แต่ผู้เขียนขอนำมาลงเป็นเพียงยี่ห้อเดียวเพื่อเป็นตัวอย่างในบทความนี้ โดยเลือกเอายี่ห้อ MAZDA ที่มีความโดดเด่นโดยภาพรวมของปีนี้ จริงๆ ในปีนี้มีการเปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นใหม่กว่า 17 รุ่น จากหลายค่ายทั้งค่ายรถญี่ปุ่นและยุโรป แต่ไฮไลท์คงเป็นรถประเภท SUV/PPV ที่จะรีบออกมากระตุ้นกำลังซื้อ แข่งขันกันอย่างดุเดือด สำหรับคนที่รอตัดสินใจว่าจะซื้อรถประเภทนี้ในปีสุดท้าย ก่อนที่ปีหน้า 2016 ก็จะมีการปรับเกณฑ์ภาษีสรรพสามิตใหม่หมด โดยเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นมลพิษมากจะเก็บแพง รถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่ๆ เหล่านี้ จึงต้องชิงจังหวะเปิดตัวในปีนี้กันหมด เพื่อให้ได้คงอัตราภาษีในอัตราเดิม และก็ต้องไปเร่งพัฒนาเครื่องยนต์ในรถรุ่นใหญ่ๆ เหล่านั้น ให้มีเทคโนโลยีในการปล่อยควันไอเสียที่เป็นมลพิษลดลง ปีหน้าจึงเป็นปีทองของรถประเภท ECO Car ทั้งหลาย ที่จะดีเดย์เปิดตัวออกสู่ตลาดกันมากเพื่อชิงยอดขาย บางรุ่นอาจทำราคาได้ต่ำลงอีก
มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย
กลายเป็นค่ายรถยนต์เพียงค่ายเดียวสำหรับปีนี้ที่สร้างความฮือฮาอย่างต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี
นับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์นั่งซับคอมแพ็คคาร์ All New Mazda 2
ด้วยการจับเอาเครื่องยนต์คลีนดีเซล สกายแอ็คทีฟ-ดี ขนาด 1,500
ซีซี และเครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 1,300
ซีซี ใส่ไว้ในรถยนต์รุ่นเดียวกัน ตามมาด้วยการเปิดตัวรถปิกอัพ All New Mazda BT-50 Pro ใหม่
พร้อมพาสื่อมวลชนเดินทางบุกตะลุยไปทดสอบไกลถึงประเทศมองโกเลีย
และเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็สร้างเซอร์ไพร์ด้วยการเปิดตัว All New Mazda CX-3
อย่างยิ่งใหญ่อลังการ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2,000 cc. มาตรฐานใหม่ของรถกลุ่มคอมแพ็คครอสโอเวอร์ ทั้งสมรรถนะการขับขี่
การประหยัดน้ำมัน ความปลอดภัยขั้นสูง พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบเต็มคัน
ส่งผลให้ปีนี้คาดว่ายอดขายน่าจะทะลุ 40,000 คัน สำหรับงานมอเตอร์เอ็กซ์โปในปีนี้
มาสด้ายังคงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในครั้งนี้ Mazda
เตรียมรถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวอีก 3 รุ่น ภายใต้เทคโนโลยี Skyactive
เพื่อสร้างแข็งแกร่งให้ตลาดรถยนต์
รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้ว่าในปีนี้มาสด้าเปิดตัวแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ไปแล้วถึง
3 รุ่น และประสบความสำเร็จได้รับความนิยมอย่างสูงจากลูกค้าชาวไทย
จนทำให้มาสด้าสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับ 3 ของรถยนต์นั่งได้อย่างรวดเร็ว นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร มาสด้า
เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยนั้นได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
และกำลังเติบโต จากการที่บริษัทรถยนต์ต่างๆ เร่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
เข้าสู่ตลาด สร้างความคึกคักและบรรยากาศในการซื้อขาย
โดยเฉพาะการเปิดตัวรถยนต์มาสด้า
