เอเจนซีส์ / MGR
online – อาเดล อัล-ญูเบอีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย
แถลงในวันอาทิตย์ ( 3 ม.ค.)
ยืนยันซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน
หลังเกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านบุกเข้าโจมตีสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯในกรุงเตหะราน
นอกเหนือจากการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลริยาดห์และเตหะรานแล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตทั้งหมดของอิหร่านต้องเดินทางออกจากแผ่นดินซาอุฯ
ภายใน 48 ชั่วโมง การประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียในการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในคราวนี้
ถือเป็นอีกหนึ่งจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองที่ตึงเครียดมายาวนานหลายทศวรรษ
โดยที่รัฐบาลซาอุฯซึ่งถือเป็นผู้นำโลกมุสลิมฝ่ายสุหนี่
มักกล่าวหาอิหร่านที่เป็นผู้นำชาติมุสลิมฝ่ายชีอะห์ว่า
กระทำการแทรกแซงกิจการของโลกอาหรับ ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์ (2 ม.ค.) กลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านซึ่งอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น
พากันบุกเข้าไปยังที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน
ก่อนจุดไฟเผาส่วนหนึ่งของอาคารสถานทูต หลังจากที่รัฐบาลริยาดห์ทำการประหารชีวิตอิหม่ามนิกายชีอะห์ชื่อดัง
"ชีค นิมรา อัล-นิมรา"
ที่มีชื่อเสียงในฐานะนักวิพากษ์วิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองที่กดขี่ของทางการซาอุดีอาระเบียต่อชนกลุ่มน้อยที่เป็นมุสลิมชาวชีอะห์ในประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า ภายหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธแค้น
พากันขว้างระเบิดเพลิงเข้าไปภายในสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯในกรุงเตหะราน
ก่อนจะสามารถบุกเข้าไปภายในได้ และจากนั้นการทุบทำลายเฟอร์นิเจอร์
เครื่องใช้สำนักงาน ตลอดจนหน้าต่างของอาคารสถานทูตซาอุฯ
ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างบ้าคลั่ง โดยผู้ประท้วงหลายรายได้ช่วยกันจุดไฟเผาห้องๆหนึ่งภายในอาคาร
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของอิหร่านจะเดินทางมาถึง
และทำการผลักดันผู้ประท้วงออกไปนอกพื้นที่และเริ่มทำการดับเพลิงที่ลุกไหม้ เหตุบุกสถานทูตซาอุฯใจกลางเมืองหลวงของอิหร่านในครั้งนี้
ถือเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง
หลังจากที่ทางการซาอุฯทำการประหารชีวิตหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ซึ่งผู้ที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนี้ประกอบด้วย ชีค นิมรา อัล-นิมรา พร้อมกับชายอีก
47 คนในข้อหาเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
นำมาซึ่งเสียงประณามจากรัฐบาลอิหร่าน และบรรดาพันธมิตรชีอะห์ทั่วโลก ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม
2015 ศาลสูงสุดของซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธการยื่นอุทธรณ์โทษประหารชีวิตแก่นิมรา
ที่เป็นหนึ่งในผู้นำการเรียกร้องให้มีการชุมนุมสนับสนุนประชาธิปไตยในซาอุดีอาระเบีย
ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมตัวได้ในปี 2012 นำไปสู่การประท้วงหลายครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย
3 ราย ชีค นิมรา อัล-นิมรา
ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีทักษะในการพูดในจังหวัดกอตีฟ
ทางตะวันออกของซาอุฯ และเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองของราชวงศ์
อัล-ซาอุดที่เป็นพวกมุสลิมสุหนี่ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยซาอุฯ ได้กล่าวหาเขาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี
ร่วมกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอื่นๆ
ที่ระบุว่าทำงานในนามของกลุ่มมุสลิมชีอะห์สุดโต่งจากอิหร่าน
ซึ่งถือเป็นอริหมายเลขหนึ่งของซาอุดีอาระเบีย ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
เอเจนซีส์ / MGR
online – กลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านซึ่งอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น
พากันบุกเข้าไปยังที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะรานก่อนจุดไฟเผาส่วนหนึ่งของอาคารสถานทูตในวันเสาร์
(2 ม.ค.)
