อเมริกาคือผู้กำความลับของโลกไว้อย่างน้อย 2 เรื่อง ได้แก่ โครงการ H.A.A.R.P และอีกเรื่องนึงก็คือ AREA 51 มูลเหตุจูงใจ หรือที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ผู้เขียนไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอง ไปรวบรวมมาดังนี้
HAARP(High Frequency Active Auroral Research Project) คืออะไร? - HAARP คือศูนย์วิจัยไอโอโนสแฟร์ (ionosphere คือชั้นบรรยากาศช่วงที่อยู่ห่างระหว่าง 80-1000 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก) ในเมือง Gakona รัฐ Alaskaซึ่งได้รับความร่วมมือ และเงินทุนจากมหาวิทยาลัยอาลาสก้า U.S. Air Force, the U.S. Navy และ Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) HAARP ตั้งอยู่บนแนวคิดของนาย Bernard Eastlund เจ้าของสิทธิบัตรสามใบที่จดในอเมริกา ชื่อของสิทธิบัตรของเขาได้แก่: วิธีการและเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงบริเวณในชั้นบร รยากาศของโลก, วิธีการและเครื่องมือในการสร้างเครื่องเครื่องเร่งอิ เล็คตรอนไซโคลตรอน (electron cyclotron) ด้วยความร้อนพลาสมา, วิธีการผลิตอนุภาคสัมพัทธภาพ (relativistic particles) เหนือพื้นผิวโลก ซึ่งจริงๆแล้วทฤษฏีเหล่านี้ เป็นการค้นคว้าต่อจากทฤษฏีของนาย Nicola Tesla นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่โลกลืม ชาว Croatia แทบทั้งนั้นDr.Nicoli Tesla (นิโคไล เทสล่า) เป็นชาวเซิร์บย้ายถิ่นฐานมาที่รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 1950 แต่โครงการนี้จริงๆ เริ่มต้นในช่วงทศวรรษปี 1900 และถูกพัฒนาอย่างจริงจังจนเป็นผลสำเร็จโดย ดร.เทสล่า โดยการสนับสนุนเงินทุนจากนายธนาคาร "ชั่ว" ที่ชื่อ J.P. Morgan นั่นเอง จึงทำให้เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดด้วยการสร้างภัยพิบัติต่างๆ เพื่อทำลายมนุษยชาติด้วยกันเอง ในคลิปแรกจะแสดงการทำงานของ Tesla Coil ซึ่งเป็นการงานวิจัยเพื่อจำลองและสร้างปรากฏการณ์ "ฟ้าผ่า" ขึ้น ต่อมาได้มีการกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวมากมายว่ามีการทำการทดลองโครงการ Haarp ของประเทศสหรัฐอเมริกาและถูกประนามออกมาจากหลายประเทศว่าเป็นการทำร้ายมนุษยชาติครั้งใหญ่ ทำให้สภาพภูมิอากาศแปรปรวน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นก็ต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันต่อไป เมื่อไม่นานมานี้ ผู้นำเวเนซุเอลา กล่าวหาสหรัฐอเมริกา เป็นต้นตอของหายนะในเฮติ จากการทดสอบอาวุธ อันก่อให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่คร่าชีวิตพลเรือนนับแสนคน ทั้งนี้โครงการ HAARP(High Frequency Active Auroral Research Project) คือศูนย์วิจัยไอโอโนสเฟียร์ในมลรัฐอะแลสกา มีจุดมุ่งหมายสำรวจทรัพยากรชั้นบรรยากาศโลก เพื่อพัฒนาระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อย่างไรก็ตามในปี 1997 วิลเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯขณะนั้น แสดงความกังวลต่อเครื่อง HAARP นี้ ในกรณีที่มันสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ จุดชนวนแผ่นดินไหวและควบคุมการปะทุของภูเขาไฟด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า HAARP เป็นโครงการทดลองทางวิทยาศาตร์ของรัฐบาลสหรัฐเพื่อสร้างและควบคุมสภาพ ภูมิอากาศโดยการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ขึ้นไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโน สเฟียร์ แล้วให้สะท้อนกลับมายังพื้นผิวโลก ไปยังเป้าหมายที่ต้องการ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรง สั่นสะเทือนหรือแผ่นดินไหวนั่นเอง อนึ่งเครื่อง HARRP นี้ ยังสามารถประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีร่วมกับดาวเทียม และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อควบคุมกระแสลมกรด ซึ่งเป็นกุญแจของธรรมชาติที่จะนำพากลุ่มเมฆ น้ำฝน ความร้อน ความแห้งแล้งและความหนาวเย็น และอื่นๆ อีกมากจากการรวบรวมของหลายเวบในสื่อของโลกอินเตอร์เน็ต มีการกล่าวอ้างว่า หลักฐานที่ชี้ถึงแสนยานุภาพของฮาร์พ (จาก dektriam.net) ในปี 2546 สมาชิกของคณะกรรมาธิการถึงสี่คณะ ของสภาสูงสุดรัสเซียหรือสภาดูม่า และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 ท่าน ได้ร่วมกันลงชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดีเมีย ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์กรทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติห้ามสหรัฐทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้ ในรายงานนี้ปรากฏข้อความดังนี้ "ภายใต้โครงการฮาร์พ สหรัฐกำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ซึ่งอาจสามารถส่งอิทธิพลต่อชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง" "แสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลงจากอาวุธมีคมสู่อาวุธปืน หรือจากอาวุธธรรมดาสู่อาวุธนิวเคลียร์" รายงานนี้ยังระบุอีกว่าสหรัฐกำลังสร้างอาวุธฮาร์พนี้ในพื้นที่สามแห่ง แห่งแรกที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห่งที่สองที่กรีนแลนด์และที่สามในประเทศนอร์เว ทั้งนี้สหรัฐเตรียมที่จะเริ่มทดลองอย่างเต็มที่ได้ตั้งแต่ต้นปี 2546
"เมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจาก อลาสก้า นอร์เวและกรีนแลนด์ ความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายพร้อมกับอานุภาพอันมหัศจรรย์ จะนำไปสู่ความสามารถอันแท้จริงในควบคุมชั้นบรรยากาศใกล้โลก" รายงานของสภาดูม่าสรุป ก่อนหน้านี้ในปี 2541 คณะกรรมมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและนโยบายการทางทหาร ก็ได้เคยร้องเรียนต่อรัฐสภาสหภาพยุโรป จากกรณีที่สหรัฐปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในการเปิดเผยข้อมูลและอนุญาตให้องค์กรอิสระนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการฮาร์พ อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐสภายุโรปร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากกิจกรรมทางการทหารอีกด้วย ทั้งนี้ สหรัฐประกาศว่า ปัจจุบันโครงการฮาร์พกำลังอยู่ในชั้นตอนสุดท้ายของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549 (ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว) มีอีกหลากหลายความคิดและการการกล่าวอ้าง แม้ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจในขณะนี้ ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด แต่ที่แน่ๆจากมนุษย์ทำลายธรรมชาติอย่างแน่นอน ตอนนี้แม้ทุกฝ่ายจะเร่งแก้ปัญหา แต่เหมือนยิ่งแก้ก็ยิ่งเกิดทวีความรุนแรง เพราะอะไร สาเหตุอันใด ล้วนแต่เริ่มจะหาทางใส่ร้ายและแก้ตัวกันของแต่ละประเทศ แต่หารู้ไม่ว่า กรรมใดๆที่ก่อ ก็เกิดจากเรากระทำ ผลกรรมที่กระทำก็กระทบกับเราโดยตรงนั่นเอง แล้วเพื่อนๆคิดว่าสาเหตุใดทำร้ายโลก และโลกจะปลอดภัยได้อย่างไร ร่วมกันคิดอย่างสร้างสรรค์เพื่อโลกของเราจะได้อยู่ต่อครับ (อ้างอิงบทความ และ ข้อมูลเบื้องต้นจาก