ซึ่งในปีนี้มาสด้าจะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด 6 รุ่น และทุกรุ่นต่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
จากเสียงสะท้อนที่กลับมาที่ทางมาสด้าได้รับนั้นทั้งจากลูกค้าชาวไทย
และจากลูกค้าทั่วโลกที่มีต่อรถยนต์มาสด้า นั่นคือ
เสียงตอบรับในเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและรูปลักษณ์การออกแบบที่สวยงามของ โคโดะ ดีไซน์
ซึ่งเป็นสิ่งที่มาสด้าได้มุ่งมันในการพัฒนาเพื่อให้ได้มาซึ่งรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และได้รถยนต์มีสมรรถนะดีที่สุด อันประกอบไปด้วย
·
ที่สุดแห่งเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ
แบบเต็มคัน ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โครงสร้างตัวถัง
ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
·
ที่สุดแห่งการออกแบบอันสง่างาม
ภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ SOUL
of MOTION หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวที่งดงาม
·
ที่สุดแห่งความปลอดภัยระดับโลก
i-ACTIVSENSE เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นตามปรัชญาความปลอดภัยของมาสด้าทั้งในเชิงป้องกันและเชิงปกป้อง
·
ที่สุดแห่งการสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อโซเชียลมีเดียด้วย
MZD CONNECT ให้คุณไม่พลาดการติดต่อ
ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวทั้งหมดนี้ได้ถูกนำมาใส่ไว้ในรถยนต์ของมาสด้าที่เปิดตัวแนะนำในวันนี้
โดยเฉพาะถูกใส่ไว้ในรถคอมแพ็คครอสโอเวอร์ใหม่ที่กำลังร้อนแรงจากการตอบรับอย่างท่วมท้นด้วยยอดจอง
3 สัปดาห์ กว่า 3,000 คัน และนี้คือ
ฟรีสไตล์ครอสโอเวอร์ All
New Mazda CX-3 ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง
835,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1
นี่คือรถยนต์รุ่นแรกที่มาสด้าเปิดตัวแนะนำในวันนี้เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าผู้หลงใหลกับกิจกรรมในการใช้ชีวิตที่มีความหลากหลาย
และถัดมาคือกลุ่มลูกค้ารถสปอร์ตสำหรับผู้ที่หลงใหลการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจ
ด้วยการเปิดตัวแนะนำรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง
และการกลับอย่างยิ่งใหญ่ของสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ไม่มีวันตาย
เจ้าตำนานแห่งความสนุกสนานในการขับขี่ ที่ให้คนกับรถเป็นหนึ่งเดียวกัน Jinba-Ittai นี่คือรถยนต์ที่เป็น Brand icon ของมาสด้า
และนี่คือสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดของโลกกว่า 1 ล้านคัน All New Mazda MX-5 “The
Iconic Best Selling Roadster” มาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ
และเครื่องยนต์อันทรงพลังสกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2,000
ซีซี วางราคาจำหน่ายเพียง 2.7 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง
และรับประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 140,000
กม.ความยิ่งใหญ่อลังการของมาสด้ายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ มาสด้ายังคงเดินหน้ากระตุ้นตลาดรถยนต์ของประเทศไทยให้กลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการปรับโฉม All
