วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ท่องโลก (A3) ทางความคิดไปกับคีย์เวิร์ดที่ขึ้นต้นจาก A-Z อักษร A ตอนที่ 3


 ท่องโลกด้วยอักษรตัว A (ตอนที่ 3)

A.I. ,Android
Application
Anti
Alternative

เรากำลังอยู่ในโลกยุคที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนษย์มากขึ้นทุกวัน ทั้งมาเป็นเครื่องมือหรือตัวช่วยการทำงาน สร้างผลิตผล ผลิตภาพในการทำงานเหนือกว่ามนุษย์ หรือมาเป็นเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต และในอนาคตมันจะมีบทบาท ในหลายๆ เรื่องที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์กันเลย  นอกเหนือจากปัญญาประดิษฐ์ ยังมีโปรแกรมสำเร็จรูปหรือจะเรียกว่า Application อะไรก็ตาม เป็นเหมือนเครื่องมือช่วยให้ผู้ใช้บริการ หรือมนุษย์ ได้รับความสะดวกในการใช้บริการได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ส่วน Anti เป็นเรื่องการกบฏ หรือคัดค้านต่อสิ่งใดก็ตาม ที่สังคมคนส่วนใหญ่ หรือส่วนน้อยที่เห็นแตกต่าง หรือคัดค้านในเรื่อง หรือกรอบความคิดอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคม หรือทำให้สังคมได้รับผลกระทบ เดือดร้อน และตัวสุดท้ายคือ Alternative คืออะไรก็ตามในโลกนี้ มนุษย์มีทางเลือกมากขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น มันเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคในคราวเดียวกัน เพราะปัญหาของมนุษย์ก็คือ เราไม่รู้ว่า ทางเลือกที่ว่า มีกี่ทางเลือก และทางเลือกไหนเหมาะสมกับเรามากที่สุด




AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence แปลเป็นไทยว่า ปัญญาประดิษฐ์” AI ปัญญาประดิษฐ์ คือการสร้างความฉลาดให้กับสิ่งไม่มีชีวิต เพื่อให้สามารถคิด ทำงาน และเรียนรู้ได้เอง โดยมีจุดประสงค์หลักก็ทำเพื่อให้มันสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ในช่วงเริ่มแรกมักจะนำมาใช้ในงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรือเป็นงานที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตได้  แต่ในโลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ยังคงไม่ได้หยุดอยู่แค่จินตนาการในโลกแห่งภาพยนต์และนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ยังคงมีความพยายามว่าจะทำให้เกิดขึ้นมาจริงๆให้ได้ และก็พยามยามนั้นก็เป็นผลจริงๆ แม้ตอนนี้จะได้เพียงแค่เริ่มต้น
AI ปัญญาประดิษฐ์ และมันไม่ใช่หุ่นยนต์
เราอาจจะคุ้นเคยและรู้จักกับเทคโนโลยี AI จากภาพยนต์และนิยายวิทยาศาสตร์เป็นหลักและไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงมาได้ ภาพยนต์ที่มีจินตนาการเรื่องแรกๆที่โด่งดังน่าจะเป็น สตาร์วอร์ ต่อมาก็ คนเหล็ก และก็มีเรื่อง A.I. Artificial Intelligence ชื่อไทยว่า A.I. จักรกลอัจฉริยะ เอาชื่อนี้เลย ซึ่งทั้งหมดล้วนจินตการถึงหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกล แต่ AI ไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เป็นสมองของหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร ซึ่งมันก็คือ Software หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรนั่นเอง ตัวหุ่นยนต์เป็นเพียงแค่โครงร่างเท่านั้น ยกตัวอย่าง AI ที่ไม่มีรูปลักษณ์เป็นหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร เช่น SIRI ในไอโพนมันสามารถพูดจาสนทนา ตอบคำถาม ส่งจดหมาย ค้นหาข้อมูลได้ ที่เราเห็นและใช้ประจำอีกอย่างหนึ่งคือ Search Engine ของ Google ก็ไม่มีลักษณะใดๆใกล้เคียงหุ่นยนต์เลย


ประวัติและวิวัฒนการของปัญญาประดิษฐ์

ตั้งครรภ์ AI (ค.ศ. 1943-1955)
กำเนิด AI (ค.ศ. 1956)
อุตสาหกรรม AI (ค.ศ. 1980-ปัจจุบัน)
วิทยาศาสตร์แห่ง AI (ค.ศ. 1987-ปัจจุบัน)
ตัวแทนปัญญาปรากฎตัว (ค.ศ.1995-ปัจจุบัน)
(เครดิตข้อมูลจากเพจ it.mahidol.ac.th)

