เอเอฟพี - กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุกราดยิงนองเลือด
และโจมตีด้วยมือระเบิดฆ่าตัวตายที่สั่นสะเทือนเมืองหลวงของอินโดนีเซีย
ขณะที่สหรัฐฯรุดออกมาประณาม และชี้ว่า เป็นการกระทำที่เชิญชวนให้ถูกทำลายล้าง ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์
ทางพวกญิฮัดกลุ่มนี้บอกว่าระเบิดจำนวนหนึ่งถูกจุดชนวนขึ้นในระหว่างการโจมตีของนักรบของกาหลิบ
4
คน ด้วยอาวุธขนาดเล็กและเข็มขัดระเบิด” ถ้อยแถลงบอกต่อว่า
มือโจมตีมีเป้าหมาย คือ จุดรวมตัวของพลเมืองจากพันธมิตรครูเสด
อ้างถึงพันธมิตรนานาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ
ซึ่งกำลังปฏิบัติการทางอากาศถล่มไอเอสในอิรัก และซีเรีย พวกหัวรุนแรง 5 คน ลงมือโจมตีย่านใจกลางกรุงจาการ์ตาในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ปฏิบัติการที่เชื่อว่าเป็นการลอกเลียนแบบเหตุโจมตีกรุงปารีส โดยพวกเขาจุดชนวนระเบิดและกราดยิงผู้คนในย่านแห่งหนึ่งซึ่งแออัดไปด้วยห้างสรรพสินค้า
สถานทูต และสำนักงานสหประชาชาติ ตำรวจประกาศว่า การโจมตีสิ้นสุดลงหลังเหตุระทึกขวัญผ่านไปหลายชั่วโมง
โดยมีคนร้ายเสียชีวิต 5 คน เช่นเดียวกับพลเมือง 2 คน โดยในนั้น 1 รายเป็นชาวตะวันตก
พร้อมบอกว่าไม่มีมือจู่โจมที่ยังเล็ดลอดเหลืออยู่แล้ว ในเวลาต่อมาทางการออตตาวา
เปิดเผยว่า พวกเขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ว่า มีชาวแคนาดา 1 คน เสียชีวิตในเหตุโจมตีดังกล่าว โดยทางโฆษกของกระทรวงการต่างประเทศแคนาดา
ระบุด้วยว่า สถานกงสุลอยู่ระหว่างประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
เพื่อตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว แต่ตอนนี้ยังไม่ขอยืนยันใด ๆ ด้าน นายจอห์น เคร์รี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ
ออกมาประณามเหตุโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสในกรุงจาการ์ตา โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นคำเชื้อเชิญให้ไปทำลายล้างพวกเขา “การก่อการร้ายนี้ไม่ได้ให้อะไรนอกจากความตาย”
เคร์รี บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงลอนดอน ตามหลังพบปะกับนายอาเดล
อัล-ญูเบอีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย นายเคร์รี ย้ำว่า
การโจมตีก่อการร้ายจะไม่สามารถข่มขู่ประเทศต่าง ๆ จากการปกป้องพลเรือน
และเดินหน้ามอบโอกาสที่แท้จริงทั้งทางด้านการศึกษา หน้าที่การงาน และอนาคต
ซึ่งทางออกเดียว คือ การกำราบนักรบกลุ่มนี้ “ไอเอสพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มอบอะไร
ไม่มีทางเลือกอื่นยกเว้นแต่ทำลายล้างตนเอง
หากพวกเขาเหลือเพียงทางเลือกนั้นไว้ให้เรา เราก็จำดำเนินการในสิ่งที่จำเป็น”
รอยเตอร์ - เกิดเหตุระเบิดหลายระลอกและเกิดการยิงปะทะในใจกลางเมืองหลวงอินโดนีเซียในวันนี้ (14) และตำรวจระบุว่า
พวกเขาสงสัยว่าการระเบิดอย่างน้อย 1 ครั้งเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตาย สื่อรายงานว่า มีการระเบิดเกิดขึ้น 6 จุด และพยานของรอยเตอร์เห็นคนตาย 3 รายและกำลังมีการยิงต่อสู้กันอยู่ การระเบิดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในร้านสตาร์บัคส์ และต่อมากองกำลังความมั่นคงถูกเห็นว่าได้เข้าไปยังร้านดังกล่าว ตำรวจระบุว่าพวกเขาสงสัยว่าการะเบิดอย่างน้อย 1 ครั้งเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตาย และการโจมตีครั้งนี้มีมือปืนจากกลุ่มติดอาวุธมีส่วนร่วม 14 ราย เมโทร ทีวี รายงาน “หน้าต่างร้านสตาร์บัคส์แตกออก ผมเห็นคนตาย 3 รายบนถนน มีช่วงหนึ่งที่การยิงปะทะหยุดลง แต่มีใครบางคนอยู่บนดาดฟ้าของร้าน และตำรวจเล็งปืนของพวกเขาไปที่คนคนนั้น” ช่างภาพของรอยเตอร์กล่าว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอินโดนีเซียตกอยู่ในความเสี่ยงจากกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ และตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายได้เปิดฉากกวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) บัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของตำรวจาการ์ตาระบุว่า การระเบิดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นด้านหน้าศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าซารินาห์มอลล์บริเวณถนนสายหลักของเมือง สำนักงานขององค์การสหประชาชาติที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุถูกปิดไม่ให้ใครเข้าและออก พยานรายหนึ่งกล่าว ขณะที่อาคารอื่นๆ บางแห่งในพื้นที่นั้นมีการสั่งอพยพ ธนาคารกลางของแดนอิเหนาตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน และโฆษกธนาคารระบุว่า การประชุมนโยบายจะถูกจัดขึ้นในวันนี้ตามแผนเดิม การระเบิดอีกจุดหนึ่งถูกได้ยินในเขตชานเมืองพัลเมราห์ทางตะวันตก ทั้งนี้อ้างจากทวีตของสื่อภายในประเทศ แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ ออกมาในตอนนี้ อินโดนีเซียมีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก พวกเขาส่วนใหญ่ยึดหลักแนวทางสายกลางของศาสนานี้ ประเทศนี้ได้พบเห็นการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธหลายต่อหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่ 2000 เหตุการณ์ที่มีคนตายมากที่สุดคือการระเบิดที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งบนเกาะตากอากาศบาหลีที่คร่าชีวิตคนไป 202 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ตำรวจประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำลายบรรดากลุ่มติดอาวุธหลังจากนั้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าหน้าที่หลายนายมีความกังวลเกี่ยวกับการลุกฮือขึ้นใหม่ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากกลุ่มต่างๆ อย่างกลุ่มรัฐอิสลามและชาวอินโดนีเซียซึ่งกลับมาจากการสู้รบร่วมกับกลุ่มนี้
เอเจนซีส์ - ตำรวจอินโดนีเซียเผยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส)
เคยเผยข้อความเตือนที่เป็นปริศนา
ก่อนจะเกิดเหตุยิงปะทะและระเบิดหลายจุดที่กรุงจาการ์ตาเช้าวันนี้ (14 ม.ค.) ขณะที่ล่าสุดร้านกาแฟชื่อดัง “สตาร์บัคส์” ได้สั่งปิดสาขาทั่วกรุงจาการ์ตาเป็นการชั่วคราว ทางการอิเหนาสรุปยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้รวมทั้งสิ้น 7 ราย โดยเป็นคนร้าย 5 ราย
และประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก 2 ราย “มีผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 5 ราย” ลูฮุต
ปันไจตัน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงอิเหนา ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนขณะเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุใกล้ห้างซารีนาห์
(Sarinah)
บนถนน เอ็ม.เอช. ธัมริน เหยื่อที่เสียชีวิต 2 รายเป็นชาวอินโดนีเซีย
1 ราย และพลเมืองเนเธอร์แลนด์อีก 1 ราย
มูฮัมหมัด อิกบัล โฆษกตำรวจจาการ์ตา ออกมายืนยันล่าสุดว่า เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวง
“สิ้นสุด” ลงแล้ว
และไม่มีผู้ก่อการร้ายหลบหนีลอยนวลไปได้
“ขณะนี้ตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้หมดแล้ว” เขากล่าว
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ายังมีผู้ร่วมก่อเหตุหลบหนีไปได้หรือไม่
ก็ได้รับคำตอบว่า “เรายืนยันว่าไม่มีแน่นอน” ก่อนหน้านี้ อันตัน ชาร์ลิยัน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย
ระบุว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถฟันธงว่าคนร้ายที่ลงมือเป็นกลุ่มใด
ขณะที่ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ได้ประกาศว่าเหตุการณ์นี้เป็น “การก่อการร้าย” อย่างไรก็ตาม
ชาร์ลิยันเปิดเผยว่า ไอเอสเคยแถลงเตือนเป็นนัยๆ ล่วงหน้า
ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมในวันนี้ขึ้น
“พวกเขาบอกว่าอีกไม่นานจะมีคอนเสิร์ตในอินโดนีเซีย
ซึ่งจะเป็นข่าวดังทั่วโลก” โฆษกตำรวจให้สัมภาษณ์ต่อสถานีวิทยุท้องถิ่น
โดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
และไม่ระบุว่าคำเตือนนี้ถูกประกาศออกมาตั้งแต่เมื่อใด เดือนที่แล้วตำรวจอินโดนีเซียสามารถสกัดแผนก่อการร้ายได้หลายจุด
ซึ่งบางแผนเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส ทางการอินโดนีเซียคาดว่ามีชาวอิเหนาหลายร้อยคนเดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย
ล่าสุด
เครือร้านกาแฟชื่อดัง “สตาร์บัคส์” ได้ประกาศปิดสาขาในกรุงจาการ์ตาทั้งหมด “จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม”
หลังมีร้านสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งตกเป็นเป้าหมายโจมตีในวันนี้ “สตาร์บัคส์สาขานี้และสาขาอื่นๆ
ทั่วกรุงจาการ์ตาจะปิดทำการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม
ซึ่งทางบริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป” คำแถลงจากทางร้านระบุ
เอเอฟพี/รอยเตอร์
- กลุ่มมือปืนจุดชนวนคาร์บอมบ์
กราดยิงเข้าใส่พื้นที่ชุมนุมชนและบุกจับตัวประกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งทางตะวันออกของกรุงแบกแดดเมื่อวันจันทร์
(11 ม.ค.)
เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 8 ราย
จากการเปิดเผยของตำรวจ ตำรวจยศนายพันรายหนึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า
กลุ่มมือปืนยังคงหลบซ่อนตัวในห้างสรรพสินค้าดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ในเขตอัล-จาดิดาของกรุงแบกแดด
พร้อมระบุกังวลว่าพวกมือโจมตีอาจสวมเข็มขัดระเบิดฆ่าตัวตายด้วย เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตข้างต้น
และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 14 คนในเหตุโจมตีดังกล่าว ด้านตำรวจอีกรายระบุว่า
“พวกเขาอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าซาห์รัต แบกแดด
เมื่อกองกำลังด้านความมั่นคงกระชับพื้นที่เข้าไปใกล้ พวกเขาก็ลงมือสังหารตัวประกัน
3 คน ตอนนี้เราต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง
เราต้องการให้เหตุโจมตีนี้จบลงด้วยจำนวนผู้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นอาคารสูงราว 4 หรือ 5
ชั้น ตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเขตอัล-จาดิดา
พื้นที่ที่มีชาวมุสลิมชีอะห์เป็นชนกลุ่มใหญ่ บริเวณริมขอบตะวันออกของเมืองหลวงอิรัก แหล่งข่าวกระทรวงมหาดไทยเผยว่า
กลุ่มมือปืนไม่ทราบจำนวนเปิดฉากยิงบนท้องถนน หลังจุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์
จากนั้นก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสั้นๆ ก่อนบุกเข้าไปยังห้างสรรพสินค้า
“ตอนนี้พวกเขายึดครองห้างสรรพสินค้าอย่างสมบูรณ์
พวกเขาประจำการกำลังพลบนหลังคาด้วย”
สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐรายงานอ้างโฆษกกระทรวงมหาดไทยระบุว่า
กองกำลังด้านความมั่นคงปิดล้อมพื้นที่ “ก่อการร้ายโจมตี”
ในจาดิดา เบื้องต้นยังไม่มีกลุ่มใดออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบ แต่แหล่งข่าวของตำรวจระบุว่าพวกมือปืนแต่งกายเหมือนพวกรัฐอิสลาม
(ไอเอส) ที่ยึดครองพื้นที่อันกว้างขวางทางเหนือและทางตะวันตกของอิรัก
และมักโจมตีเขตพื้นที่ของชาวชีอะห์และกองกำลังความมั่นคงในเมืองหลวงและที่อื่นๆ อิรักตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนิกายระหว่างชาวชีอะห์กับสุหนี่มานาน
และสถานการณ์ความตึงเครียดยังมาถูกซ้ำเติมจากการปรากฏตัวขึ้นมาของพวกไอเอส
กบฏสุหนี่หัวรุนแรง ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน เพิ่งมีประชาชนเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 8 คน
จากนักรบไอเอสจุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์ใกล้ร้านอาหารแห่งหนึ่งในบากูบา
ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 65 กิโลเมตรเอเอฟพี - รัสเซียเมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.) มีรายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียของพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายที่พลเรือน หลังจากถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหาว่าเหตุทิ้งบอมบ์ระลอกใหม่ของมอสโกเข่นฆ่าชีวิตเด็กนักเรียนอย่างน้อย 12 ศพ “รัสเซียไม่ได้ดำเนินปฏิบัติการต่อพลเรือน” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับเอเอฟพีสั้น ๆ หลังจากถูกกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย กล่าวอ้างว่า มีเด็กอย่างน้อย 12 คน และผู้ใหญ่อีก 3 คน เสียชีวิตในปฏิบัติการทิ้งระเบิดของรัสเซียที่ไปตกใส่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอเลปโปเมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.) กลุ่มสิทธิมนุษยชนแห่งนี้ซึ่งมีสำนักงานในอังกฤษ ระบุว่า ในบรรดาผู้ใหญ่ที่สุดชีวิตนั้นเป็นครู 1 คน ขณะที่เหตุโจมตีในเมืองอันจารา ยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 20 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นครูและนักเรียน ทั้งนี้ กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย ระบุต่อว่า มีการทิ้งบอมบ์ทางอากาศและเหตุปะทะกันอย่างหนักหน่วงระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกบฏมาตั้งแต่วันอาทิตย์ (10 ม.