วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 สุดยอดปรากฏการณ์ทางการตลาดแห่งปี 2018 (อันดับที่ 1)


อันดับ 1  รัฐบาล คสช.หลังพิงฝา เกทับหมดหน้าตัก (เงินงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน) ลดแลกแจกแถม บลัฟแหลกคู่แข่ง (พรรคเพื่อ...แม้ว) ผ่านโครงการ “ประชารัฐ (บัตรสวัสดิการคนจน) ไทยนิยมยั่งยืน” (หนี้สาธารณะเพิ่มอย่างยั่งยืน) หวังซื้อใจคนรากหญ้า กลับมาเป็นรัฐบาลอีกสมัย  (ตอนที่ 1)
โครงการประชารัฐ คืออะไร


เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลเพื่อใช้ให้เป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาตั้งแต่จากระดับท้องถิ่นขึ้นมา โดยมุ่งเน้นให้มีความร่วมมือกันระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ, เอกชน และประชาชน ในแก้ไขปัญหาต่างๆ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต สร้างโอกาส สร้างอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ลดความเลื่อมล้ำทางสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โครงการประชารัฐทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และมีความยั่งยืน ซึ่งจะมีชุมชนเป็นตัวดำเนินการหลักในการขับเคลื่อน เพราะคนในท้องถิ่นเองนั้นย่อมรู้ดีว่าชุมชนของตนเองยังขาดอะไร และต้องการอะไร ทำให้ได้รับประโยชน์ตามความต้องการและทั่วถึง โดยมีรัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องงบประมาณที่มาในรูปของการจัดตั้งกองทุน เช่นกองทุนประชารัฐ หรือกองทุนหมูบ้าน เพื่อจุดประสงค์ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ส่งผ่านหรือแจกจ่ายไปให้ตั้งแต่ระดับตำบล, หมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มักเรียกันง่ายๆ ว่ากองทุนหมู่บ้าน ส่วนขนาดของเม็ดเงินของกองทุนที่จะได้รับในแต่ละครั้ง หรือแต่ละหมู่บ้านนั้นอาจจะไม่เท่ากัน ที่ผ่านมาก็มีได้รับเช่น ไม่เกิน 200,000 บาทในครั้งแรก และครั้งต่อไปอาจจะยอดงบประมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ โครงการประชารัฐ หรือโครงการอื่นๆ ว่าสามารถดำเนินไปได้อยู่ และมีรายได้ หรือไม่สูญเปล่า หรือไม่

คำว่า ประชารัฐมีที่มาที่ไปอย่างไร  มาจากคำในเนื้อหาของเพลงชาติในช่วงท่อนหนึ่ง
เป็นคำตอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  : คำว่า ประชารัฐหรือคำว่า ประชารวมกับคำว่า รัฐนั้น มาจากเนื้อเพลงชาติไทยที่เราขับร้องหรือได้ยินกันทุกวัน ซึ่งมีใจความว่า ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี …” ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้นำมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ประชารัฐเพื่อให้ส่วนราชการต่างๆ ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เกิดความสงบเรียบร้อย เกิดความสามัคคี และสร้างการพัฒนาประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้จริง ตามเนื้อหาสาระของเพลงชาติไทยที่มีมานานแล้ว และนายกรัฐมนตรีได้ขยายความให้ชัดเจนด้วยว่า เป็นการร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ สร้างพลังในการทำความดีให้ประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตนเอง หรือข้าราชการ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคน คำมั่นสัญญานี้ไม่ใช่นโยบายหาเสียง แต่ถือเป็นสัญญาระหว่างรัฐและประชาชน ที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาหรือแก้ไขความผิดพลาดในอดีตทั้งหมดให้ได้ โดยความร่วมมือกัน
มาจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (แผนฯ 8) ซึ่งเนื้อแบบกว้างโดยสรุปดังนี้
ประชาชน ชุมชน และประชาสังคม มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาท้องถิ่น สังคม และประเทศ
การบริหารจัดการและพัฒนาประเทศโดยภาครัฐ ใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง จริงจัง และต่อเนื่อง ในทุกระดับ
การดำเนินงานของภาครัฐ มีความสุจริต โปร่งใส ถูกต้อง มีประสิทธิผล คุณภาพ และประสิทธิภาพ รวมถึงการกระจายอำ นาจสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและเพียงพอ
ทุกส่วนของสังคม ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ร่วมเป็น ภาคีการพัฒนาโดยร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มาจาก ส่วนประสานเครือข่ายประชารัฐสำนักงานคณะกรรมการ
สทบ. ได้กล่าวถึง ประชารัฐว่าเป็นการรวมพลัง 4 ฝ่ายหลักในสังคม ได้แก่
ฝ่ายการเมือง
ฝ่ายหน่วยงานรัฐ (ราชการ)
ฝ่ายชุมชน (ประชาชน)
ฝ่ายประชาสังคม (เอกชน)
โดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์ ประชารัฐไว้คือ
การรวมเอาพลังทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะอยู่ในภาคประชาชน ภาคธุรกิจ หรือภาครัฐ มาใช้ โดยมองบนพื้นฐานว่า คนไทยทุกคน ก็คือ ประชาชนของชาติซึ่งถือเป็นพลังอำนาจที่สำคัญในการแก้ไขปัญหา ในการเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูป และการพัฒนาประเทศในทุกมิติและทุกด้านอย่างยั่งยืน (เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ Ideasmodel.com)

โครงการไทยนิยม ยั่งยืน เน้นการมีส่วนร่วม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มรายได้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
เพื่อมาสู่การจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน และการสร้างความรู้ความเข้าใจตามกรอบหลักการดำเนินการ 10 เรื่องอย่างมีแบบแผน สู่การสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิดโอกาสในการพัฒนาตนเอง  แผนการดำเนินงานโครงการไทยนิยม ยั่งยืน มีแผนการลงพื้นที่จำนวน 4 ครั้ง ในครั้งที่ 3 เป็นเรื่องของการนำปัญหาของแต่ละชุมชนมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ไข จัดทำเป็นแผนงาน/โครงการตามหลักเกณฑ์ที่โครงการกำหนด เน้นหลักการมีส่วนร่วม และตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งก่อให้โครงการที่เกิดผลิตภาพ (Productivity) สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก หรือเชื่อมโยงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ถัดมาที่แผนการดำเนินงานโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 4 มีเนื้อหาเพิ่มเติมที่จะสร้างการรับรู้แก่ประชาชนจากกรอบหลัก 10 เรื่อง ได้แก่ ข้อมูลมาตรการเกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพดีที่จะส่งผลให้ราคาข้าวมีมูลค่าสูงขึ้น และมาตรการช่วยเหลือชาวนาอื่นๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต ไปประชาสัมพันธ์ให้แก่เกษตรในพื้นที่ทราบ และเน้นย้ำสร้างการรับรู้ในเรื่องต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อประชาชน ผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืนในครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 จะทำให้การสร้างรายได้นั้นเพิ่มขึ้น และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตามลำดับ

พาดหัวข่าวเกี่ยวประชารัฐ ไทยนิยมยั่งยืน ในปีนี้



-รัฐบาลปลื้มผลงานไทยนิยมยั่งยืนอัดฉีด 3แผนงาน สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง
-‘บิ๊กป๊อกนำทีมแถลงผลสำเร็จ 1 ปีโครงการไทยนิยมยั่งยืน พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มรายได้ ลดเหลื่อมล้ำ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เตรียมขยายผล
-สิทธิพิเศษบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลทุ่มปีละแสนล้านช่วยคนจน
เรียกเสียงฮือฮากันทั่วประเทศ หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา อนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติม ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้เงินรวม 38,730 ล้านบาท ในเงินจำนวนนี้ให้ของขวัญปีใหม่กับผู้ถือบัตรทั้ง 14.5 ล้านคน คนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 7,250 ล้านบาท
-รัฐบาลทุ่มสุดตัวก่อนการเลือกตั้ง งัดสารพัด ของขวัญปีใหม่ รับประกันโดนใจรากหญ้า
คลังจัดแน่มาตรการกระตุ้นศก.ปลายปี  , ช้อปช่วยชาติต้องจังหวะเหมาะพณ.จัดลดราคาตามธรรมเนียมสูงสุด70% , เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าชั่วคราว 21 ประเทศพลังงานจัดน้ำมันราคาถูกช่วยฐานราก  , บีโอไอออกแพคเกจออนท็อป , 8 หมื่นรายเฮก.อุตเลิกต่ออายุร.ง.4 , ร่วมมือส.อ.ท.พัฒนาเอสเอ็มอี-สตาร์ตอัพ , ผุดมาตรการอุ้มหนุ่มสาวโรงงาน , นำระบบประกันเข้าอุ้ม

