วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (16) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 16

เรื่องที่ 16  เหตุการณ์ 9/11 เบื้องหน้าคือเหตุการณ์ก่อการร้ายของโลกมุสลิม แต่เบื้องหลังฉากคือ ทฤษฏีสมคบคิด (1) ของสหรัฐอเมริกาเอง

ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ 9/11 จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ตั้งแต่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นใหม่ๆ แล้ว เพราะว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิงกว่าหนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ดหลายๆ เรื่องมารวมกัน มีจุดที่น่าสงสัย เคลือบแคลงมากมายเหลือเกิน แม้แต่นักวิชาการ นักยุทธศาสตร์ นักการทหาร ผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ แขนง ต่างออกมาตั้งข้อสังเกต และชี้ประเด็นถึงตรรกกะ ความเป็นไปได้ในเชิงฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์มากมาย เรียกได้ว่า “คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ มีจุดบกพร่องและดูไม่น่าเชื่อถือมากมาย กลายเป็นบทหนังห่วยๆ เกรดบีเรื่องนึงไปเลย”  รายละเอียดของเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนจึงไม่ขอนำมารีวิวซ้ำ ว่าในวันนั้น เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ผู้อ่านสามารถย้อนไปอ่านในบทความที่ลิ้งค์นี้  http://yikgamyok.blogspot.com/2014/09/911.html
ผลการสำรวจความคิดเห็นในปี 2006 ของสคริปส์ ฮาเวิร์ด พบว่า 36% ของชาวอเมริกันเชื่อในทฤษฎีที่ว่ารัฐบาลอเมริกันมีส่วนสมคบคิดก่อให้เกิดเหตุ 9/11 ขึ้นมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ขณะที่โพลอื่นๆ ก็พบด้วยว่า ทฤษฎีนี้เป็นที่เชื่อถือกันกว้างขวางในนานาประเทศ ไม่เพียงในโลกอาหรับเท่านั้น แต่ยังในฝรั่งเศส ซึ่งหนังสือชื่อ “Horrifying Fraud” (การต้มตุ๋นอันน่าสยดสยอง) สามารถจำหน่ายได้ 200,000 เล่มทีเดียวไม่นานนักภายหลัง 9/11 กระทั่งเวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ ขบวนการของผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดก็ยังดำรงอยู่และมีอิทธิพลไม่ใช่น้อยในสหรัฐฯ  กลุ่มต่างๆ เป็นต้นว่า Scholars for 9/11 Truth and Justice (นักวิชาเพื่อความจริงและความยุติธรรมกรณี 9/11) ตลอดจน Architects and Engineers for 9/11 Truth (สถาปนิกและวิศวกรเพื่อความจริงกรณี 9/11) ต่างมองตัวเองว่าเป็นนักวิจัยผู้ทำงานอันจริงจังทรงความสำคัญ ซึ่งอาจจะช่วยเปิดโปงเรื่องราวการปกปิดอำพรางความผิดครั้งใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ  “Loose Change” ภาพยนตร์สารคดีโฮมเมด ซึ่งบรรจุประเด็นเด็ดๆ ของทฤษฎีสมคบคิดทฤษฎีสำคัญๆ ในเหตุการณ์ 9/11 เอาไว้ ปรากฏว่ามีผู้ชมถึงเกือบๆ 125 ล้านครั้งในกูเกิล และอีกราว 30 ล้านครั้งในยูทิวบ์ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของ ไดแลน เอเวอรี ผู้กำกับหนังเรื่องนี้
 

     
ประเด็นเด็ดๆ ใน Loose Change ที่โต้แย้งคำอธิบายของทางการ มีดังนี้ อาทิเช่น
-อาคารแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไม่สามารถที่จะถล่มลงมาได้เพียงด้วยการถูกเครื่องบินพุ่งชน
-ทาวเวอร์ 7 ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก็เกิดถล่มอย่างรวดเร็วน่าประหลาด ถึงแม้ไม่ได้ถูกโจมตีด้วยเครื่องบินใดๆ เลย นี่คือเครื่องหมายแสดงให้เห็นการวางระเบิดให้พังทลายลงมาโดยมืออาชีพ
-ในวอลล์สตรีทมีการซื้อขายหุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวินาศภัยคราวนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีบางคนทราบล่วงหน้าว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
-ขีปนาวุธของสหรัฐฯ ต่างหาก ไม่ใช่เครื่องบินอเมริกันแอร์ไลนส์เที่ยวบินที่ 77 เลย ที่พุ่งเข้าชนอาคารเพนตากอน
-เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลนส์เที่ยวบินที่ 93 ไม่ใช่ตกลงมายังทุ่งนาในเพนซิลเวเนีย หากแต่หายวับไป บางทีอาจจะภายหลังที่ถูกยิงตกด้วยฝีมือของเครื่องบินขับไล่