http://www.chomrom.com/topic.php?q_id=12165 http://en.wikipedia.org/wiki/High_Frequency_Active_Auroral_Research_Program
เรายังสามารถหาข้อมุลเพิ่มเติ่มได้ที่ http://www.theforbiddenknowledge.com/hardtruth/haarp_mind_weather_control.htm
http://www.earthpulse.com/src/subcategory.asp?catid=1&subcatid=1
http://www2.fiu.edu/~mizrachs/HAARP.html
http://www.haarp.alaska.edu/
อ้างอิงจากหน้าเพจไทยทีวีดี สถานีเติมปัญญา หาความจริง หัวข้อ เรามาทำความรู้จักกับ H.A.A.R.P กันดีกว่า https://th-th.facebook.com/notes/thaitvd-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-haarp-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/255013057944884/
บทความนี้ถอดความมาจากบทสนทนาในรายการคนเคาะข่าว
หัวข้อ “เปิดแผนมะกันฆ่าคนด้วยภัยพิบัติ หวั่นใช้อู่ตะเภาทำไทยเดือดร้อน” เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555
ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV
“ปานเทพ”
เผยอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์
แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้
เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่ หวั่นใช้อู่ตะเภาเป็นฐานทำลายประเทศใกล้เคียง ซึ่งไทยจะไม่มีวันสงบสุขเลย
ด้าน “ทูตสุรพงษ์” ชี้ความจริง “นาซา” ทำงานให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มาตลอด
อย่าหลงเชื่อชื่ออำพราง วันที่ 20 มิ.ย. นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ
และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
พูดคุยถึงประเด็นการให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา
นายสุรพงษ์กล่าวว่า อยากให้สังคมไทยได้พิจารณา พอได้ยินชื่อองค์กรนาซา คือองค์กรอวกาศ คนมักเข้าใจว่าวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงแล้วเป็นแค่ชื่ออำพราง องค์กรนี้ได้รับงบประมาณส่วนมากจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นอิสระ ทำงานให้กระทรวงกลาโหมมาตลอด
ส่วนที่เราวิตกว่าอู่ตะเภาจะถูกใช้เป็นฐานทัพไปสอดแนมประเทศอื่น อู่ตะเภานี้ถูกใช้มาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามจนปัจจุบัน เครื่องบินที่ไปทิ้งระเบิดตะวันออกกลางก็แวะมาเติมน้ำมันที่นี่ โดยรัฐบาลไทยยินยอม อย่าเข้าใจผิดว่ามาใช้ฐานทัพ เพราะใช้อยู่แล้ว
อีกทั้งหลังๆ มานี้อเมริกาเองก็ไม่ต้องการใช้ฐานทัพเพราะมีเยอะอยู่แล้ว แต่เขาต้องการพื้นที่ ขอแค่ให้เครื่องบินลงได้ จอดเติมน้ำมัน ขนส่งเสบียง โยกย้ายยุทธปัจจัย แต่ในเรื่องความตกลงต้องไม่ลืมว่าการตกลงให้ใช้ฐานทัพ โดยธรรมชาติของมันจะมีลักษณะไม่เท่ากัน คือการที่เขาจะให้ข่าวกรองกับเรา เราก็ต้องเสียค่าเช่า ค่าดูแลรักษาฐานทัพนี้ด้วย เงินภาษีของเราต้องให้เขาด้วยหรือ ในเมื่อมาตั้งในแผ่นดินไทย อีกอันคือปฏิบัติการอันนี้ อาจเขียนไว้ชัดเจนว่า หน้าที่ของผู้มาใช้ฐานทัพนี้ต้องเคารพกฎหมายของประเทศผู้ให้ใช้ นั่นเป็นเพียงกระดาษแต่พฤตินัยจะรู้ได้อย่างไรว่าอเมริกาจะปฏิบัติตามเงื่อนไข แล้วข้อมูลข่าวกรองที่ว่าจะให้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะให้หมด
นายปานเทพกล่าวว่า ต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน เพราะชัดเจนสหรัฐฯ ต้องการหยุดอิทธิพลจีน แล้วภูมิภาคนี้มีพลังงานเยอะ การมีฐานทัพในไทย เป็นการการันตีคุ้มครองสหรัฐฯ ในพื้นที่นี้ เพราะเมื่อไทยอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิง ยิ่งขัดแย้งสหรัฐฯ มีความถนัดในการแบ่งแยกแล้วปกครอง เพราะผู้ที่แบ่งแยกต้องพึ่งพิงอเมริกามากเท่าไหร่ผลประโยชน์ก็จะกลับคืนสู่อเมริกามาก เวลานี้สหรัฐฯ อาจหนุนหลังรัฐบาลเพื่อให้อยู่ในอำนาจ แล้วผลตอบแทนคือการคุ้มครองแหล่งพลังงาน และบังเอิญกรกฎาคมนี้จะมีการเปิดแปลงสัมปทานล็อตใหญ่ การเข้ามามันเป็นการสร้างหลักประกันว่ารัฐบาลสมประโยชน์อย่างไรในการมีอเมริกาหนุนหลัง อเมริกาก็จะมีประโยชน์จากการสัมปทานที่เกิดขึ้น
นายปานเทพกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนได้เขียนบทความเกี่ยวกับโครงการ H.A.A.R.P. (High Frequency Active Aurora Research Program) หรือโครงการวิจัยพลังงานลำแสงออโรราจากความถี่สูง ซึ่งเป็นการทำงานวิจัยร่วมกันระหว่าง ส่วนห้องทดลองวิจัยของกองทัพอากาศ และกองทัพเรือของสหรัฐอเมริการ่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งอะแลสกา และสำนักงานโครงการวิจัยความก้าวหน้าของกองทัพของสหรัฐอเมริกา เป็นการสร้างและควบคุมภูมิอากาศโดยการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง และความแรงกว่าพันล้านวัตต์ไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังพื้นผิวโลกไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทั้งบนบกและในทะเล เพื่อส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนหรือเกิดแผ่นดินไหว นายปานเทพได้เปิดสารคดี ของ History Channel เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการอธิบายว่า โครงการ H.A.A.R.P.นี้ สามารถกำหนดภัยพิบัติธรรมชาติได้ เป็นอาวุธใหม่ ยิงด้วยกำลังส่งสูงมาก เป็นพันล้านวัตต์ ที่น่าสนใจคือมีการยกระดับชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ขึ้นมาด้วย ทำให้เกิดความแปรปรวนของบรรยากาศ เปลี่ยนทิศทางกระแสลม และกระแสน้ำ หรือแม้กระทั่งเฮอริเคน ไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว แล้วการทดลองโครงการนี้ไม่ได้มีที่อลาสก้าที่เดียว แต่มีที่รัสเซีย และนอร์เวย์ด้วย ทั้งนี้ มีหลักฐานหลายชิ้นยืนยันได้ เช่น
นายสุรพงษ์กล่าวว่า อยากให้สังคมไทยได้พิจารณา พอได้ยินชื่อองค์กรนาซา คือองค์กรอวกาศ คนมักเข้าใจว่าวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงแล้วเป็นแค่ชื่ออำพราง องค์กรนี้ได้รับงบประมาณส่วนมากจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นอิสระ ทำงานให้กระทรวงกลาโหมมาตลอด
ส่วนที่เราวิตกว่าอู่ตะเภาจะถูกใช้เป็นฐานทัพไปสอดแนมประเทศอื่น อู่ตะเภานี้ถูกใช้มาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามจนปัจจุบัน เครื่องบินที่ไปทิ้งระเบิดตะวันออกกลางก็แวะมาเติมน้ำมันที่นี่ โดยรัฐบาลไทยยินยอม อย่าเข้าใจผิดว่ามาใช้ฐานทัพ เพราะใช้อยู่แล้ว
อีกทั้งหลังๆ มานี้อเมริกาเองก็ไม่ต้องการใช้ฐานทัพเพราะมีเยอะอยู่แล้ว แต่เขาต้องการพื้นที่ ขอแค่ให้เครื่องบินลงได้ จอดเติมน้ำมัน ขนส่งเสบียง โยกย้ายยุทธปัจจัย แต่ในเรื่องความตกลงต้องไม่ลืมว่าการตกลงให้ใช้ฐานทัพ โดยธรรมชาติของมันจะมีลักษณะไม่เท่ากัน คือการที่เขาจะให้ข่าวกรองกับเรา เราก็ต้องเสียค่าเช่า ค่าดูแลรักษาฐานทัพนี้ด้วย เงินภาษีของเราต้องให้เขาด้วยหรือ ในเมื่อมาตั้งในแผ่นดินไทย อีกอันคือปฏิบัติการอันนี้ อาจเขียนไว้ชัดเจนว่า หน้าที่ของผู้มาใช้ฐานทัพนี้ต้องเคารพกฎหมายของประเทศผู้ให้ใช้ นั่นเป็นเพียงกระดาษแต่พฤตินัยจะรู้ได้อย่างไรว่าอเมริกาจะปฏิบัติตามเงื่อนไข แล้วข้อมูลข่าวกรองที่ว่าจะให้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะให้หมด
