กาเหว่าอึกทึก
EP.5 คดีนายธรรม (พลทหารธรรม นโลดม)
ที่ห้องครัว
หลังร้านเนื่องนวล ซึ่งในเวลานี้สารวัตรเดชกับทีมงาน ได้รุดมาดูศพของน.ส.หวา
ที่ญาติได้โทร.มาแจ้งว่าพบศพอยู่ในเตาอบทำขนม สารวัตรเดช จึงได้ตามหมอแล็บ แพนด้า
มาช่วยกันวิเคราะห์สภาพศพด้วย
“ฆาตกร มันช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
เหตุใดมันจึงต้องฆ่าแล้วหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ ด้วย ทำไปเพื่ออะไร”
“มันคงได้แรงบันดาลใจ
มาจากคดีฆ่าหั่นศพ หลายๆ คดีที่เคยมีมาแน่ๆ และฆาตกรยังเชี่ยวชาญการผ่าตัดอีกด้วย”
“ยังไงเหรอหมอ”
“ก็ดูจากชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่หั่นออกมาแต่ละชิ้น
ทำอย่างวิจิตรบรรจง รู้หลักทางกายวิภาคของมนุษย์
มันไม่ได้หั่นศพแบบคนที่ไม่รู้หลักวิชา เพราะชิ้นส่วนแต่ละชิ้น
ถูกเฉือนในจุดที่ไม่ทำให้เส้นเลือด เส้นประสาท และอวัยวะภายในเสียหายเลย
ทำอย่างคนที่รู้หลักด้านศัลยแพทย์มาเป็นอย่างดี”
“แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ
มูลเหตุจูงใจที่ทำให้มันต้องฆ่า น.ส.หวา นี่แหละ รวมถึงเพื่อนๆ ในร้านของเธอด้วย
หายตัวไปทั้งกลุ่ม และยังไม่พบศพเช่นกัน”
จากนั้นหมวดแชนเดินเข้ามารายงานความคืบหน้า
ในการสืบทางลับ เกี่ยวกับคดีนี้
“สารวัตรครับ
ตอนนี้คุณนายละเมียด โทร.มายัง บช.น. มาแจ้งว่า พบคาบเลือด และถุงขยะที่มีคราบเลือดติดอยู่จำนวนมากบนบ้านของเธอครับ
เลยให้ตำรวจที่ออกเวรแล้วรีบรุดไปดูก่อน”
“คราบเลือดงั้นเหรอ
นี่อาจเป็นเบาะแสก็ได้ งั้นหมวดกบี่ไปกับผม ที่บ้านของคุณนายละเมียดเลย ทางนี้ หมวดแชน
คุณรีบนำชิ้นส่วนของศพน.ส.หวา ไปยังนิติเวช ด่วนเลย หมอแล็บฝากดูแลศพนี้ให้ด้วยครับ”
ที่บ้านของนางละเมียด
แถวชานเมือง เขตบางพลัด ที่ปล่อยร้างไว้ เดิมทีต้องการจะให้หมอปรีด์เปรมเช่าอยู่
เพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ แต่หมอปรีด์เปรมดันไปบอกต่อพะนอนิจว่า
จะไม่ไปอยู่บ้านเช่าหลังนั้น พะนอนิจก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายกล้าฟัง ทำให้นายกล้าคิดกุศโลบายจะใช้บ้านเช่าหลังนี้เป็นสถานที่วางแผนล่อ
น.ส.หวามาสังหาร ตามแผนการที่ได้วางไว้
พอสารวัตรเดช
กับหมวดกบี่ไปถึงบ้านของคุณนายละเมียด ก็รีบเข้าไปดูยังจุดเกิดเหตุ
พบว่ายังมีคราบเลือด กองอยู่เต็มพื้น และรอยเลือดที่หยดอยู่ตามพื้น และมีร้อยเวร
จนท.ตำรวจคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ นอนอยู่กับพื้น
“จ่า เป็นอะไร
ใครทำอะไรคุณเหรอ”
“หมวด สารวัตร
รีบตามไปเร็ว มันเพิ่งวิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้าน ใครกันหน่ะ” ยังไม่ทันที่จะซักไซ้เอาความจากจ่าจุ้ย
ให้รู้ว่าเป็นใคร หมวดกบี่ รีบกระโจนไปทางหลังบ้าน เพื่อวิ่งไล่ตามผู้ต้องสงสัยไป
ซึ่งเป็นคนทำร้ายจ่าจุ้ย ได้รับบาดเจ็บ
“หยุดนะ
ถ้าแกวิ่งอีกก้าวเดียว ฉันยิงแกแน่เลย หันหน้ามาซิ ฉันบอกให้หันมาไง....”
