วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

อากับหลานคุยกัน ตอนที่ 4



อากับหลานคุยกัน ตอนที่ 4  (วิกฤติศรัทธาในวงการศาสนาและวงการสื่อโทรทัศน์,ศัลยกรรมความงามไม่ช่วยอะไร,คุกมีไว้สำหรับคนจนกับคนโง่เท่านั้นกรณีเจนภพตีนผี,ร่างรัฐธรรมนวยเพื่อใคร,ละครไทยใยสู้เกาหลีไม่ได้)

หลาน  :  คุณอาครับ เรื่องของสมเด็จช่วง นี่มันจะจบลงอย่างไร แล้วก็เรื่องของคุณสรยุทธ์ด้วยครับ

คุณอา  :  ก็เป็นเรื่องของคดีที่จะดำเนินการกันต่อไป แต่ในแง่กระแสสังคมก็ถือว่าจบไปแล้วทั้ง 2 กรณีแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องการแต่งตั้งสังฆราชคนต่อไป ท่าน พณ.บิ๊กตู่ก็ออกมาพูดแล้วนี่ ว่าถ้ายังไม่สามารถเคลียร์ความบริสุทธิ์ของตัวท่าน (สมเด็จช่วง) ได้ ก็จะไม่ส่งชื่อท่านเป็นพระสังฆราช มันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือเป็นวาระแห่งชาติอะไร รอให้ท่านเคลียร์ตัวเองได้จบก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน ส่วนกรณีนายสรยุทธ์ ก็ถูกกระแสสังคมกดดันจนต้องยุติการทำหน้าที่บนหน้าจอสื่อโทรทัศน์ หลบฉากไปอยู่เบื้องหลังแทน

หลาน  :  ก็ทั้งสองท่านเป็นคนดัง และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคม กระแสสังคมก็ยังเห็นพูดถึงอยู่นี่ครับ

คุณอา  :  ก็รัฐบาลก็บอกแล้วว่าจะปราบกำหราบบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลายมิใช่หรือ

หลาน : คนที่บอกว่าจะปราบกำหราบผู้มีอิทธิพล ดูเหมือนท่านเองก็เป็นผู้มีอิทธิพลลำดับสูงสุดในประเทศไม่ใช่เหรอครับ

คุณอา  :  อาว่า เราเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่ามั๊ยนะ  

หลาน  :  คุณอาครับเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กรณีการทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าของคุณลุงสุรชัย สมบัติเจริญ ปรากฏออกมาว่าหน้าแกเปลี่ยนไปจริงๆ ครับ แต่ดูเหมือนไม่มีเสน่ห์เหมือนแต่ก่อน ดูแปลกๆ ไปเลยอ่ะครับ แล้วแฟนเพลงเขาภูมิใจในใบหน้าใหม่ของแก่มั๊ยครับคุณอา

คุณอา  :  แฟนเพลงเขาใช้หูฟังเพลง เขาไม่ได้ใช้ตาฟังเพลงที่ไหน ต่อให้ทำหน้าออกมาเหมือนเจมส์จิ หล่อราวเทพบุตรอย่างไร หากว่าเสียงแกไม่ไพเราะ ร้องเพลงไม่ได้แล้ว อันนั้นต่างหากที่แฟนเพลงจะรู้สึกผิดหวัง ส่วนเรื่องใบหน้าใหม่ของแก ก็ให้ถือเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ที่เราขอดูอยู่ห่างๆ ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์อะไรจะดีกว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เป็นความพอใจส่วนบุคคล หากคิดว่าทำแล้วจะเสริมความมั่นใจให้ตนเอง ก็ทำไปเถิด คิดว่าแฟนเพลงส่วนใหญ่คงไม่ได้ไปติดใจอะไรหรอก

หลาน  :  แล้วคุณอาหล่ะ คิดจะทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้ากับเขามั๊ยครับ