สหรัฐฯ นั้นขึ้นชื่อลือชามานานว่าเป็นดินแดนที่เพาะปลูกทฤษฎีสมคบคิดได้งดงามใหญ่โต เป็นต้นว่า มีทฤษฎีเยอะแยะที่พยายามอธิบายการสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี โดยผู้ลงมือมีตั้งแต่ซีไอเอไปจนถึงผู้ลี้ภัยชาวคิวบา การลงสู่ดวงจันทร์ของมนุษย์อวกาศสหรัฐฯ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นเพียงภาพที่ถ่ายทำกันในสตูดิโอ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังปกปิดหลักฐานเกี่ยวกับยูเอฟโอ และจนถึงเวลานี้ยังคงมีทหารอเมริกันถูกกักขังอยู่ในกรงไม้ไผ่ในประเทศเวียดนาม เมื่อไม่นานมานี้เอง ยังเกิดขบวนการ เบิร์ธเธอร์” (birther) ซึ่งอ้างว่า บารัค โอบามา ไม่ได้เกิดบนดินแดนของสหรัฐฯ ดังนั้นจึงเป็นประธานาธิบดีที่ผิดกฎหมาย  ถึงอย่างไรพวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดก็ยังคงเป็นคนส่วนน้อย และต้องเผชิญกับการจับผิดตอบโต้ของขบวนการต่อต้านทฤษฎีสมคบคิดในเว็บไซต์อย่างเช่น www.debunking911.com และwww.screwloosechange.blogspot.com ซึ่งอ้างว่าสามารถจับผิดได้แทบจะทุกๆ ประเด็นที่ระบุไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Loose change  อย่างไรก็ดี แคธี โอล์มสเต็ด ซึ่งสอนประวัติศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส บอกว่า การที่มีคนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อถือรัฐบาลจนถึงขั้นสุดโต่งกลายเป็นทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้  อย่าลืมว่าคณะรัฐบาลบุชเองก็ได้ใช้พลังงานอย่างมหาศาลในการโปรโมตทฤษฎีสมคบคิดผิดๆ ของพวกเขาเอง เกี่ยวกับซัดดัม ฮุสเซน ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าซัดดัมมีอาวุธทำลายร้ายแรง หรือว่าซัดดัมเกี่ยวข้องกับเหตุ 9/11  คณะรัฐบาลบุชบิดเบือนความจริงอย่างชัดเจน ถ้าหากไม่ถึงขึ้นโกหกกันอย่างหน้าเฉยตาเฉย ในระหว่างสงครามอิรักโอล์มสเต็ดกล่าว ด้วยเหตุนี้ คนก็เลยพูดกันว่าเรารู้ความจริงเกี่ยวกับ 9/11 กันจริงๆ หรือ  ทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายยังอาจจะมีบทบาทช่วยเหลือผู้คน ซึ่งยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ชวนช็อกที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน  เป็นเรื่องยากสำหรับผู้คน (ไม่น้อย) ที่จะเชื่อว่า ชาย 19 คนที่มีอาวุธอันได้แก่คัตเตอร์ตัดกล่องกระดาษ สามารถเป็นต้นเหตุของความเสียหายขนาดนี้และฆ่าคนไปจำนวนมากมายเช่นนี้ได้ศาสตราจารย์ ริช แฮนลีย์ ผู้เล็กเชอร์วิชาว่าด้วยสื่อและวัฒนธรรมประชาชน ณ มหาวิทยาลัยควินนิเปียก (Quinnipiac University) ให้ความเห็น  มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้กำลังก่อให้เกิดภาวะช็อกมากมายแค่ไหนต่อจิตวิญญาณของคนอเมริกัน
  (คัดลอกบางส่วนจากบทความ มะกันไม่ใช่น้อยเชื่อ “ทฤษฏีสมคบคิด” หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ผ่านพ้นไป 10 ปี,หน้าเว็บเพจข่างต่างประเทศ ,MGR online, 5 กันยายน 2554)

 
 