New Mazda 2 รุ่น Model Year 2016
รูปลักษณ์ใหม่มาพร้อมไฟหน้า LED และไฟ Day
Time Running LED ปรับอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น กล้องมองหลัง
และอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ
และที่สำคัญเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ให้การตอบรับรถยนต์รุ่นนี้อย่างล้นหลามกว่า
17,000 คัน
มาสด้าขอประกาศราคาขายใหม่ของปีหน้าที่จะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม
เริ่มนำมาบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 529,000 บาท สำหรับรถมาสด้า2 ใหม่รุ่นปี 2016 เครื่องยนต์สกายแอ็คทีฟเบนซิน
และราคาเริ่มต้นเพียง 654,000 บาท
สำหรับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง
สำหรับราคาที่ปรับลดลงนั้นนั้นเนื่องมาจากมาสด้า2 เป็นรถที่ประหยัดพลังงานและปล่อยก๊าซ
CO2 ดีที่สุดในคลาส
นอกจากราคาที่ปรับลดลงแล้วมาสด้ายังใส่อุปกรณ์เพิ่มมากขึ้น
ทำให้รถยนต์นี้มีความคุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า
"มาสด้ายังคงมุ่งมั่นสร้างความร้อนแรงระอุให้กับตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก
สำหรับการเปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตซับคอมแพ็คคาร์ใหม่ล่าสุดในครั้งนี้ มาสด้า2 ใหม่
รุ่นปี 2016 (MY2016)
เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ซับคอมแพ็คในประเทศไทย
ในการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็วชัดเจน
และสร้างภาพลักษณ์ให้มีความชัดเจน เราได้เลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นครั้งแรกของรถมาสด้า2
สกายแอคทีฟ นั่นคือ น้องนาย ณภัทร เสียงสมบุญ นายแบบ นักแสดง
คนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถรอบตัว
ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขา Communication
Design ชื่นชอบในเรื่องการออกแบบ
และเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังโด่งดังในวงการบันเทิงและจะมีผลงานออกมามากมายในเร็วๆ
นี้
อันดับ 9
เปิดตัวแฟรนไชส์ร้านไก่ทอดสายพันธุ์ใหม่ , Food
Truck เทรนด์ฮิต พ.ศ.นี้
สมรภูมิฟาสต์ฟู้ดร้อนฉ่าขึ้นทันควัน
เมื่อแบรนด์ไก่ทอดยักษ์ใหญ่ระดับท็อปทรีของโลก “เท็กซัสชิคเก้น (Texas Chicken)” ประกาศจับมือกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
บุกตลาดเมืองไทยตามนโยบายบริษัทแม่ที่กำลังรุกขยายแนวรบสู่อาเซียนและเอเชีย
โดยเตรียมกลยุทธ์เปิดสงครามแย่งชิงส่วนแบ่ง 2 คู่แข่งเจ้าตลาด
“เคเอฟซี” และ “แมคโดนัลด์”
มูลค่าเม็ดเงินมากกว่า 30,000 ล้านบาท ตามแผนเบื้องต้น
ปตท. ในฐานะมาสเตอร์แฟรนไชส์ จะนำร่องร้านเท็กซัสชิคเก้น 2
สาขาแรกในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ช่วงปลายปี 2558 หลังจากนั้น เดินหน้าผุดร้านไม่ต่ำกว่า 70 สาขา
ภายในระยะเวลา 5-10 ปี ในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์
และสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน เมื่อแบรนด์ติดตลาด ปตท. จะเปิดขายแฟรนไชส์ “เท็กซัสชิคเก้น” เพื่อปูพรมสาขาใหม่ๆครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนี้ เท็กซัสชิคเก้น
ถือเป็นแบรนด์ไก่ทอดเก่าแก่ โดย George W. Church ซึ่งเป็นคนที่ชอบกินไก่ทอดมาก