นายปานเทพกล่าวว่า ต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน เพราะชัดเจนสหรัฐฯ ต้องการหยุดอิทธิพลจีน แล้วภูมิภาคนี้มีพลังงานเยอะ การมีฐานทัพในไทย เป็นการการันตีคุ้มครองสหรัฐฯ ในพื้นที่นี้ เพราะเมื่อไทยอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิง ยิ่งขัดแย้งสหรัฐฯ มีความถนัดในการแบ่งแยกแล้วปกครอง เพราะผู้ที่แบ่งแยกต้องพึ่งพิงอเมริกามากเท่าไหร่ผลประโยชน์ก็จะกลับคืนสู่อเมริกามาก เวลานี้สหรัฐฯ อาจหนุนหลังรัฐบาลเพื่อให้อยู่ในอำนาจ แล้วผลตอบแทนคือการคุ้มครองแหล่งพลังงาน และบังเอิญกรกฎาคมนี้จะมีการเปิดแปลงสัมปทานล็อตใหญ่ การเข้ามามันเป็นการสร้างหลักประกันว่ารัฐบาลสมประโยชน์อย่างไรในการมีอเมริกาหนุนหลัง อเมริกาก็จะมีประโยชน์จากการสัมปทานที่เกิดขึ้น
นายปานเทพกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนได้เขียนบทความเกี่ยวกับโครงการ H.A.A.R.P. (High Frequency Active Aurora Research Program) หรือโครงการวิจัยพลังงานลำแสงออโรราจากความถี่สูง ซึ่งเป็นการทำงานวิจัยร่วมกันระหว่าง ส่วนห้องทดลองวิจัยของกองทัพอากาศ และกองทัพเรือของสหรัฐอเมริการ่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งอะแลสกา และสำนักงานโครงการวิจัยความก้าวหน้าของกองทัพของสหรัฐอเมริกา เป็นการสร้างและควบคุมภูมิอากาศโดยการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง และความแรงกว่าพันล้านวัตต์ไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังพื้นผิวโลกไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทั้งบนบกและในทะเล เพื่อส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนหรือเกิดแผ่นดินไหว นายปานเทพได้เปิดสารคดี ของ History Channel เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการอธิบายว่า โครงการ H.A.A.R.P.นี้ สามารถกำหนดภัยพิบัติธรรมชาติได้ เป็นอาวุธใหม่ ยิงด้วยกำลังส่งสูงมาก เป็นพันล้านวัตต์ ที่น่าสนใจคือมีการยกระดับชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ขึ้นมาด้วย ทำให้เกิดความแปรปรวนของบรรยากาศ เปลี่ยนทิศทางกระแสลม และกระแสน้ำ หรือแม้กระทั่งเฮอริเคน ไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว แล้วการทดลองโครงการนี้ไม่ได้มีที่อลาสก้าที่เดียว แต่มีที่รัสเซีย และนอร์เวย์ด้วย ทั้งนี้ มีหลักฐานหลายชิ้นยืนยันได้ เช่น
- เอกสารกองทัพอากาศสหรัฐฯ
ปี 2005 ประกาศใช้ในปี 2539 โดยกองทัพอากาศได้ระบุว่าเป้าหมายของกองทัพอากาศอเมริกา
ในปี 2025 (อีก 12 ปีข้างหน้า)
การเปลี่ยนดินฟ้าอากาศจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงทั้งในและระหว่างประเทศ
และสามารถทำได้แบบเอกภาคี มันเป็นไปได้ทั้งเชิงรุกและรับ
หรือกระทั่งการข่มขู่ศัตรู และความสามารถในการทำฝน หมอก พายุ
หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก และสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ นี้
ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้สหรัฐฯ หรือลดทอนศักยภาพของศัตรูลง
- สำนักข่าวรอยเตอร์ในปี 2539 รายงานคำพูดของนายวิลเลียม โคเฮน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกา กล่าวถึงการก่อการร้ายตอนหนึ่งมีใจความว่า “การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมี และเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ในชั้นโอโซน หรือกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดได้” อเมริกาพูดเองเลย แล้วอเมริกามักพูดในสิ่งที่ตัวเองมีเสมอ - ที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ เมื่อปี 2540 ได้มีการลงนามในอนุสัญญาการห้ามใช้เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน นิยามของคำว่าเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ คือ เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบโครงสร้างของโลก รวมถึงชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ
- สำนักข่าวรอยเตอร์ในปี 2539 รายงานคำพูดของนายวิลเลียม โคเฮน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกา กล่าวถึงการก่อการร้ายตอนหนึ่งมีใจความว่า “การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมี และเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ในชั้นโอโซน หรือกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดได้” อเมริกาพูดเองเลย แล้วอเมริกามักพูดในสิ่งที่ตัวเองมีเสมอ - ที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ เมื่อปี 2540 ได้มีการลงนามในอนุสัญญาการห้ามใช้เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน นิยามของคำว่าเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ คือ เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบโครงสร้างของโลก รวมถึงชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ
- ปี 2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอ ชื่อนายเดนิส คุชนิส ได้เสนอร่างกฎหมาย ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ความตอนหนึ่งของร่างนี้เขียนว่า “อาวุธทางภูมิอากาศ หรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน” คิดดูการบอกห้ามใช้อาวุธในอวกาศในพื้นที่รัฐของตัวเองจนถึงขั้นต้องให้มีการตรากฎหมาย มันหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่มีเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น
- ปี 2546 สมาชิกกรรมาธิการ 4 คณะของสภาสูงสุดที่รัสเซียหรือสภาดูมา และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 คน ได้ร่วมกันลงรายชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์การทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง สื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติ ห้ามสหรัฐฯทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้ ในรายงานปรากฎข้อความว่า “ภายใต้โครงการ H.A.A.R.P.สหรัฐฯ กำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ที่อาจส่งผลต่ออิทธิพลชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ หรือคลื่นความถี่สูง” นอกจากนี้ ระบุอีกว่า สหรัฐฯสร้าง H.A.A.R.P. ใน 3 แห่ง คือ อะแลสกา กรีนแลนด์ นอร์เวย์ และบังเอิญที่รัสเซียก็มี
- ปี 2548 ที่ยุโรปมีการประชุม วาระหนึ่งในนั้นให้พิจารณาโครงการ H.A.A.R.P. เพราะไปทำลายสิ่งแวดล้อมและเกิดภัยพิบัติ
นายปานเทพกล่าวเสริมว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ตนพูดเอง แต่ทั่วโลกกำลังหวาดวิตก ในการใช้อาวุธให้เกิดภัยพิบัติ แล้วเกิดความเสียหายที่ไหนอเมริกาก็จะเข้าไปเป็นผู้ถูกพึ่งพิง เพื่อหวังสูบทรัพยาการ และครอบงำรัฐบาลในประเทศต่างๆ กำลังจะบอกว่าเขามาขออะไร ขอตั้งศูนย์ภัยพิบัติ แค่ชื่อก็น่าวิตกแล้ว แถมเป็นการปฏิบัติในทางทหาร ซึ่งเราเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลทั่วโลกจะต้องเฝ้ามองว่าจะเป็นอันตรายกับประเทศเขาหรือไม่ แล้วถ้าเป็น ไทยจะไม่สงบสุขเลย จากทั้งประเทศเพื่อนบ้าน จากจีน หรือตามตะเข็บชายแดน
ทั้งนี้ นายปานเทพยังได้แสดงคลิปวิดีโอ