AI ในระดับของสติปัญญาต่างๆ

มีการแบ่งหรือจำแนก AI ออกมาเป็นหลายๆแบบ ตามคุณลักษณะต่างๆของ แต่การแบ่ง AI ตามระดับความสามารถและสติปัญญาดูจะเข้าใจง่ายและใช้กันแพร่หลาย ซึ่งมีการจำแนกออกเป็น 3 ระดับดังนี้
  • Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรืออาจจะเรียกว่า Weak AI ซึ่งเป็น AI “ปัญญาประดิษฐ์” :ซึ่งมีระดับระดับสติปัญญาที่มีความสามารถในการทำงานได้ในเรื่องแคบๆอยู่ในวงจำกัด เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นในปี 1997 IBM สร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเอาชนะแชมป์หมากรุกได้ ในยุคปัจจุบัน Google สามารถสร้างรถยนต์ไร้คนขับได้ SIRI ของแอปเปิ้ลสามารถสื่อสารพูดคุยกับคนได้ นั่นก็สามารถทำได้เพียงแต่แค่นั้น มันยังคงไม่มีความสามารถ และมีสติปัญญาคิดไปทำอย่างอื่นในขอบเขตที่กว้างไกลใกล้เคียงมนุษย์ได้
  • Artificial General Intelligence (AGI) อาจเรียกว่า Strong AI ซึ่งเป็นสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ เป็น AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่ความสามารถในการทำงานได้เทียบเท่ากับสมองมนุษย์ ในปัจจุบันเรายังไม่สามารถสร้าง AGI ได้ แต่ศาสตราจารย์ Linda Gottfredson ได้อธิบายว่า AGI ปัญญาประดิษฐ์ในระดับนี้เป็นความสามารถทั่วไปเกี่ยวกับจิตใจความนึกคิดมากกว่าอย่างอื่น โดยจะเกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการเรียนรู้ วางแผน การแก้ปัญหา รู้จักคิดในเชิงนามธรรม มีความคิดที่สลับซับซ้อน เรียนรู้ได้เร็ว เรียนรู้จากประสบการณ์ โดยปัญญาประดิษฐ์ในระดับ AGI จะสามารถทำได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่มนุษย์ทำได้
  • Artificial Superintelligence (ASI) เราอาจเรียก ASI ซุปเปอร์ปัญญาประดิษฐ์ มีปัญญาเหนือมนุษย์ Nick Bostrom จากออกฟอร์ดซึ่งเป็นนักปรัชญาและผู้นำด้านความคิดด้าน AI ให้คำจำกัดความของ ASI ว่ามันจะฉลาดและมีปัญญามากกว่าสมองมนุษย์ที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องทั่วๆไป แม้กระทั่งความสามารถในการเข้าสังคม

Waymo รถยนต์ไร้คนขับ ของ google วิ่งทดสอบมาแล้วกว่า 2 ล้านไมล์ (ภาพจากเวปของ Waymo)