คิดค้นสูตรและเปิดร้าน Church’s Chicken แห่งแรกเมื่อปี ค.ศ.1952
ที่เมือง San Antonio ในรัฐเทกซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา George W.
Church ขยายธุรกิจ Church’s Chicken จนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจฟาสต์ฟู้ด
หรือร้านอาหารจานด่วน (Quick Service Restaurants: QSR) ในสหรัฐฯ
จนกระทั่งปี ค.ศ.1980 เปิดตัวแบรนด์ เท็กซัสชิคเก้น
เพื่อขยายสาขานอกอเมริกา โดยเริ่มร้านเท็กซัสชิคเก้นแห่งแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์มีสาขามากกว่า 1,650 แห่ง ใน 23 ประเทศ เฉพาะในสหรัฐฯ มีสาขามากกว่า 1,200 แห่ง
ส่วนแถบเอเชียและอาเซียนมีสาขาที่อินโดนีเซีย คูเวต มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย
สิงคโปร์ ยูเครน เวเนซุเอลา และเวียดนาม สำหรับประเทศไทย
ตลาดฟาสต์ฟู้ดหรือร้านอาหารจานด่วน (QSR) มีมูลค่ารวมมากกว่า
34,000 ล้านบาท อัตราเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี โดย “ไก่ทอด” ถือเป็นเซกเมนต์ใหญ่ที่สุด
มูลค่าตลาดประมาณ 14,000-17,000 ล้านบาท หรือสัดส่วนมากกว่า 40%
จากตลาดรวมคิวเอสอาร์ และมีอัตราเติบโตมากกว่าเซกเมนต์อื่นๆ คือ
เติบโต 11-12% ขณะที่กลุ่มเบอร์เกอร์มีมูลค่าตลาด
5,800-5,900 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 6% พิซซ่าแบบนั่งรับประทานในร้าน
มีมูลค่าราว 3,900 ล้านบาท เติบโต 3% และพิซซ่าดีลิเวอรี่
มีมูลค่า 7,400 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8% แน่นอนว่า เท็กซัสชิคเก้นต้องเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งกับ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะเคเอฟซี ซึ่งถือเป็นเจ้าตลาดมีแชร์อยู่ในมือมากกว่า
50% และเข้ามาปักหลักยึดฐานตลาดไทยนานกว่า 30 ปี ล่าสุดมีสาขา 532 แห่ง แบ่งเป็นสาขาที่บริษัท ยัม
เรสเทอรองตส์ อินแตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ลงทุน 330 สาขา
และสาขาของบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองต์ส กรุ๊ป หรือซีอาร์จี อีก 202 สาขา นอกจากนี้ บริษัทแม่เคเอฟซีส่งตรงนโยบายเร่งขยายสาขา ซึ่งยัมฯ
กำลังเจรจาหาพันธมิตรใหม่ นอกเหนือจากซีอาร์จี เพื่อผุดสาขาตามเป้าหมาย 800
แห่งภายในปี 2563 ส่วน “แมคโดนัลด์”
แม้รุกตลาดไทยตั้งแต่ปี 2528 หลังเคเอฟซีเพียงปีเดียว
แต่ล่าสุดสามารถเปิดสาขารวม 214 แห่ง
เนื่องจากขยายสาขาภายใต้บริษัท แมคไทย ไม่มีพันธมิตรเสริมกำลัง อย่างไรก็ตาม
เฮสเตอร์ ชิว ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด
ผู้บริหารร้านแมคโดนัลด์ในประเทศไทย ได้ประกาศโรดแมพ 5 ปี
เริ่มตั้งแต่ปี 2558-2563 จะผลักดันแมคไทยให้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่
3 ของแมคโดนัลด์ในเซาท์อีสต์เอเชีย ในแง่จำนวนสาขามากกว่า 400
แห่ง และมียอดขายรวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท
เฉพาะในตลาดเซาท์อีสต์เอเชีย ฟิลิปปินส์ มีสาขาแมคโดนัลด์มากสุด 400 กว่าแห่ง มาเลเซีย 300 กว่าแห่ง อินโดนีเซีย 170
กว่าแห่ง สิงคโปร์ 130 กว่าแห่ง
และเพิ่งเปิดตลาดในประเทศเวียดนามเมื่อปีที่ผ่านมา ดังนั้น เกมแจ้งเกิดของ “เท็กซัสชิคเก้น”
ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสงครามต่อสู้กับ 2 ยักษ์ใหญ่