“คุณไม่กล้ายิงผมหรอก
เพราะว่า ตำรวจจะยิงประชาชนได้อย่างไร ถ้าประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีทางสู้”
“ที่แท้เป็นแกจริงๆ ด้วย
นายกล้า ยอมมอบตัวซะดีๆ เถิด ตอนนี้มีหมายจับแกไปทั่วทั้งพระนครแล้ว”
“เอ้า....สารวัตรเดช
มาด้วยเหมือนกันเหรอครับ”
กล้าแกล้งพูดเบนความสนใจ จนหมวดกบี่เอี้ยวหลังไปมองดู
เป็นจังหวะที่นายกล้าหยิบหมามุ่ยออกมาจากกระเป๋า
แล้วเขวี้ยงใส่หน้าของหมวดกบี่พอดี พอโดนหมามุ่ยที่คอและบนมือ ทำให้เกิดอาการคันขึ้นมา
จนทำให้หมวดกบี่ต้องปัดป้องหมามุ่ยออกจากตัว
เป็นจังหวะที่ทำให้กล้าวิ่งหนีไปจากจุดนั้นทันที กว่าที่หมวดกบี่จะรู้ตัวว่านายกล้าวิ่งหนีไปแล้ว
จึงยกปืนขู่แล้วยิงขึ้นฟ้า เพื่อเป็นการปรามไม่ให้นายกล้าวิ่งหนี
แต่นายกล้าก็ไม่ยอมหยุดฝีเท้า ยังคงวิ่งต่อไป ทำให้หมวดกบี่
ลั่นไกลยิงไปที่นายกล้า ที่กำลังวิ่งอยู่ โดยระยะห่างกว่า 50 เมตร แต่เป้าเคลื่อนที่ตลอด
โดยไม่ทราบว่ายิงถูกหรือไม่ ก่อนที่นายกล้าจะกระโจนลงคลอง ผุดว่ายดำน้ำหายไป
ส่วนสารวัตรเดชที่วิ่งตามมาก็สอบถามเอาความจากหมวดกบี่
“สารวัตรครับ ผมทำพลาด
มันหนีไปได้ครับ ที่แท้มันก็คือนายกล้านั่นเอง”
“แสดงว่า
มันคือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคราบเลือดในบ้านของคุณนายละเมียดแน่ๆ
เพราะว่าเรายังพบถุงกระสอบที่มีคราบเลือด เศษชิ้นเนื้ออวัยวะมนุษย์
และเศษขนมกุฏีจีน ที่มาจากร้านเนื่องนวล ตกทิ้งอยู่จำนวนมาก”
“นี่แหละเป็นหลักฐานชิ้นดี
ที่จะชี้ว่า นายกล้าคือคนที่ฆ่าหั่นศพ น.ส.หวาอย่างแน่นอนครับ
รวมถึงรอยสักบนศพทั้ง 5 แห่งนั้นด้วยครับ”
“หมวดกบี่ กับจ่าจุ้ย
พวกคุณเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้นิติเวช ทำการวิเคราะห์ด่วนเลยนะ
ว่าเป็นชิ้นส่วนมาจากศพของ น.ส.หวาใช่หรือไม่ ถ้ามันตรงกัน แสดงว่า
พวกมันลงมือฆาตกรรม น.ส.หวา กันที่บ้านของคุณนายละเมียด นี่แหละ
และเอาชิ้นส่วนสำคัญที่มันหั่นออกเป็น 5 ชิ้น ไปฝังเอาไว้ในเตาอบทำขนม ในโรงครัวของร้านเนื่องนวลอีกที”
“นี่แสดงว่า
พอมันหั่นศพเสร็จ ก็รีบเอาไปฝังไว้ที่เตาอบในโรงครัวร้านก่อน แล้วจึงวกกลับมาทำลายหลักฐาน
เพราะคาดว่าตำรวจอาจไปมัวพะวงกันอยู่ที่ร้านเนื่องนวล แต่สายข่าวของเราเร็วกว่า
จึงทำให้เราตามมันมาได้ทัน และเกือบจับกุมมันได้แล้ว
แต่มันใช้ไหวพริบหนีรอดไปจนได้”
“มานี่สิ ดูนี่สิ
คราบเลือด หยดตามพื้นหญ้า ไปจนถึงคลอง แสดงว่ามันถูกยิง จนได้รับบาดเจ็บ
ก่อนจะกระโจนลงคลองไป คงหนีไปได้ไม่ไกลหรอก รีบให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามโดยเร็ว และให้สายตรวจทุกท้องที่ย่านแถบนี้
ไปตรวจสอบตามร้านขายยาในละแวกใกล้เคียงว่า มีใครต้องสงสัยมาซื้อยาเพื่อไปทำแผลหรือไม่ด้วย
เราต้องตามจับตัวมันให้ได้ ก่อนที่มันจะไปฆ่าใครเพิ่มเติมอีก”
ที่ห้องประชุม
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนกลางพระนคร สารวัตรเดช
ได้เรียกประชุมชุดทำคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าร่วมประชุมกว่า
20 นาย
“ตอนนี้เราได้ผลตรวจ
ชันสูตรศพ และวิเคราะห์ชิ้นเนื้อ เศษอวัยวะมนุษย์ที่บ้านของคุณนายละเมียด เทียบกับ
DNA ของเส้นผมของ น.ส.หวา
ที่ตกหล่นอยู่ที่ร้านเนื่องนวล พบว่าตรงกัน เราจึงสรุปว่า มีการฆาตกรรม น.ส.หวา
ที่บ้านของคุณนายละเมียดจริง โดยผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าน.ส.หวา มีทั้งนายกล้า
และเพื่อนสาวของเธอทั้ง 4 คน ซึ่งตอนนี้ ทาง ต.ม.
แจ้งมาว่าได้จับกุมตัวหญิงสาวคนหนึ่ง มีลักษณะใบหน้า และรูปพรรณสัณฐานคล้าย 1
ใน 4 เพื่อนสาวของ น.ส.หวา
จึงได้จับกุมตัวมาสอบปากคำ ปรากฏว่าเธอยอมรับสารภาพ ว่าเป็น 1 ในเพื่อนสาวของ น.ส.หวาจริง ชื่อว่า น.ส.เอิ้น และให้การซัดทอดว่า
ยังมีเพื่อนร่วมกันในขบวนการอีก 3 คน คือเปรียว แจ๋
และวสันต์ ซึ่งตอนนี้ตำรวจได้ตามรวบตัวได้หมดแล้ว ขณะกำลังหนีไปตามช่องทางธรรมชาติ
ชายแดนที่แม่สอด ขณะเตรียมจะหลบหนีออกนอกประเทศ และผลจากการสอบปากคำของ
จนท.ตำรวจในท้องที่ แม่สอด ได้แจ้งมาแล้วว่า
ทั้งหมดยอมรับสารภาพว่าร่วมอยู่ในขบวนการเดียวกันจริง
แต่ไม่ใช่ผู้ลงมือสังหารเหยื่อ ก็คือ น.ส.หวา แต่เป็นนายเกื้อ (ซึ่งก็คือนายกล้า