งบโครงการไทยนิยม ยั่งยืน 2.49 หมื่นล้าน 22 โครงการ เงินหมุนเวียน 6 หมื่นล้าน
ไทยนิยมยั่งยืน – วันที่ 22 พ.ย. ที่สโมสรทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานแถลงผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ไทยนิยม ยั่งยืนสร้างรอยยิ้ม เพิ่มความสุขให้คนไทยทุกคน” ซึ่งครบรอบ 1 ปี
โดยมีนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายุทธนา หยิมการุณ รองปลัดกระทรวงการคลัง ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญซะโสภีต อธิบดีกรมการปกครอง และนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลง
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า โครงการไทยนิยมยั่งยืน เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ลดความเหลื่อมล้ำให้ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน แต่ประชาชนต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองให้ได้ก่อน
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า จากการขับเคลื่อน 3 แผนงานที่ผ่านมา มีผลสำเร็จทั้งแผนงานเสริมศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 21,078 ล้านบาท ภายใต้โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก ปัจจุบันมีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แจ้งความประสงค์เข้ารับการพัฒนากว่า 4 ล้านคน เป็นเกษตรกรมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 72.95 และมีผู้ผ่านการฝึกอบรมการพัฒนาอาชีพแล้วกว่า 1.8 ล้านคน
แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 24,301 ล้านบาท มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก มีทางเลือกให้เกษตรกร เป็นรายกลุ่มและรายบุคคลจำนวน 20 โครงการใน 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการบริหารจัดการน้ำ ด้านการแก้ปัญหาที่ดิน ด้านการปศุสัตว์และด้านผลผลิตทางการเกษตร ที่พัฒนาผู้ประกอบการเกษตรกรรุ่นใหม่ส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐและพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อย
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แผนงานส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 50,379 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน หมู่บ้าน ชุมชนละ 2 แสนบาท โครงการชุมชนท่องเที่ยวโอท็อปนวัตวิถี ที่กระทรวงมหาดไทยพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอท็อปในหมู่บ้านเป้าหมาย 3,273 แห่งๆ ละ 10 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 32,730 ผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมตลาดชุนชนท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ โดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพ ยกระดับรายได้ โดยอนุมัติโครงการแล้ว 47,194 กองทุน 42,221 โครงการ
เมื่อวันที่ 21 ก.ย./2560 เป็นวันแรก ทางกระทรวงการคลัง กำหนดแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แก่ผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ยกเว้นในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 1.3 ล้านคน จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (แบบ Hybrid 2 Chips/บัตรแมงมุม) เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและค่าโดยสาร โดยมีกำหนดรับบัตรฯ ในวันที่ 17 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป และจะมีการชดเชยยกยอดแต่ละประเภทสวัสดิการที่คงเหลือจากการใช้จ่ายในเดือน ต.ค. 2560 ให้ใปใช้ต่อได้ในเดือน พ.ย. 2560
ทั้งนี้ การรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีสิทธิต้องนำบัตรประจำตัวประชาชน และหลักฐานการลงทะเบียนฯ มาติดต่อรับได้ที่หน่วยงานที่ได้ลงทะเบียนไว้ หรือหากไม่สะดวกไปรับด้วยตัวเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปรับแทนได้ โดยผู้รับบัตรแทนต้องนำบัตรประชาชนฉบับจริงของตนไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยเอกสาร ดังนี้ 1. ใบมอบฉันทะระบุชื่อผู้มอบและผู้รับมอบ พร้อมลงนามทั้งผู้มอบและผู้รับมอบ 2. สำเนาบัตรประชาชน มีการลงนามรับรองสำเนา ทั้งของผู้มอบ และผู้รับมอบ
อย่างไรก็ตาม บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรณีเป็นผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางได้ สามารถให้ผู้ดูแลเป็นผู้ใช้สิทธิแทนได้ตามเงื่อนไข หากมีการตรวจสอบพบว่าให้ผู้อื่นนำบัตรไปใช้ เจ้าของบัตรจะถูกตัดสิทธิในบัตร และผู้ที่นำบัตรผู้อื่นไปใช้ ต้องชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการ

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มใช้ ตั้งแต่ 1 ต.ค.
ส่วนการใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ กำหนด สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตร โดยผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อคนต่อปี จะได้รับ 300 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท จะได้รับ 200 บาทต่อคนต่อเดือน และเมื่อถึงวันที่ 1 ของทุกเดือน วงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ สำหรับวงเงินคงเหลือของเดือนที่ผ่านมา จะไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป และไม่สามารถถอนวงเงินสวัสดิการออกจากบัตรเป็นเงินสดได้ ยกเว้นวงเงินส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน วงเงินจะปรับเป็นค่าเริ่มต้นทุกวันที่ 1 ของทุก 3 เดือน ซึ่งค่าก๊าซหุงต้มส่วน ที่เกิน 45 บาท ผู้มีสิทธิต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง นอกจากนี้ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังได้รับ 1. ค่าโดยสารรถเมล์ (รถเมล์ที่มีระบบ e-Ticket) และรถไฟฟ้า 500 บาทต่อคนต่อเดือน 2. วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อคนต่อเดือน และ 3. วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อคนต่อเดือนในกรณีผู้ถือบัตรแจ้งอายัดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีวงเงินคงเหลือในส่วนของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ให้ผู้ถือบัตรติดต่อ Call Center หลักของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย หมายเลขโทรศัพท์ 02-111 1111 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อระงับการใช้วงเงิน หรือกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสูญหาย หรือชำรุดที่เกิดจาการใช้งานของผู้มีสิทธิ ผู้มีสิทธิสามารถดำเนินการขอเปลี่ยนบัตรใหม่ได้ที่สาขาของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย โดยผู้มีสิทธิเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (เครดิตข้อมูลจากเพจ ไทยรัฐออนไลน์)

บัตรคนจน ใช้ยังไง? วงเงินเท่าไหร่ ซื้อได้กี่อย่าง เช็คคู่มือวิธีใช้ ละเอียดยิบ!


บัตรคนจน ใช้ยังไง ? / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ : ผู้มีรายได้น้อย

หลังจากที่โครงการช่วยเหลือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ / บัตรคนจน 2560 ได้เริ่มต้นขึ้น ก็มีประชาชน ผู้มีรายได้น้อย หลายคนที่ทยอยมาลงทะเบียนรับ บัตรคนจน เป็นจำนวนมาก

โดยรัฐบาลก็ได้เปิดให้ผู้ที่มี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ทุกคน สามารถนำบัตรไปใช้สิทธิต่าง ๆ ทั้งชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงาน หรือร้านค้าที่กำหนด ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา

(*ยกเว้น บัตรคนจน 7 จังหวัดนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาครการแจก บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ / บัตรคนจน ผู้มีรายได้น้อย จะเลื่อนออกไปจนวันที่ 17 ต.ค. เนื่องจากเกิดปัญหาความล่าช้าในระบบตั๋วแมงมุม)

ทั้งนี้ ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย ที่มีสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน หลายต่อหลายคนก็พากันนำ บัตรคนจน ไปใช้สิทธิกันอย่างคึกคัก

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมี ผู้มีรายได้น้อยอีกหลายคนที่ถือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ / บัตรคนจน อยู่ในมือ แต่ยังคงสงสัยว่าและไม่แน่ใจว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ / บัตรคนจน หน้าตาแบบนี้ ใช้ยังไง?
   สามารถใช้ซื้อสินค้าได้ทุกประเภทหรือไม่
   มีวงเงินเท่าไหร่ 
   ที่ไหนซื้อได้-ไม่ได้ 
   มีเงื่อนไขอย่างไร และ
   สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้หรือไม่..?



อันดับแรก...มาทำความเข้าใจแนวทางการให้ความช่วยเหลือจาก บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของ ผู้มีรายได้น้อย เบื้องต้นก่อน

บัตรคนจน นี้ มีอายุ 5 ปี เป็นบัตรชิปการ์ดใช้รูดผ่านเครื่องรับบัตรอัตโนมัติ หรือ อีดีซี

ประชารัฐสวัสดิการ คือ การให้วงเงินใน บัตรคนจน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 200-300 บาทต่อเดือน สำหรับ...
     นำไปใช้เป็นส่วนลดหรือใช้รับสวัสดิการรัฐ เช่น ส่วนลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ รถไฟ และสามารถเพิ่มหรือลดสวัสดิการได้
     นำไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ในร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าอื่น ๆ ด้วยวิธีการจ่ายเงินง่ายๆ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ของหน่วยงานหรือร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จากนั้นก็จะได้ใบเสร็จเป็นแสดงยอดที่ใช้จ่ายไปและยอดคงเหลือในบัตรออกมา

โดยเมื่อชำระค่าสินค้าและบริการแล้ว วงเงินจะลดลงตามยอดที่ใช้จ่าย และถึงรอบวันที่ 1 ของทุกเดือนนั่นเอง (ยกเว้น วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม ทุกวันที่ 1 ของทุก 3 เดือน)

     >> ในกรณีที่สินค้าที่ซื้อ มีราคาเกินกว่าเงินที่อยู่ใน บัตรคนจน ก็สามารถเติมเงินเข้าไปใน บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ผ่านบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Money ของธนาคารกรุงไทยได้

*หากใครนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงวิธีการ บัตรเครดิต+บัตร ATM ที่แสนสะดวกสบายในการจ่ายเงิน เพียงแค่รูดบัตรผ่านเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เครื่อง EDC ไปเลย

แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ไม่สามารถ กด-ถอน-โอน วงเงินสวัสดิการจาก บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาเป็นเงินสด หรือเอาเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ได้  รวมถึงถ้าเงินวงเงินอุดหนุนในบัตรแต่ละเดือนใช้ไม่หมด เงินก็จะถูกตัดทันทีไม่สามารถเก็บสะสมเพื่อนำไปทบยอดในเดือนหน้าได้เช่นกัน

การช่วยเหลือของโครงการ ผู้มีรายได้น้อย บัตรคนจน - บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นี้จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ

1. ส่วนแรกจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ
2. ส่วนที่สองจะช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทาง

ส่วนแรก...
1.) บัตรคนจน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ

ผู้ถือ บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะสามารถซื้อสินค้าต่างๆ ตามที่กำหนด จากร้านธงฟ้าประชารัฐ ได้ใน 3 หมวดใหญ่ๆประกอบด้วย

        - สินค้าอุปโภค-บริโภค เช่น หมวดอาหารสด, หมวดอาหารและเครื่องดื่ม, หมวดของใช้ประจำวัน, หมวดยารักษาโรค

        - สินค้าเพื่อการศึกษา เช่น เครื่องแบบนักเรียน และ เครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน

        - สินค้าเพื่อเกษตรกรรม เช่น ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ

ซึ่งรัฐบาลจะให้วงเงินช่วยเหลือใน บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไปซื้อสินค้าต่างกัน สำหรับกลุ่มคนที่ต่างกัน คือ
         
Ø กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินจำนวน 300 บาทต่อเดือน (หรือ 3,600 บาทต่อปี)

         
Ø กลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่กิน 100,000 บาท จะได้รับเงินจำนวน 200 บาทต่อเดือน (หรือ 2,400 บาทต่อปี)   

นอกจากนี้ ทั้ง 2 กลุ่ม ยังได้วงเงินสำหรับเป็นส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนดอีกคนละ 45 บาทต่อ 3 เดือน

**อย่างไรก็ตาม เงินใน บัตรคนจน จำนวนดังกล่าวจะไม่สามารถนำไปใช้หนี้ที่ค้างชำระกับร้านค้า หรือนำไปซื้อสุรา บุหรี่ได้ เพราะไม่ใช่สินค้าอุปโภคที่จำเป็น แต่สินค้าที่สามารถซื้อได้ เช่น ข้าวสาร ผงซักฟอก ยาสีฟัน ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และปุ๋ยเคมี