 
หลักฐานมัดแน่นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์คือ ภาพที่เราทุกคนได้ชมตอนตึกถล่ม มีคนบอกว่าออกอากาศหลังเหตุการณ์จริงถึง 6 ชั่วโมง เชื่อกันว่าเอาเวลาไปตัดต่อใส่ภาพเครื่องบินพุ่งชนตึก (ซึ่งประเด็นนี้ข้ามไปก็ได้นะ ถ้าไม่เชื่อ แต่ก็ฟังหูไว้หู ) วิศวกรและผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องบินจะรู้ดีว่า เครื่องบินโดยสารจะถูกออกแบบให้น้ำหนักเบาที่สุด ในตอนที่เครื่องบินหมดสภาพต้องทำลาย สามารถหาคลิปดูได้ว่า มันบอบบางและแตกหักง่ายแค่ไหน และการทดลองของนาซ่า เอาเครื่องบินรบที่แข็งแรง วิ่งชนผนังปูนที่หนา 3 เมตร ปรากฎว่า ผนังไม่เป็นอะไรเลย แต่เครื่องบินแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี 

ให้ดูภาพที่ 1 ตอนก่อสร้างตึกที่ทำโครงสร้างด้วยเหล็กกล้า ซึ่งแข็งแรงมาก เปรียบเทียบวัสดุตัวเครื่องบินที่บอบบาง เมื่อพุ่งชนเหล็กกล้าหนาและเยอะขนาดนี้ ไม่มีทางเลยที่จะทำอะไรได้ ยกเว้นแค่สะกิดเท่านั้น ถ้าพุ่งชนจริง เครื่องบินต้องพับจากหลังย่นมาข้างหน้า คล้ายเราเอากระป๋องเบียร์ทุบกับแผ่นเหล็ก แล้วที่น่าแปลกใจอีกอย่างคือ ไม่มีใครพบซากเครื่องบินลำที่พุ่งชนเลย แถมรอยที่อ้างว่าเป็นรอยปีกเครื่องบินชนตึก ก็ไม่ตรงกับรุ่นของเครื่องบินที่บอก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ปีกเครื่องบินอันบอบบางจะทะลุเหล็กเป็นรอยโบ๋ได้แบบนั้น ถ้าหาคลิปการพุ่งชนของเครื่องบินรบอัดกำแพงได้ท่านจะเห็นชัดว่า เครื่องบินโดยสารบอบบางขนาดนี้ ไม่มีทางระคายผิวของตึกที่มีโครงสร้างเหล็กกล้าได้เลยครับ


 
 
 

ภาพที่ 3 ขณะตึกไฟไหม้ก่อนถล่ม ให้สังเกตประกายไฟที่เกิดขึ้นตรงกลางตึก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจุดที่เครื่องบินชนเลย ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มันเป็นประกายของ Thermate ที่เป็นสารเคมีสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมหลอมเหล็ก ใช้สำหรับการตัดเหล็กกล้า (ซึ่งแข็งแรงมาก) เหล็กที่โดนสารชนิดนี้จะเกิดประกายไฟและถูกหลอมในอุณหภูมิที่สูงมากจนกลายเป็นเม็ดๆ ดังในภาพถัดมา ซึ่งขณะเก็บซากตึก ก็พบเศษเหล็กหลอมเป็นเม็ดและบางส่วนก็ยังคงมีอุณหภูมิสูงไม่ต่างกับเหล็กที่ถูกหลอมในโรงงานถลุงเหล็กเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ไฟไหม้จากเครื่องบินชนหรือไฟไหม้ตึกเองก็ตาม ในเวลาไม่นานจะทำให้เหล็กหลอมเป็นเม็ดหรือแดงฉานได้อย่างในภาพที่ 6 










สำหรับคนที่เคยดูการทำลายตึกเก่า ซี่งฝรั่งเขาทำกันเป็นประจำ ตัวอย่างของช่างที่จะใช้ Thermate เพื่อทำลายตึก โดยการวางแนวตัดเฉียงที่เสาเหล็กดังภาพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหลังตึกแฝดถล่ม เสาเหล็กด้านล่าง ถูกตัดองศาตามหลักของการทำลายตึกไม่มีผิด ซึ่งถ้ามันถล่มเอง ไม่มีทางที่เหล็กจะถูกตัดได้ตรงขนาดนั้นและเป็นองศาที่พอดีเป๊ะ