ที่ปลอมแปลงบุคลิกและชื่อ เพื่ออำพรางตนตบตาตำรวจ) แต่พอให้ดูรูปและชี้ตัว
ก็สามารถชีได้ตรงกันว่า เป็นนายกล้า ที่บงการและเป็นผู้ลงมือสังหารเหยื่อด้วยตนเอง
โดยทั้ง 4 สาวยอมรับว่าเป็นเพื่อนสนิทของ น.ส.หวา
และหลงผิดถูกนายกล้าหลอกให้เป็นสายส่งยาเสพติด แลกกับผลประโยชน์เงินก้อนโต แต่พอ
น.ส.หวาล่วงรู้ถึงพฤติกรรมและแผนการของพวกตน ก็เตรียมจะไปแจ้งความกับตำรวจ
จึงทำให้พวกตนไม่ทางเลือก ยอมทำตามนายกล้า ที่ขุ่ว่า หากไม่ร่วมกันสังหาร น.ส.หวา
ก็จะทำให้พวกตนเดือดร้อนในที่สุด”
“สารวัตรครับ
แล้วเราจะเชื่อถือพวกแก๊งค์ 4 สาวได้เหรอครับ
ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมกันฆาตกรรมน.ส.หวา”
“ตอนนี้มีนายผดุงศักดิ์อีกคน
ที่มาให้ปากคำว่า ถูกนายกล้าหลอกเช่นกัน
และทุกสิ่งเป็นนายเกื้อหรือก็คือนายกล้าที่ปลอมมาหลอกทุกคน ให้กระทำตามแผนการของตน
เพื่อที่จะฆ่าเหยื่อก็คือ น.ส.หวา ดังนั้นเราจะกันทุกคนไว้เป็นพยาน ทั้งแก๊งค์ 4 สาว และนายผดุงศักดิ์
ส่วนมูลเหตุจูงใจที่ทำให้นายกล้าฆ่า น.ส.หวา คืออะไร ยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป”
จบคดี น.ส.ผวา
(หรือน้องหวา)
เริ่มคดีนายธรรม (พลทหารธรรม
นโลดม)
ที่บ้านของนายธรรม นโลดม
นายกล้ากำลังนอนซมอยู่บนพื้นห้องนอนของบ้านนายธรรม
เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงมา นายกล้าพอรู้สึกตัวตื่น
ก็ผวาละเมอพูดอะไรออกมาด้วยความหวาดกลัว และพอลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกว่าสถานที่
ที่ตนเองมานอนอยู่นี้แปลกๆ ไม่คุ้นที่ และเหตุใดตนเองจึงมานอนสลบอยู่ที่แห่งนี้ได้
“ตื่นแล้วเหรอครับพี่ชาย
ไม่ต้องกลัวนะ ที่นี่บ้านผมเอง ผมช่วยพี่ขึ้นมาจากคลองหน่ะ”
“แล้วนายเป็นใคร”
“ผมชื่อว่า นายธรรมครับ
แล้วพี่ชายชื่อว่าอะไรเหรอครับ”
“ฉันชื่อแก้ว นายช่วยฉันไว้เหรอ ขอบคุณนายมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ
พี่แก้ว แล้วพี่ ไปไงมาไง ถึงถูกยิงหล่ะจ๊ะ แล้วยังเกาะขอนไม้ลอยมาด้วย
ฉันกำลังพายเรือกลับมาหายาย ก็มาเห็นพี่เข้า ก็เลยช่วยขึ้นมาบนบ้าน
แล้วทำแผลให้หน่ะ”
“ฉันไปงานบุญที่วัดมา
พอดีมันมีวัยรุ่นทะเลาะกัน ฉันโดนกระสุนปืนลูกหลงมา
ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายตีกันอยู่ ฉันจึงตัดสินใจกระโดดลงคลอง
แต่ฉันหมดแรงที่จะว่ายน้ำ ก็เลยเกาะขอนไม้ลอยมา”
“แล้วพี่จะไปหาหมอมั๊ยหล่ะจ๊ะ
เดี๋ยวฉันพาไป”
“อ๋อ....ไม่ต้องหรอก
แผลมันไม่ฉกรรจ์มากหรอก เดี๋ยวฉันรักษาเองได้”
“โอ้ว....ผมว่า
มันฉกรรจ์มากนะ ถ้าไม่ไปหาหมอ ฉันเกรงว่าจะติดเชื้อได้นะ เชื่อฉันเถอะ”
“นายธรรม
ขอบคุณนะที่นายหวังดี แต่ว่าฉันมีความรู้เรื่องแพทย์แผนโบราณหน่ะ
เรื่องแค่นี้ฉันรักษาเองได้ ไม่ต้องห่วง ฉันรบกวนนายแค่ ซื้อยาฆ่าเชื้อ
และก็พวกสำลี พลาสเตอร์ให้ฉันก็พอ แล้วฉันรักษาตัวซัก 2-3 วัน ฉันก็จะไปแล้ว
ฉันไม่อยากรบกวนนายมากหรอก”
“เสียงใครหน่ะ.....มีคนมางั้นเหรอ” นายธรรม ทำท่าจุ๊ปาก ต่อหน้านายเก่ง
(หรือนายกล้า)
“อ๋อ.....ป้าอร
ฉันเองหน่ะ”
“ไอ้ธรรมหรอกเหรอ
แล้วแกคุยอยู่กับใครวะ เสียงพึมพำๆ ฉันได้ยินนะ ไม่ไช่คนหูหนวก”
“ป้า
ฉันช่วยชีวิตพี่แก้วเอาไว้ เขาถูกยิงมา ก็เลยพยุงเข้ามาที่บ้านทำแผลหน่ะ”
“ใครวะ ชื่อแก้วเหรอ
แกเป็นใครหน่ะ คนไม่รู้หัวนอนปลายตีน นี่มึงพามาบ้านได้ยังไงวะ ไอ้ธรรม”
“คือว่า....ป้า
ฉันชื่อว่าแก้ว เป็นคนแถบพรานนกนี่เอง พอดีฉันไปงานบุญมาที่วัด
พอดีมีวัยรุ่นมันตีกันที่วัด ฉันบังเอิญโดนกระสุนลูกหลง ระหว่างนั้น ฉันตกใจ
จึงรีบกระโจนลงคลอง เพื่อเอาชีวิตรอด พอดีมาได้น้องธรรมช่วยไว้
ไม่งั้นฉันอาจเสียชีวิตไปแล้ว ต้องขอขอบคุณป้าอร กับน้องธรรม ที่ช่วยฉันไว้
ฉันขอพักรักษาอาการบาดเจ็บซัก 2-3 วันก็จะกลับแล้ว
ไม่อยากรบกวนเลยจริงๆ นะป้าอร”
“อ๋อ....เป็นอย่างนี้นี่เอง
ฉันก็นึกว่าไอ้ธรรม มันไปพาเพื่อนกุ๊ยของมันมาบ้านอีกแล้ว ฉันเคยเตือนมันแล้วว่า
อย่าไปคบกับไอ้พวกนักเลงหัวไม้ เดี๋ยวจะพลอยหาเรื่องมาใส่ตัว
จะเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันได้ไปเกณฑ์ทหาร ป้าก็แอบดีใจ
จะได้หมดห่วงไปเปลาะหนึ่ง”
“ฮะ...น้องธรรม
ต้องไปเกณฑ์ทหารเหรอครับ แล้ว....”