ส่วนที่สอง...
2.) บัตรคนจน ช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง

ประกอบด้วย ค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า รถร่วมของ บขส. และรถไฟ
     
เงินช่วยเหลือใน บัตรคนจน ที่ ผู้มีรายได้น้อย ได้รับ :

         
Ø ค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ e-Ticket)

         
Ø ค่าโดยสารรถ บขส. วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน

         
Ø ค่าโดยสารรถไฟ วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน

โดยรถโดยสารที่ร่วมโครงการจะทำการติดตั้งอุปกรณ์ e-Ticket (อี-ทิกเก็ต) เพื่อใช้สำหรับคิดเงินค่าโดยสารจาก บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพียงแค่แตะเบาๆ ก็สามารถจ่ายค่าโดยสารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

**ทั้งนี้ วงเงินช่วยเหลือใน บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ละส่วนจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่นำมารวมกัน

ส่วนจุดบริการใช้สิทธิ บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานหรือ ร้านค้าที่กำหนดไว้ จะมีดังนี้

Ø  จุดรับชำระเงินตามร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
Ø  จุดรับชำระเงินตามร้านค้าก๊าซที่กระทรวงพลังงานกำหนด
Ø  เครื่องแตะบัตรชำระเงินบนรถประจำทาง ขสมก./รถไฟฟ้า
Ø  จุดจำหน่ายบัตรโดยสารรถ บขส.
Ø  จุดจำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟทุกสถานี (รฟท.)




ทั้งนี้ บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย ที่แจกจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่ง แบบแรก จะเป็นมี 2 ชิปการ์ด ผลิตมาจำนวน 1.3 ล้านใบ เพื่อมอบให้กับประชาชนใน 7 จังหวัด ได้แก่
กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ซึ่งจะสามารถใช้กับระบบตั๋วร่วม เพื่อขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ได้

ส่วน บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบบที่ 2 ของคนในจังหวัดอื่น ๆ จะมีชิปการ์ดเดียว จึงไม่สามารถนำมาใช้ขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนภูมิลำเนาเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก็สามารถมาแจ้งเปลี่ยนเป็น บัตรคนจน แบบ 2 ชิปการ์ดได้

แบบที่ 1 บัตร EMV + ตั๋วร่วม (แมงมุม) สำหรับผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และ สมุทรสาคร โดยบัตรนี้ ไว้ใช้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร  
แบบที่ 2 บัตร EMV สำหรับผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนในจังหวัดอื่นๆ (นอกเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และ สมุทรสาคร) สำหรับบัตรนี้ จะไม่สามารถใช้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดในกรุงเทพมหานครได้

** คำแนะนำการใช้ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน **
     1. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน เป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุคคลที่ระบุบนหน้าบัตรเท่านั้น เว้นแต่ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางได้ สามารถให้ผู้ดูแลเป็นผู้ใช้สิทธิแทนได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
     2. กรุณาเก็บ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน และรักษาบัตรไว้เป็นอย่างดี เพื่อประโยชน์ของท่านในการรับสวัสดิการจากรัฐบาล
     3. หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าให้ผู้อื่นนำ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน ไปใช้ เจ้าของบัตรจะถูกตัดสิทธิในบัตรและผู้ที่นำบัตรผู้อื่นไปใช้จะมีความผิด ต้องชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการ

กรณีทำ บัตรคนจน / บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สูญหาย ทำยังไง?

สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย โดยทางธนาคารจะแจ้งต่อไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อตรวจสอบสิทธิ์และดำเนินการออก บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน ใหม่ให้ แต่เรื่องค่าใช่จ่ายเป็นส่วนรับผิดชอบของผู้ใช้สิทธิเอง
      - บัตร EMV หาย ออกบัตรใหม่ภายใน 15 วันทำการ (เสียค่าใช้จ่าย 50 บาท)
      - บัตร EMV + ตั๋วร่วม (แมงมุม) หาย ออกบัตรใหม่ภายใน 30 วันทำการ (เสียค่าใช้จ่าย 100 บาท)

ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน ใช้ยังไง โทร. 0-2109-2345 ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 – 17.30 น. หรือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02-273-9020  (เครดิตข้อมูลจากเพจ Bugaboo.tv)



ล่าสุดได้เพิ่ม 4 มาตรการช่วยค่าครองชีพ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ทั้งกลุ่มที่ถือบัตรมาตั้งแต่ต้นจำนวน 11.4 ล้านคน และผู้ที่เพิ่งได้บัตรจากโครงการไทยนิยมยั่งยืน จำนวน 3.1 ล้านคน ยิ้มรับปีใหม่ 2562 กันได้ยาวๆ ดังนี้

1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและน้ำประปา (ธ.ค. 61 – ก.ย. 62)
ผู้ถือบัตรสวัสดิการที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน และใช้น้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (เป็นเวลา 10 เดือน) จะได้รับค่าน้ำค่าไฟที่จ่ายไปคืน!!!เพียงนำใบเสร็จไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟตามปกติที่สำนักงานการไฟฟ้าและการประปา และแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอไม่นานก็จะได้รับเงินค่าน้ำค่าไฟกลับคืนเข้าไปในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ออกมาใช้ได้ ส่วนกรณีที่ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกัน 3 เดือน จะได้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี ของการไฟฟ้าอยู่แล้ว ก็ให้ใช้สิทธินั้นไป  แต่หากมีส่วนเกินจาก 50 หน่วยแรกนั้น แต่ไม่เกิน 230 บาท ก็จะได้รับเงินคืนจากมาตรการนี้  ถ้าบ้านไหนใช้น้ำใช้ไฟเกินกว่าที่กำหนดไว้ แบบนี้ก็ต้องจ่ายเองทั้งหมด
2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายปลายปี (ธ.ค. 61)
เดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายแห่งปี เดือนแห่งความสุข ปีนี้รัฐบาลสนับสนุนค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นแก่ผู้มีรายได้น้อยคนละ 500 บาท สำหรับใช้เดินทางกลับภูมิลำเนา เยี่ยมญาติ ใช้เวลาร่วมกัน โดยจ่ายให้เพียงครั้งเดียวในเดือนธันวาคม สำหรับผู้ที่เพิ่งได้รับบัตรสวัสดิการจะได้รับเงินในเดือน ม.ค. 62  ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ออกมาใช้ได้
3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางเพื่อไปรับการรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุ (ธ.ค. 61)
สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินค่าเดินทางไปตรวจสุขภาพหรือรักษาพยาบาล คนละ 1,000 บาท โดยจ่ายให้ครั้งเดียว สำหรับผู้ที่เพิ่งได้รับบัตรสวัสดิการจะได้รับเงินในเดือน ม.ค. 62 ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ออกมาใช้ได้
4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุ (ธ.ค. 61 – ก.ย. 62)
ผู้ถือบัตรสวัสดิการที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีภาระค่าเช่าบ้าน รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าเช่าบ้านให้คนละ 400 บาทต่อเดือน (เป็นเวลา 10 เดือน) เพื่อให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการมีเงินเหลือพอไปใช้จ่ายเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิต  ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ออกมาใช้ได้
แล้วรัฐเอาเงินมาจากไหน??? คำตอบคือ มาจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จำนวน 38,730 ล้านบาท ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนนั่นเอง  อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนใช้จ่ายอย่างมีสติ วางแผนใช้เงินให้เกิดประโยชน์ ที่สำคัญจะต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง ด้วยการหาความรู้ สร้างอาชีพ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกพื้นที่ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (เครดิตข้อมูลจากเพจ Sanook.com)
ซานต้าตู่ไฟเขียวแบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ-ผ่อนสูงสุด40ปี ธ.ก.ส.คืนดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี30%  เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 ที่สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 52/2560 ว่า ครม.สัญจร มีมติเห็นชอบโครงการของขวัญปีใหม่ ปี 2561 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ 1.โครงการของขวัญปีใหม่ 2561 เพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงินสำหรับลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผู้มีรายได้น้อย โดยจะจ่ายเงินจำนวน 1,000 บาท ให้กับลูกค้ารายย่อยที่มีประวัติการชำระเงินดีย้อนหลัง 48 เดือนและไม่เป็นหรือไม่เคยเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และมีวงเงินกู้รวมทุกบัญชีไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยต้องเป็นผู้กู้ที่มีการชำระเงินงวดของเดือนธันวาคม 2560 ในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคม 2560 ทั้งนั้คาดว่าจะมีผู้ได้รับของขวัญประมาณ 165,107 ราย
2.โครงการชำระดีมีคืนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยจะคืนดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าร้อยละ 30 ของจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2561 สำหรับลูกค้าที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ไม่เกิน 3 แสนบาท คาดว่าจะมีผู้ได้รับของขวัญเป็นเกษตรกรจำนวน 2.3 ล้านราย
3.โครงการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยธอส.จัดโครงการสินเชื่อ 3 โครงการ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและมีระยะเวลากู้ยืมสูงสุดถึง 40 ปี รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด ระยะเวลายื่นคำขอกู้ไม่เกินวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ดังนี้
1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับประชาชนผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนผู้มีรายได้น้อย วงเงินโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก ร้อยละ 2.75 ต่อปี กรณีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท และร้อยละ 3 ต่อปี กรณีวงเงินกู้มากกว่า 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท
2.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับบุคลากรภาครัฐ วงเงินโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก ร้อยละ MRR (6.75) -3.75 ต่อปี หรือเท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี
3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 จังหวัด ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส วงเงินรวมโครงการ 1 พันล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและบุคลากรภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก 2.50 ต่อปี (เครดิตข้อมูลข่าวจากเพจ prachachat.net)