เราใช้เทคโนโลยี AI อยู่บ้างไหมในชีวิตประจำวัน

ในโลกปัจจุบันราคงอยู่ในยุคของ ANI คือปัญญาประดิษฐ์ ในระดับต่ำคือระดับเบื้องต้นยังเพียงแค่ทำงานได้เฉพาะส่วนๆไปๆ เป็นบางเรื่องบางราวที่เก่งเท่าหริอฉลาดเท่ากับมนุษย์ และเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆหลายเรื่องหลายราวที่แวดล้อมเราอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งที่อยู่ระหว่างการทดลอง ล้วนแต่บงชี้ให้เราเห็นถึงทิศทางของการพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ จะยกตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่เราพบอยู่เป็นประจำ เช่น
  • Facebook  แทบจะทุกคนตื่นเช้ามาก่อนทำอื่นใดต้องดูฟีดข่าวของเฟสบุค เราเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงส่งเรื่องราวของคนโน้นคนนี้ให้เรา และแนะนำเพื่อนที่เราควรจะรู้จักให้เรา ส่งโฆษณาที่เราควรจะสนใจให้เรา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถของ ANI และมาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ค ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ค ยังได้สร้าง AI ควบคุมการทำงานในบ้านส่วนตัวของเขา เหมือนกับ JARVIS ของ โทนี่ สตาร์ค ในภาพยนต์ IRON MAN โครงการนี้ของมาร์ค ชื่อ Javis เช่นกัน โดย Javis มีความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆในบ้าน เช่น ควบคุมอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน คอยเตือนว่ามีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นในห้องของ MAX ลูกชายของมาร์ค และยังสามารถเชิญแขกของมาร์คเข้ามาในบ้าน และเตือนมาร์คว่ามีแขกมาหา ทั้งหมดนี้ควบคุมด้วยเสีย โดย Javis จะใช้เสียงของ Morgan Freeman แทนตัวเอง ต่อไปคุณอาจจะเห็น Javis มาเล่นเฟสบุคก็ได้
  • Search Engine กูเกิ้ล คิดอะไรไม่ออกถามอากู๋ กูเกิ้ลนับว่ามีความสำคัญเกือบจะเทียบเท่าปัจจัยที่ 4 เลยทีเดียว ท่านลองนึกดูนะถ้าเราไม่มีกูเกิ้ลเราจะทำงานยากแค่ไหน เอาง่ายสมมุตินะ เราต้องการหาโรงพยาบาลสักแห่งที่อยู่แถวๆรามคำแหง ถ้าไม่มีกูเกิ้ลเราจะถามใคร แล้วใช้เวลาเท่าไรกว่าเราจะรู้ว่ามีโรงพยาบาลอะไรบ้าง กูเกิ้ลรู้ได้อย่างไรว่าจะนำเสนอหน้าเพจไหนให้เรา และเพจไหนควรจะอยู่ลำดับไหนของการค้นหาในแต่ละคีย์เวิร์ด และการนำส่งโฆษณาของกูเกิ้ลอีก กูเกิ้ลรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังสนใจสินค้าตัวนั้น ล้วนแต่เป็นการเรียนรู้ของสมองกลของกูเกิ้ล ในปี 2009 กูเกิ้ลยังสร้างรถไร้คนขับ ชื่อ Waymo และทดลอง ขณะนี้ยังรถไร้คนขับทดสอบวิ่งไปแล้ว 2 ล้านไมล์ในทุกสภาพจราจร ไม่ใช่แค่กูเกิ้ลเท่านั้น Tesla ผู้ผลิตรถไฟฟ้าก็ได้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับของตัวเองในสภาพถนนต่างๆล่าสุดนำมาทดสอบในการจราจรคับคั่งแล้ว
  • SIRI ของ Apple ใครที่ใช้โทรศัพท์ยอดนิยมไอโฟนของ Apple ย่อมต้องคุ้นเคยกับ SIRI ใครไม่เคยใช้อุปกรณ์ใดๆของแอปเปิ้ลอาจจะงง SIRI คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คอยช่วยเหลือและทำตามคำสั่งเรา โดยเราจะออกคำสั่งโดยเสียง แล้ว SIRI จะพยายามค้นหาหรือแปลความหมายว่าเราต้องการอะไร หรือให้ทำอะไร ซึ่งโปรแกรมนี้ถูกฝังมาในระบบปฏิบัติการในอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล เช่น โทรศัพท์ นาฬิกา ทีวีบ๊อก เป็นต้น
  • Email Spam Filter โปรแกรมจะเรียนรู้และรู้ได้อย่างไร Email ตัวไหนเป็นสแปมและตัวไหนไม่ใช่สแปม

ทั้งหมดที่ยกมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เราใช้และพบเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งยังมีอีกหลายๆอย่างและมากมายที่ใช้เทคโนโลยีนี้ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งหลายๆบริษัทใช้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือในการซื้อขาย หรืออย่างการควบคุมการบิน การใช้ auto pilot ของนักบินล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั้งสิ้น  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดก็ยังอยู่ในระดับ ANI เพียงแค่นั้น ณ ปัจจุบันโดรน อากาศยานไร้คนขับ พร้อมติดตั้งจรวดนำวิธี