คุณอา  :  คงไม่อ่ะ อาพอใจกับใบหน้าปัจจุบันของตัวเองแล้ว กลัวว่าวันหนึ่งตื่นนอนขึ้นมา จะจำหน้าตัวเองไม่ได้  นึกว่ามีตัวปลอมมาอยู่ในบ้าน พาลจะทะเลาะกับกระจกเงาไปเสียเปล่าๆ

หลาน  :  คุณอาครับ คนรวยนี่เขาสามารถทำอะไรก็ได้ ผิดกฎ หรือประมาทเลินเล่อ จนทำให้คนอื่นตาย ใช้เงินฟาดหัวตำรวจแล้วเป่าคดีให้จบได้จริงๆ เหรอครับ เหมือนที่ในกระแสโลกโซเชียลบอกว่า “คุกมีไว้สำหรับคนจนกับคนโง่เท่านั้น” จริงหรือเปล่าครับคุณอา

คุณอา  :  ไปฟังใครเขาว่ามาฮะ จะว่าไปมันก็จริงตามนั้นแหละ แต่ไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทยนะ กรณีคนรวยทำอะไรผิดก็สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินนั้น มีอยู่ในทุกประเทศที่มันด้อยพัฒนาทั้งหลายนั่นแหละ เพราะว่า สังคมใด ถ้าเทิดทูน บูชาเงิน หรือทุนนิยมเป็นใหญ่ ในขณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนด้อยโอกาสในสังคม หรือยากจน ก็มักจะถูกเอาเปรียบจากคนมีเงิน หรือเข้าตำรา กฎหมายแก้ไขได้ด้วยการวิ่งเต้น น้ำร้อนน้ำชา มันก็มีมานานแล้วในทุกสังคม ตั้งแต่อดีตกาลนานมา เพียงแต่สังคมยุคนี้มันก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนาดนี้ คนในสังคมต่างคอยเป็นหูเป็นตา จึงไม่ยอมที่จะให้พฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีกในสังคม ใครทำผิดอย่างไร จะลูกใคร ใหญ่มาจากไหน ควรจะได้รับผิดเทียบเท่ากับประชาชนคนสามัญทั่วไป ในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ควรมีการแบ่งชั้นวรรณะอีก

หลาน  :  นี่กระแสสังคมกดดันจนกระทั่งมีการพูดถึงให้มีการปฏิรูปตำรวจกลับมาอีกแล้ว และก็พูดแตกประเด็นถึง พฤติกรรมการขับรถของคนผิดในอดีต กท.รถยนต์เจ้าปัญหา ที่มีการถอดจากรถคันที่ไปก่อเหตุ เปลียนหมุนเวียนไปติดรถยนต์คันอื่นๆ ต่อๆ มา ลากยาวไปถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่การทาง ที่ต่างฝ่ายต่างโบ้ยกันไปมา ว่าควรเป็นหน้าที่ของใคร ฯลฯ ดูๆ แล้ว คนรวยมีเงินนี่มันวิเศษวิโส จนไม่มีใครอยากไปแตะหรืออย่างไรครับคุณอา

คุณอา  :   ก็นั่นแหละ เข้าอีหร็อบเดิม หากสังคมใด บุคคลใดมีหน้าที่อะไร แล้วละเว้น ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ ก็จะเกิดช่องโหว่ หรือช่องว่างที่ทำให้ใครก็ตามที่คิดจะทำผิด สามารถทำได้ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายนั่นแหละ กรณีนี้กรณีเดียว เราก็ได้เห็นแล้วใช่มั๊ย ว่าเมืองไทย ปัญหามันอยู่ที่กฎหมาย หรือมันอยู่ที่ตัวบุคคลกันแน่ ทุกฝ่ายมีส่วนผิดด้วยกันทั้งนั้น อย่าโทษใครฝ่ายเดียวเลย ใครก็ตามที่คิดจะเอาเปรียบผู้อื่น แม้เพียงเล็กน้อย ปฏิกิริยาหรือผลกระทบมันย่อมส่งผลไปยังผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเสมอ ไม่มากก็น้อย จะรับรู้หรือไม่รับรู้ แต่มันย่อมเกิดขึ้น หลีกหนีเวรกรรมไปไม่พ้นหรอก