ประชาชนแทบสำลักผลประโยชน์ที่รัฐบาล คสช.ประเคนให้ในช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล คสช. ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง เพราะขนกันมาทุกมาตรการช่วยเหลือคนจน ราวกับว่า ที่ผ่านมา 4-5 ปีที่บริหารประเทศมา มีใครบีบไข่หรือกั๊กงบประมาณเอาไว้ จึงประเดประดังมาให้ในช่วงนี้ แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือ นโยบายประชานิยมมุ่งหาเสียง ที่จำแลงแปลงชื่อมาเป็น “สวัสดิการแห่งรัฐ” นั่นแหละ ให้ดูชื่อโก้เก๋เหมือนกับว่า ไม่ใช่ประชานิยมนะ แต่เป็นสวัสดิการที่มอบให้แก่ประชาชนทุกคน (ซึ่งความจริงมันให้เฉพาะคนที่ลงทะเบียนเป็นคนจนเท่านั้น ประมาณ 14.5 ล้านคน) และที่จริงยิ่งกว่าก็คือ หาใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยืนอยู่บนฐานการพึ่งพาตนเองอย่างสิ้นเชิง เพราะตัวเงิน หรือเม็ดเงิน งบประมาณที่เอามาละเลงในนโยบายแบบนี้ คล้ายที่เคยทำมาแล้วในยุครัฐบาลของทักษิณ และรัฐบาลนอมินีอีกหลายสมัยต่อมา ประเทศไทยต้องเสียเงินงบประมาณไปกับโครงการประชานิยมเหล่านี้ ปีๆ หลายหมื่นล้าน ถ้านับเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ (คสช.) หมดไปไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทแล้ว อาทิเช่น

-การขับเคลื่อน 3 แผนงานที่ผ่านมา มีผลสำเร็จทั้งแผนงานเสริมศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 21,078 ล้านบาท ภายใต้โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
-แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 24,301 ล้านบาท
-แผนงานส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 50,379 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน หมู่บ้าน ชุมชนละ 2 แสนบาท
-โครงการชุมชนท่องเที่ยวโอท็อปนวัตวิถี ที่กระทรวงมหาดไทยพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอท็อปในหมู่บ้านเป้าหมาย 3,273 แห่งๆ ละ 10 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 32,730 ผลิตภัณฑ์
-สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพ ยกระดับรายได้ โดยอนุมัติโครงการแล้ว 47,194 กองทุน 42,221 โครงการ

ถ้านับไปถึงยุครัฐบาลทักษิณ ก็คงหมดไปแล้วไม่ต่ำกว่า ล้านๆ บาท (เฉพาะโครงการจำนำข้าวของยุคยิ่งลักษณ์ ก็หมดไป (เสียหาย) ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว

คำถามคือ ไอ้โครงการประชานิยมในลักษณะนี้ ได้ช่วยทำให้ประชาชน (รากหญ้า,เกษตรกร,ผู้ใช้แรงงาน) ลืมตาอ้าปาก หรือตั้งตัว ปลดหนี้ ได้จริงหรือ???? คำตอบก็คือ ไม่เคยมีประเทศไหน ที่ใช้โครงการประชานิยม เพื่อหาเสียงเอาจากประชาชนแล้วประสบความสำเร็จ ทำให้ประเทศฟื้นคืนจากภาวะยากจนได้เลยซักประเทศ บทเรียนก็มีแล้ว ให้เห็นจากหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์,คิวบา,อาร์เจนติน่า,บราซิล,เวเนซูเอล่า,อียิปต์,ลิเบีย และซิมบับเว ฯลฯ  ทุกประเทศที่ใช้นโยบายประชานิยมเป็นฐานในการหาเสียงหรือรักษาคะแนนเสียง ให้รัฐบาลของเขาอยู่ได้อย่างมั่นคง ล้วนแพ้ภัยตนเอง เพราะพออยู่ไปนานๆ เข้า ประชาชนจะเสพติดผลประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐบาลประเคนให้ พอหนักๆ เข้า ต้องขึ้นภาษี หรือไม่สามารถหาเงินมาโปะงบประมาณที่เอาไว้ทำประชานิยมได้ ก็ต้องไปกู้ยืมมา กลายเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มเป็นดินพอกหางหมู แล้วประเทศเหล่านี้ มักไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถผลิตสินค้าส่งออกไปขายตปท. หรือหารายได้เข้าประเทศ มาชดเชยค่าใช้จ่าย งบประมาณต่างๆ ที่เอาไปปรนเปรอความสุขให้กับประชาชนของตนเอง โดยไม่หาวิธีที่จะสร้างขีดความสามารถ เพิ่มโอกาสในการทำมาหาเลี้ยงชีพของประชาขน สุดท้ายเศรษฐกิจในประเทศก็พัง นำมาซึ่งความทุกข์ยากของประชาชน ท้ายสุดก็จะถูกประชาชนขับไล่ หรือประณาม กร่นด่า ในรายของประเทศที่เป็นเผด็จการทหาร ก็จะใช้อำนาจทหารบีบบังคับไม่ให้ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้าน แต่หลายประเทศอำนาจทหารก็เอาไม่อยู่ เพราะประชาชนเดือดดาล จนตรอก จนยอมที่จะพลีชีพ แลกกับการกระชากหน้ากากของผู้นำรัฐบาล หรือผู้นำเผด็จการทหารเหล่านั้น ให้ออกจากอำนาจ ที่กล่าวมา ผู้เขียนไม่อยากให้ประเทศไทยไปสู่จุดนั้น แต่ก็รู้สึกเป็นห่วง และไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่รัฐบาล คสช.ตลอดช่วงเวลาที่บริหารประเทศมา 5 ปี ไม่ได้สร้างขีดความสามารถ เพิ่มโอกาส ให้ประชาชน (รากหญ้า,เกษตรกร,คนชั้นกลาง) ได้มีโอกาสหรือแต้มต่อในการที่เขาจะสร้างเนื้อตัวสร้างตัว สร้างความแข็งแกร่งให้กับอาชีพ หรือรายได้ของตนเองเลย ตรงกันข้ามกับถูกกระทืบซ้ำด้วย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทุนใหญ่เขมือบทุนเล็ก สร้างความได้เปรียบให้แต่ทุนใหญ่ ในขณะที่กิจการเล็กๆ น้อยๆ หาบเร่แผงลอย เอสเอ็มอี โรงงานผลิตสินค้า พ่อค้าคนกลางที่ไม่ใหญ่ ต่างทยอยล้มหายตายจากกันไป ตอกย้ำจากข่าวที่ประเทศไทยติดอันดับ 1 ที่มีอัตราความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนจน คนรวย สูงที่สุดในโลก  แม้แต่ ฯพณฯ รมต.วิทยาศาสตร์ อย่างดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ยังออกมาย้ำเลยว่า ที่รัฐบาล คสช.ต้องแจกเงินคนจน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็เพราะว่าคนจนจะตายห่ากันหมดแล้ว (นี่เป็นคำพูดของคนระดับคีย์แมนคนสำคัญของรัฐบาลยังออกมายอมรับเลยว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ คนจนลำบากแค่ไหน) และนั่นก็เป็นทั้งเหตุและผลงานของรัฐบาล คสช.ในรอบ 5 ปีที่สอบตกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เอง ก็เพิ่งเห็นรัฐบาลกำลังตั้งหน่วยงานที่จะหายุทธศาสตร์มาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำ โดยตั้ง ดร.กอบศักดิ์ คูตระกูล มาดูแล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ แกนนำรัฐบาล ทั้ง ฯพณฯ นายกลุงตู่ ก็ออกมาแก้เกี้ยวว่า รายงานเรื่องความเหลื่อมล้ำขององค์กร CS Global Wealth Report บิดเบือน ไม่ตรงข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่สมัยปี 2549 (ดูข้อมูลนี้เพิ่มเติมที่ลิ้งค์นี้  https://thai-inequality.org/pages/asset) ถ้ารัฐบาลไม่เชื่อว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำสูง จะตั้งคณะทำงานมาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำทำซากอะไร   

ผู้เขียนคิดว่านโยบายประชารัฐ ไทยนิยมยั่งยืน เป็นนโยบายที่ควรนำมาใช้ในภาวะที่เศรษฐกิจบ้านเมืองซบเซา หรืออยู่ในภาวะที่นิ่ง ถดถอย ไม่เติบโต ควรใช้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรลากยาว เหตุเพราะว่ามันไปอิงกับงบประมาณผูกพันระยะยาว หากว่ารัฐบาลมีนโยบายรัฐสวัสดิการ จำเป็นต้องทำประชามติ ถามประชาชนทั้งประเทศหรือคนที่จ่ายภาษีก่อน ว่าเขายินยอมที่จะจ่ายภาษีในอัตราที่สูงเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะต้องนำเงินภาษีจำนวนมากมาทำรัฐสวัสดิการ (เฉกเช่นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่เป็นประเทศที่มีรัฐสวัสดิการ แต่เขาจัดเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคล และภาษีนิติบุคคล ในอัตราสูงลิบลิ่ว มากกว่าประเทศไทย หรือแม้แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มก็สูงกว่าไทย และเขาไม่นิยมกู้ยืมเงินมาทำรัฐสวัสดิการ หากเป็นประเทศยากจนหรือไม่ใช่ประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีรายได้สูง การจะเป็นรัฐสวัสดิการจะต้องสูญเสียเงินงบประมาณแผ่นดินมหาศาล)  ดังนั้น การที่รัฐบาล คสช.ทำนโยบายประชารัฐ ไทยนิยมยั่งยืน เช่นนี้ มันจึงสุ่มเสี่ยงต่อการก่อหนี้ สาธารณะ ยังไม่นับโครงการอภิมหาโปรเจ็คท์ ทั้งรถไฟความเร็วสูง สร้างสาธารณูปโภคในเขตเศรษฐกิจพิเศษ E.E.C ที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลเช่นกัน สุ่มเสี่ยงต่อการก่อหนี้สาธารณะผูกพันระยะยาว มันจึงเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการที่ไม่ยั่งยืนสมกับชื่อ ไทยนิยมยั่งยืน แต่สร้างหนี้สาธารณะแบบยั่งยืน นั่นแหละใช่  มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ อดีตข้าราชการ ที่มีความรู้จำนวนมาก ได้เตือนรัฐบาล คสช.แล้วว่า อย่าทำเช่นนี้เลย และขอว่า การทำเช่นนี้ ขอเป็นครั้งสุดท้าย และอย่าได้มีรัฐบาลไหนในอนาคต นำนโยบายประชานิยมแบบนี้มาใช้อีก เพราะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ได้ยกระดับรายได้ของประชาชนฐานล่าง (รากหญ้า,เกษตรกร,ผู้ใช้แรงงาน) ให้สูงขึ้น หรือลืมตาอ้าปากได้ มิหนำซ้ำยังสร้างวินัยการใช้จ่ายเงินแบบผิดๆ ให้เกิดกับประชาชนด้วย และยังเป็นการหลอกลวงประชาชนว่า นโยบายแบบนี้คือรัฐสวัสดิการที่จะมีตลอดไป ทำให้ประชาชนไม่ขวนขวาย ดิ้นรน ต่อสู้ชีวิต หรึอพึ่งพาตนเอง เป็นการซ้ำเติมประชาชนให้ขาดวินัยทางด้านการเงินเข้าไปอีก ขอเสียทีว่า บรรดานักคิด นักวิชาการในรัฐบาล คสช.หรือพรรคของรัฐบาล (พรรคพลังประชารัฐ) อย่าฉกฉวยโอกาส ที่ประชาชนอ่อนแอ ไร้หนทางทำมาหากิน อันเนื่องมาจากภาวะเศรษกิจย่ำแย่เช่นนี้ หยิบยื่นน้ำผึ้งอาบยาพิษให้กับประชาชนดื่มอีกเลย เพียงเพื่อหวังจะได้ซื้อใจ ซื้อคะแนนเสียงของประชาชน เพื่อให้คุณได้อยู่ในอำนาจ หรือหวนกลับมามีอำนาจ ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา 4-5 ปี ของการเป็นรัฐบาล คสช. ไม่ได้จริงใจที่จะแก้ปัญหาให้กับคนส่วนใหญ่เลย ไม่ต้องถามว่าท่านเข้ามาเป็นรัฐบาล ด้วยวาระซ่อนเร้นอะไร และแก้ปัญหาให้กับคนกลุ่มใด แต่เพียงกลุ่มเดียว เพราะถ้าประชาชนตาสว่างเมื่อไร เขาก็จะกระชากหน้ากากของท่านออกมาในวันนั้น อย่างไม่ต้องสงสัย