“จริงๆ ฉันจับได้ใบแดง
ผลัด 1 แล้วตอนนี้ฝึกครบ 1 ปีแล้วด้วย
พอดีฉันจบปริญญาหน่ะจ้ะ แต่พอดีห่วงป้าที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล
จึงขอเจ้านาย ขอย้ายมาประจำกรมอู่ทหารเรือ เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ บ้าน
และจะแวะเวียนมาดูแล ปรนนิบัติป้าอรได้บ่อยๆ หน่ะจ้ะ”
“แล้ววันนี้...นายออกเวรมาเหรอ”
“พี่
ก็วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาให้ลากลับมาเยี่ยมครอบครัวได้ไงจ๊ะ”
“งั้นพรุ่งนี้
นายก็ต้องกลับเข้ากรมอู่แล้วสิ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ
พี่แก้ว ป้าอรใจดี ท่านไม่ถือสาหรอก ก็ถือว่าพี่แก้วเป็นญาติอีกคนก็แล้วกัน
หากขาดเหลืออะไรก็บอกป้าได้ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปซื้อพวกยาและก็อะไรที่พี่อยากจะได้
ฉันจะซื้อหา จัดมาให้ไว้ ฉันจะกลับมาบ้านได้อีกทีก็อาทิตย์หน้านั่นแหละ”
“ขอบใจนายนะ นายธรรม
ฉันจะไม่รบกวนอะไรอีก นอกจากรายการสั่งซื้อยาเหล่านั้น แต่ว่าปัญหาคือ
กระเป๋าสตังค์ฉันมันหายไปแล้ว คงจมหายไปตอนตกคลองหน่ะ”
“อ๋อ...ไม่ต้องหรอก
พี่แก้ว มาเป็นแขกบ้านฉัน ฉันก็ต้องจัดหาหยูกยาไว้ให้ ไม่ต้องห่วง ซื้อของเล็กๆ
น้อยๆ แค่นี้ เดี๋ยวฉันออกเอง”
“หน้าใหญ่ ใจโตนักนะ
ทีกูเนี่ย เวลาเจ็บป่วย ไม่ยักขยันจะไปซื้อยาให้กูแบบนี้เลย”
“โถ่...ป้าอรจ๋า
ธรรมก็ซื้อนะ แต่ถ้ายาบางอย่างมันมีอยู่แล้วที่บ้าน
จะไปซื้อให้มันเสียตังค์ทำไมหล่ะป้า .....จะมาหาว่าฉัน ไม่ดูแลป้า ไม่ถูกนะ”
“เออๆๆ....กูขี้เกียจเถียงกับมึง
เออ ไอ้เก่ง หากมึงต้องการอะไรก็บอกกูนะ เสื้อผ้า หมอนมุ้ง ของไอ้ธรรม หน่ะมีเหลือ
เอาไปใส่ได้ มันไม่ว่าหรอก”
“ป้า เรื่องนั้น
ฉันจัดการได้ ไม่ต้องห่วง”
ที่บ้านของ พ.ต.ท.
สุนทรเทวา ขณะกำลังนั่งให้พะนอนิจ บีบนวดตัวอยู่ในห้องนอน
“นี่นิจ
พี่มีเรื่องจะให้นิจ ช่วยวิเคราะห์คำเหล่านี้หน่อย มันสักอยู่บนตัวศพทุกรายที่นายกล้าฆ่า”
“ฮะ...ตกลงว่าฆาตกรต่อเนื่องคือนายกล้าเหรอค่ะ”
“ใช่แล้ว...วันก่อนเราเกือบจับนายกล้าได้แล้ว
มันไปเก็บทำลายหลักฐานที่บ้านของคุณนายละเมียด พอหมวดกบี่ตามไปเจอ
เกือบจะไล่จับมันทัน แต่มันวิ่งหนีกระโดดลงคอไปได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บถูกยิง”
“เป็นไปไม่ได้ ที่พี่กล้าจะทำเช่นนั้น”
"ฮะ...นี่นิจ รู้จักนายกล้างั้นเหรอ"
"ก็พี่กล้า เคยเป็นคนที่พ่อเก็บมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แล้วฝากงานให้ทำ เป็นภารโรงของโรงเรียนค่ะ"
"ฮะ...นี่นิจ รู้จักนายกล้างั้นเหรอ"
"ก็พี่กล้า เคยเป็นคนที่พ่อเก็บมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แล้วฝากงานให้ทำ เป็นภารโรงของโรงเรียนค่ะ"
“มันเป็นไปแล้ว
และนี่พี่ก็สงสัยว่าพ่อ (หมอปรีด์เปรม) จะมีส่วนรู้เห็นหรือบงการด้วย”
“เหตุใดพี่เดชถึงได้ปรักปรำคุณพ่อเช่นนี้คะ”
“ก็ยานอนหลับที่ใช้กับพระในกุฏิคณะ
11 ในคืนเกิดเหตุนำศพของสามเณรขวัญมาฝังเอาไว้ที่ใต้ฐานพระพุทธรูปในอุโบสถเก่าหลังเล็ก
เป็นฝีมือนายกล้า แล้วพอพี่ตามสืบดูก็พบว่านายกล้าไม่ได้เบิกยานั้นเอง
เป็นคุณพ่อที่เป็นคนเบิกให้นายกล้าเอามาใช้ แล้วนี่หมายความว่าอย่างไร
วันพรุ่งนี้พี่จะขอไปเยี่ยมพ่อที่บ้านหน่อย และจะได้สอบถามพูดคุย กับคุณพ่อด้วย”
“คุณพ่อเป็นคนบงการอย่างนั้นเหรอ”
จากนั้น
สารวัตรเดชพร้อมด้วย พะนอนิจ กับบุตรชายที่ชื่อ ด.ช.วินธัย ก็เดินทางไปเยี่ยมตา
ก็คือหมอปรีด์เปรมที่บ้าน
“คุณพ่อสวัสดีค่ะ”
“เอาไปไงมาไงหล่ะ
ถึงมาเยี่ยมพ่อได้ในวันนี้”
“พอดีหนอตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณพ่อ
ประจวบกับพี่เดชมีเรื่องอยากจะสอบถามคุยกับคุณพ่อ
ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณพ่อด้วยกัน”
“มีเรื่องจะคุยกับพ่องั้นเหรอ
พ่อไม่มีอะไรจะคุยด้วยนี่”
“คุณพ่อครับ คุณพ่อเซ็นต์เบิกยาให้นายกล้า
ไปทำอะไรหรือเปล่าครับ”
“เบิกยาอะไร
ฉันจะไปเบิกยาให้มันทำไม .....นี่แกหมายความว่าอะไร”
“คุณพ่อเบิกยาสลบ
ให้กล้า ไปลงมือวางยาสลล กับพระที่วัดประยูร เพื่ออะไรครับ”
“ยาสลบงั้นเหรอ แกคิดว่า....ไอ้กล้ามันเอาไปทำอะไรชั่วๆ
ฉันต้องเกี่ยวข้องด้วยงั้นเหรอ มันมาขอให้ฉันเซ็นต์อนุมัติเบิกยา
เพื่อไปไว้เป็นยาสามัญประจำโรงเรียน ฉันก็เลยเซ็นต์เบิกให้มัน จำเป็นด้วยเหรอ
ที่ฉันต้องรู้เห็นกับการกระทำชั่วของมันด้วย”
“แต่คุณพ่อครับ ยาสลบ
เป็นยาสามัญที่จำเป็นต้องมีในโรงเรียนประถมด้วยเหรอครับ”
“ก็ฉันบอกแล้ว
ว่าฉันไม่รู้ มันจะเอาไปใช้ทำอะไร ก็เรื่องของมัน ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยเล่า
นี่นายอย่ามากกล่าวหาฉันลอยๆ นะ อย่าคิดว่าเป็นตำรวจก็จะมาบังคับใช้กฎหมายได้ตามอำเภอใจนะ”
“คุณพ่อครับ
ถ้าท่านไม่ได้ทำ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องร้อนตัวเลยนี่ครับ......ถ้าอย่างนั้นผมกราบลาแล้วครับ” “อย่างนั้น
หนูก็กราบลาคุณพ่อด้วยเช่นกันค่ะ”
“นี่หน่ะเหรอ หนอ
ที่บอกว่าตั้งใจจะมาเยี่ยมพ่อ”
“ไปลูกกลับบ้าน....” “หนอ นี่พ่อยังไม่ได้อุ้มหลานเลยนะ”
“ไอ้สารวัตรเฮงซวย
ไว้วันหนึ่ง กูจะต้องเอาลูกหนอของกู กลับมาอยู่กับกูให้ได้”
ที่กุฏิของพระมหาสุชีพ
วันนี้สารวัตรเดช กับหมวดกบี่ มีโอกาสได้แวะไปกราบนมัสการเยี่ยม และถามไถ่
และบอกกล่าวความคืบหน้าของคดี
“กราบนมัสการ พระมหา
วันนี้ผมกับกบี่ มาแจ้งความคืบหน้าของคดีครับ ตอนนี้พระมหาสฤษฏิ์ สามเณรโทน
โดนจับสึก ออกมารับโทษในคดีแล้ว ส่วนนายเด่น กับนางปีย์
ถูกควบคุมตัวไปขึ้นศาลแล้วครับ ส่วนเรื่องเงินของทางวัด ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ
ภายหลังจากที่คดีขึ้นสู่ศาล และมีการตัดสินแล้ว เงินที่อายัดไว้ในบัญชีของคนทั้ง 4 คน
ก็จะถูกโอนคืนให้ทางวัดทุกบาททุกสตางค์ครับ”
“ต้องขอขอบใจ
โยมตำรวจที่ติดตามและดำเนินการเรื่องคดีได้อย่างรวดเร็ว”
“แต่วันนี้ ไหนๆ
ผมก็มาหาท่านแล้ว ผมจึงอยากเรียนสอบถามพระมหา ถึงคำปริศนารอยสัก
ที่อยุ่บนศพของเหยื่อทั้ง 4 คน ว่า
เราจะตีความว่าอย่างไรครับ
“ศพแรก เด็กหญิงแดง ขี้
ไหล ฝน หมู ตก เรียงคำใหม่เป็น ฝนตกขี้หมูไหล
ศพที่ 2 สารเณรขวัญ ไก่ ตาย จิก โอ่ง เด็ก เรียงคำใหม่เป็น ไก่จิกเด็กตาย (บนปาก)โอ่ง
ศพที่ 3 นายยุติ (ลุงยุทธ) ใด ได้ มา แต่ watch เรียงคำใหม่เป็น นาฬิกานี้ท่านได้แต่ใดมา
หรืออาจแปลความได้อีกความหมายหนึ่งก็คือ เฝ้าดู
สิ่งนี้ ที่ท่านได้แต่ใดมา
ศพที่ 4 นางสาวผวา (น้องหวา) ทิ้ง ไม่ เคย กัน เพื่อน เรียงคำใหม่เป็น เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน”
“อาตมาว่า
ยากที่จะตีความว่า ฆาตกร ต้องการสื่อความหมายใด ให้กับผู้ใดทราบ เพราะคำแต่ละคำ
เมื่อนำมาเรียงเป็นประโยคแล้ว มันเป็นทั้งสำนวนหรือภาษิตโบราณ หรือบางคำก็เป็นวลีสั้นๆหรือประโยคที่จับใจความไม่ได้
หากไม่มีบริบทมาล้อมรอบ บางทีอาจจะเป็นเพียงคำแสลง หรือประโยคบอกเล่า
ที่ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงยากที่จะตีความหมายได้
.....แต่สิ่งที่อาตมาอยากให้โยมตำรวจได้ดู และตั้งข้อสังเกตคือสิ่งนี้มากกว่า
โยมตามอาตมามาทางนี้ก่อน....”