ค.) ในจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศแห่งนี้ ซึ่งบางส่วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏสายกลาง แต่บางส่วนยึดครองโดยพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ภาพที่แจกจ่ายโดยนักเคลื่อนไหวสื่อมวลชนในจังหวัดอเลปโป เป็นภาพห้องเรียนที่กลายสภาพเหลือแต่ซากหักพังของปูน โต๊ะเก้าอี้ได้รับความเสียหายยับเยิน นายโลรองต์ ฟาบิอุส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ระบุในวันจันทร์ (11 ม.ค.) ว่า “มันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับซีเรีย ที่รัสเซียต้องยุติปฏิบัติการทางทหารต่อพลเรือน” รัสเซียถูกชาติตะวันตก กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ และกบฏซีเรีย วิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงขึ้นต่อกรณีมีพลเรือนต้องมาสังเวยชีวิตจำนวนมากจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของพวกเขาที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ตามคำขอของพันธมิตรเก่าแก่อย่างประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด อย่างไรก็ตาม มอสโกตอบโต้ว่าพวกเขามีเป้าหมายคือกลุ่มไอเอสและเครือข่ายก่อการร้ายอื่น ๆ และระบุรายงานที่ว่าการทิ้งระเบิดของพวกเขาเข่นฆ่าชีวิตพลเรือนหลายร้อยคนนั้น “ไร้สาระสิ้นดี” ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม องค์การนิรโทษกรรมสากลเผยแพร่รายงานชิ้นหนึ่งอ้างว่ารัสเซียโจมตีทางอากาศสังหารพลเรือนหลายร้อยคน โดยหลายเป้าหมายนั้นอาจเข้าองค์ประกอบของการก่ออาชญากรรมสงคราม ส่วนทางกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย ระบุในเดือนธันวาคมว่าตลอดระยะเวลา 3 ดือนของปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย สังหารชีวิตผู้คนมากกว่า 2,300 ศพ และหนึ่งใน 3 นั้นเป็นพลเมือง อนึ่ง กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยในวันจันทร์ (11 ม.ค.) ว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นปี กองกำลังของพวกเขาในซีเรีย ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 311 เที่ยว ถล่มเป้าหมายต่าง ๆ 1,097 เป้าหมาย
รอยเตอร์ -
กลุ่มอัลกออิดะห์เตือนซาอุดีอาระเบียว่า ซาอุฯ
จะต้องชดใช้ที่ประหารชีวิตสมาชิกของพวกเขาหลายสิบคน และระบุว่า
ริยาดตั้งใจที่จะใช้คนเหล่านี้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับเหล่าพันธมิตรตะวันตกของตน
โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้อำนาจการปกครองของราชวงศ์ซาอูดมั่นคงยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการสังหารนักการศาสนานิกายชีอะห์รายหนึ่งในการประหารชีวิตหมู่เมื่อวันที่
2 มกราคม
ซึ่งจุดชนวนวิกฤตระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอริในภูมิภาคอย่างอิหร่าน
แต่นักโทษส่วนใหญ่จากทั้ง 47 คนที่ถูกประหารก็เป็นกลุ่มติดอาวุธอัลกออิดะห์ที่มีความผิดฐานวางระเบิดและกราดยิงในราชอาณาจักรแห่งนี้ ในถ้อยแถลงลงวันที่ 10 มกราคม
เครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์ในเยเมน และในแอฟริกาเหนือระบุว่า
ริยาดเดินหน้าทำการประหารชีวิตทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนไม่ให้ทำเช่นนั้นแล้ว “แต่พวกเขา (ริยาด)
กลับยืนกรานที่จะใช้เลือดของเหล่ามูจาฮีดีนที่ดีเป็นเครื่องสังเวยให้กับพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ในวันเทศกาลของพวกเขาในช่วงปีใหม่”
ทั้งสองกลุ่มระบุในถ้อยแถลงที่ถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ ในเดือนธันวาคมเครือข่ายอัลกออิดะห์ในเยเมนเคยขู่ว่าจะ
“ทำให้ทหารของอัลซาอูดต้องหลั่งเลือด” หากสมาชิกของพวกเขาถูกประหารชีวิต เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