ไม่รวมแบรนด์ไก่ย่างไก่ทอดของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) อย่าง “เชสเตอร์กริลล์” รวมถึงแบรนด์อินเตอร์ที่ตบเท้าเข้ามารุกแนวรบในช่วง
1-2 ปีที่ผ่านมา เช่น “บอนชอน” ไก่ทอดสไตล์เกาหลีของบริษัท มาชิสโสะ แบรนด์ “เคียวโชน”
จากบริษัทแม่เกาหลี หรือ “ฮอตสตาร์” ที่กลุ่มบริษัท บาร์บีคิว พลาซ่า ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์จากไต้หวัน หากเปรียบเทียบเมนูของเท็กซัสชิคเก้น
เรียกว่า “ชน” ค่ายเคเอฟซีอย่างจัง
เริ่มจากพระเอก “ไก่ทอด” มีรสชาติออริจินัลสไตล์เม็กซิกัน
สไปซี่ชิคเก้น สไปซี่วิงส์ ไก่ไม่มีกระดูก นักเก็ต กลุ่มเบอร์เกอร์
มีคลาสสิกเบอร์เกอร์ สไปซี่เบอร์เกอร์ เม็กซิกันเบอร์เกอร์ และมีเมนู Wrap ที่ใช้แป้งโรตีเนื้อหนาสไตล์เม็กซิกัน กลุ่มเครื่องเคียง ได้แก่ มันบด
เฟรนฟรายส์ สลัดโคลสลอว์ และกลุ่มของหวาน ได้แก่ ไอศกรีมโคน ซันเดย์ แต่มีเพิ่มเติม
คือ สตรอเบอรี่ช็อตเค้ก ช็อกโกแลตวอแคนโน่ และโค้กโฟลต ZACK A. KOLLIAS Executive Vice President International Operations, Texas Chicken กล่าวว่า เท็กซัสชิคเก้นมีจุดขายที่มั่นใจว่าจะเป็นจุดแข็งสำคัญ คือ บิสกิตและไก่ทอด ซึ่งมีให้เลือกทั้งรสชาติต้นตำรับสไตล์อเมริกาใต้ รสชาติสไปซี่และรสชาติที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับลูกค้าคนไทย ที่สำคัญ ขนาดไก่ชิ้นใหญ่ เนื่องจากของคู่แข่งจะแบ่งไก่ 1 ตัวเป็นสินค้า 9 ชิ้น แต่เท็กซัสชิคเก้นจะตัดแบ่งเพียง 8 ชิ้น รวมทั้งซอสหลากหลายรสชาติมากกว่า ได้แก่ ซอสครีมมี่ ซอสบาร์บีคิว ซอสฮันนี่มัสตาร์ดและซอสมายองเนส แต่ต้องยอมรับว่า เคเอฟซีในฐานะเจ้าตลาดมีจุดแข็ง ทั้งจำนวนสาขาในทุกพื้นที่ประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยรสชาติ ซึ่งถือเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของคู่แข่งหน้าใหม่ จะว่าไปแล้ว ในสมรภูมิฟาสต์ฟู้ดไก่ทอดสายพันธุ์อเมริกา มี 3 เบอร์ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ เคเอฟซี เท็กซัสชิคเก้น และอีกเจ้า คือ “ป๊อปอายส์ (Popeye’s)” ซึ่งเคยเข้ามาบุกตลาดเมืองไทยเมื่อ 20 ปีก่อน โดยกลุ่มกรีนวัลเล่ย์ทุ่มทุนซื้อสิทธิแฟรนไชส์จากบริษัทเอเอฟซี สหรัฐอเมริกาและหวังจะเข้ามาชิงชัยกับเคเอฟซีในไทย แบรนด์ไก่ทอดป๊อปอายส์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1972 ที่เมืองนิวออร์ลีน รัฐลุยเซียนา ปัจจุบันมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 2,000 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ และมีสาขาจำนวนไม่มากในตลาดนอกสหรัฐฯ เช่น ในประเทศเกาหลี แคนาดา ตุรกี การบุกตลาดเมืองไทยครั้งนั้น กลุ่มกรีนวัลเล่ย์ตั้งบริษัท ป๊อปไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ขึ้นมาบริหารจัดการและวางแผนตามระยะสัญญา 25 ปี ต้องเปิดสาขารวม 70 แห่ง ภายในปี 2563 แต่ดำเนินธุรกิจได้เพียง 2 ปีเศษ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ลามทั่วโลก ทั้งผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อทรุดหนักแถมเจอคู่แข่งยักษ์ใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคย ทั้งเคเอฟซี แมคโดนัลด์ บวกกับเงื่อนไขสัญญาแฟรนไชส์ เรื่องการเปิดร้านสาขาที่กำหนดพื้นที่ขนาดใหญ่ ห้ามเพิ่มเมนูอื่น เช่น พิซซ่า และต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศในภาวะที่เงินบาทกำลังอ่อนค่าอย่างหนักหน่วง ทำให้ต้นทุนพุ่งพรวดขึ้นหลายเท่า ที่สำคัญ ค่าแฟรนไชส์ต่อสาขาค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัท ป๊อปไทยฯ พยายามเจรจาขอลดค่าแฟรนไชส์ฟี 50% แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ต้นทุนสะสมก้อนโตและยอดขายจากร้านไก่ทอดป๊อปอายส์ยังลดต่ำลงต่อเนื่อง จากปีแรกๆ เคยทำยอดขายสูงมากกว่าหลักแสนจนถึงหลักล้าน ตกวูบเหลือเพียง 40,000-50,000 บาทต่อวันในบางสาขา บริษัทป๊อปไทยพยายามปรับตัว ลดขนาดสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งบางแห่งมีพื้นที่มากถึง 700 ตารางเมตร หันไปขยายสาขารูปแบบเดลโก้ คือ ไม่มีที่นั่งรับประทานอาหาร เพื่อเน้นเป็นจุดจำหน่ายระบบดีลิเวอรี่ พยายามเจรจาขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมันอย่าง ปตท. ซึ่งเวลานั้นยังใช้ชื่อแบรนด์ “พีทีที” และในปั๊มน้ำมันบางจาก โดยวางแผนปูพรมมากกว่า 50 สาขาภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้า ทว่า ยุคเมื่อ 20 ปีก่อน ยุทธศาสตร์บุกธุรกิจนอนออยล์ของบริษัทน้ำมันยังไม่เข้มข้นและจริงจัง ทำให้ไก่ทอดป๊อปอายส์ไม่สามารถปูพรมสาขาไล่ทันคู่แข่ง รวมถึงข้อจำกัดเรื่องเงินทุน ในช่วงระหว่างนั้น บริษัทแม่และป๊อปไทยเร่งหากลยุทธ์การตลาดดึงดูดตามค่ายคู่แข่ง เช่น แจกตัวการ์ตูนป๊อปอายส์ โดยขายควบกับอาหารชุดคุณหนูคิดมีลล์ เปิดบริการจัดงานเบิร์ดเดย์ปาร์ตี้สำหรับเด็ก แต่กระตุ้นยอดขายได้เพียงระดับหนึ่งและยังไม่สามารถแข่งขันกับผู้นำตลาดได้ ที่สุด ช่วงปี 2542 กลุ่มกรีนวัลเลย์หยุดเปิดสาขาอย่างถาวร ทยอยปิดสาขาที่ขาดทุน และตัดสินใจพัฒนาฟาสต์ฟู้ดตัวใหม่ “จัมปิ้น” ภายใต้โนว์ฮาวจากออสเตรเลีย เพื่อนำรูปแบบมาปรับเปลี่ยนร้านป๊อปอายส์ที่เหลืออยู่ ตัดต้นทุนค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ ค่ารอยัลตี้ รวมทั้งเพิ่มเมนูอื่นๆ เช่น พิซซ่า บาร์บีคิวและขนมปัง ซึ่งมีกำไรต่อหน่วยสูงกว่าการจำหน่ายเฉพาะเมนูไก่ทอด เรียกว่า ชื่อ “ป๊อปอายส์” แบรนด์ไก่ทอดยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาบุกตลาดไทยได้เพียง 4 ปี และทำให้กลุ่มกรีนวัลเล่ย์บาดเจ็บสาหัส สงครามฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่กำลังเปิดฉากอีกครั้ง จาก “ป๊อปอายส์” ถึงคิว “เท็กซัสชิคเก้น” แต่วัดขุมกำลังของคู่พันธมิตรอย่าง ปตท. ที่มีทั้งเงินทุน เครือข่ายค้าปลีกและที่ดินทั่วประเทศ ศึกไก่ทอดรอบนี้ดุเดือดเลือดพล่านกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนแน่
ไก่ชิ้นใหญ่ของ Hot Star แบรนด์ดังอีกเจ้าที่เปิดตัวเป็นคู่แข่งในปีนี้เช่นกัน |
Food Truck (ฟู้ดทรัค) ธุรกิจที่กำลังเป็นที่จับตามองอยู่ในขณะนี้ เรียกได้ว่ามาแรงแบบฉุดไม่อยู่จริง ๆ เห็นได้จากร้านอาหารเคลื่อนที่นั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาหารที่ขายก็หลากหลายมากขึ้น นั่นทำให้หลายต่อหลายคนสนใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารเคลื่อนที่นี้กันมากมาย ซึ่งการเริ่มต้นทำฟู้ดทรัคต้องอาศัยหัวใจสำคัญหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือ ไอเดียการตลาด