หลาน  :   คุณอาครับ ร่างรัฐธรรมนูญที่เขากำลังร่างกัน และใกล้จะออกมาให้ลงประชามติกัน นี่ตกลงมันแหกตาประชาชนใช่มั๊ยครับ สุดท้ายแล้วที่เขาอ้างกันว่าจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มันไม่จริงใช่มั๊ยครับ แล้วผมควรจะไปลงประชามติดีมั๊ยครับ

คุณอา  :  แกอายุถึงเกณฑ์ทีจะไปใช้สิทธิ์แล้วงั้นหรือ

หลาน  :   ถึงแล้วสิครับคุณอา ปีนี้ผมอายุครบ 18 ปีเต็มแล้วครับคุณอา สามารถใช้สิทธิ์ได้เป็นครั้งแรก

คุณอา  :  อ่านร่างครบทุกมาตราหรือยัง สนใจด้วยเหรอเรื่องนี้ เอาเวลาไปอ่านการ์ตูนให้จบก่อนดีมั๊ย เห็นซื้อมาหลายเล่มมาก ตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติคราวที่แล้ว นี่ยังอ่านไม่จบเลยมิใช่หรือ

หลาน  :  คุณอาครับ ผมก็สนใจการเมืองอยู่บ้างนะครับคุณอา ก็มีตามข่าวอยู่บ้าง เห็นเถียงกันเรื่องประเด็น ส.ว.อะไรเนี่ยแหละ ที่มาจากการแต่งตั้ง อะไรเนี่ยแหละ

คุณอา  :  อาไม่ค่อยใส่ใจหรอกนะ ว่ามันจะเป็นประชาธิปตงธิปไตยอะไรหรือไม่ อย่างไร เอาเป็นว่าปัญหาของบ้านนี้เมืองนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวรัฐธรรมนูญหรอก มันอยู่ที่ตัวนักการเมืองมากกว่า จะเขียนให้ดีอย่างไร หากมันมีช่องให้พวกนักการเมืองมันคิดคดโกง กระทำความผิด มันก็ยังคงจะทำอยู่นั่นเอง เพียงแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะร่าง เขาพยายามหาทางปิดช่องโหว่ในทุกเรื่องที่จะไม่ทำให้นักการเมืองหาช่องกระทำความผิดได้โดยง่าย หรือกำหนดบทลงโทษ หรือสร้างกลไกอำนาจพิเศษอะไรบางอย่างหรือกลไกปกติ แต่มีอำนาจมากขึ้น เพื่อใช้ปิดช่องโหว่ การกระทำความผิดที่เคยกระทำได้ในอดีตเมื่อผ่านมา ไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่จะมีการสอดใส้วาระพิเศษ ซ่อนรูปหรือ อะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ อาก็ไม่ได้สนใจไปตามสอดส่องหรอก เบื่อแล้ว คนที่เขามีหน้าที่หรืออยู่ในแวดวงวิชาการหรือบรรดาเกจิอาจารย์ผุ้รู้ เขาคงท้วงติง หรือคอยคัดค้าน ชี้แนะกันอยู่แล้ว คงไม่ปล่อยให้มันผ่านไปแบบมัดมือชกหรอก เรื่องแบบนี้ อย่าคิดว่าคนไทยโง่นะ คนไทยอ่านหนังสือน้อยก็จริง แต่ฟังและพูด นี่ไม่น้อยหน้าประเทศใดในโลกหรอก เรืองแบบนี้ เขาคุยกันในวงสนทนา ปาร์ตี้ ก็รู้แล้ว จะรากหญ้าหรือไฮโซ เขามีวิธีจะสื่อสารถึงกันได้หมดแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก

หลาน  :   แล้วคุณอา จะไปลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มั๊ยหล่ะครับ