หลังจากนั้นพระมหาสุชีพได้นำทางเดิน
พาสารวัตรเดชและหมวดกบี่ ไปยังห้องพำนัก ภายในกุฏิของพระมหาสุชีพ
พบว่ามีแผนที่ผืนใหญ่เขียนอยู่บนฝาผนัง เป็นภาพวาดผังเมือง
หรือเค้าโครงแผนที่ของเกาะรัตนโกสินทร์ หรือพื้นที่โดยรอบพระนคร
เชื่อมต่อฝั่งธนบุรี เป็นที่ตกตะลึง ตื่นตาของสารวัตรเดชกับหมวดกบี่เป็นอันมาก
“นี่มันแผนที่โดยรอบของพระนครนี่ครับ
เหตุใด พระมหาจึงวาดขึ้นมาได้”
“อาตมาฟังความจาก
เหตุการณ์ของคดี และสถานที่ที่เกิดเหตุของคดีทั้ง 4 คดีแล้ว จึงลองกำหนดจุด บนแผนผัง และวาดเป็นเค้าโครง
ลงบนแผนที่โดยรอบของพระนคร พบว่า สถานที่เกิดเหตุของทั้ง 4 คดี
อยู่ห่างกันเป็น 5 ทิศ คล้าย ดาว 5 แฉก
แต่ละจุดเหตุการณ์ห่างกันในอัตราที่เท่าๆ กัน ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าวิเคราะห์ดีๆ
อาตมาว่าฆาตกรมีเจตนาจงใจ กำหนดสถานที่ให้เหยื่อผู้ตาย ต้องตายบริเวณนั้นๆ
แล้วสามารถวาดเส้นให้มาบรรจบกันได้ กลายเป็นรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า ลองขีดเส้นดูสิ
โยมสารวัตร”
“คดีแรก ด.ญ.แดง
เสียชีวิตที่ชุมชนวัดระฆัง ,คดีที่ 2 สามเณรขวัญ เสียชีวิตที่วัดประยูรฯ ,คดีที่ 3 นายยุติ
(ลุงยุทธ)เสียชีวิตที่ตรอกมังกร เยาวราช ,คดีที่ 4 น.ส.ผวา
(น้องหวา) เสียชีวิตที่ชุมชนวัดมหรรณพ ใกล้ พาณิชย์พระนคร”
พอตรวจดูด้วยสายตาบนแผนที่ก็พบว่า “จริงๆ ด้วย แต่มันยังขาดอยู่อีกจุดหนึ่ง
นั่นแสดงว่า....”
“แสดงว่าเหยื่อรายที่ 5 จะต้องเกิดบริเวณนี้ ก็คือแถบชุมชน วังเดิม
ใกล้พรานนก”
“ถ้าอย่างนั้น
เราน่าจะพอหาทางป้องกันเหยื่อรายที่ 5 ไว้ก่อนได้สิครับ”
“โยม.... แล้วโยมจะรู้ได้อย่างไรว่าใครจะเป็นเหยื่อเป้าหมาย
ในเมื่อคนในชุมชนแถบนั้น มีกันเป็นร้อยๆ ครัวเรือน”
ที่บ้านสวนของป้าอรและนายธรรม
แถบชุมชนวังเดิม
นายกล้าภายหลังได้รับยาและอุปกรณ์ทำแผลจากนายธรรมที่ไปหาซื้อมาให้แล้ว
ก็ปฐมพยาบาลตนเองจนสามารถลุกเดินเหิน และกินข้าวต้มได้แล้ว
โดยมีนายธรรมคอยแวะเวียนมาเป็นเพื่อนเล่นหมากรุก
โดยนายธรรมชวนให้นายธรรมเล่นหมารุกแก้เบื่อ เนื่องจากบริเวณบ้าน ไม่มีทีวีดู
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้ ตกค่ำก็จะมืด ส่วนใหญ่คนในชุมชนจะนอนแต่หัวค่ำ
เนื่องจากไฟของหมู่บ้าน ต้องพ่วงต่อมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านในละแวกนั้น
ทำให้ต้องประหยัดไฟกันในชุมชน คนในบ้านจึงไม่มีกิจกรรมทำกันมากนัก ไม่จับกลุ่มพูดคุยกัน
ก็จะออกไปเล่นเตะตระกร้อ หรือบ้างก็โขกหมากรุก หมากฮอตเล่นกัน
“พี่แก้ว เล่นเก่งสมชื่อเลยนะ ฉันแพ้พี่อีกตาแล้ว พี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ฉันเลยเหรอ”
“ก็ถ้าฉันอ่อนข้อให้นาย
นายก็จะไม่มีทางเล่นเก่งได้ ถือว่าฝีกปรือเอาค่าวิชาไป ตานี้นายแพ้แล้ว
ก็ต้องกินเหล้าอีกกั๊กนึง นี่หมดไป 3 กั๊กแล้วนะ ไม่เหลือเอาไว้ให้ฉันหน่อยเลยเหรอ นายธรรม”
“ก็พี่เล่นไม่แพ้ฉันสักตาเลย
กินแต่น้ำเปล่าอยู่นั่น”
พอเล่นกันไปจนดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว
นายธรรมก็เมามาย จนนายแก้วต้องประคองให้ขึ้นไปนอนบนห้อง ส่วนป้าอร
เมื่อได้ยินเสียงเอะอะ ของหลานชายที่เล่นหมากรุกเสียงดัง ก็เลยตื่นลงมาดู
“เอ้าไอ้ธรรม กับไอ้แก้ว เอ็งยังไม่นอนอีกเหรอ ใครหน่ะ......”