ที่จะทำให้ฟู้ดทรัคของคุณประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก “ตงฟง” มั่นใจตลาดฟู้ดทรัคไทยอนาคตสดใส หลังปรับคอนเซ็ปต์ชัดเจนรับตลาดโต เน้นขายรถฟู้ดทรัคสำเร็จรูป ลงแรงประเดิมงานรวม ฟู้ดทรัคแบรนด์ตงฟงครั้งแรกในไทย ร่วม 30 รายเนรมิตพื้นที่ 2 ไร่ บนตลาดนัดเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา จัดงาน “ตงฟง ฟู้ดทรัค แฟมิลี่ ครั้งที่ 1” ระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายนนี้ เผยงานนี้เป็นการชุมนุมรถฟู้ดทรัคตงฟงครั้งแรกในประเทศไทย ได้ร่วมออกงานในบรรยากาศเทศกาลอาหารนานาชาติ ช้อป ชิม ชิล รับลมหนาว ก่อนขยายแนวคิดสู่ทุกภูมิภาคในไทย
อันดับ 8 Celebritty งานรุมแห่งปี งานชุก ผู้อยู่ในกระแสข่าวตลอดทั้งปี ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ และพุฒิ พุฒิชัย เกษตรสิน
ชั่วโมงนี้หรือตลอดปีนี้
นักแสดงที่ฮ็อตที่สุดทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ของเมืองไทยคงต้องยกให้กับ สาวใหม่ ดาวิกา
โฮร์เน่ และหนุ่มพุฒิ พุฒิชัย เกษตรสิน
ทั้ง 2
คนอยู่ในกระแสข่าวตลอดทั้งปี งานแสดงชุก และงานโฆษณา งานอีเว้นต์รุม
อีกทั้งอยู่ในกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
เกี่ยวกับกระแสข่าวทั้งด้านบวกและด้านลบ ตลอดทั้งปี
และเป็นที่ต้องการของทั้งค่ายละคร และเจ้าของสินค้า ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์
หรือที่เรียกว่า เนื้อหอมที่สุดแห่งปี ขอเริ่มที่ สาวใหม่ ดาวิกา ก่อน ดูเหมือนจากการที่ใหม่
ได้ไปเล่นภาพยนตร์เรื่อง พี่มากพระโขนง (หนังพันล้านเรื่องแรกของไทย)
ส่งผลให้เธอก้าวขึ้นไปเป็นซุปตาร์ดาวรุ่งมาแรงแห่งปี ติดตามมาด้วย ภ.แผลเก่า และ
ภ.ฟรีแลนซ์ ฯ มีข่าวหนาหูมาตั้งแต่ปีกลายแล้วว่าเมื่อเธอหมดสัญญากับวิกหมอชิตแล้ว
เธออาจไม่ต่อสัญญา และจะย้ายไปเป็นดาราในสังกัดช่องน้อยสี
แต่เธอก็ต้องคอยออกมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวทุกครั้งที่ยื่นไมค์ถามในประเด็นนี้ว่า
เธอยังไม่คิดที่จะย้ายข้ามห้วย หรือถูกซื้อตัวไปอยู่อีกช่อง ยิ่งเธอปฏิเสธอย่างไร
ก็ไม่มีใครเชื่อ
ยิ่งทำให้กระแสข่าวเรื่องการย้ายช่องของเธอกลับกระพือและฉาวโฉ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเร็วๆนี้
ทางผู้ใหญ่ของวิกหมอชิต เพิ่งจะออกหนังสือชี้แจงเพื่อสยบข่าวทั้งหลายว่าจริงๆ
แล้วสัญญาได้หมดสิ้นในปลายปีจริง และเธอขอเป็นนักแสดงอิสระ ภายหลังเป็นนักแสดงในสังกัดวิกหมอชิดมาเพียง
5
ปี และมีผลงานละครแสดงมาไม่ถึง 10 เรื่อง
แต่เรื่องล่าสุด กับบทบาท ผีนางชฏา ส่งให้เธอได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบมาก
แต่ก็ไม่เท่ากับผลงานด้านภาพยนตร์ที่ได้เล่นเพียงไม่กี่เรื่อง
แต่ส่งให้ใหม่กลายเป็นนักแสดงชั้นนำของประเทศ ทำให้งานโฆษณา ถ่ายแบบ
อีเว้นต์จับจองตัวเธอจนกลายเป็นสาวฮ็อตแห่งปีไปในที่สุด
จนเธอได้รับการคัดเลือกจากบริษัทเซเรบอส ให้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาให้กับเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
แบรนด์วีต้าพรุน โฆษณาอีกหลายตัว อาทิ เครื่องสำอางค์ za, ผลิตภัณฑ์แต่งผม leisasha , ร้านดิวตี้ฟรี King Power ฯลฯ เป็นรางวัลความสำเร็จในปีนี้ ได้รับการคัดเลือกจากนิตยสาร Voque
ประเทศไทยถ่ายแบบขึ้นปกเป็นคนแรก ปีหน้าเธออาจมีผลงานละครฟอร์มยักษ์กับช่องทรู