หยิกแกมหยอก บทความและเรียบเรียง

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 สุดยอดปรากฏการณ์ทางการตลาดแห่งปี 2018 (อันดับที่ 4,3,2)


อันดับ 4  ตลาด OTT ในไทย ยังอยู่ในขั้นเพิ่งคลอดออกจากท้องแม่ (เริ่มต้น) แต่บรรดาคุณแม่ของน้องๆ เริ่มออกอาการตบตีแย่งแฟนคลับกันแล้ว (Pre-War)

OTT หรือ Over-the-top คือการให้บริการใดๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตเปิด โดยที่ผู้ให้บริการ OTT ไม่ได้ลงทุนหรือเป็นเจ้าของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเอง เช่น facebook Uber AirBnb เป็นต้น เมื่อนำคำนี้มารวมกับคำว่า TV หรือโทรทัศน์เป็น OTT TV (Over-the-top TV) แล้ว ในที่นี้จะหมายความรวมถึงบริการสื่อวีดิโอและโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต




10 ข้อ ย่อดราม่า 'สงครามผู้กุมอำนาจ' เมื่อขาใหญ่แข็งเมือง

เมื่อ กสทช.มีคำสั่งให้เฟซบุ๊กและยูทูบต้องมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการ OTT (Over the Top) ซึ่งเป็นบริการสื่อสารแพร่ภาพและเสียงผ่านแอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต หากไม่มาอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย หลายคนจึงมีคำถามในใจว่า เกิดอะไรขึ้น? และอะไรคือข้อดี-ข้อเสียของเหตุการณ์นี้
1.เมื่อต้นปีที่ผ่านมารัฐฯ เกิดความตื่นตัวในเรื่องการกำกับแนวทางดูแลบริการประเภท OTT  ซึ่งการกำกับบริการเหล่านี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งแนวทางที่ทำได้และแนวทางที่ทำไม่ได้ เมื่อ OTT ในตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายควบคุม 
2.บริการสื่อสารภาพและเสียงบนอินเทอร์เน็ต โดยผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงข่ายสัญญาณเอง โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. OTT อิสระ อาทิ เฟซบุ๊ก และยูทูบ 2. OTT ผู้ผลิตคอนเทนต์ อาทิ HBO 3.ช่องรายการโทรทัศน์ทีให้บริการ OTT เช่น เวิร์คพอยท์, 3HD ฯลฯ 4. ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ให้บริการOTT ได้แก่ AIS Play 5. เพย์ทีวีในแบบ OTT และ 6. OTT ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการต่างๆ
3.ประเด็นทั้งหมดเกิดจาก ผู้ให้บริการ OTT จำนวนหนึ่งเรียกเก็บค่าสมาชิกหรือค่าบริการเสริมจากผู้ชมอยู่แล้ว แต่การทำรายได้ของผู้ให้บริการ OTT อีกกลุ่มหนึ่งเกิดจากค่าโฆษณาจากแบรนด์ที่นำสินค้าและบริการมาลงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์ม ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลบางส่วน
4. ต่อมา กสทช.จึงเข้ามาควบคุมดูแล โดยมีมติให้ OTT เป็นกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยมีอนุกรรมการฯเป็นผู้กำกับดูแล นำโดย พ.อ.นที ศุกลรัตน์ 
5. จากการสำรวจของ DAAT หรือ สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) พบว่า ผู้ให้บริการ AVoD (Advertising Video On Demand) ที่มีรายได้สูงที่สุดคือเฟซบุ๊ก (2,842 ล้านบาท) ตามมาด้วย YouTube (1,663 ล้านบาท) และผู้ให้บริการ OTT อื่นๆ อาทิ Line TV และผู้ประกอบการช่องโทรทัศน์อื่นๆ (502 ล้านบาท)
6. ใครบ้าง...คือผู้ซื้อโฆษณา? สำหรับในประเทศไทยธุรกิจ 7 ธุรกิจหลักนี้เป็นเจ้าของเม็ดเงินโฆษณา ได้แก่ 1. ธุรกิจยานยนต์ 2. ธุรกิจการเงินและธนาคาร 3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4. ธุรกิจประกันภัย 5. ธุรกิจโทรคมนาคม 6. ธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภค สุดท้าย 7. ธุรกิจพลังงาน ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้สนับสนุนสำคัญของบริการ OTT
7. กสทช. ได้มีมติอย่างเป็นทางการว่าหาก เฟซบุ๊กและ ยูทูบไม่มาลงทะเบียนเป็นผู้ให้บริการ OTT ภายในวันที่ 22 กรกฎาคม 2560 หากธุรกิจไหนมาซื้อโฆษณาจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หากเป็นบริษัทมหาชน จะถูกแจ้งว่าเป็นบริษัทที่ไร้ธรรมาภิบาล แต่หากบริษัทไหนเป็นรัฐวิสาหกิจ กสทช. ก็จะส่งจดหมายรูปแบบเดียวกันแจ้งไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจนั้นๆ (อันนี้ เป็นเหตุการณ์เมื่อปี 2560 ปัจจุบันทั้ง 2 ราย ได้มีการเจรจากับทาง กสทช.แล้ว)
 8. ดราม่าบังเกิดอีกทีตรงที่ เมื่อ AIC หรือ สหพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชีย มีการออกจดหมายแสดงความกังวลถึง กสทช. ว่าประเทศไทยกำลังหันหลังให้กับนวัตกรรมเพราะข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการให้บริการ OTT เนื่องจากข้อบังคับเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับแรก อีกทั้งยังเพิ่มขอบเขตการดูแลที่อาจทำให้เกิดการจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรม ที่ไม่ให้คนไทยที่ทำธุรกิจใช้งานแพลตฟอร์มระดับโลก
9. ในขณะนี้มีผู้ให้บริการ OTT มาขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 10 ราย อาทิ MONOmaxxx, AIS Play, PRIMETIME, HOLLYWOOD HDTV เป็นต้น ส่วน NETFLIX นั้นไม่มีสำนักงานในไทย จึงขอพบในช่วงเดือนกรกฎาคม 
10. เหตุการณ์นี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร ยูทูบและเฟซบุ๊กจะยอมมาลงทะเบียนภายในกำหนดหรือไม่  (เครดิตข้อมูลบทความจาก ไทยรัฐออนไลน์)





ฟรีทีวีดิจิตอลรับศึกอย่างไร OTT อย่างไร ที่ผ่านมา ช่องหลัก อย่าง 7,3,Workpoint ,Mono29, One+GMM25 ต่างมีช่องทางออนไลน์เป็นของตนเอง ทั้งในส่วนแฟนเพจของช่อง หรือช่องทีวีออนไลน์ใหม่ ที่เอาไว้ดูละครโดยเฉพาะ เช่น ช่อง 7 มี Bugaboo TV, ช่อง 3 มี Mello TV, Workpoint มีช่อง Youtube ที่มีคนติดตามเป็นหลัก 10 ล้านวิว ใหญ่สุดในอาเซียน, หรืออย่างช่อง One+GMM25 ใช้บริการ Line TV เป็นช่องทางหลักเผยแพร่รายการ เพราะร่วมกันปลุกปั้นกันมากับ Line TV แต่ต้น และนับวัน Line TV จะเป็น OTT ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เทียบชั้น Youtube
พาดหัวข่าวในปีนี้ สงครามชิงผู้ชม LINE TV ครองแชมป์ TV Rerun ท้าชน YouTube – FB ด้วยจุดแข็งมีพันธมิตร และ Exclusive Contnet ที่แข็งแกร่ง
Netflix ประกาศเปิดตัว Original Content 10 เรื่องจากฝั่งยุโรป และ 5 เรื่องจากฝั่งเอเซีย (ในจำนวนนี้มีของไทย 2 เรื่องด้วย)