มีหลักฐานอีกมากที่ฝรั่งเขาจับผิดกันเอง ซึ่งสามารถหาอ่านในอินเตอร์เน็ตได้ ให้ใช้คำค้นหาว่า Inside Job ท่านจะเจอข้อมูลและรูปภาพอีกเยอะมาก มีข้อสังเกตอีกว่า น้องชายของบุชเป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยซึ่งดูแลตึกแฝดนี้ จึงมีพิมพ์เขียวและรู้โครงสร้างของตึกนี้เป็นอย่างดี หลายคนสงสัยว่าทำไปทำไม ยิงปืนนัดนี้ได้นกหลายตัว หลังตึกถล่มก็มีข้ออ้างในการทำสงครามและกำจัดเสี้ยนหนามเพื่อยึดครองโลกใบนี้ อัฟกานิสถานเองก็เป็นจุดผ่านไปยังบางประเทศที่มีน้ำมันและแก๊สมหาศาลที่เขาได้สัมปทานไปแล้ว เป็นการเปิดทางสะดวกให้กอบโกยและทำอะไรง่ายขึ้นด้วย งบประมาณมหาศาลในการเอามาผลาญอ้างว่าทำเพื่อแก้แค้น ก็ทำให้บริษัทค้าอาวุธในเครือหรือที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับประโยชน์อย่างมากมาย และยังมีเบื้องหลังอีกมาก 

สรุปอีกที : เครื่องบินชนตึกที่แข็งแรงขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะทำให้ตึกถล่มได้ เพราะโครงสร้างเป็นเหล็กกล้าแข็งแรงมาก เทียบความแข็งแรงกับตึกบ้านเราแล้ว แข็งแรงกว่าหลายเท่า แล้วการถล่มเป็นระเบียบเหมือนกับการถล่มตึกทั่วไป ที่หลักฐานชัดว่า เสาเหล็กด้านล่างมีรอยตัดด้วยองศาเดียวกับการใช้ Thermate ในการตัดเสาเหล็กเพื่อทำลายตึก เหล็กด้านล่างหลอมละลายเป็นเม็ดด้วยอุณหภูมิสูง จะใครทำก็ตาม แต่ยอมรับกันเถอะครับว่า เครื่องบินอันบอบบาง มันทำให้ตึกถล่มไม่ได้ ยกเว้นไฟไหม้ด้านบน ซึ่งถ้าตึกจะถล่มเพราะไฟไหม้ด้านบนจริงๆ ก็ต้องไหม้กันนานกว่าตึกจะถล่ม บ้านเราตึกไม่กี่ชั้น ไหม้ตั้งนาน ถ้าไม่โดนน้ำสาดเข้าไปจนหนัก ตึกมันก็พังยากเหมือนกันนะครับ ก็ฟังหูไว้หู วิเคราะห์ให้ดี อย่าด่วนเชื่อ หรืออย่าด่วนปฏิเสธนะครับ ผมไม่ได้ยืนยันว่าข้อมูลตรงนี้จะถูกต้องทั้งหมด แต่แค่พยายามรวบรวมสิ่งที่หลายฝ่ายเขานำเสนอ ว่ามันสมเหตุสมผลมั๊ย แล้วน่าจะจริงหรือไม่อย่างไร (คัดลอกบางส่วนจากบทความ 9/11 ถล่มตึกแฝด แหกตาระดั่บโลก ใส่ร้ายมุสลิม,หน้าเว็บบอร์ดของเพจโจโฉเสียงธรรม www.jozho.net) 