ป้าอร
ประจันหน้ากับนางแก้ว โดยที่ตาของป้าอรมองไม่เห็น เนื่องจากสายตาฝ้าฟาง
แต่มีสัมผัสพิเศษที่รู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ไอ้ธรรมหลานชายของตนแน่ๆ
อีกทั้งกลิ่นตัวก็จำได้ชัด
“แกคือไอ้แก้วใช่มั๊ย
แกลงมาทำอะไร”
“ป้าหล่ะ ลงมาทำอะไร”
“แกอย่ามายอกย้อนกับฉัน
ฉันก็ลงมาดูหน่ะสิ ว่าทำไมไอ้ธรรมถึงยังไม่นอน ดึกดื่นเทียงคืนแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปเข้ากรมกองแต่เช้าแล้วมิใช่เหรอ”
“พอดี
ไอ้ธรรมมันเล่นหมากรุกกับฉันแล้วแพ้ทุกตา มันเลยถูกทำโทษ กินเหล้าเข้าไป จนเมามายเล็กน้อย
ฉันจึงพยุงมันไปเข้านอนแล้วหล่ะจ่ะป้า”
“มึงกับไอ้ธรรม
เพิ่งรู้จักกันแค่ อาทิตย์เดียว ก็คุยกันถูกคอ ถึงขนาดกินเหล้าเมามายแล้วเหรอ
กูรู้ว่าหลานของกูมันใสซื่อ แต่กูไม่ไว้ใจมึง มึงเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้
แต่เอาหล่ะ ถ้ามึงดีกับหลานกู กูก็จะดีกับมึงเช่นกัน”
“ป้าอรครับ
ผมรู้ว่าป้าอาจจะไม่ไว้ใจผม แต่ผมรับปากแล้วว่า ถ้าผมหายดี ผมก็จะกราบลา
ขอบคุณที่ให้ข้าวให้น้ำ และให้ที่พักอาศัย ช่วยซื้อหยูกยารักษาผมครับ
บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลือนเลย”
“เอาหล่ะ มึงไปนอนเถอะ
เดี๋ยวกูก็จะขึ้นนอนเช่นกัน”
ป้าอรเดินขึ้นบันไดไปบนห้อง พอปิดประตูห้อง ก็ทอดถอนใจ
และทำสีหน้าตื่นกลัวยิ่ง
เพราะเหมือนได้กลิ่นไอของมัจจุราชที่สิงอยู่ในตัวของนายเก่ง ส่วนนายเก่ง
พอมองเห็นป้าอรขึ้นห้องนอนไปแล้ว ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉย แววตาฉายแววดุดัน
ภายในมือถือมีดสั้นกำแน่นไว้ แต่ไม่ได้ใช้
วันรุ่งขึ้นหลังเสร็จงาน
พะนอนิจยังไม่กลับบ้าน มุ่งตรงไปที่บ้านของหมอปรีด์เปรม บิดาของตน
เนื่องจากทราบจากเด็กรับใช้ที่บ้านของหมอปรีด์เปรม ว่าหมอมีธุระด่วนจึงต้องเดินทางไปที่ศิริราช
พะนอนิจฉวยโอกาสที่หมอปรีด์เปรม ไม่อยู่บ้านจึงรีบเข้าไปค้นหาเอกสารอะไรบางอย่าง
ซึ่งตรวจดูในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ก็ไม่พบ แต่เจอรูปถ่ายที่ หมอปรีด์เปรม
ถ่ายรูปคู่กับโกตี๋ (บิดาของพะนอนิจ) และลุงน้ำฝน ซึ่งทั้ง 3 คน อดีตเป็นสหายสนิทกัน
แต่ว่าพะนอนิจติดใจรูปของลุงน้ำฝน ที่เป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ ที่ปรักปรำ และจับกุมโกตี๋
ในข้อหากบฏ เธอเก็บรูปนั้นไว้ แล้วรีบเดินทางออกจากบ้านของหมอปรีด์เปรมทันที
และเดินทางต่อไปยังคลินิกของหมอปรีด์เปรม เพื่อจะไปค้นหาเอกสารนั้น
เมื่อไปถึงคลินิกของหมอปรีด์เปรม เธอมีกุญแจสำรองที่เคยลักลอบทำไว้ เมื่อเปิดก็สามารถไขเข้าไปได้
เธอเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของหมอ เพื่อค้นหาเอกสารที่ต้องการ
ปรากฏว่าเธอพบเอกสารนั้นแล้ว จึงดึงออกจากลิ้นชัก แต่นาทีนั้น หมอปรีด์เปรม
ดันเสร็จธุระจากศิริราชเร็ว และมุ่งตรงมายังคลินิก พอเห็นประตูเปิดอยู่
จึงสงสัยว่าขโมยงัดเข้ามาหรือเปล่า
แต่พอเปิดไฟเข้าไปถึงในห้องทำงานของตนก็พบว่าเป็น พะนอนิจ ลูกเลี้ยงของตนนั่นเอง
“หนอ
นี่ลูกมาที่คลินิกพ่อทำไม”
“เอ่อ....หนู.....”
“ยังไง......พ่อถามว่า
หนอมาคลินิกพ่อทำไม ตอบสิ”
หมอปรีด์เปรมกดดันจนพะนอนิจ เดินถอยหลังจนชิดกำแพง แต่พะนอนิจไม่ยอมตอบ”
“พ่อบอกว่า
ลูกมาทำอะไรในห้องทำงานของพ่อ”
จากนั้นหมอปรีด์เปรม หยิบเอกสารจากมือของพะนอนิจมาได้ โดยรีบฉวยจากมือ
จึงรู้ว่าที่แท้พะนอนิจ มาทำอะไรที่คลินิกของตน
พะนอนิจฉวยจังหวะที่หมอปรีด์เปรมกำลังดูเอกสาร
รีบผลักหมอปรีด์เปรมกระเด็นออกจากตัว แล้วรีบวิ่งหนีออกจากคลินิกให้เร็วที่สุด
แต่เธอหนีไม่พ้น หมอปรีด์เปรมรีบคว้าเอวของพะนอนิจเอาไว้ เธอกรีดร้องเสียงหลง
ในขณะที่หมอปรีด์เปรม เห็นเป็นจังหวะเหมาะ
จึงคิดไม่ดีไม่ร้ายกับพะนอนิจอีกเหมือนเคย ตั้งใจจะข่มขืนพะนอนิจ