เสี่ยงไหมในการที่ทำวิจัยและพัฒนา AI เทคโนโลยี

  • ในเวลาปัจจุบันไปจนถึงอนาคตอันใกล้ๆนี้ AI เทคโนโลโลยี หรือปัญญาประดิษฐ์นี้แม้จะยังอยู่ในระดับแค่ ANI แต่ก็มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางมากขึ้นในหลากหลายวงการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค ความมั่นคงปลอดภัย  ปัจจุบันอันตรายหรือความเสี่ยงที่เราพบเห็นจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งก็แค่เป็นการกวนใจ เช่น ความพิวเตอร์ทำงานผิดพลาดหรือถูกแฮก หรืออาจจะโดนไวรัส  ซึ่งไม่ส่งผลกระทบมากในวงกว้างและไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดในระบบที่สำคัญๆ เช่น ความผิดพลาดของรถยนต์ไร้คนขับที่ทำงานผิดพลาด แน่นอนอาจอันตรายถึงชีวิต หรือความผิดพลาดของของระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า น้ำปะปา แก๊สหรือน้ำมัน  ความผิดพลาดของการควบคุมการบิน หรือความผิดพลาดของโปรแกรมการลงทุนอัตโนมัติ ซึ่งความผิดพลาดระดับนี้จะส่งผลเสียอย่างมาก ไม่ว่าจากทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หนักข้อขึ้นไปอีกความผิดพลาดทางด้านทหารและความมั่นคง ซึ่งนักวิจัยยังคงต้องค้นหาแนวทางการป้องกันเหตุไม่ให้เกิดความเสียต่อการนำ AI มาใช้ ความเสียจะใหญ่หลวงมากขึ้นไปอีก ถ้ามีการแข่งขันกันพัฒนาด้านอาวุธแบบอัตโนมัติ ถ้าเราไม่สามารถควบคุม AI ได้ อาจทำให้เกิดสงครามเป็นวงกว้างได้เลยทีเดียว นักวิจัยและพัฒนาต้องหาหนทางป้องกันอันตรายที่จะเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา
  • ในอนาคตที่ไกลออกไปอีก เมื่อ AI เทคโนโลโลยี หรือปัญญาประดิษฐ์ถูกพัฒนาจนถึงจุดที่เรียกว่า AGI หรือมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ก็จะสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมาเองได้ และพัฒนาขึ้นเองได้ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์อย่างเราถูกทิ้งให้ล้าหลัง และสุดท้ายจะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็น ASI หรือซุปเปอร์ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ และมีคนเกรงว่าถ้าเราไม่วางแนวทางให้ดีในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น
มีคนหลายๆคนคิดว่าเทคโนโลยี AI จะมีโอกาสพัฒนาไปได้ถึงระดับ AGI คือมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ และก็มีหลายคนบอกว่าการพัฒนาให้ AI มีสติปัญญาเหนือมนุษย์เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ามนุษย์จะยังคงพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีสติปัญญาในระดับขั้นสูงไปเรื่อยๆ และมนุษย์จะต้องหาทางพัฒนาให้เทคโนโลยีนี้ให้ใช้ได้อย่างปลอดภัยและเป็นประโยชน์แก่มนุษย์เอง เราเชื่อเช่นนั้น Jarvis ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ใช้สำหรับความคุมอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน เช่น ปิ้งขนมปังได้ด้วย  ผู้เชี่ยวชาญในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแสดงความกังวลต่อการวิจัย AI  Bill Gate, Stephen Hawking, Elon Musk, Steve Wozniak และคนมีชื่อเสียงอีกมากมาย ขณะนี้นับได้ประมาณ 8,000 คน ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกเพื่อส่งสารแสดงความกังวลเกี่ยวกับการวิจัยเทคโนโลโลยี AI ซึ่งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญในการวิจัย ช่วงเวลา ทิศทาง และเป้าหมาย กำหนดกฎเกณฑ์ว่า AI ควรจะมีขอบเขตว่า AI ควรทำอะไรได้และอะไรที่เราต้องการให้ AI ทำ ซึ่งจะเป็นการวิจัยและประดิษฐ์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมของเรา ในอนาคตข้างหน้าเมื่อเราสร้าง AI ขึ้นมาให้มันฉลาดกว่าสมองมนุษย์ได้แล้วเราจะสามารถควบคุมและใช้งานได้อย่างเต็มประโยชน์เพื่อมนุษยชาติอย่างปลอดภัย ไม่แน่นะเมื่อเราสร้าง ASI ได้แล้วโรคที่เราเคยรักษาไม่หายอาจจะรักษาได้ อะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับสมองมนุษย์ ASI อาจทำขึ้นมาได้และนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์  (เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ Khundee.com)
9 ความสามารถของ A.I ที่มีคุณลักษณะเป็นข้อดีที่นำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้