อีกข้อคิดเห็นหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55 อาจารย์พมร นวรัตนากร นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวในรายการ คนเคาะข่าวทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ว่า เหตุการณ์ 9/11 เวลานี้ตนไม่อยากให้เรียกว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด เพราะมันกลายเป็นความจริงเชิงประจักษ์แล้ว มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ชัดเจนว่ามันคือการระเบิดตึก ภาพเครื่องบินเป็นภาพที่ถูกตกแต่งขึ้นมา เป็นการถูกวางระเบิดจากด้านใน จะเห็นว่ามันระเบิดไล่ลงมาเป็นชั้นๆ วันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ นายบุชได้ไปในที่เกิดเหตุ เพื่อให้กำลังใจกับหน่วยกู้ภัย และผู้เสียหาย ถือเป็นการจัดฉากที่ดี แล้วคนก็ไม่เชื่อว่าคนนี้คือผู้ร้าย ซึ่งความจริงอาจไม่ได้ทำ แต่รับรู้แน่นอน ตระกูลธุรกิจบุชคือผู้รับผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด เพราะเป็นความต้องการของยูโนแคลก่อนที่จะมาเป็นเชฟรอนแล้ว ว่าต้องการที่จะเดินท่อก๊าซผ่านอัฟกานิสถาน เพื่อเอาแก๊ซเหล่านี้มาที่นิวเดลี ฉะนั้นมันจำเป็นที่จะต้องยึดครองอัฟกานิสถาน ชีวิตคน 3 พันคนเขาไม่เสียดายหรอก เพราะสิ่งที่ได้มันมหาศาล หลักฐานที่ว่านั้นมีการพบว่าเหล็กของซากตึกมีกำมะถัน ซึ่งคือส่วนหนึ่งของระเบิด ที่แน่นอนคือน้ำมันจากเครื่องบินไม่มีทางทำให้เหล็กหลอม แม้จะเผาอยู่ครึ่งวันก็ตาม เพราะเหล็กจะหลอมที่อุณหภูมิ 1,400 ขึ้น เวลานี้สมาคมวิศวกรรมของอเมริกาเอง และของอังกฤษ ก็พิสูจน์กันชัดว่าเป็นการระเบิดแบบควบคุม เหมือนรับจ้างรื้อตึก เครื่องบินเป็นภาพที่มาใส่ที่หลัง เพราะภาพที่เผยแพร่ต่อทั่วโลก เป็นภาพที่เกิดหลังจากเกิดเหตุการณ์จริง 6 ชั่วโมง ตอนเกิดเหตุการณ์ไม่มีช่องไหนทำข่าวเลย ข่าวมาออกหลังจากที่ได้รับไฟเขียวให้ออก  ทางฟิสิกส์ ใครสามารถปากระป๋องเบียร์ทะลุรั้วอัลลอยได้ เครื่องบินก็จะทะลุตึกเวิลด์เทรดได้ เพราะเครื่องที่พุ่งชนเป็นรุ่น 767 ถ้าหัวชนก่อนจะเกิดโมเมนตัม ทำให้ปีกร่วง แต่จากภาพที่เผยแพร่เหมือนเครื่องบินตัดเข้าไปในขนมเค้ก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะตึกเวิลด์เทรดใช้เหล็กเอชบีมขนาดใหญ่ ถ้าหัวชนส่วนหลังก็ต้องบี้เข้าไป หรือไม่ก็ต้องหัก ปรากฏว่าไม่มีชิ้นส่วนใดเลยที่เป็นชิ้นส่วนเครื่องบิน แล้วยังใช้กฎหมายพิเศษให้รีบประมูลเศษเหล็กขายทิ้งไปจีน  อ.พมรกล่าวต่อว่า หลัง 11 กันยา อเมริการุกเร็ว เป้าหมายคืออัฟกานิสถาน ที่อเมริกาเข้าไปแล้วยังยึดครองถึงทุกวันนี้ ทำให้ทุกวันนี้อัฟกานิสถานเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่ากันว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเฮโรอีนมาจากอัฟกานิสถาน ทหารอเมริกาก็อ้างว่าห้ามไม่ได้ หากห้ามพวกนี้ก็ไม่มีอะไรกินแล้วจะไปเข้าข้างตอลิบาน แล้วรู้หรือไม่เจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในโลก คือ นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีต รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณภูมิใจนักหนาที่ได้เจอ ซึ่งมีหลักฐานหลายอย่างชี้ไปทางนั้น  สมัยสงครามเวียดนาม นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ ได้มีกิจกรรมหนึ่งที่ลาว นั่นคือผลิตเฮโรอีน นายพลวังเปา อดีตผู้นำม้งลาวก็ร่ำรวยมหาศาล เพราะเป็นผู้ดูแลการปลูกฝิ่นให้ซีไอเอ บริษัทที่จัดการขนส่งก็คืออเมริกา มีฐานอยู่ที่อุดรฯ ยาเสพติดที่อเมริกาใต้เกี่ยวพันกับคิสซิงเจอร์อย่างยิ่ง  แม้อัฟกานิสถานจะขึ้นเบอร์ 1 แต่เพื่อนบ้านเราก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองยอน ของประเทศพม่า โตผิดหูผิดตา สร้างความร่ำรวยให้หลายคน ในอดีตนั้นมีวันหนึ่งตำรวจได้จับกัญชาอัดปี๊บ ขนโดยสิบล้อ 12 คัน วิ่งเข้าไปที่ฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งเป็นฐานทัพยาเสพติดในสมัยสงครามเวียดนาม การที่อเมริกาต้องการกลับมาใช้อู่ตะเภา แล้วจะขอใช้ท่าเรือสัตหีบ ตนได้กลิ่นว่างานเก่ามันจะหวนมา ในขณะที่อำนาจเก่ามันหวนคืนมา แล้วผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญหน้าเหลี่ยมไปนั่งคุยกับคิสซิงเจอร์ ตนเห็นแล้วชักหนาว ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น (คัดลอกจากบทความ พมรตอกย้ำ 9/11 อเมริกาแหกตาชาวโลก ไม่มีเครื่องบินชนตึกจริง ,คอลัมน์ CBIZ Review หน้าข่าวการเมือง ,MGR online , 13 กันยายน 2555) 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น