สำหรับผู้เล่นรายหลักๆ ของ ตลาด OTT ในไทย มีใครบ้าง และค่าบริการสมาชิก ต่างกันอย่างไร  อาทิ
-Line TV ให้บริการคอนเท็นต์รายการทุกประเภท อาทิ ข่าว สารคดี เกมส์โชว์ วาไรตี้ ละคร ซีรีส์ ปกิณกะจากช่องทีวีดิจิตอล เกือบทุกช่อง  และ Original Content ที่ชมได้เฉพาะในช่องทางของ Line TV เท่านั้น และในอนาคตอาจมีการเก็บค่าบริการสมาชิกที่ต้องการเลือกชม Content แบบ exclusive
-MONO MAXX  ให้บริการคอนเท็นต์สุด exclusive ทั้ง หนัง ซีรีส์ตปท. กีฬา สารคดี ที่ไม่มีหรือซ้ำกับในช่อง Mono29 หรือ Mono Plus ซึ่งเป็นช่องฟรีทีวี  สำหรับ Mono Maxx มีให้เลือกทั้งหมด 2 แพ็กเกจ  คือ 
   • แพ็กเกจ 1 เดือน ราคา 250 บาท
   • แพ็กเกจ 12 เดือน ราคา 2,500 บาท 

-TrueID   สมัคร App TrueID พร้อมรับสิทธิ์ ดูฟรี 12 เดือน พิเศษรับสิทธิ์ ดูบอลโลกฟรีๆ ตลอดทัวร์นาเม้นต์ แอปเดียวครบสุดทุกความสนุกและสิทธิพิเศษ

AIS PLAY Package ความบันเทิงครบรส ทุกที่ ทุกเวลา PLAY PREMIUM PACKAGE
ที่สุดของความบันเทิงกับแพ็กเกจสุดคุ้มจาก 27 ช่องชั้นนำระดับโลก พร้อมด้วย Video on Demand จาก HBO GO, Warner TV, Food Channel, Cartoon Network พร้อมคลังหนังและซีรีส์ ทั้งไทย และฮอลลีวูดที่ใหญ่ที่สุดอย่าง HOOQ
299 บาท/เดือน
PLAY PREMIUM UNLIMITED PACKAGE ให้คุณดูทีวี หนัง ซีรีส์ การ์ตูน และข่าว จากช่องดังระดับโลก ผ่านแอป AIS PLAY Unlimited Internet สำหรับแพ็กเกจ PLAY PREMIUM และ แอป AIS PLAY พร้อมคลังหนังและซีรีส์ ทั้งไทย และฮอลลีวูดที่ใหญ่ที่สุดอย่าง HOOQ
499 บาท/เดือน
PLAY MOVIES PACKAGE ให้คุณเต็มอิ่มกับหนัง ซีรีส์ และความบันเทิง ระดับโลก จากช่องในเครือ HBO , Warner TV,BLUE ANT ENTERTAINMENT และ BLUE ANT EXTREME และรายการย้อนหลังอีกมากมาย
199 บาท/เดือน
PLAY SERIES PACKAGE
แพ็กเกจ PLAY SERIES ให้คุณรับชมซีรีส ์ชื่อดังจาก Warner TV, BLUE ANT ENTERTAINMENT และ BLUE ANT EXTREME รวมรายการเรียลลิตี้แนวผจญภัยตื่นเต้น และกีฬาผาดโผนไว้ในที่เดียว
99 บาท/เดือน
PLAY LIFESTYLE PACKAGE
แพ็กเกจ PLAY LIFESTYLE เต็มอิ่มกับสาระความรู้ และเทคนิคการทำอาหารและเชฟที่คุณชื่นชอบจากหลากหลายประเทศ จากช่องชั้นแนวหน้าอย่าง Food Network และ Asian Food Channel
99 บาท/เดือน
PLAY SPORTS PACKAGE แพ็กเกจ PLAY SPORTS เชียร์มันส์กับกีฬาดัง ที่ทุกคนต้องชื่นชอบจากทั่วทุกมุมโลก เช่น ฟุตบอล เทนนิส กอล์ฟ มวย รถแข่ง และอีกมากมาย จาก ช่อง Fox Sports และ Golf Plus
99 บาท/เดือน
PLAY KIDS PACKAGE
แพ็กเกจ PLAY KIDS ช่องการ์ตูนยอดนิยมอย่าง Cartoon Network และ Nick JR: ที่เหมาะสำหรับ คุณหนูๆ ที่โด่งดังทั่วโลก ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ และส่งเสริมภาษาให้กับลูกๆ
99 บาท/เดือน
PLAY NEWS PACKAGE
แพ็กเกจ PLAY NEWS ให้คุณรับชมข่าวจากทั่วทุก มุมโลกจาก ช่องข่าวระดับโลกทั้ง CNN และ HLN ทั้งข่าวทั่วไป การเมือง กีฬา หรือข่าวธุรกิจได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา
99 บาท/เดือน
บริการของ Netflix
เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ให้คุณชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ สารคดี หลากหลายจากทั่วโลก ผ่านแอปพลิเคชั่น Netflix มีค่าบริการรายเดือน ที่เก็บทุกๆ 30 วัน ผ่านระบบ Paypal โดยเลือกแพ็คเกจตามจำนวนอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ
• Free Package รับชมเดือนแรกฟรี, ยกเลิกได้ทุกเมื่อ, ภาพยนตร์และรายการทีวีแบบไม่จำกัด, รับชมในแล็ปท็อป สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ได้
• 280 บาท - 1 อุปกรณ์ รับชมเดือนแรกฟรี, ยกเลิกได้ทุกเมื่อ, ภาพยนตร์และรายการทีวีแบบไม่จำกัด, รับชมในแล็ปท็อป สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ได้
• 350 บาท - 2 อุปกรณ์ รับชมเดือนแรกฟรี, ยกเลิกได้ทุกเมื่อ, ภาพยนตร์และรายการทีวีแบบไม่จำกัด, รับชมในแล็ปท็อป สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต, รับชมในรูปแบบ HD ได้
• 420 บาท - 4 อุปกรณ์ รับชมเดือนแรกฟรี, ยกเลิกได้ทุกเมื่อ, ภาพยนตร์และรายการทีวีแบบไม่จำกัด, รับชมในแล็ปท็อป สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต, รับชมในรูปแบบ HD ได้ และ รับชมในรูปแบบ Ultra HD ได้
เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เปิดให้ดูฟรีใน 30 วัน แรก และเก็บค่าบริการในทุก 30 วัน โดยหากคุณไม่ต้องการต่ออายุสมาชิกแล้ว ให้คลิกเลือก ยกเลิก ที่เว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแพ็คเกจเริ่มต้นราคา 280 บาท และสูงสุด 420 บาท ต่อเดือน ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสำหรับการดูหนังต่อเดือน และระบบ Ultra HD หากเปิดกับ Smart TV จอใหญ่ๆ ก็ให้ความบันเทิงได้ไม่ต่างจากดูในโรงภาพยนตร์เลยทีเดีย
Hollywood TV ค่าบริการ ก็อยู่ที่เดือนละ 199 บาท แต่หากจ่ายทีเดียวครึ่งปี หรือ ปีนึงไปเลย ก็จะได้รับส่วนลดค่าบริการไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : 
https://www.kafaak.com/2015/03/02/review-hollywood-hdtv/
App Viu ดูซีรีส์เกาหลีสดๆ ใหม่ๆ แบบมีซับไทยและถูกกฏหมาย
VIU Premium code 30 days (30 วัน)
฿119.00
VIU Premium code 3 Months (3 เดือน)
฿315.00
ยังมี Good TV, PRIMETIME TV, IPTV ,LOOX TV  และแพล็ตฟอร์ม OTT อีกหลายเจ้า ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ 

นาทีนี้ ต้องถือว่าเป็นเพียง ปฐมบทของสงคราม OTT ในบ้านเรา ซึ่งกระทบไปถึง FREE TV DIGITAL แน่ๆ หากว่าฟรีทีวีไม่ปรับตัว ในอนาคต ไม่รู้ว่าจะเหลือฟรีทีวีอีกกี่ช่องให้ดู เพราะว่า OTT มี content มากมายและหลากหลาย และสามารถเลือกดูได้ตามความชอบ หรือสนใจ จ่ายในราคาไม่แพงมากด้วย เพราะว่าอย่างไรเสีย ในอนาคตต้องเกิดสงครามราคา ดังนั้น ตลาดจะเป็นของคนดู ยังไม่นับรวม Facebook TV,Google,Amazon และ Youtube ที่เตรียมจะกระโดดลงมาเล่นในสมรภูมินี้อย่างเต็มตัว ในเร็วๆ นี้



อันดับ 3  Rare Items Intrend โดนใจคนรุ่นใหม่ ต้อง สวย ทน ดี และ Limited Edition ,แพงไม่ว่า ชนิดที่หาซื้อไม่ได้ทั่วไป นำไปเก็งกำไร ปั่นราคา อวดรวยเว่อร์ๆๆ ได้!!! จนมีกระแสข่าว talk of the town เนื่องจากเพจดัง หมิง ขั้วโลก ตั้งข้อสังเกต วัยรุ่นสยามยุคนี้ เครื่องหน้า เครื่องแต่งตัว ทั้งตัวเหยียบแสน บางคนเหยียบครึ่งล้านเข้าไปแล้ว









อาทิ รองเท้าผ้าใบ sneaker (สำหรับผู้ชาย อาทิ Nike Air Vapor Max Flyknit iD , Adidas NMD R1 , Onitsuka Tiger Mexico 66 สำหรับผู้หญิง  อาทิ Nike Air Force 1 Velcro Swoosh Pack , Fila Disruptor 2 , Fila Classic Kicks B )  แว่นตากันแดดผู้หญิงทรง Cat Eye ยี่ห้อ Gentle Monster รุ่น Not to Day ,แว่นตากันแดดผู้ชาย แบรนด์ Zilingo , GAMT SQUARE FULL FRAME Polarized sunglasses แว่นกันแดด ทรงสี่เหลี่ยม เลนส์โพราไรซ์ ขนาด 58 mm สีดำ  ,กระเป๋าถือผู้ชายสไตล์เกาหลี ,กระเป๋าถือผู้หญิงสไตล์ชิควัสุดุเป็นไม้สาน,หวายสานสุดเก๋ ,หูฟังลำโพงสุดชิค กิ๊ฟเก๋ อินเทรนด์ ยังมีบลาๆๆๆๆ......เป็นต้น  ซึ่งสนนราคา ไม่ต้องพูดถึง แพงโคตร ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ใช่ลูกคนรวย หรือคนมีรายได้สูง อย่าบังอาจเอื้อมไปซื้อเลย เพราะคุณจะเสี่ยงที่จะหมดค่าขนมไปอีกหลายเดือน หรือบางรายถึงกับเป็นหนี้เป็นสิน จากค่ารูดบัตรเครดิต บานตะไท