คุณอา  :  ไม่บอก ของแบบนี้ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะส่วนบุคคล ก่อนอื่นไปอ่านร่างเต็มที่เขาแก้ไขแล้วให้ครบถ้วนเสียก่อน แล้วใช้วิจารณญาณตามสัญชาติญาณส่วนตัว ตามความรู้ของตัวเองพิจารณา อย่าไปฟังใครชี้นำเรา เราคิดได้ด้วยตนเองว่ามันมีประโยชน์ มันเป็นของดีหรือเปล่า แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่

หลาน  :  คุณอาครับ ทำไมละครไทยเราสู้เกาหลีเขาไม่ได้เลยเหรอ เห็นท่านนายก ลุงตู่ แกบอกว่ามีซีรีย์เกาหลีเรื่องนึง สร้างดี พยายามสอดแทรกเรื่องความรักชาติ ผิดกับละครไทย ที่เน้นตบตีแย่งชิงสามีชาวบ้านกันอยู่ ตัวร้ายก็คอยแว๊ดๆ เข้าใส่กัน ลุงตู่บอกว่าเบื่อหน่ายกับละครไทย มีแต่เรื่องรักประโลมโลก แกไม่นิยมดูเลยครับ

คุณอา  :  จริงของนายกลุงตู่ ที่ละครไทยส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น แต่จะไปบอกว่าละครไทย ไม่สร้างเรื่องราวการรักชาติ นี่ไม่จริง ยกตัวอย่าง เมื่อปีที่แล้วก็มี บางระจัน ข้าบดินทร์ (แกดูบ้างหรือเปล่า หรือดูแต่สุดแค้นแสนรัก เห็นเคยพูดถึงในรายการคืนความสุข เมื่อปีที่แล้ว ปีที่แล้วแกเกาะกระแสละครสุดแค้นแสนรัก ปีนี้ขอเกาะกระแสซีรีย์เกาหลี Descendant of the Sun เสียหน่อย) ปีนี้ก็มี อตีตา ชาติพยัคฆ์ เจ้าเวหา  ในอดีตก็มีอย่าง แผ่นดินเดียวกัน  หรืออย่างตอนนี้ก็มีละครเวทีเรื่อง “ผ้าห่มผืนสุดท้าย” ที่ทางซีนาริโอร่วมกับ กอรมน. ผลิตขึ้นเพื่อให้คนไทยไปดู ไปรับรู้ว่าทหารที่ไปตายใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้ เขาได้รับชะตากรรมชีวิตอย่างไร เขาเสียสละแค่ไหน เพื่อปกป้องคนในชาติ ทีเรื่องแบบนี้ท่านไม่พูด ไปกล่าวชื่นชมซีรี่ย์เกาหลี เพื่อทับถมละครไทยทำไม คุณอาไม่เข้าใจ ละครไทยมันก็มีหลากหลาย ซีรี่ย์เกาหลีจำนวนมากก็น้ำเน่าไม่แพ้ไทย เพียงแต่ที่ท่านพูด คุณอาว่า แกเพียงอยากจะให้พวกเราคนไทยเกิดความตระหนักในชาติบ้านเมืองบ้าง เหมือนที่เกาหลีเขาจะพยายามสร้างแต่มุมบวก ด้านดีของประเทศเขาให้คนอื่นมอง คนไทยควรเอาอย่างบ้าง อย่าสร้างแต่ความขัดแย้ง ซึ่งมันสอดแทรกอยู่ในละครไทยเยอะเกินไปก็เท่านั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าละครไทย หรือติเรือทั้งโคลนหรอก

หลาน  :  ถ้าอย่างนั้น ละครไทยเราก็ไม่ได้แย่อย่างที่ท่านพูดใช่มั๊ยครับ

คุณอา  :  ดูไปเถอะจะละครไทย ละครเกาหลี หรือการ์ตูน หากมันให้ข้อคิด แทรกสาระที่ดีให้กับคนดูอย่างเราๆ ได้นำไปปรับใช้ หรือมีคติสอนใจตัวเองได้บ้าง จะชาติไหน ก็มีของดีด้วยกันทั้งนั้น


  
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น