1.ระบบเรียนรู้ข้อมูลและทำนายข้อมูลได้ละเอียดแม่นยำด้วย Matchine Learning,Big Data Platform
2.อุปกรณ์พิเศษเพื่อการประมวลผลเฉพาะทางสำหรับ A.I. (A.I. Optimized Hardware)
3.ผู้ช่วยตัดสินเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย (Decision Management)
4.มีความเหนือกว่า Machine Learning ด้วย Deep Learning
5.ระบุตัวตนเองได้ ด้วย A.I.
6.รู้จักภาษามนุษย์ โดยใช้การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP)  
7.ตอบโต้ได้ด้วยเสียง ด้วยระบบความจำและสังเคราะห์เสียงพูดได้ (Speech Recognition and Synthesis)
8.เข้าถึงทุกบริการได้ด้วยผู้ช่วยเสมือนจริง (Virtual Agents)
9.เป็นระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotic Process Automation)
(เครดิตข้อมูลบทความจากเพจ theviable.co)

Application คืออะไร 

Application คือโปรแกรมประเภทหนึ่ง ที่เราเรียกว่าโปรแกรมประยุกต์ โปรแกรมเหล่านี้จะถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น พิมพ์เอกสาร, คำนวณ, ตกแต่งรูปภาพ เป็นต้น จากอดีตนั้นโปรแกรมเหล่านี้ทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว เราจึงมักเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า Application แต่เมื่อมีการพัฒนา Smartphone ขึ้นมา Application ก็ได้พัฒนา และไปใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย และนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "App" นั่นเอง 
การทำงานของ Application บนเครื่องคอมพิวเตอร์ และบน Smartphone นั้นค่อนข้างต่างกัน Application ที่ทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีขนาดใหญ่ และมีความสามารถมากกว่า App ที่ทำงานบน Smartphone ถึงแม้ App บน Smartphone จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ใช้งานได้สะดวกมากกว่า ภาพด้านล่างคือภาพตัวอย่างของ App สำหรับ Smartphone ที่มีให้ Download อยู่บน Google Play  อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ มีความจุเพิ่มมากขึ้น มีหน่วยประมวลผลที่เร็วขึ้น Application จึงได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน 

ประโยชน์ของ Application

·    ช่วยให้การทำงานเฉพาะด้าน ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป, การแต่งภาพ หรือการทำงานด้าน อื่น ๆ อีกมากมาย
·     สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว เพราะ App แต่ละตัวจะถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่ ๆ แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอข้อมูล, เกมส์ หรือ App สำหรับทำงานเฉพาะด้านทั่วไป
·     App บนสมาร์ทโฟนนั้นใช้งานง่าย และมีขนาดกระทัดรัด คุณจึงสามารถใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
·     สำหรับหน่วยงาน องกร์ธุรกิจต่าง ๆ App ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร






ยิ่งมนุษย์เจริญด้านวัตถุมากขึ้นเท่าไหร่ จะมาคู่กับความเสื่อมของจิตใจคน และพฤติกรรมแสดงออกแบบแปลกๆ ที่เรียกว่า พฤติกรรมต่อต้านสังคม ดังจะเห็นได้จาก ภาพตัวอย่าง สังคมอเมริกันป่วย มีคดีอาชญากรรมที่เยาวชน หรือคนทั่วไป พกปืนออกไปกราดยิง ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งๆ ที่เหยื่อเหล่านั้นไม่เคยมีเรื่องขัดแย้ง บาดหมางหรือเป็นคู่กรณีกับ ผู้ก่อคดีเหล่านั้นเลย เราขอเรียกคนเหล่านี้ว่า ผู้ป่วยทางจิตชนิดนึง  และนี่เป็นส่วนหนึ่งของ พฤติกรรมที่เรียกกว่า “Antisocial Personality Disorder
กระแสและพฤติกรรม ต่อต้านสังคม มาพร้อมๆ กับ ความเจริญก้าวหน้าของสื่อ Social Media แต่ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมหรือกระแส ของ Anti มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ นับแต่สังคมมนุษย์ถูกปกครองด้วยระบบเผด็จการ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบบทาสแล้ว ไปดูความหมายในเชิงจิตวิทยากันว่าหมายถึงอะไร
Antisocial Personality Disorder 
โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม ===


คำว่า antisocial ซึ่งแปลเป็นไทยแบบตรงตัวว่า "ต่อต้านสังคม" นี้
ทำให้หลายคน เข้าใจผิด ว่า หมายถึง คนที่ชอบทำอะไรแหกคอก ชอบประท้วง ขี้โวยวาย หรือ คนที่ชอบจะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับคนเยอะๆ (introvert)

แต่จริงๆแล้ว คนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้ คือคนแบบไหนกันแน่?
มีอยู่ใกล้ตัวเรา หรือ เป็นคนใหญ่คนโตในสังคม บ้างหรือเปล่า?

โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมนี้ พบได้บ่อย มีทั่วไปแม้แต่ในสังคมใกล้ตัวของเรา เกิดขึ้นกับเพื่อนบางคนของเรา

คนเหล่านี้มักทำให้เราเดือดร้อน ก่อเรื่องให้เกิดความสูญเสียแก่คนอื่น และส่วนรวมอย่างมาก

ความจริงแล้วโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาในวัยเด็ก และการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งสามารถป้องกันได้

แต่ก็เป็นโรคที่ถูกมองข้าม ละเลย ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วรักษายากมาก และไม่ค่อยได้ผล

 อาการ

1. ตั้งเป้าหมายหรือทำอะไรโดย คิดถึงความพอใจหรือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่ามันจะผิดกฎ(หมาย) หรือผิดวัฒนธรรมของสังคม

2. ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ไม่สนใจความรู้สึก ความต้องการ หรือ ความทุกข์ทรมานของผู้อื่น ไม่มีความสำนึกผิดเมื่อทำร้ายใคร

3. ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้

4. โมโหง่าย โกรธบ่อย แม้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ , ก้าวร้าว ละเมิดสิทธิหรือทำร้ายคนอื่น รังแกสัตว์

5. หุนหันพลันแล่น ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ

6. มักจะทำอะไรเสี่ยงๆ / อันตราย / หรือที่ก่อผลเสียต่อตัวเอง โดยไม่มีความจำเป็น และ ไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา

7. ทำลายข้าวของสาธารณะ ทำผิดกฎเกณฑ์ กติกาของหมู่คณะ หรือกฎหมาย

> พูดสั้นๆ ... ลักษณะสำคัญที่สุด คือ ไม่มีความรู้สึกผิด ...
ทำให้คนกลุ่มนี้ทำอะไรก็ได้ (แม้กระทั่งฆ่าคน) เพราะไม่รู้สึกอะไร

.
โรคนี้มักเป็นตั้งแต่เด็ก อาการจะมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยในสมัยเด็ก จะเริ่มจาก ซน อยู่ไม่นิ่ง พูดเก่ง คุยเก่ง ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบพูดคำหยาบ ใจร้อน ขี้โมโห เวลาโกรธจะยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ ทำให้มีเรื่องกันบ่อยๆ บางทีถึงชกต่อยกันที่โรงเรียน
พฤติกรรมมักจะเลียนแบบพ่อ หรือคนในครอบครัวที่เกเร และพ่อแม่ไม่มีเวลาแก้ไขพฤติกรรมลูก ครอบครัวมักไม่อบอุ่น พ่อแม่มีปัญหาครอบครัว มีโรคทางจิตเวช หรือการใช้สารเสพติดในครอบครัว
ความก้าวร้าวเกเรจะมากขึ้นเรื่อยๆ ผลการเรียนแย่ลง เพราะไม่ค่อยเข้าเรียน ชอบโดดเรียนไปเล่นเที่ยว
เพื่อนมักจะเป็นเด็กโตกว่า และนิสัยเกเรเช่นกัน ความก้าวร้าวในกลุ่มทำให้ไปมีเรื่องกับโรงเรียนอื่น

ตอนพวกเราเด็กๆเราคงเคยเจอปัญหาเพื่อนที่มีลักษณะแบบนี้ คนที่เกเรที่สุดในห้อง คนที่เราไม่ค่อยอยากเล่นด้วยเพราะเขาชอบแกล้งเพื่อนรังแกเพื่อน ทำผิดเสมอๆ ถูกดุถูกว่าบ่อยๆ

โตขึ้นก็ยังเป็นแบบนี้ ดูเผินๆอาจจะเหมือนคนปกติ เพราะเจ้าตัวจะปิดบังอาการและความไม่ดีได้บางช่วง



ในสังคมเรามีคนที่บุคลิกภาพผิดปกติแบบนี้ไม่น้อย

ที่เห็นชัดๆง่ายๆ คือที่ปรากฏเป็นข่าวอาชญากรรมขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน ได้แก่พวกที่ จี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน

แต่ที่เห็นไม่ค่อยชัด คือ กลุ่มที่ฉลาด ได้แก่ พวกโกหก หลอกลวง โกง คอร์รัปชั่น หาประโยชน์ใส่ตน หรือ พรรค-พวก
เมื่อจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็มักจะหลุดรอดออกมาเป็นที่นับหน้าถือตาของคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมีเงินมาก มีอำนาจสูง สามารถ "สร้างภาพ" ให้คนหลงเชื่อได้ว่าเป็นคนดี

กลุ่มหลังนี้อันตรายกว่ากลุ่มแรกมากเพราะพวกเราชาวบ้านไม่ค่อยรู้ชัดๆว่าเป็นใคร

การมีคนประเภทนี้ในสังคมทำให้เราเสียประโยชน์มากมาย นอกจากประเทศชาติจะถูกโกง คนบริสุทธิ์ถูกเบียดบังประโยชน์แล้ว
ที่เห็นชัดๆก็คือ เวลาพวกนี้ทำผิด รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียวในการจัดการ ตั้งแต่การติดตามจับกุม สืบสวน สอบสวน ฟ้องศาล และดูแลในคุก
นอกจากเสียเงินแล้ว เรายังเสียทรัพยากรอื่นๆ เช่น บุคลากร เวลา สถานที่ ฯลฯ ทำให้คนที่ควรจะทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต้องมาเสียเวลากับคนกลุ่มนี้ไม่น้อย

สำหรับประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้โดยตรง ก็ต้องมาหาทางป้องกันปัญหาจากการถูกละเมิดที่อาจเกิดขึนเมื่อใดก็ไม่รู้ตัว บ้านเราก็เลยต้องมีรั้วสูงๆ มีเหล็กดัดกันขโมย ทำให้เราต้องหมดเปลืองไปกับคนพวกนี้

> การรักษา

การรักษาคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติแบบนี้ (รวมถึง personality disorders แบบอื่นๆ) ทำได้ยากมากๆ เพราะการกระทำของเขากลายเป็นนิสัยส่วนตัว เป็นบุคลิกภาพ ไปแล้ว

ที่สำคัญคือ เจ้าตัวมักจะไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกว่าปัญหาเกิดจากตัวเอง ไม่เห็นว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไข ไม่ร่วมมือในการรักษา
การป้องกันจึงสำคัญและลงทุนน้อยกว่า

> การป้องกัน

การจะป้องกันโรคนี้ ต้องตอบให้ได้ก่อน ว่า "เพราะอะไร" คนถึงป่วยเป็นโรคนี้ คำถามนี้น่าสนใจมาก ถ้าเรารู้คำตอบ น่าจะป้องกันได้

ปัจจุบันเราค่อนข้างมั่นใจว่า โรคนี้เกิดจากการเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก การขาดการดูแลในช่วงขวบปีแรกซึ่งสำคัญมากในการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อคนอื่น การมองโลกในแง่ดี การรู้สึกเห็นอกเห็นใจใคร จะเป็นสาเหตุใหญ่ข้อหนึ่ง

ต่อมา การขาดการฝึกการควบคุมตนเอง ระเบียบวินัยในขวบปีที่สองและสาม จะทำให้เด็กขาดการควบคุมจิตใจตนเอง ทำให้เด็กเอาแต่ใจตนเอง
ในวัยต่อๆมาเด็กจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัวและใกล้ชิด ... ครอบครัวเป็นแบบใดเด็กก็มักจะเป็นแบบนั้น
เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ก็จะเรียนรู้จากเพื่อน และครู นอกจากนี้สังคมภายนอกก็เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กเช่นกัน

การเรียนรู้เหล่านี้ ถ้าเป็นไปด้วยดี เด็กจะมีความมั่นคงในอารมณ์ รู้จักแยกแยะดีเลว และควบคุมตัวเองให้อยู่ในกติกาสังคมได้

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่จะช่วยกันป้องกันปัญหา

(เครดิตข้อมูลบทความดั้งเดิมโดย ผศ.นพ. พนม เกตุมาน อาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล,#หมอมีฟ้า,เพจสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย)



จบคีย์เวิร์ด อักษร ที่ขึ้นต้นด้วยอักษร A แต่เพียงเท่านี้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น