คู่ขัดแย้งของกลุ่มอัลกออิดะห์ในนิกายสุหนี่ขู่ว่าจะทำลายเรือนจำของซาอุดีอาระเบียที่กักขังนักรบญิฮัดหลังจากการประหารดังกล่าว ทั้งสององค์กรกำลังต่อสู้กับซาอุดีอาระเบีย
ซึ่งประกาศให้พวกเขาเป็นกลุ่มก่อการร้ายและกักขังผู้สนับสนุนของพวกเขาหลายพันคน แม้ว่าจะมีการประหารชีวิต นิมร์
อัล-นิมร์ นักการศาสนาชื่อดังของนิกายชีอะห์ และชาวมุสลิมชีอะห์อีก 3 คน ซึ่งยิ่งทวีความตึงเครียดระหว่างนิกายกับมหาอำนาจชีอะห์อย่างอิหร่าน
แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า การประหารชีวิตครั้งนั้นมีจุดประสงค์หลักๆ
เพื่อส่งสัญญาณถึงกลุ่มติดอาวุธนิกายสุหนี่ นักวิเคราะห์เหล่านี้ชี้ว่าซาอุดีอาระเบียกำลังพุ่งเป้าทำลายแรงสนับสนุนที่มีให้กับพวกนักรบญิฮัดนิกายสุหนี่ที่เคลื่อนไหวอยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้
โดยไม่ให้ทำให้ชาวสุหนี่สายกลางที่มีมากกว่าแตกแยกแต่อย่างใด กลุ่มไอเอสอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดและกราดยิงหลายครั้งในซาอุดีอาระเบียนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ปี 2014 ที่คร่าชีวิตคนไปมากกว่า 50 ราย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวชีอะห์ แต่ก็เป็นสมาชิกของกองกำลังความมั่นคงมากกว่า 15
ราย
เอเจนซีส์ – ผู้นำเกาหลีเหนือ “คิม จอง-อึน” ยกย่องนักวิทยาศาสตร์ในประเทศ ว่า เป็นกำลังสำคัญในชัยชนะของโสมแดง สำหรับการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมประกาศจะทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เพิ่ม โดยไม่สนใจการข่มขู่ของอเมริกา ที่ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโชว์แสนยานุภาพเหนือน่านฟ้าโสมขาว การเผชิญหน้าระหว่างสองเกาหลีตึงเครียดหนักนับจากที่เปียงยางทดสอบสิ่งที่อวดอ้างว่าเป็นระเบิดไฮโดรเจนหรือเอชบอมบ์เมื่อวันพุธที่แล้ว (6) ด้านเกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการกระจายเสียงโจมตีตลอดแนวพรมแดนตั้งแต่วันศุกร์ (8) จนถึงขณะนี้ พร้อมประกาศจำกัดจำนวนพลเมืองเกาหลีใต้ ที่จะเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเกาหลีเหนือ แม้ภายนอก คิมถูกประณามจากทั่วโลก รวมทั้งถูกขู่เพิ่มมาตรการลงโทษสถานหนักจากการทดสอบอาวุธเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ในประเทศ คิมยังคงอยู่ดีมีสุขและเดินหน้าโครงการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงการทดสอบนิวเคลียร์กับความเป็นผู้นำของตนเอง และสร้างภาพว่า การทดสอบดังกล่าวมีความจำเป็นในการต่อสู้กับความพยายามของอเมริกาในการโค่นล้มระบอบเผด็จการของเกาหลีเหนือ ในวันจันทร์ คิมถ่ายภาพร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบนิวเคลียร์ โดยยกย่องคนเหล่านั้นสำหรับ “การสรรเสริญ” คิม จอง-อิล พ่อของเขา รวมถึง “คิม อิล-ซุง” ที่เป็นทั้งปู่และผู้ก่อตั้งประเทศ สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเปียงยาง ยังรายงานว่า คิมแสดงความคาดหวังและความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่า นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นจะสร้างความคืบหน้าและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกระตือรือร้นและพลังในระดับเดียวกับที่ทำให้การทดสอบเอชบอมบ์ประสบความสำเร็จ บนหลักการของการให้ความสำคัญอันดับแรกในการพัฒนาตนเอง และการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมการป้องกันประเทศโดยการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ คิมเรียกการทดสอบเอชบอมบ์ว่า เป็น “ขั้นตอนในการป้องกันตัว” ซึ่งหมายถึงการปกป้องภูมิภาคจากอันตรายจากนิวเคลียร์ของลัทธิจักรวรรดินิยมที่นำโดยอเมริกา ความคิดเห็นนี้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกในข้อโต้แย้งยาวนานของเปียงยางที่ว่า การที่อเมริกามีกำลังทหารนับหมื่นนายประจำอยู่ในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และนโยบาย “ปรปักษ์” ของวอชิงตัน เป็นเหตุผลที่เกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์และจรวดพิสัยไกล