หลังจากที่รัฐบาลริยาดห์ทำการประหารชีวิตอิหม่ามนิกายชีอะห์ชื่อดัง "ชีค
นิมรา อัล-นิมรา"
ที่มีชื่อเสียงในฐานะนักวิพากษ์วิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองที่กดขี่ของทางการซาอุฯต่อชนกลุ่มน้อยที่เป็นมุสลิมชาวชีอะห์ในประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า
ภายหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธแค้น
พากันขว้างระเบิดเพลิงเข้าไปภายในสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯในกรุงเตหะราน
ก่อนจะสามารถบุกเข้าไปภายในได้ และจากนั้นการทุบทำลายเฟอร์นิเจอร์
เครื่องใช้สำนักงาน ตลอดจนหน้าต่างของอาคารสถานทูตซาอุฯ
ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
โดยผู้ประท้วงหลายรายได้ช่วยกันจุดไฟเผาห้องๆหนึ่งภายในอาคาร
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของอิหร่านจะเดินทางมาถึง
และทำการผลักดันผู้ประท้วงออกไปนอกพื้นที่และเริ่มทำการดับเพลิงที่ลุกไหม้ เหตุบุกสถานทูตซาอุฯใจกลางเมืองหลวงของอิหร่านในครั้งนี้
ถือเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง
หลังจากที่ทางการซาอุฯทำการประหารชีวิตหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ซึ่งผู้ที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนี้ประกอบด้วย ชีค นิมรา อัล-นิมรา พร้อมกับชายอีก
47 คนในข้อหาเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายนำมาซึ่งเสียงประณามจากรัฐบาลอิหร่านและบรรดาพันธมิตรชีอะห์ทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม 2015 ศาลสูงสุดของซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธการยื่นอุทธรณ์โทษประหารชีวิตแก่นิมรา
ที่เป็นหนึ่งในผู้นำการเรียกร้องให้มีการชุมนุมสนับสนุนประชาธิปไตยในซาอุดีอาระเบีย
ก่อนเขาถูกจับกุมตัวในปี 2012 นำไปสู่การประท้วงหลายครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย
3 ราย ชีค นิมรา อัล-นิมรา ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีทักษะในการพูดในจังหวัดกอตีฟ
ทางตะวันออกของซาอุฯ และเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองของราชวงศ์
อัล-ซาอุดที่เป็นพวกมุสลิมสุหนี่ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยซาอุฯ ได้กล่าวหาเขาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี ร่วมกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอื่นๆ
ที่ระบุว่าทำงานในนามของกลุ่มมุสลิมชีอะห์สุดโต่งจากอิหร่าน
ซึ่งถือเป็นอริหมายเลขหนึ่งของซาอุดีอาระเบีย ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
รอยเตอร์ -
มือคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตายตอลิบาน จุดชนวนระเบิดถล่มร้านอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติในกรุงคาบูล
เมืองหลวงของอัฟกานิสถานในวันศุกร์ (1 ธ.ค.) เหตุโจมตีระลอกล่าสุดของนักรบกลุ่มนี้
ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้าการเจรจาสันติภาพ
ขณะที่เบื้องต้นตำรวจเผยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 5 คน เหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีเมืองหลวงของอัฟกานิสถานหนล่าสุด
มีเป้าหมายที่่ร้าน “Le Jardin” หนึ่งในร้านอาหารเล็กๆ
ในกรุงคาบูลที่ยังคงมีชาวต่างชาติแวะเวียนไปใช้บริการอยู่เป็นประจำ
ขณะที่เหตุรุนแรงคราวนี้เกิดขึ้นเกือบ 1 ปี หลังมีผู้เสียชีวิต
21 ราย ในนั้น 13 คนเป็นชาวต่างชาติ
จากเหตุโจมตีร้านอาหารเลบานอนชื่อดังในเมืองแห่งนี้ ตำรวจและบุคลากรด้านความมั่นคงจำนวนมากเข้าปิดกั้นพื้นที่
ซึ่งบางส่วนยังคงสว่างไสวจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ตามหลังเหตุระเบิด
ขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเปิดเผยว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน
ส่วนตอลิบานออกมาอ้างความรับผิดชอบ โดยระบุบนทวิตเตอร์ว่า
"มีผู้รุกรานบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจำนวนมาก" ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์
ตอลิบานเพิ่งออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีฆ่าตัวตายใกล้สนามบินคาบูล
คร่าชีวิตอย่างน้อย 1 ศพ และบาดเจ็บ 33 คน เช่นเดียวกับปฏิบัติการโจมตีอีกแห่งในสัปดาห์นี้ที่ปลิดชีพทหารอเมริกา 6
นาย ซึ่งกำลังลาดตระเวนใกล้กับฐานทัพอากาศบากรัม รอบนอกเมืองหลวง เหตุโจมตีต่างๆ
เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความพยายามฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพกับตอลิบานที่พังครืนลงไปในเดือนกรกฎาคม
ตามหลังมีข่าวหลุดออกมาว่านายมุลเลาะห์ โมฮัมหมัด โอมาร์ ผู้นำตอลิบาน
เสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน เจ้าหน้าที่จากอัฟกานิสถาน
ปากีสถาน สหรัฐฯและจีน มีกำหนดพบปะกันในปากีสถานในวันที่ 11 มกราคม
ในการประชุมที่มีเป้าหมายวางกรอบการเจรจากับพวกกบฏ อย่างไรก็ตาม
จนถึงตอนนี้ฝ่ายตอลิบานที่กำลังพยายามระงับเหตุสู้รบนองเลือดแย่งชิงสืบทอดอำนาจกันภายใน
ปฏิเสธเข้าร่วมโต๊ะเจรจา หากว่ากองกำลังต่างชาติยังอยู่ในอัฟกานิสถาน
เอเอฟพี
- เปลวเพลิงมหึมาโหมไหม้โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ในค่ำคืนวันพฤหัสบดี (31
ธ.ค.) ระหว่างที่ผู้คนรวมตัวกันชมงานเฉลิมฉลองปีใหม่อยู่ใกล้ ๆ กัน
ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน ศูนย์สื่อมวลชนของรัฐบาลดูไบ
ระบุบนทวิตเตอร์ว่า “ได้รับแจ้งไฟไหม้ที่โรงแรมแอดเดรส
ดาวน์ทาวน์ เวลานี้เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ ณ
จุดเกิดเหตุเพื่อจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย” ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า โรงแรมสูง 63 ชั้น
ซึ่งอยู่ติดกับเบิร์จ คาลิฟา อาคารสูงที่สุดในโลก ถูกไฟลุกท่วมปกคลุมหลายชั้น
ท่ามกลางเสียงไซเรนดังลั่นทั่วเมือง และมีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่ด้านบน พลตำรวจเอก
คามิส มาตาร์ อัล-เอ็มเซมา ผู้บัญชาการตำรวจดูไบ เปิดเผยว่า
แขกและพนักงานของโรงแรมได้รับการอพยพออกจากจุดเกิดเหตุหมดแล้ว
ขณะที่ไฟยังคงลุกไหม้อยู่แม้เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว “ทุกคนออกมาหมดแล้ว
และจนกว่าจะดับไฟได้สำเร็จ
เราจะยังไม่มีข้อมูลว่าอะไรคือต้นตอของเหตุเพลิงไหม้คราวนี้” เขากล่าว ในส่วนของจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น ตัวเลขเบื้องต้นยังคงสับสน
โดยเอเอฟพีอ้างคำข้อมูลบนทวิตเตอร์ของเจ้าหน้าที่แพทย์ ระบุว่า “มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 14 ราย บาดเจ็บปานกลาง 1
คน และล้มฟุบด้วยอาการโรคหัวใจอีก 1 คน
สืบเนื่องจากผู้คนเบียดเสียดหนีออกมาท่ามกลางกลุ่มควัน” อย่างไรก็ตาม
ทางรอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของแพทย์คนหนึ่งซึ่งอยู่ ณ จุดเกิดเหตุบอกว่า “มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 60 ราย โดยทั้งหมดบาดเจ็บแค่เล็กน้อย
ไล่ตั้งแต่สำลักควันและจากการเบียดเสียดขณะกำลังอพยพลงทางบันไดของอาคาร” เอเอฟพีอ้างผู้เห็นเหตุการณ์
บอกว่า ไฟได้เริ่มลุกไหม้ตอน 21.30 น. (ตรงกับเมืองไทย 00.30
น.) จากนั้นก็แผ่ลามขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว
ครอบคลุมบริเวณหลายสิบชั้น ขณะที่รัฐบาลระบุในทวิตเตอร์ว่าไฟปะทุขึ้นที่ชั้น 20
แต่ก่อผลกระทบแค่ส่วนนอกของอาคารเท่านั้น “เจ้าหน้าที่ดับเพลิง
4 ทีมถูกส่งเข้าควบคุมไฟ” ก่อนหน้านี้ ในวันพฤหัสบดี (31 ธ.ค.)