ดราม่าวัยรุ่นไทย! เที่ยวสยาม แต่งตัวร่วมแสน (มีคลิปให้ดูแนบ)

ทันทีที่คลิปสำรวจการแต่งกายของวัยรุ่นสยามเผยแพร่ในโลกโซเชียล นอกจากกระแสดราม่าแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาคือ คำถามที่ว่าดอกมุราคามิ หรือ Murakami flower ที่เหล่าวัยรุ่นในคลิปใช้กันมันคืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นเทรนด์ฮอตฮิตและมีราคาแพงถึงหลักพันบาท ลองมาทำความรู้จักกันว่าดอกไม้หน้ายิ้มสีฉูดฉาดนี้มีที่มาอย่างไร ดอกมุราคามิเป็นผลงานการออกแบบของทาคาชิ มุราคามิ (Takashi Murakami) ซึ่งเขาใช้ชื่อของเขาเรียกแทนชื่อดอกไม้หน้ายิ้มนี้ ซึ่งศิลปินคนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นศาสดาแห่งป๊อปอาร์ตในวงการออกแบบญี่ปุ่น และผลงานของเขาก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูนอานิเมะ หรือมังงะ ซึ่งจะมีสีสันสดใส ฉูดฉาด และถ่ายทอดออกมาทั้งผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม หรือภาพพิมพ์ สำหรับเหตุผลที่ทำให้เจ้าดอกมุราคามินี้กลับมามีมูลค่า และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นั่นเป็นเพราะมีคนดังของเมืองไทยอย่างเช่นน้องโมบายล์ BNK48 หยิบเอาเจ้าดอกไม้หน้ายิ้มนี้มาประดับบนเสื้อผ้า รวมไปถึงจากคลิปวิดีโอการแต่งกายของวัยรุ่นสยามที่กลายเป็นกระแสชั่วข้ามคืนก็พบว่าวัยรุ่นสยามจำนวนมากก็กำลังหันมาฮิตดอกมุราคามิ รวมไปถึงดาราหนุ่มโทนี่ รากแก่น และศิลปินจียง G-Dragon จากวง BigBang จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมอยู่ๆ ดอกไม้หน้ายิ้มสีสดนี้จึงมีราคาสูงขึ้น โดยปกติดอกมุราคามิที่วางขายอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาท (ราคาในช่วงที่กำลังฮิต)  เมื่อนำมาขายในประเทศไทยราคาจึงสูงขึ้นเป็นธรรมดา บวกกับกำลังอยู่ในกระแสความนิยมด้วย




ข่าวพาดหัว เกี่ยวกับ Rare Items Intrend ในปีนี้
#ของมันต้องมี ! 5 รุ่นรองเท้าผ้าใบใหม่มาแรว๊งส์ แซงทุกกระแส....ได้แก่  
รองเท้าผ้าใบผู้ชาย 2018 เปิดลิสต์ 8 รองเท้าผ้าใบที่ควรมีไว้ในครอบครองปีนี้
อัปเดต ! เทรนด์แว่นกันแดดรับซัมเมอร์ 2018 ทรงไหนฮิต ทรงไหนปัง มาดูกัน
อยากเท่ห์ต้องมี 15  แว่นตาผู้ชาย ที่ดีที่สุดในเมืองไทย
2018 It-bags: รวมพลกระเป๋าสุดอินเทรนด์ที่ปีนี้คุณไม่มีไม่ได้
ดอกมุราคามิคืออะไร ทำไมถึงฮิตในกลุ่มวัยรุ่น และราคาแพงไปถึงหลักพัน
รวมภาพบรรยากาศ การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ของ harman kardon และ JBL (หูฟัง,ลำโพงอินเทรนด์)
ดราม่า-แต่งตัวเหยียบแสน!  วัยรุ่นเดินเล่นสยาม เสื้อผ้าจัดเต็ม หัวจรดเท้ามูลค่าทะลุ 6หลัก

ในภาวะเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่เวลานี้ อย่าไปคิดว่าสินค้าที่จับกลุ่มวัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง จะขายไม่ได้ แต่อย่างที่เกริ่นหัวเอาไว้ คือต้องเป็นสินค้า สวย ทน ดี และ Limited Edition ,แพงไม่ว่า ชนิดที่หาซื้อไม่ได้ทั่วไป นำไปเก็งกำไร ปั่นราคา อวดรวยเว่อร์ๆๆ ได้!!!   สินค้าเหล่านี้จะมีที่ทางหรือ เฉพาะกลุ่ม segmentation ของมัน  คนโดยทั่วไปอาจคิดว่ามันแพงแบบไร้เหตุผล หรือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แนวแฟชั่น แต่เชื่อมั๊ยว่า บางอย่าง กลายเป็นสินทรัพย์ที่นำไปสะสมหรือขายต่อแบบทำกำไรได้ แต่คนทำสินค้าขาย ก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และไอเดีย นวัตกรรม วัตถุดิบที่นำมาใช้ มหาศาล มันถึงเป็นที่มาของการตั้งราคาสูง ส่วนคนซื้อก็พร้อมจะจ่าย เพราะมันตอบสนองความพึงพอใจสูงสุด สินค้าเป็นตัวบ่งบอก แสดงตัวตน และบ่งบอกถึงฐานะทางรายได้และสังคมของเขาได้ นับวันมุลค่าของสินค้าแนว Luxury Rare Items เหล่านี้ จะเติบโตได้ในตลาดทุกตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และผลักดันให้คนที่ไม่ได้มีกำลังซื้อสูง (รสนิยมสูงแต่รายได้ต่ำ) ก็อยากได้อยากมี หรือทะเยอทะยานที่จะใคว่คว้าหามันมาครอบครองเช่นกัน ซึ่งก็ต้องประเมินว่า มันจะนำมาซึ่งภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่จำเป็น ยังมีทางเลือกของสินค้าแนวใกล้เคียง ที่ถูกกว่า และคุณภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่าให้เลือกซื้ออีกมาก
อันดับ 2  สมรภูมิค้าปลีกต้องสะเทือน เมื่อยานแม่ลง การปรากฏขึ้นของโครงการอภิมหาโปรเจ็คท์   ICON SIAM




ปีนี้ในช่วงครึ่งปีแรก มีเพียงโปรเจ็คท์ของเครือเซ็นทรัล คือเซ็นทรัลชลบุรีและเซ็นทรัลชัยภูมิ พอมาช่วงปลายปี มีโครงการของกลุ่มเสี่ยเจริญ ก็คือ ศูนย์การค้าเกตเวย์-บางซื่อ และที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ชนิดกลบทุกกระแสในช่วงนั้น ก็คือ ศูนย์การค้า ไอคอนสยาม ของกลุ่ม C.P แม็กโนเลีย ร่วมกับ สยามพิวรรธน์  บริเวณริมฝั่งเจ้าพระยา ถ.เจริญนคร ฝั่งธนบุรี ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 54,000 ล้านบาท เทียบเท่าโครงการสยามพารากอน ที่สยามแสควร์ และบริหารงานโดยกลุ่มเดียวกัน
ไอคอนสยาม
    อภิมหาโครงการที่กำลังจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งแห่งของสยาม ซึ่งวัตถุประสงค์หลักๆจากทางโครงการนั้น เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะแนะนำให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของสยาม 

ทำเลที่ตั้ง ไอคอนสยาม
ถนนเจริญนคร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร

เจ้าของโครงการ
    โดยสำหรับโครงการไอคอนสยาม เรียกได้ว่าเป็นอภิมหาโครงการสำหรับห้างเปิดใหม่เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีบริษัทที่จะเข้ามาร่วมทุนถึง 3 บริษัท คือ
1. สยามพิวรรธน์ เป็นผู้บริหาร Mixed-use development โดยมีการบริหารห้างดังๆที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน 
2. แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีทั้งคุณภาพและชื่อเสียง
3. เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำ ที่มีธุรกิจที่หลากหลาย
                  
พื้นที่ทั้งหมด
ในส่วนพื้นที่ทั้งหมดของทางโครงการ คือ 750,000 ตารางเมตร แต่สามารถที่จะแบ่งออกมาเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- 500,000 ตารางเมตร (ไอคอนสยามเมนรีเทล)
- 25,000 ตารางเมตร (ไอคอนลักซ์)

กำหนดการสร้างเสร็จเร็ว  ซึ่งสำหรับระยะเวลาที่มีการกำหนดว่าโครงการจะสร้างเสร็จ คือ ปลายปี 2560 โดยในปัจจุบันนั้นก็ใกล้กับความเป็นจริงแล้วนั่นเอง

การเดินทาง สำหรับการเดินทางมาที่ห้างเปิดใหม่สามารถที่จะเดินทางมาโดย รถShuttle Bus ซึ่งทางโครงการได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ในการเดินทางไปยังสถานีรถไฟฟ้าธนบุรี รวมไปถึงยังมีท่าเรือ เพื่อที่จะรองรับในการเดินทางที่หลากหลาย ซึ่งรวมไปถึงท่าเรือส่วนตัวอีกด้วย แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะเดินทางโดย รถไฟฟ้าก็สามารถที่จะแบ่งได้เป็น 2 เส้นทาง ดังนี้
1. สถานีสะพานตากสิน ซึ่งถ้าหากว่าลงสถานนีนี้ก็เพียงแค่เดินทะลุเข้าซอยไป แล้วหลังจากนั้นก็นั่งเรือเฟอร์รี่ไปลงท่าวัดสวนพลู แล้วทำการเดินไป เพียง 24 นาทีก็ถึงที่หมาย(ในอนาคตเมื่อห้างเปิดนั้นก็จะมีท่าเรือส่วนตัวที่สามาถที่ไปลงที่ห้างได้เลย)
2. สถานีกรุงธนบุรี สามารถที่จะเลือกนั่งเป็นรถ Shuttle Bus หรือหากว่าจะต่อรถประจำทางไปนั้น ให้ขึ้น รถเมล์ สาย 111 และ 149ร ก็สามารถที่จะเดินทางไปถึงได้เช่นกัน