วันอาทิตย์ อเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 จากฐานทัพในกวมบินต่ำใกล้โซล โดยมีเครื่องบินขับไล่ เอฟ-15 ของเกาหลีใต้ และเอฟ-16 ของอเมริกาเอง บินคุ้มกัน ซึ่งแน่นอนว่า เกาหลีเหนือตีความว่า เป็นการคุกคาม เดนิส แมคโดนัฟ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าวว่า การเยือนของบี-52 มีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำกับเกาหลีใต้ถึง "การเป็นพันธมิตรที่ลึกซึ้งและยั่งยืน” ระหว่างสองประเทศ หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวยังกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีซีเอ็นเอ็น ว่า อเมริกากำลังร่วมมือกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย เพื่อโดดเดี่ยวและบีบเค้นจนกว่าเกาหลีเหนือจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์ อนึ่ง ขณะนี้ มหาอำนาจทั่วโลกกำลังหาวิธีลงโทษเกาหลีเหนือจากการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดที่ถือเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งแม้ไม่ใช่ระเบิดไฮโดรเจนอย่างที่อวดอ้าง แต่ก็มีแนวโน้มปูทางให้เปียงยางเข้าใกล้เป้าหมายในการสร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ยิงได้ไกลถึงอเมริกา ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้เผยในวันจันทร์ว่าได้มีการหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเสริม “อาวุธทางยุทธวิธี” เพื่อป้องกันคาบสมุทรเกาหลี สื่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่วอชิงตันจะส่งมาเสริมเขี้ยวเล็บบนคาบสมุทรเกาหลี อาจรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอส โรนัลด์ รีแกน ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน บี-2 และฝูงบินขับไล่ เอฟ-22
เอเจนซีส์ – ผู้นำเกาหลีเหนือ “คิม จอง-อึน” ยกย่องนักวิทยาศาสตร์ในประเทศ ว่า เป็นกำลังสำคัญในชัยชนะของโสมแดง สำหรับการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมประกาศจะทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เพิ่ม โดยไม่สนใจการข่มขู่ของอเมริกา ที่ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโชว์แสนยานุภาพเหนือน่านฟ้าโสมขาว การเผชิญหน้าระหว่างสองเกาหลีตึงเครียดหนักนับจากที่เปียงยางทดสอบสิ่งที่อวดอ้างว่าเป็นระเบิดไฮโดรเจนหรือเอชบอมบ์เมื่อวันพุธที่แล้ว (6) ด้านเกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการกระจายเสียงโจมตีตลอดแนวพรมแดนตั้งแต่วันศุกร์ (8) จนถึงขณะนี้ พร้อมประกาศจำกัดจำนวนพลเมืองเกาหลีใต้ ที่จะเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเกาหลีเหนือ แม้ภายนอก คิมถูกประณามจากทั่วโลก รวมทั้งถูกขู่เพิ่มมาตรการลงโทษสถานหนักจากการทดสอบอาวุธเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ในประเทศ คิมยังคงอยู่ดีมีสุขและเดินหน้าโครงการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงการทดสอบนิวเคลียร์กับความเป็นผู้นำของตนเอง และสร้างภาพว่า การทดสอบดังกล่าวมีความจำเป็นในการต่อสู้กับความพยายามของอเมริกาในการโค่นล้มระบอบเผด็จการของเกาหลีเหนือ ในวันจันทร์ คิมถ่ายภาพร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบนิวเคลียร์ โดยยกย่องคนเหล่านั้นสำหรับ “การสรรเสริญ” คิม จอง-อิล พ่อของเขา รวมถึง “คิม อิล-ซุง” ที่เป็นทั้งปู่และผู้ก่อตั้งประเทศ สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเปียงยาง ยังรายงานว่า คิมแสดงความคาดหวังและความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่า นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นจะสร้างความคืบหน้าและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกระตือรือร้นและพลังในระดับเดียวกับที่ทำให้การทดสอบเอชบอมบ์ประสบความสำเร็จ บนหลักการของการให้ความสำคัญอันดับแรกในการพัฒนาตนเอง และการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมการป้องกันประเทศโดยการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ คิมเรียกการทดสอบเอชบอมบ์ว่า เป็น “ขั้นตอนในการป้องกันตัว” ซึ่งหมายถึงการปกป้องภูมิภาคจากอันตรายจากนิวเคลียร์ของลัทธิจักรวรรดินิยมที่นำโดยอเมริกา ความคิดเห็นนี้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกในข้อโต้แย้งยาวนานของเปียงยางที่ว่า การที่อเมริกามีกำลังทหารนับหมื่นนายประจำอยู่ในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และนโยบาย “ปรปักษ์” ของวอชิงตัน เป็นเหตุผลที่เกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์และจรวดพิสัยไกล วันอาทิตย์ อเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 จากฐานทัพในกวมบินต่ำใกล้โซล โดยมีเครื่องบินขับไล่ เอฟ-15 ของเกาหลีใต้ และเอฟ-16 ของอเมริกาเอง บินคุ้มกัน ซึ่งแน่นอนว่า เกาหลีเหนือตีความว่า เป็นการคุกคาม เดนิส แมคโดนัฟ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าวว่า การเยือนของบี-52 มีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำกับเกาหลีใต้ถึง "การเป็นพันธมิตรที่ลึกซึ้งและยั่งยืน” ระหว่างสองประเทศ หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวยังกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีซีเอ็นเอ็น ว่า อเมริกากำลังร่วมมือกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย เพื่อโดดเดี่ยวและบีบเค้นจนกว่าเกาหลีเหนือจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์ อนึ่ง ขณะนี้ มหาอำนาจทั่วโลกกำลังหาวิธีลงโทษเกาหลีเหนือจากการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดที่ถือเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งแม้ไม่ใช่ระเบิดไฮโดรเจนอย่างที่อวดอ้าง แต่ก็มีแนวโน้มปูทางให้เปียงยางเข้าใกล้เป้าหมายในการสร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ยิงได้ไกลถึงอเมริกา ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้เผยในวันจันทร์ว่าได้มีการหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเสริม “อาวุธทางยุทธวิธี” เพื่อป้องกันคาบสมุทรเกาหลี สื่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่วอชิงตันจะส่งมาเสริมเขี้ยวเล็บบนคาบสมุทรเกาหลี อาจรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอส โรนัลด์ รีแกน ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน บี-2 และฝูงบินขับไล่ เอฟ-22
เอเอฟพี
- คลินิกแพทย์ไร้พรมแดน (MSF)
ในเยเมนถูกยิงถล่มด้วยขีปนาวุธลูกหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ (10 ม.ค.) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย
บาดเจ็บอีกนับสิบ ขณะที่องค์กรแพทย์ได้ออกมาประณาม
และแสดงความเป็นห่วงการพุ่งเป้าโจมตีภารกิจด้านมนุษยธรรมในเยเมน
หน่วยงานด้านการแพทย์เพื่อมนุษยธรรมซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงปารีสระบุว่า
เหตุการณ์นี้นับเป็นการโจมตีครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในรอบ
4 เดือนผู้บาดเจ็บทั้ง 10 รายมีเจ้าหน้าที่
MSF รวมอยู่ด้วย 3 คน ซึ่ง 2 รายอาการยังอยู่ในขั้นวิกฤต MSF แถลงว่า “ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นอีก
เพราะยังมีคนติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง” หลังสถานพยาบาลของ MSF
ในเขตราเซห์ จังหวัดซาดาของเยเมน ถูกขีปนาวุธลูกหนึ่งตกใส่ ทางองค์กรได้สั่งอพยพเจ้าหน้าที่และคนไข้ทั้งหมด
โดยส่งคนไข้ไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดซาดาซึ่ง MSF ให้การสนับสนุนอยู่ MSF ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคลินิกแห่งนี้ตกเป็นเป้าหมายของปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยกลุ่มพันธมิตรซาอุดีอาระเบีย
หรือถูกโจมตีด้วยจรวดที่ยิงมาจากพื้นดิน ราเกวล อาโยรา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ MSF กล่าวประณามการโจมตีครั้งนี้
พร้อมยืนยันอีกครั้งว่า