เพื่อยกตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้นว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องจากโครงการนี้
โดยเมื่อปี 2551
ที่เสฉวน เกิดฟ้าเปลี่ยนสีก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหว
นั่นก็เพราะเวลามีคลื่นความถี่ถูกส่งไปยังชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์
จะเกิดความร้อนสูงจนฟ้าเปลี่ยนสีได้
ปี 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮติ โดยฮูโก ชาเบซ ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา เพิ่งออกมาประกาศต่อชาวโลกว่ามันเป็นกระบวนการทดลองอาวุธเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่เฮติ อเมริกากำลังเล่นกับพระเจ้า
ปี 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮติ โดยฮูโก ชาเบซ ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา เพิ่งออกมาประกาศต่อชาวโลกว่ามันเป็นกระบวนการทดลองอาวุธเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่เฮติ อเมริกากำลังเล่นกับพระเจ้า
ที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง
ก็มีคนไปสำรวจพบสนามแม่เหล็กต่ำจริงๆ เกิดก่อนที่จะมีสึนามิ และพบว่าคลื่นความถี่มีการส่งมาแบบผิดปกติ
ความคิดนี้อาจใหม่สำหรับไทย แต่เราต้องตระหนักว่าเป็นการทำให้ทั่วโลกกังวล จึงไม่แปลกใจกองทัพจีนต้องมาคุยกับกองทัพไทย แล้วใครจะเป็นฐานให้เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในฐานะที่ปลอดภัย
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันโลกตะวันออกมีหลายประเทศผงาดขึ้นมา เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บวกกับภาวะถดถอยในโลกตะวันตก สหรัฐฯจึงกังวลมากว่าตัวเองจะไม่มีอิทธิพลต่อโลกแล้ว จีนเป็นมหาอำนาจเดียวที่ท้าทายสหรัฐฯ โดยตรง เขาก็มองว่าไทยเป็นเวทีของการแข่งขันช่วงชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่วนเหตุการณ์ที่นายปานเทพพูดเรื่องโครงการ H.A.A.R.P. มันต้องดูบริบทว่าทำไมต้องเป็นช่วงนี้ แล้วอู่ตะเภาเองก็ใช้อยู่แล้ว นักการเมืองไทยต้องถามตัวเองว่าเราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าอันนี้มันจริง มันจะเป็นอาวุธในการจัดการประเทศที่เป็นศัตรู อันตรายมากๆ เป็นการทำลายมนุษยชาติอย่างนิ่มนวล เพราะเกิดความตายจากภัยพิบัติไม่ใช่ฝีมือมนุษย์เหมือนสงคราม เป็นมหาอำนาจที่กำหนดว่าคุณตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไร ตายแบบไหน อาจคิดว่าเป็นแค่จินตนาการ แต่ตนคิดว่ามันมาถึงจุดที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ มันน่ากลัวมาก (เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากหน้าเพจ หน้าข่าวการเมือง ,MGR online, 21 มิถุนายน 2555)
ความคิดนี้อาจใหม่สำหรับไทย แต่เราต้องตระหนักว่าเป็นการทำให้ทั่วโลกกังวล จึงไม่แปลกใจกองทัพจีนต้องมาคุยกับกองทัพไทย แล้วใครจะเป็นฐานให้เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในฐานะที่ปลอดภัย
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันโลกตะวันออกมีหลายประเทศผงาดขึ้นมา เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บวกกับภาวะถดถอยในโลกตะวันตก สหรัฐฯจึงกังวลมากว่าตัวเองจะไม่มีอิทธิพลต่อโลกแล้ว จีนเป็นมหาอำนาจเดียวที่ท้าทายสหรัฐฯ โดยตรง เขาก็มองว่าไทยเป็นเวทีของการแข่งขันช่วงชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่วนเหตุการณ์ที่นายปานเทพพูดเรื่องโครงการ H.A.A.R.P. มันต้องดูบริบทว่าทำไมต้องเป็นช่วงนี้ แล้วอู่ตะเภาเองก็ใช้อยู่แล้ว นักการเมืองไทยต้องถามตัวเองว่าเราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าอันนี้มันจริง มันจะเป็นอาวุธในการจัดการประเทศที่เป็นศัตรู อันตรายมากๆ เป็นการทำลายมนุษยชาติอย่างนิ่มนวล เพราะเกิดความตายจากภัยพิบัติไม่ใช่ฝีมือมนุษย์เหมือนสงคราม เป็นมหาอำนาจที่กำหนดว่าคุณตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไร ตายแบบไหน อาจคิดว่าเป็นแค่จินตนาการ แต่ตนคิดว่ามันมาถึงจุดที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ มันน่ากลัวมาก (เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากหน้าเพจ หน้าข่าวการเมือง ,MGR online, 21 มิถุนายน 2555)
เปิดโปง..พื้นที่ต้องห้าม Area
51 กำความลับคนทั้งโลก
Area 51 คือ ฐานทัพลับ ของกองทัพอากาศสหรัฐ
ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว ลึกเข้าไปในบริเวณต้องห้ามอันกว้างขวางของรัฐบาล
ภาพถ่ายดาวเทียมทะเลทรายเนวาด้า แสดงเห็นถึงรันเวย์ 7 ช่องทาง
และโรงเก็บเครื่องบินมากกว่า 25 โรง
ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก CIA ให้ออกแบบเครื่องบิน
U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมาย
ให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบ U2 นี้ด้วย เคลลี่ได้ส่ง โทนี
เลอวิเอร์ นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์
ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย , เนวาดา และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนี
ก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3
แห่งแล้วก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา ฐานทัพถูกสร้างรอบ ๆ
ทะเลสาบ
ซึ่งได้เปรียบทางยุทธวิธี เพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องการก็คือ
ที่เหมาะสมในการลงจอดซึ่งสามารถลงจอดทิศใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าลมมาทางไหนและรอบ ๆ
ทะเลสาบนี้ก็มีลักษณะแบบนั้น แถมยังถูกป้องกันโดยแนวเทือกเขารอบ ๆ ทะเลสาบกรูม
มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น
เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์
แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในปีนั้น
ซึ่งรัฐบาลปกปิดว่ามันถูกใช้สำหรับการสำรวจสภาพอากาศ U2
คืออาวุธพร้อมกล้องความละเอียดสูง ที่ได้รับการออกแบบเพื่อบินที่ระดับความสูง 21,000 เมตร และถ่ายรูปจากขอบชั้นบรรยากาศ
ท่ามกลางการแข่งขันด้านอาวุธในสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต
เครื่อง U2 คือความหวังของอเมริกา เพื่อติดตามการขยายตัวของคลังแสงนิวเคลียร์
ของโซเวียต และมันต้องการนักบินที่หายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์
เพื่อความอยู่รอดในความสูงขนาดนั้นได้ น้ำหนักทุกกิโลที่เพิ่มขึ้น
แม้แต่ล้ออาจทำให้เครื่อง U2 นั้นบินได้ต่ำลง
เพราะน้ำมันทั้งหมดนั้นอยู่ที่ปีก
ไม่มีทางเลยที่จะเอาปลายปีกนั้นขึ้นจากพื้น
พวกเค้าจึงต้องมีที่ค้ำให้ปีกยกขึ้นจากพื้นและทันทีที่ปีกยกขึ้นที่ค้ำพวกนั้นก็หลุดออก
เครื่อง U2
นั้นบินเหนือระดับการบินของเครื่องบินโดยสารปกติถึงสามเท่า
และบางครั้งก็จะถูกพบเห็นโดยพลเรือน ขณะที่ในยุนั้นสงครามเย็นและความสนใจของชาวอเมริกันต่อยูเอฟโอ
ถึงจุดสูงสุด เครื่องบินสีเงิน U2
จึงสร้างความสับสนให้นึกไปถึง ยูเอฟโอ
ฐานทัพลับแห่งนี้เรียกสั้นๆ ว่า แรนช์
มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป
ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน
ดูลเลส ผู้อำนวยการ CIA ในสมัยนั้น
ค.ศ. 1955-1968 มีการทดลองระเบิดของนิวเคลียร์ ที่ Area 51 มากกว่า 450 ครั้ง
ต่อมาโครงการลับโครงการใหม่ที่เรียกว่า “อ๊อกซ์คาร์ท”
เพราะอเมริกา มองว่าในสงครามเย็น
ข้อมูลนั้นเป็นเหมือนอาวุธที่ทรงอานุภาพ โครงการอ๊อกซ์คาร์ท
ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสอดแนมที่ดีที่สุดของอเมริกา
หรือเครื่องบินสเตลท์ ลำแรกของโลก มันบินได้เร็ว
และสูงพอที่จะหนีจรวดได้
คนงานหลายพันคนทำงานเพื่อเครื่องบินที่อยู่ภายใต้โรงงานของล็อคฮีด
ในเบอร์แบงก์รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่แม้จะมีขนาดของการผลิตขนาดใหญ่
แต่ตัวโครงการก็ยังคงเป็นความลับ เครื่องบินนั้นต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิ
ที่เกิดจากแรงเสียดสีของอากาศขณะบินผ่านชั้นบรรยากาศที่ความเร็ว
2,000 ไมล์ต่อชั่วโมง 93
เปอร์เซ็นต์ ของอ๊อกซ์คาร์ทนั้น เป็นไทเทเนียม แต่ความต้องการไทเทเนียมจำนวนมาก
อเมริกาจึงต้องทำข้อตกลงกับโซเวียต เมื่อต้นแบบของอ๊อกซ์คาร์ทพร้อม
รัฐบาลต้องการย้ายมันไปที่แอเรีย 51 จากสายการผลิตในแคลิฟอร์เนีย
แต่เพราะมันยาวเกินไปและปีกก็กว้างเกินไป
ชิ้นส่วนจึงถูกแยกออกและลากไปตามทางจากเบอร์แบงก์ไปยังกรูมเลก ภายในแอเรีย 51
คนงานเกือบ 2,000 คน ทำเพื่อเป้าหมายเดียวเพื่อทำโครงการลับสุดยอดให้สำเร็จ
อ๊อกซ์คาร์ท คือ เครื่องบินสเตลท์ลำแรกของโลก
ถูกออกแบบมาเพื่อให้ศัตรูนั้นตรวจจับด้วยเรดาร์ไม่ได้
มันอาจบินจากชายฝังหนึ่งไปยังอีกฝั่งใน 70 นาที
แต่วัตถุประสงค์เดียวของมันคือเพื่อการสอดแนม ภาพเกาหลีเหนือ ที่ถูกปล่อยออกมาโดย CIA และไม่เคยออกสู่สายตาสาธารณะมาก่อน
เผยให้เห็นว่าอ๊อกซ์คาร์ท สามารถถ่ายภาพวัตถุบนพื้นดินจากระดับความสูง 27,000 เมตร ขณะบินด้วยความเร็ว 3,500
กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้
แม้มีความพยายามซ่อนเครื่องบินที่เป็นความลับ
สายลับก็พบว่าสหภาพโซเวียตได้ภาพวาดของเครื่องบินไปแล้ว
และได้พบวิธีตรวจจับอ๊อกซ์คาร์ท คนของแอเรีย 51
ก็จงใจสร้างของปลอมให้โซเวียตนั้นค้นพบในทันที
ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (AEC) ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม
ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆ บางอย่าง
พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา คณะกรรมาธิการฯ
ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน
บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นได้ หมายเลข 51
ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐ ได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวร
เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก
21 และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้
ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51
ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า "ธงแดง"
พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง"
แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ "ดรีมแลนด์" และในช่วงทศวรรษ 1970
ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ
"แทคอิทบลู"
ค.ศ. 1980 ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีก
มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบิน
เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรม ที่มีอยู่มากมาย
อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง
ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ บนทะเลสาบกรูม
คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า
ดีแทชเมนท์ 3 แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัย
แต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพ เนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา
ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐ จึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีก โดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยังในบริเวณฐานทัพได้
แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2
แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค กับ ฟรีดอม
ริดจ์
ค.ศ. 1995 เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองเป็นที่สอดแนมได้อีก
กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย
แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้น ไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใด
เพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้
พื้นที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองของรัฐเนวาด้า
และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาด้า
ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของลาสเวกัส ที่เรียกว่าพื้นที่ 51
ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ ของเขตทดลองเนวาดา ดังนั้น Area 51 จึงอาจแปลว่ารัฐที่ 51
ที่นี้เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึก และพัฒนาสำหรับโครงการลับที่สุดทางทหาร
แต่ก็มีการจัดเวรยาม โดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนาม
ที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหว
ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์
หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์
ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky
HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ
พื้นที่ 51
ถูกสร้างขึ้นจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51
เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น วิหคทมิฬ Blackbird (SR71) เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth
Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth
Bomber อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora
Project)
เครื่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะ
ที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ
จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่า
บัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา
โดยเฉพาะเครื่องบินสอดแนมและเทคโนโลยี
ทางการบินที่แอบพัฒนากันอยู่ มีข่าวลือเกี่ยวกับแอเรีย 51 หนาหูขึ้น
จนประชาชนสงสัยว่าจริงๆ แล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้
มีประชาชนจำนวนหนึ่งได้เห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือฐานทัพ
ที่แห่งนี้มีการร่ำลือกันมานานแล้วว่าเป็น ที่ที่ใช้การศึกษาจานบิน ซ่อนจานบิน
และมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาจับกุมกันมาได้ด้วย
เคยมีจานบินตกในรอสเวล และ
รัฐบาลได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างสุดฤทธิ์ แต่ดูเหมือนยิ่งปิดก็ยิ่งกระตุ่น