จุดเด่นของห้าง สำหรับในเรื่องของจุดเด่นของ ไอคอนสยาม ก็คือ การออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับห้างสรรพสินค้า โดยจุดเด่นที่แท้จริงเลยนั้นเป็นการยกระดับให้กับกรุงเทพมหานครในการเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว เพราะเนื่องจากว่าที่ไอคอนสยามมีการรวบรวมไว้ทั้งแหล่งชอบปิ้ง สถานที่เพื่อความบันเทิง รวมไปถึงที่พักอาศัยและนอกจากนี้ยังมี 7 สิ่งมหัศจรรย์ของไอคอนสยาม ที่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาให้ได้ทราบ ซึ่งไม่เพียงเท่านั้นเพราะที่นี่ก็ยังมีสวนสนุกอีกด้วย


ข่าวพาดหัวเกี่ยวกับโครงการไอคอนสยาม ในปีนี้ ได้แก่

พาชม ไอคอนสยามอภิมหาโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาสุดอลังการ
ไอคอนสยาม 54,000 ล้าน เปิดแน่ต.ค.นี้ ล่าสุดอวด เมืองสุขสยามชูวิถีไทย 1 ใน 7 แม่เหล็กสำคัญ
ไอคอนสยามทุบสถิติขายคอนโดแพงสุด
ไอคอนสยาม ดีเดย์ 9 พ.ย.นี้ อัดงบ 1,000 ล้านเปิดตัวสร้างชื่อทั่วโลก
สะเทือนฝั่งธนฯ สยามพิวรรธน์ เคาะวันเปิด ไอคอนสยามโปรเจ็กต์ยักษ์ 5.4 หมื่นล้าน 9 พ.ย. 61 นี้





ไอคอนสยาม” ...ใหญ่ขนาดไหน?
วันศุกร์นี้ที่ 9 พ.ย.2561 และเย็นวันนี้...น่าจะเป็นเย็นอีกวันหนึ่งที่การจราจรในกรุงเทพมหานครและธนบุรีจะมีสภาพติดขัดมากที่สุดวันหนึ่งของปีนี้
เพราะจะเป็นวันที่เปิดอภิมหาโครงการ ไอคอนสยามดังนั้นผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านไปดูกันว่า อภิมหาโครงการแห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร มีความยิ่งใหญ่อย่างไร และในแง่ของความยิ่งใหญ่ในระดับประเทศนั้น...มีผลงานอะไรกันบ้าง ดังนี้ครับ
หนึ่ง จากโรงสี...สู่อภิมหาโปรเจคต์
ไอคอนสยาม เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินพื้นที่ 50 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างในพื้นที่อันเคยเป็นที่ตั้งของโรงสีสิบเก้า และตลาดศิรินทร์ ซึ่งต่อมาเป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท สยามอรุณ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในเครือศรีกรุงวัฒนา ก่อนที่เครือเจริญโภคภัณฑ์จะซื้อที่ดินนี้รวมถึงบริเวณใกล้เคียง
ไอคอนสยาม เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยความร่วมมือของ สยามพิวรรธน์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซีพี) เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นภาพที่ง่ายขึ้น เวลาเราพูดถึงสยามพิวรรธน์ ก็ให้คุณผู้อ่านคิดถึง...สยามพารากอน...สยามเซ็นเตอร์...สยามดิสคัฟเวอรี ส่วนซีพี...ก็จะเป็นร้านเซเว่น ห้างแมคโคร กลุ่มทรู และสุดท้ายแมกโนเลียทำหมู่บ้านไฮเอนด์ และอาคารสำนักงานแม็กโนเลีย ดังนั้นงานนี้จึงเป็น...งานอภิมหายักษ์ใหญ่ที่สุด...งานหนึ่งของเมืองไทย
สอง ใน “ไอคอนสยาม” มีอะไรบ้าง?
โครงการไอคอนสยามประกอบไปด้วย 4 อาคาร บนพื้นที่ 525,000 ตารางเมตร
อาคารศูนย์การค้า 2 อาคารคือ ไอคอนสยาม (Main retail & Entertainment) และไอคอนลักซ์ (Luxury Wing)  ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของร้านค้า ร้านอาหาร พื้นที่จัดแสดง พื้นที่ความบันเทิง และเป็นศูนย์การค้าที่เป็น Iconic Flagship Store โดยมีพื้นที่สำคัญมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าสยามทาคาชิมาย่า สาขาแรกในประเทศไทย พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร โดยเป็นสาขานอกประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุด แอปเปิลสโตร์ สาขาแรกในประเทศไทย ตลาดสุขสยาม ไอคอนแอคทีฟ โซนจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา แฟชันด้านกีฬา และอุปกรณ์กลางแจ้ง ไอคอนคราฟต์ แหล่งรวมงานหัตถศิลป์ฝีมือคนไทย ศูนย์ประชุมและโรงมหรสพอเนกประสงค์ ทรูไอคอน ฮอลล์ ประกอบด้วยโถงประชุมหลัก 3,000 ที่นั่ง และห้องประชุมย่อยอีก 14 ห้อง โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค 14 โรง ในจำนวนนี้มีโรงภาพยนตร์โฟร์ดีเอ็กซ์และไอแมกซ์ระบบละ 1 โรง สถานออกกำลังกายไอคอนบายฟิตเนสเฟิรส์ท และริเวอร์มิวเซียมแบงค็อก พิพิธภัณฑ์มาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้า นอกจากนั้นยังรวบรวมร้านค้าของหรูระดับ World Class Brands ตั้งแต่สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ อัญมณี และนาฬิกา โดยที่แต่ละแบรนด์จะนำเสนอร้านในรูปแบบ Global Iconic Store
แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ (Magnolias Waterfront Residences at ICONSIAM)  คอนโดมิเนียมหรู 70 ชั้น จำนวน 379 ยูนิต
เดอะ เรสซิเดนท์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล (The Residences at Mandarin Oriental Bangkok)  โครงการที่พักอาศัยระดับ super luxury ที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง ไอคอนสยาม กับ แมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ปมีจำนวน 146 ยูนิต บนความสูง 52 ชั้น
สาม “ไอคอนสยาม” ...ใหญ่ขนาดไหน?
ขนาดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไอคอนสยามมีมูลค่าการลงทุนเมื่อเริ่มโครงการ 35,000 ล้านบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท และ 54,000 ล้านบาทตามลำดับ นับเป็นการลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยในช่วงเปิดตัว (ปัจจุบันสถิตินี้เป็นของโครงการวันแบงค็อก) โดยครึ่งหนึ่งเป็นเงินลงทุนของบริษัทพันธมิตรทั้งสาม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสินเชื่อที่ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารธนชาต เป็นผู้สนับสนุน
พื้นที่ที่พักอาศัยต่อตารางเมตรราคาสูงที่สุดในประเทศไทย  เดอะ เรสซิเดนท์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล (The Residences at Mandarin Oriental Bangkok) โครงการที่พักอาศัยระดับ super luxury ที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง ไอคอนสยาม กับ แมนดารินโอเรียนเต็ล โฮเต็ลกรุ๊ปโดยตั้งมาตรฐานเป็นโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุด เทียบเท่าที่พักอาศัยหรูใน นิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว หรือเซี่ยงไฮ้ เปิดให้จองไปเมื่อปลายปี 2558 และเป็นโครงการที่พักอาศัยที่เปิดราคาได้แพงที่สุดในประเทศไทย
อาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย  แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนเซส แอท ไอคอนสยาม ความสูง 317.95 เมตร ได้ทำลายสถิติอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยของตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร ที่ 314.2 เมตร เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561
ขนาดของศูนย์การค้า  ในปัจจุบันประมาณการกันว่า ศูนย์การค้าที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย 3 อันดับแรกคือ เซ็นทรัลเวิร์ล เซ็นทรัลเวสต์เกต และสยามพารากอน และหากนับรวมไอคอนสยามเข้าไปด้วย ก็คาดว่าไอคอนสยามจะมีพื้นที่พอๆกับสยามพารากอน จึงคาดว่าไอคอนสยามก็น่าจะเป็นศูนย์การค้าที่มีพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย  (เครดิตบทความโดย ดร.วีระพงษ์ ชุติภัทร์ ,วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต www.CsiSociety.com คอลัมน์: ก้าวไกลไปกับนวัตกรรมสังคม , คุยให้คิด ,Bangkokbiznews.com)


ถามว่าเมืองไทยจะมีโปรเจ็คท์ศูนย์การค้าใหญ่ระดับโลกนี้อีกหรือไม่ หรือนี่คือที่สุดของเมืองไทยแล้ว บอกเลย ว่ามี ในอนาคต หากว่ามีพื้นที่หรือ LandBank สำคัญอยู่ในจุดของ Prime Area ใดๆ เกิดขึ้นมาอีก นักพัฒนาโครงการในบ้านเรา ก็พร้อมที่จะปั้นโปรเจ็คท์เว่อร์วัง อลังการแบบนี้ได้อีก เอาแบบที่ใกล้ที่สุด ในอีกปี 2 ปีนี้ บริเวณแถวบางนา ก็จะมีโครงการ Bangkok Mall Bangna ซึ่งเป็นโครงการศูนย์การค้าของกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป ที่เคลมว่าจะเป็นศูนย์การค้าที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในไทยและในอาเซียนเปิดขึ้นมาอีก พลอยทำให้แถวบางนารถติดหนักกว่าเดิมแน่ เมืองไทยนี้อย่างน้อยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีศูนย์การค้าเยอะที่สุดในโลกแล้วกระมัง เฉพาะในกรุงเทพฯ นี่ก็แทบทุกหัวระแหง จน นทท.ฝรั่งค่อนขอดเมืองไทยว่า Amazing Thailand Shopping Center,The Most of the World!!! โครงการ ไอคอนสยาม จริงๆ แล้วจับกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นด์ที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง และสิ่งที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด เพื่อตอกย้ำให้ไทยอยู่ในตำแหน่ง