เจ้าหน้าที่เผยว่าได้กระจายกำลังบุคลากรด้านความมั่นคงหลายพันนาย เพื่อรับประกันความปลอดภัย
ให้นักท่องเที่ยวและพลเรือนสนุกสนานกับงานเทศกาลต้อนรับปีใหม่อย่างเต็มที่ คณะผู้บริหารเมืองดูไบ
วางแผนสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ประชาชนที่เข้าร่วมงาน
ด้วยการแสดงพลุไฟประกอบแสงสีเสียง โดยเริ่มต้นจากตึกเบิร์จคาลิฟา
ก่อนแผ่ขยายต่อเนื่องไปยังจุดอื่น ๆ ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นเบิร์จอาหรับ และใกล้ ๆ
กับดูไบ มารินา ทั้งนี้
แม้มีเหตุเพลิงไหม้ แต่รัฐบาลประกาศเดินหน้างานเฉลิมฉลองต่อไป “งานฉลองปีใหม่จะเดินหน้าตามกำหนด” ผู้บริหารเมืองระบุในทวิตเตอร์
เอเอฟพี
- มอสโกในวันพุธ (30 ธ.ค.) เรียกร้องอังการาจับกุมกบฏรายหนึ่งที่ระบุเป็นคนลงมือฆ่านักบินรัสเซียที่เครื่องบินถูกตุรกียิงตกตามแนวชายแดนซีเรียเมื่อเดือนก่อน
หลังนักรบรายนี้โผล่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตุรกี
อ้างถึงความชอบธรรมในการลงมือแก้แค้น “เราเรียกร้องเจ้าหน้าที่ตุรกีดำเนินมาตรการต่างๆในทันทีเพื่อจับกุมนายอัลพาร์สลาน
เซลิคและผู้สมคบคิดของเขา
พาตัวพวกเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมฐานฆาตกรรมนักบินรัสเซีย” มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุในถ้อยแถลง ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยตของตุรกีเมื่อวันอาทิตย์
(27 ธ.ค.) กบฏเติร์กเมนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพลเมืองตุรกี บอกว่า “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขามิอาจเพิกเฉยต่อบุคคลคนหนึ่งที่ทิ้งระเบิดใส่พลเรือนเติร์กเมนทุกๆ
วันได้” โดยอ้างถึงนักบินชาวรัสเซียที่ถูกสังหาร สองนักบินของเครื่องบินทิ้งระเบิด
ซู-24 ที่ถูกเครื่องบินรบเอฟ-16 ของตุรกียิงตก
ดีดตัวและกระโดดร่มลงสู่แนวชายแดนฝั่งซีเรีย อย่างไรก็ตาม
หนึ่งในนั้นถูกสาดกระสุนใส่จากกลุ่มกบฏที่อยู่บนภาคพื้นจนเสียชีวิต “การแก้แค้นคือสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์” เซลิคให้สัมภาษณ์ มอสโกและอังการาตกอยู่ท่ามกลางสงครามน้ำลายเกี่ยวกับเหตุเครื่องบิน
ซู-24 ของรัสเซียถูกยิงตกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน
ด้วยเครมลินได้ออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อตุรกีเป็นชุดๆเพื่อแก้แค้น ซาคาโรวาบอกว่า
การเผยแพร่คำสัมภาษณ์นายเซลิค
ของสื่อมวลชนหลักตุรกีได้กระพือความโกรธเคืองและสร้างความประหลาดใจแก่รัสเซีย
พร้อมกล่าวหาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่ามีนโยบายเผยแพร่คำคุยโวของพวกก่อการร้ายและอาชญากร
และแพร่กระจายความเกลียดชังที่มีต่อรัสเซียและประชาชนชาวรัสเซีย
ผ่านอุดมการณ์ชาตินิยม เธอระบุด้วยว่าความเห็นของนายเซลิคเท่ากับยอมรับว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุฆาตกรรมนักบินรัสเซีย ตุรกีกล่าวหารัสเซียว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางเชื้อชาติในซีเรีย
โดยมีเป้าหมายที่ชาวเติร์กเมนและประชากรสุหนี่ ที่ต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์
อัล-อัสซาด พันธมิตรเก่าแก่ของมอสโก อังการาอ้างว่าเครื่องบินรัสเซียละเมิดน่านฟ้าของพวกเขาและเพิกเฉยต่อคำเตือนหลายรอบ
ขณะที่มอสโกยืนกรานว่าเครื่องบินไม่ได้ข้ามไปจากฝั่งซีเรียและกล่าวหาตุรกีว่าวางแผนยั่วยุ
(เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากเนื้อหาคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ,เว็บไซต์ MGR online )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น