ็นทรัล และห้างเซน สาขาเสิ่นหยาง ประมาณไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2554 ตามลำดับ ล่าสุด เซ็นทรัลรีเทลได้เซ็นสัญญากับผู้บริหารโครงการศูนย์การค้ามิกซ์ซี เปิดห้างเซ็นทรัลเพิ่มอีก 1 สาขา ที่เมืองเฉิงตู นับเป็นสาขาที่ 4 ในประเทศจีน และยังมีอีก 2 โครงการ ที่กำลังจะเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน ได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,170 ล้านบาท

2. การปรับปรุงสาขาเดิม

บริษัทฯ ตั้งงบประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นหนักไปที่ห้างเซน ให้กลับมายิ่งใหญ่และสวยงามกว่าเดิม เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค (Landmark) ของสี่แยกราชประสงค์ รวมถึงห้างเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว พร้อมเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2554 นอกจากนี้ยังมีที่สาขาชิดลมและพระราม 2

3. การควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition)

บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา

4. การพัฒนาระบบเทคโนโลยี IT

เพื่อช่วยให้การบริหารงานของบริษัทในเครือเกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น โดยเตรียมงบประมาณไว้ที่ 500 ล้านบาท

อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้เซ็นทรัลรีเทลประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relations Management: CRM) ในปี 2553 บริษัทฯ ได้เปิดตัวบัตรสปอต เดอะวันการ์ด (SPOT The1Card) กลยุทธ์รวม 2 บัตรไว้ในบัตรเดียว เพื่อตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ของนักช็อป อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการพกพาและเหนือระดับสำหรับการ ช็อปปิ้ง ขณะนี้มีฐานสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านคน และสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายรวมเพิ่มขึ้นถึงกว่าร้อยละ 80

ในปีที่ผ่านมา บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงยึดมั่นแนวทางการสนับสนุนสินค้าแบรนด์ไทยเพื่อการส่งออก ด้วยการผนึกกำลังกับกระทรวงพาณิชย์ และบริษัทคู่ค้าในธุรกิจแฟชั่นแบรนด์ไทยที่ทำธุรกิจร่วมกับเซ็นทรัลรีเทลมายาวนานกว่า 60 ปี จัดงาน “Thailand Fashion Expo 2010” เพื่อประกาศความพร้อมและศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ผลักดันกรุงเทพมหานครให้เป็น “ศูนย์กลางแฟชั่นโลกแห่งเอเชีย” โดยบริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะสนับสนุนให้กลุ่มคู่ค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME สินค้าแบรนด์ไทย เติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัทฯ สามารถขยายการผลิตสู่การส่งออกได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องการเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนมีงานทำ อุตสาหกรรมภายในประเทศมีการขยายตัว สินค้าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ และที่สำคัญที่สุด คือ สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อการเปิดเสรีทางการค้ามาถึงในปี พ.ศ.2558

นายทศ จิราธิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) อีกด้วย ซึ่งบริษัทฯ ยึดมั่นพันธกิจที่ว่า “การดำเนินธุรกิจที่ดีจะต้องทำควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม”ล่าสุดบริษัทฯ ได้สนับสนุนโครงการเซ็นทรัลอาสาพัฒนาชุมชน “เซ็นทรัลซำสูงโมเดล” ของชาวบ้าน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น ด้วยการเป็นช่องทางกระจายผลผลิตผักปลอดสารพิษจากชาวบ้าน นำมาจำหน่ายที่ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชุมชนให้ดีขึ้น สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด โดยการส่งเสริมการปลูกผักพื้นบ้านปลอดสารเคมี รวมถึงช่วยชาวบ้านจัดตั้งโรงแพ็คผักตามมาตรฐาน GMP และโรงสีข้าวชุมชน เพื่อช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้ประชาชนในชนบทมั่นคงและมั่งคั่งยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้ ชาวบ้าน อ.ซำสูง สามารถดำเนินการจัดแพ็คบรรจุผักปลอดสารพิษให้ได้คุณภาพมาตรฐานและส่งมาจำหน่ายที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง 7 สาขา ได้ถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจึงเชื่อมั่นว่า หากรายได้ของประชาชนในต่างจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อประชาชนมีรายได้มากขึ้น กำลังซื้อก็สูงขึ้น และแน่นอนว่า จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจค้าปลีกและเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตและก้าวไกลได้ในที่สุด