ต่อมอยากรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมีการอ้างถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องและ
ไม่เกี่ยวข้อง รายที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรายของ บ๊อบ ลาซาร์
ค.ศ. 1988 – 1989 บ๊อบ โรเบิรต ลาซาร์ เป็นชาวลาสเวกัส เขาเป็นนักฟิสิกส์ ทำงานที่ ลอส
อะลามอส (ศูนย์ค้นคว้านิวเคลียร์ของอเมริกา) แต่ก็ได้ถูกโยกย้ายมายัง Area 51 เขาอ้างว่าเคยทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งอยู่ในเขตพื้นที่นี้
โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ แผนกอากาศยาน ในเขตพื้นที่นี้มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก
และเขายังได้เห็นวัตถุสิ่งบินขนาดใหญ่สิ่งหนึ่ง
เขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรม
ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลง
ในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า บริเวณทะเลสาบปาปูส
ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์
เขตหวงห้ามบริเวณ S-4 ที่นั่นถูกก่อสร้างให้พรางตา กลมกลืนไปกับพื้นทะเลทรายโดยรอบ
หากดูอย่างผิวเผินแล้วจะไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรม ที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า
โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน
และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน
การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่า หรือที่เรียกว่ายานไฮมัค
โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21
หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี
เขตหวงห้ามบริเวณ S-4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ
มูนดัสท์ บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทราย
เพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาล เพื่อทำการตรวจผิวหนัง
เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่างๆ บนแขน
วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่
เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
สารนี้ช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอม
ที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว
สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน
และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป
เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ที่เป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น
โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ
นักวิจัยแต่ละกลุ่ม จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ
พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่
เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียว ที่ช่วยโรเบิร์ท
ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ ต่อมาโรเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับ
เรเน่ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่า เรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4
เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น
หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี เขารู้จักเดนนิส
ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี
ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส
แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส
ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ
ที่มีเพียงแค่โต๊ะ และเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม
ข้อความในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
กับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมง
ในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น
ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์
ที่มาทำงานใน S4
ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท
ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาด และยิ่งตกใจมากขึ้นอีก
เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!
โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่
เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาว
และบทบาทของแรงโน้มถ่วง เพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ
โครงการกาลิเลโอ การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
บอกแต่แรกแล้วว่าเป็น "ปริศนาเชิงความบันเทิง"
ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องแนวนี้มาก่อนก็อย่าคิดมาก
แต่ให้คิดไปถึงอาวุธทันสมัยไฮเทคของกองทัพอเมริกาที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ส่วนมากก็ถูกทดลองจากที่นี่มาก่อน ร่วมทั้งระเบิดนิวเคลียร์สงครามโลกครั้งที่ 2
ทิ้งที่ ฮิโรชิมา และนางาซิกิ ที่ญี่ปุ่น จนมีคนตายไปกว่า 2 แสนคน ก็ทดลองที่นี่ด้วย
โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ
ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4
นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
แต่โรเบิร์ทก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น
เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น
โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ
แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วย
จึงทำให้เขาได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
ให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น
โครงการไซด์คิก เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท
ได้รับอนุญาตให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง
ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้
ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ
อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก
โครงการลุคกิ้งกลาส เป็นการศึกษาเรื่องกฎกายภาพ
ของการมองเห็น และผลกระทบต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง
โครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง และการควบคุมมัน
นอกจากนี้ เขาได้พบมนุษย์ต่างดาวภายในนี้ด้วย
โดยบอกว่าเป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่สูงประมาณ 3-4 ฟุต หนักประมาณ 35-50
ปอนด์ มีผิวสีเทาและมีศีรษะที่ใหญ่มาก
ถ้าหากมีใครทะเร่อทะร่าเข้าไปในเขตห่วงห้ามของ Area 51
จะมีกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยลาดตะเวนอยู่
โดยพวกเขาจะสวมชุดทหารพราน
แต่จะไม่ติดเครื่องหมายแสดงยศแต่อย่างใด และจะขับรถจี๊ปเชโรกีสีขาว
พร้อมแผ่นประกาศของรัฐบาล ผู้ละเมิดจะถูกจับกุมทันที่ พร้อมถูกปรับอย่างน้อย 600 US
แม้แต่ C.I.A. ของอเมริกาเอง
ก็เคยใช้สปายจารกรรมให้สถานที่แห่งนี้ถึง 40 คน
บ้อบ โรเบิร์ต ลาซาร์
บอกว่ามีฐานปฎิบัติการใต้ดินอยู่ลึกลงไปหลายชั้น มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่หลายคน
และมีหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก พวกเขาเหล่านั้นล้วนศึกษาเกี่ยวกับ