ที่มาติดกับตนเองถึงที่ แต่แล้วยังไม่ทันที่หมอปรีด์เปรมจะทำอะไรไปมากกว่านี้
ท่อนไม้ก็กระแทกศีรษะของเขาจนล้มลงหมดสติ เป็นนายกล้าที่เข้ามาช่วยเหลือพะนอนิจเอาไว้ได้ทัน
“พี่กล้า ขอบคุณพี่มาก
ที่มาทันเวลา ไม่เช่นนั้น มันข่มขืนหนูแน่ๆ”
“พี่บอกแล้วไงว่า
คุณหนออย่าเพิ่งบุ่มบ่ามเข้าไปในคลินิกของคุณหมอ”
“แต่ว่า
ถ้าไม่ลงมือวันนี้ ก็ไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้มันรู้แล้วนะ
ว่าเราคิดจะทำอะไรกัน ต้องจัดการไอ้หมอปรีด์เปรมเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น มันต้องหาทางเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่เดชแน่ๆ”
“คุณหนอจะให้ทำอะไร”
“ทำอย่างไรก็ได้
ให้มันพูดอะไรไม่ได้”
จากนั้นเมื่อหมอปรีด์เปรมรู้สึกตัวตื่นขึ้น
พบว่าตนเองถูกจับมัดมือไพร่หลังติดอยู่กับเก้าอี้ทำงานของตน
ในขณะที่เผชิญหน้าอยู่กับพะนอนิจ โดยมีนายกล้าที่ยืนเคียงข้าง
“นี่เป็นแกหรอกเหรอ
ไอ้กล้า กูมีบุญคุณกับมึง มึงกล้าทำร้ายกูงั้นเหรอ”
“บุญคุณงั้นเหรอ
บุญคุณที่สามารถใช้คนอื่นเป็นทาสตัวเอง และใช้ลูกเลี้ยงมาเป็นนางบำเรองั้นเหรอ
นี่หน่ะเหรอที่เรียกว่าบุญคุณ”
“หนอ นี่ลูกพูดอะไรหน่ะ
พ่อรักลูกขนาดไหน ลูกก็รู้”
“มึงทำกับกูขนาดไหน
กูยังไม่ได้คิดบัญชีแค้นมึง แต่วันนี้ มึงกำลังจะได้รับผลกรรมอันนั้น
พี่กล้าลงมือเลย ยิงมันซะ”
“ฮะ หนอ หนอจะฆ่าพ่อเหรอ
พ่อทำอะไรให้หล่ะ หรือว่าจะฆ่าปิดปากพ่อ”
“พี่กล้า รออะไรอยู่
ลงมือเลยสิ”
“พี่ว่า
ทำให้เป็นอัมพาตง่ายไป เราควรยิงเข้าตำแหน่งสำคัญ ที่ทำให้ท่านพูดไม่ได้ด้วย”
จากนั้นกล้าใช้ปืนของหมอปรีด์เปรมเอง ยิงเข้าสู่ด้านข้างลำตัว ให้กระสุนวิ่งผ่านกระดกไขสันหลังไปตัดเส้นประสาทสำคัญที่ทำให้หมอปรีด์เปรม
กลายเป็นอัมพาตและพูดไม่ได้ จากนั้นพะนอนิจ ทำทีเป็นโทร.แจ้งตำรวจ ให้มาช่วย
โดยแจ้งต่อตำรวจว่า หมอปรีด์เปรม บิดาของตน ต้องการฆ่าตัวตาย โดยใช้ปืนยิงตนเองในห้องทำงานของคลินิก
ตนเองมาพบเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบโทร.แจ้ง
วันรุ่งขึ้นสารวัตรเดช
จึงมาเยี่ยมหมอปรีด์เปรมที่โรงพยาบาล พร้อมด้วยหมวดกบี่ หมอแล็บ และพะนอนิจกับเด็กชายวินธัย
“เหตุใดพ่อจึงคิดฆ่าตัวตาย”
“ช่วงหลังๆ พ่อเครียด
เป็นโรคซึมเศร้า และเคยเปรยๆ กับนิจว่า พ่อเบื่อ อยากตามไปอยู่กับแม่”
“คุณพ่อ
ไม่น่าทำเช่นนี้เลย ถ้าผมเคยพูดจาให้ร้ายคุณพ่อ ก็ต้องขอโทษด้วยครับ”
“พี่เดช ขอนิจ
อยู่คุยกับพ่อเป็นการส่วนตัวได้มั๊ยคะ”
จากนั้นสารวัตรเดช หมอแล็บ และหมวดกบี่ พร้อมด้วย ด.ช.วินธัย
จึงเดินออกไปรอที่นอกห้องคนไข้
พะนอนิจเดินไปนั่งข้างเตียงคนไข้ มองดูหน้าของปรีด์เปรม
ที่เวลานี้กลายเป็นคนไข้ติดเตียง ที่จมูกติดที่ช่วยหายใจ ท่อต่อออกซิเจน
ส่วนสภาพร่างกายตั้งแต่ส่วนคอลงมากลายเป็นอัมพาต ส่วนใบหน้าก็ขยับไม่ได้ ต้องใส่เฝือกคอประคองศีรษะไว้
มีเพียงลูกตาที่กรอกไปมาได้เท่านั้น ไม่สามารถพูดอะไรตอบโต้ได้
แม้จะได้ยินเสียงทุกอย่าง
“แกคงไม่คิดว่าจะมีวันนี้
ใช่มั๊ย ไอ้เปรม”
“แกเสือกทำกับฉัน
แล้วก็ดันมารู้แผนการของฉัน ฉันก็เลยต้องจัดการกับแกก่อน”
“เอกสารนั่น
คือรายชื่อคนไข้ของแก แต่มันเป็นรายชื่อเหยื่อของฉัน
ที่มันจะไปอยู่ในมือของใครไม่ได้ นอกจากฉัน”
พะนอนิจ ในเวลานี้
ใบหน้าและแววตา แฝงแววดุร้าย คล้ายนางจิ้งจอกที่จ้องมองดูเหยื่อ ส่วนหมอปรีด์แปรมมองสีหน้าของลูกเลี้ยงตนด้วยความหวาดกลัว
เศร้าใจ น้ำตาคลอไหลเอ่อออกมา ไม่คิดว่าเธอจะมีจิตใจโหดเหี้ยมดุร้าย ดูไป ไม่คล้าย
ด.ญ.พะนอนิจ เมื่อครั้งที่ตนเองรับมาเลี้ยงไว้ภายในบ้านเลย
โปรดติดตามต่อใน EP. ต่อไป
ยังไม่จบคดีนายธรรม เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนนี้ยาว มีเส้นเรื่องแทรก
ปมของหมอปรีด์เปรม กับพะนอนิจ และนายกล้าเพิ่มเข้ามา