ทางองค์กรได้แจ้งพิกัดของสถานพยาบาลทุกแห่งให้คู่สงครามทั้งสองฝ่ายทราบตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ทุกฝ่ายที่สู้รบกันอยู่ได้รับแจ้งพิกัดของสถานพยาบาล MSF อย่างสม่ำเสมอ... จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ตามซึ่งมีศักยภาพที่จะโจมตีทางอากาศหรือยิงจรวด
จะไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้” “เราขอประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งกำลังตกเป็นเป้าโจมตีอย่างน่าวิตก
และขอแสดงความไม่พอใจอย่างที่สุด
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พลเรือนชาวเยเมนต้องขาดแคลนบริการสาธารณสุขไปอีกหลายสัปดาห์” สหภาพยุโรปก็ได้แถลงตำหนิการโจมตีสถานพยาบาล
MSF ว่าเป็นสิ่งที่ “ไม่อาจรับได้” “การโจมตีภารกิจด้านมนุษยธรรมและพลเรือน
ถูกห้ามอย่างชัดเจนโดยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” ถ้อยแถลงจากอียูระบุ จังหวัดซาดาถือเป็นเขตอิทธิพลหลักของกบฏฮูตีนิกายชีอะห์
ซึ่งเชื่อกันว่ามีอิหร่านหนุนหลังอยู่ ขณะที่เหล่าชาติพันธมิตรซาอุฯ
ได้ส่งเครื่องบินเข้าไปทิ้งบอมบ์ตั้งแต่เดือน มี.ค. โดยหวังจะกอบกู้อำนาจปกครองคืนให้แก่รัฐบาลอันชอบธรรมของเยเมน เดือนที่แล้ว MSF กล่าวหาว่าพันธมิตรซาอุฯ ทิ้งระเบิดใส่คลินิกในเมืองตาอิซ
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยเมน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 9 ราย
และก่อนหน้านั้นในเดือน ต.ค. ก็มีโรงพยาบาลของ MSF ในจังหวัดซาดาอีกแห่งถูกโจมตี
ทว่าโชคดีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ
(ยูเอ็น) ระบุว่า มีชาวเยเมนถูกสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5,800 ราย บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 27,000 คน
นับตั้งแต่ริยาดเริ่มโจมตีทางอากาศต่อพวกกบฏฮูตีในเดือน มี.ค. ปี 2015 นอกจากนี้ ประชากรเยเมนร้อยละ 80 ก็กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน
เอเอฟพี
-
กองกำลังพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียปฏิเสธข้อกล่าวหาใช้ระเบิดพวงในการปราบปรามกลุ่มกบฏในเยเมนในวันนี้
(10) หลังจากที่ บัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า
การใช้อาวุธดังกล่าวอาจเป็น “อาชญากรรมสงคราม” กลุ่มพันธมิตร “ปฏิเสธการใช้ระเบิดพวงในกรุงซานา” เมืองหลวงของเยเมน
พลจัตวา อาห์เหม็ด อัล-อัสซีรี บอกกับเอเอฟพี เขากำลังตอบสนองโดยเฉพาะต่อรายงานชิ้นหนึ่งที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดี
(7) โดยกลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์
ซึ่งรายงานโดยอ้างจากชาวบ้านที่อธิบายการโจมตีเมื่อวันที่ 6 มกราคมสอดคล้องกับการใช้ระเบิดพวงโดยทิ้งจากทางอากาศ
ในวันต่อมา บันกล่าวว่า เขาได้รับ “รายงานที่น่ากังวล”
เรื่องการโจมตีด้วยระเบิดพวงในกรุงซานาที่ฝ่ายกบฏยึดครองอยู่ “ผมคิดว่านั่นเป็นรายงานที่อ่อนมาก พวกเขาไม่ได้แสดงหลักฐานอะไรเลย”
อัสซีรีพูดถึงรายงานของฮิวแมนไรต์วอตช์ เขากล่าวว่า
ฮิวแมนไรต์วอตช์พูดถึงระเบิดพวงประเภทหนึ่งที่ “ไม่มีอยู่ในคลังของเรา”
และเสริมว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของปฏิบัติการของกลุ่มพันธมิตรในกรุงซานาพุ่งเป้าที่เครื่องยิงขีปนาวุธ
“สกั๊ด” “คุณไม่สามารถใช้ระเบิดพวงทำลายเครื่องยิงสกั๊ดได้” อัสซีรีกล่าว นานาชาติมีความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับพลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในเยเมน กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียให้การสนับสนุนกองทัพเยเมนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมในการปราบปรามกลุ่มกบฏและเหล่าแนวร่วม
ซึ่งยึดดินแดนจากรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ(เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากคอลัมน์ข่าวแปล ข่าวต่างประเทศ MGR online 11-14 มกราคม 2016 )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น