ระบบการทำงานของจานบินทั้งสิ้น ทหารจะเรียกที่นี่เป็นรหัสว่าศูนย์ S4
ลับสุดยอด ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังไม่มีสิทธิจะเข้ามา
ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500
คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส
เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี
ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท"
ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลัก ก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องโบอิ้ง
737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ
ครึ่งชั่วโมง โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม สถานที่ลึกลับ
ที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมัน
บ็อบ นอกจากจะได้ศึกษาตัวยานแล้ว ยังได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับแหล่งพลังงานของจานบินด้วย
เขาอธิบายว่าจานบินนั้นใช้กระบวนการไฮโดรแมกเนติก คือ
เป็นการใช้ธาตุบางอย่างที่หาได้ ตามดาวในจักรวาล ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์รี แอกชั่น
เป็นเตาปฏิกรณ์ ที่ยิงพลังงานด้วยโปรตอน
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใน Area 51 นี้กำลังคิดสร้างเตาปฏิกรณ์
แอททิแมทเทอร์ ขึ้นมาเลียนแบบ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แหล่งพลังงานของยานบิน คือ
แอนทิแมทเทอร์ รีแอคเตอร์
(เครื่องปฏิกรณ์ยิงระเบิดสสารที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เหมือนกัน
แต่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามด้วยโปรตรอน) มีท่อกลวงตรงกลางยาน จากพื้นขึ้นไปถึงยอด
ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นท่อเหนี่ยวนำคลื่นพลังโน้มถ่วงหรือพลังไฟฟ้าที่ผ่านเข้าไปในนั้น
ช่วงล่างของท่อ จะเชื่อมติดกับตัวแอนทิแมทเทอร์ รีแอคเตอร์
ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลงติดกับพื้นของยาน ท่อกลวงตรงกลาง
หรือท่อเหนี่ยวนำจะเป็นท่อยาวต่อไปจนถึงยอดบนของยาน
เครื่องปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่ เท่ากับลูกบาสเกตบอล
ลักษณะคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลง บนแผ่นโลหะเล็กๆ มันจะส่งสนามพลัง หรือ
สนามกำลังดึงดูดออกมาโดยรอบ ซึ่งในช่วงเวลาที่มันทำงาน
ก่อให้เกิดแรงผลักคล้ายแม่เหล็กสองแท่งที่มีขั้วเหมือนกันกระทำปฏิกิริยาต่อ กัน
สารหรือธาตุที่เป็นองค์ประกอบเชื้อเพลิงยิ่งน่าสนใจมาก มันคือธาตุที่ 115
ซึ่งตามทฤษฎีกล่าวว่า มันจะปรากฏอยู่รอบๆ ธาตุ 113-114
กลายเป็นธาตุที่มั่นคง และมีการรวมโปรตรอน กับนิวตรอน ก่อให้เกิดธาตุใหม่ซึ่ง
สามารถนำไปใช้ได้ หากยิงอนุภาคพลังงานด้วยโปรตรอน มันก็จะแตกธาตุจนถึงธาตุ 116
และปล่อยสสารแอนทิแมทเทอร์ออกมา ซึ่งนั่นคือมันจะทำปฏิกิริยากับสสารซึ่งเรียกว่า
"ปฏิกิริยาแอนนิไฮโลชั่น"
ปฏิกิริยา พื้นฐานดังกล่าวก่อให้เกิดพลังแม่เหล็กไฟฟ้า
ตามท่อเหนี่ยวนำมากขึ้นๆ และพลังที่เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลนี้เอง
ที่ถูกนำไปใช้กับอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ ธาตุที่ 115 ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก
และไม่สามารถสังเคราะห์ได้ เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักมาก
จากแหล่งข้อมูล
ทุกฝ่ายระบุว่าธาตุนี้พบตามธรรมชาติบนโลกหรือดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลกมาก
อาจเป็นโลก ที่มีพระอาทิตย์สองดวง ในแต่ละครั้ง จานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวจะใช้ธาตุ
115 จำนวนมากถึง 223 กรัม
การที่จานบินบินด้วยความเร็วสูง
การบินเลี้ยวกลับเป็นมุมฉาก
การหยุดนิ่งกลางอากาศและการเร่งความเร็วของจานบินและการดับเสียงโซนิคบูม
รวมถึงการเร่งความเร็วขนาด 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
จานบินอาจใช้วิธีอาศัยสนามแรงโน้มถ้วงเทียม
หรือบางทีอาจใช้คุณสมบัติพิเศษของมิติและกาลเวลา
ซึ่งโลกเรายังไม่คุ้นเคยก็เป็นไปได้
หลังจากการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของ ลาซาร์ เผยแพร่ออกไป
ผู้คนที่สนใจเรื่องนี้จากเดิมที่เคยมาสอดแนมเป็นบางครั้งบางคราว
กลับกลายเป็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลมาคอยจับตา
ดูสิ่งบินลึกลับตามที่ลาซาร์บอก มีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับ
บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง
จนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51
น่าจะเป็นฐานทัพหรือกองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ
แต่ทว่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถบบริเวณนั้นกลับบอกว่าไม่เคยเห็นมีอะไรผิดปกติ
เกิดขึ้นแต่อย่างใด รัฐบาลสหรัฐ โต้กลับว่าสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็น
และอ้างว่าเป็นจานบินนั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องบินรุ่นใหม่ ๆ ของกองทัพอากาศ
โดยทางกองทัพมักจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ทดลองอากาศยานรุ่นใหม่
ๆ ก่อนที่จะออกสู่สายตาสาธารณชน เช่น U-2, A-12,
SR-71 และ F-117A นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด
2 ชนิดคือ เครื่องบินสอดแนมความเร็วสูงที่เรียกว่า Aurora และ
เครื่อง B-2 ที่จะมาแทน F-117A ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
เครื่องบินเสตลธ์ ก็สร้างสำเร็จที่นี่
ได้รับสมยานามทางทหารว่า "ปีศาจล่องหน" เพราะเคลือบด้วยวัสดุพิเศษ
ทำให้เครื่องบินหลบเรดาร์ของข้าศึกได้
แต่รัฐบาลสหรัฐก็ไม่เคยยอมบอกว่าวัสดุที่เคลือบนั้นเอามาจากไหน และทำไมถึง
หลบเรดาร์ได้ ล่าสุดก็มีข่าวว่า Area 51 จะย้ายออกจากรัฐเนวาด้า
ไปยังที่ลับๆ ปราศจากสื่อมวลชนที่คอยตามข่าว
รัฐบาลสหรัฐบอกว่า ที่นั่นมักจะมีการซ้อมรบอยู่เรื่อย ๆ
โดยมีการยิงพลุ และทำแสงแวบ ๆ อยู่ตลอดบนท้องฟ้า ดังนั้น
สิ่งที่พวกนักสังเกตการณ์ทั้งหลายเห็นและคิดไปต่าง ๆ นานาน่า คือการซ้อมรบดังกล่าว
หลังจากที่บ็อบออกมาประกาศแก่สื่อมวลชน รัฐบาลสหรัฐ
ก็ออกหมายจับเขาทันที แล้วเขาก็หายสาบสูญไป รัฐบาลสหรัฐ จะออกมาแถลงว่า Area 51
นั้น เป็นเพียงศูนย์การค้นคว้าด้านเครื่องบินของด้านการทหาร
ค.ศ. 1985 โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51
เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู
การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค
แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น
เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผย
งบประมาณลับประจำปีของทหาร Area 51 นั้นมากกว่า 41,000 ล้านยูโร ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการในสหรัฐ
ค.ศ. 2014 ช่วงปลายปี ก็สร้างความฮือฮา และปริศนาลี้ลับ เกี่ยวกับ มนุษย์ต่างดาว และยานบินลึกลับออกมาอีก เมื่อ ดร.บอยด์ บุชแมน วิศวกรชาวอเมริกัน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ Area 51 รายที่ 2 ได้เปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดก่อนเสียชีวิต เกี่ยวกับหน้าที่การงานของเขา
เขาเกิดเมื่อปี 2479 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2557
โดย เขาเป็นหนึ่งในวิศวกร ที่เป็นผู้บุกเบิกขีปนาวุธ สติงเกอร์
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานมานานกว่า 40 ปี นอกจากนั้น
ยังได้รับรางวัลด้านสิทธิบัตรถึง 28 รางวัล อีกทั้งยังเคยทำงานสัญญาจ้างด้านกลาโหม
กับ ฮิวจ์แอร์คราฟท์ เจเนอรัล ไดนามิกส์ และบริษัท ลอกฮีด มาร์ตินด้วย
เขาได้ศึกษาเรื่องจานบิน และชีวิตของมนุษย์ต่างดาว
ที่ฐานปฏิบัติการลับแห่งหนึ่ง ดร.บุชแมน ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว
และจานบินนอกโลก ผ่านการบันทึกลงในคลิปวิดีโอสั้นๆ ก่อนเขาจะเสียชีวิตเมื่อ
เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา เขาบอกถึงภารกิจของเขาและทีมงาน
ด้วยความเคารพต่อยานมนุษย์ต่างดาว พวกเขาพลเมืองอเมริกัน
กำลังทำงานเกี่ยวกับจานบิน UFO 24 ชม.ต่อวัน พวกเขากำลังพยายามเรียนรู้
เขาได้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไว้ว่า ตามที่พวกเขารู้นั้น
เอเลี่ยนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนกับในฝูงปศุสัตว์
คือ กลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เป็นโคบาล หรือผู้ต้อนสัตว์
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับผู้ขโมยวัวควาย โดยกลุ่มเอเลี่ยน
ที่คล้ายกับเป็นโคบาลนั้น มีลักษณะนิสัยที่มีความเป็นมิตรมากกว่า
มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นเพื่อนและช่วยเหลือกับพวกตนมากกว่า
ขณะเดียวกัน เขายังอธิบายถึงลักษณะของเอเลี่ยน
และเผยภาพถ่ายของเอเลี่ยนด้วยว่า มีความสูงแค่เพียง 5 ฟุตเท่านั้น ( ใกล้เคียงกับ
บ๊อบ โรเบิรต ลาซาร์ บอก) โดยมี เอเลี่ยน หนึ่ง หรือ 2 ตน ของพวกเอเลี่ยนเหล่านี้
มีอายุยืนถึง 230 ปี ขณะที่ ตาและจมูกของเอเลี่ยนมีความแตกต่างจากมนุษย์
แต่ก็มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้วเหมือนกัน
ที่น่าทึ่ง คือ เอเลี่ยนมีความสามารถในการสื่อสารทางโทรจิต
ความสามารถเหนือมนุษย์ของเอเลี่ยน คือ พวกเขาสามารถใช้เสียงของเขา
สื่อสารผ่านทางโทรจิตเพื่อคุยกับมนุษย์
ล่าสุดเมื่อปลายเดือน ธันวาคม 2014 ชายนิรนามอ้างเป็นคนวงใน ติดต่อขอพบนักข่าว พร้อมไขข้อข้องใจเรื่องมนุษย์ต่างด่าว ว่ามีอยู่จริง นอกจากนั้นยังแผงตัวใช้ชีวิตอยู่บนโลกกว่า 80 ปีมาแล้ว สำนักข่าวท้องถิ่น เนวาด้าเดลี่เมล์ เผยเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากชายนิรนาม
ที่ไม่ยอมเปิดเผยว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน
และได้ขอนัดนักข่าวไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนโลก
ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ ชายคนดังกล่าว ไม่ขอเปิดเผยชื่อ ปกปิดรูปลักษณ์ภายนอก
และไม่ยินยอมให้อัดวีดีโอ หรืออัดเสียงบันทึกการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น
ชายคนดังกล่าว อ้างว่าเคยทำงานอยู่ใน แอเรีย 51
แต่ไม่ยอมบอกว่าทำตำแหน่งหน้าที่อะไร ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่ชาวโลกทุกคนสงสัย
โดยมีข้อมูลที่สำคัญที่สรุปเอาไว้ได้ทั้งหมด 10 เรื่องดังนี้
1. มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง
และอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์เรามานานกว่า 80 ปี
2. มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ค้นพบพวกเขา แต่พวกเขาติดต่อเรามาเอง
3. ช่วงเวลาที่ติดต่อมา คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือปี ค.ศ. 1946
2. มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ค้นพบพวกเขา แต่พวกเขาติดต่อเรามาเอง
3. ช่วงเวลาที่ติดต่อมา คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือปี ค.ศ. 1946
4. หน้าตาของมนุษย์ต่างดาวเหมือนกับคนปกติ โดยพวกเขาอ้างว่า
แท้จริงแล้วรูปลักษณ์ภายนอกปกติของพวกเขา ไม่ได้เป็นแบบคนทั่วไป
แต่เขามีวิธีการทำให้ตัวเองมีรูปลักษณ์แบบคนทั่วไปได้
5. พวกเขาติดต่อผ่านนายทหารระดับสูงของอเมริกาท่านหนึ่ง
และหลังจากนั้นนายทหารท่านนั้นก็พาไปพบกับประธานาธิปดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น (แฟรงคลิน
ดี รูสเวลท์)
6. ประเด็นที่เข้าพบ คือ เรื่องของสันติภาพของโลกในอนาคต
สาเหตุจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า
มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อให้คำแนะนำหรือมาเพื่อบอกอะไร
7. แท้จริงแล้วมนุษย์ต่างดาวยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์
แต่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุด และมีสิ่งแวดล้อม
แรงดึงดูด เวลาโคจรของดวงดาวใกล้เคียงกันมากที่สุด
ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจะโลกค่อนข้างมากและอยู่ไกลเกินกว่าจะมาถึงโลกได้บ่อยๆ
แต่ก็มีแวะเวียนมาบ้าง
8. เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี
ค.ศ 1936
9. พวกเขาย้ายมาอยู่บนมนุษย์โลกหลายสิบชีวิต แต่ละชีวิตกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เป็นชนกลุ่มแรกของดาว ที่ทดลองย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนรู้และทดลองการใช้ชีวิต อาจเป็นเพราะดาวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง และต้องการหาที่อยู่ใหม่
9. พวกเขาย้ายมาอยู่บนมนุษย์โลกหลายสิบชีวิต แต่ละชีวิตกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เป็นชนกลุ่มแรกของดาว ที่ทดลองย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนรู้และทดลองการใช้ชีวิต อาจเป็นเพราะดาวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง และต้องการหาที่อยู่ใหม่
10. พวกเขาเป็นมิตรกับมนุษย์ หลังจากสงครามโลก
จนถึงปัจจุบัน พวกเขาติดต่อกับพวกเรามาหลายครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการศึกษา
เรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ โดยปัจจุบันก็มีพวกเขากว่า 100
ชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เรื่องทั้งหมดที่รวบรวมย่อมา ปี ค.ศ.ต่าง ๆ และชื่อบุคคล ล้วนมีอยู่จริง แต่ไม่สามารถยืนยันทางสิ่งที่เขาเล่ามาได้ 100% เนื่องจากเป็นคำบอกเล่าของชาย 3 คน ที่อ้างว่าเคยทำงานใน แอเรีย 51 ก็ถือเสียว่า "เป็นการรับรู้เพื่อความบันเทิง" อย่าคิดมาก โบราณว่า " เรื่องไม่มีมูล สุนัขไม่อึ " คงมีเรื่องจริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แต่ที่แน่ๆ คือบรรดาอาวุธทั้งหลายที่เคยทดลองที่ Area 51
แห่งนี้ ล้วนได้สังหารคร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วหลายล้านคน ดูแค่ตอนสงคราม 6 วัน ,
สงครามอิรัก กับอิหร่าน และสงครามอเมริกาโจมตีอิรัก รอบที่ 1
และรอบที่ 2 แค่นี้ก็ตายไปเกิน 2 ล้านคนแล้ว
(เครดิตอ้างอิง คัดลอกเนื้อหาจากหน้าเพจแฉความลับของ
เสธ.น้ำเงิน , https://th-th.facebook.com/topsecretthai/posts/305908772932490)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น