กับโปรเจ็คท์ละครฟอร์มยักษ์ “จ้าวเวหา” ซึ่งจะได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับแนวหน้าเฉกเช่นกัน
คงต้องรอดูบทบาทการแสดงของเธอ ภายหลังก้าวไปเป็นนักแสดงอิสระแล้ว คนต่อมาก็คือหนุ่มพุฒิ พุฒิชัย เกษตรสิน
แต่แรกเริ่มเดิมที พุฒิ เป็นวีเจอยู่ในสังกัดจีเอ็มเอ็มทีวี จัดรายการ โอไอซี
อยู่ช่อง 5 (ปัจจุบันย้ายไปอยู่ช่องแบงชาแนล
จานดาวเทียม) เป็นดีเจ
ในคลื่นชิลล์เอ็ฟเอ็ม ในสังกัดเอไทม์มีเดีย แต่ด้วยบุคลิก หน้าตา
และมีอัธยาศัยไมตรี พูดจาเก่ง ทำให้ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มาชิมลางเล่นละคร แรกๆ
ยังไม่เป็นที่จดจำมากนัก จนมาแจ้งเกิดจริงๆ เป็นพระเอกเต็มตัวจากละครหลังข่าวช่อง 5
ของเอ็กซ์แซ็กท์เรื่อง “เล่ห์นางฟ้า”
เรื่องนี้ส่งให้พุฒิเป็นที่รุ้จัก ดังไกลไปถึงเมืองจีนด้วย และที่แจ้งเกิดจริงๆ
และได้รับการพูดถึงเป็นกระแสคู่จิ้นก็คือเรื่อง ฝันเฟื่อง (ละครประเดิมหลังข่าวเรื่องแรกของช่องวัน)
ส่งผลให้พุฒิโด่งดังในชั่วข้ามคืน ได้รับการทาบทามเป็นนักแสดงในสังกัดเอ็กซ์แซ็กท์
มีโปรเจ็คท์ละครที่ยื่นให้นับสิบเรื่อง ทั้งของช่องวัน ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 และผู้จัดละครจากฝั่งช่อง 3 ก็มารุมจีบให้ไปเล่น
ไม่นับงานโชว์ตัว งานอีเว้นท์ งานโฆษณา ถ่ายแบบ ต่างวิ่งเข้าหา
จนเรียกได้ว่ากลายเป็นซุปตาร์ชั่วข้ามคืน แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับเจมส์จิรายุ
มาแล้ว ยังไม่นับรวมกระแสแฟนคลับแอนตี้คู่จิ้นพุฒิจุ๋ย
ซึ่งจากการเป็นคู่จิ้นในละคร กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
เมื่อทั้งสองคนแอบคบหาดูใจกันจริงๆ จากที่แฟนคลับเคยชื่นชอบในละครกลายเป็นแอนตี้ขึ้นมาเมื่อรับทราบข้อมูลที่ระแคะระคายว่าอาจเป็นจริง
อันเนืองมาจากหลายสาเหตุ แต่กระแสแอนตี้ของแฟนคลับกลุ่มหนึ่ง
ก็ไม่มีผลต้านทานความฮ็อตของหนุ่มพุฒิได้ เมื่อเขายังมีผลงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี
กับละครเรืองล่าสุด Ugly Duckling : Perfect Match รักนะเป็ดโง่ และ “ I Wanna Be Sup’Tar วันหนึงจะเป็นซุปตาร์” โด่งดังข้ามไปถึงเมืองจีน
ส่งผลให้พุฒิมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งพุฒิติดอันดับมีผู้ติดตามทวิตเตอร์,ไอจี เพิ่มขึ้นมากที่สุดคนหนึ่งของปีนี้ ได้งานพรีเซ็นเตอร์สินค้าในปีนี้ อาทิ เครื่องถ่ายเอกสาร brother ,ยาสีฟัน SALZ , ดัชชี่โยเกิร์ต , มอเตอร์ไซด์ Fino
เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็น ซุปตาร์ฟ้าผ่าอีกคนหนึ่งของเมืองไทย แจ้งเกิดเต็มตัวในปีนี้
อันดับ 7 การตลาด 2 ยักษ์บันเทิง
งานแถลงข่าว “เปิดวิกบิ๊ก 3 ความสุขบุกจอ”
ละครครึ่งปีหลังของช่อง 3 ชนกับ GMM 25 ละครสนุก ความสุข 2 ทุ่ม โดย
3SD
ช่อง 28 ถ่ายทอดสดส่งตรงถึงหน้าจอทีวีกับงานสุดยิ่งใหญ่
เปิดวิกบิ๊ก3 ภายใต้แนวคิด “ความสุขบุกจอ”
ด้วยการเปิดตัวละครในสต็อก ครึ่งปีหลัง 2558 จำนวน
16 เรื่องที่ใกล้จะออนแอร์ อาทิ ชาติพยัคฆ์, หนึ่งในทรวง, ผู้กองยอดรัก, กำไลมาศ, ตามรักคืนใจ,
ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ, วิมานเมขลา,
สะใภ้จ้าว, พิรุณพร่ำรัก, เพื่อนรัก
เพื่อนริษยา, นางร้ายที่รัก,
ไฟล้างไฟ, เจ้าบ้านเจ้าเรือน, ทายาทอสูร, สองหัวใจนี้เพื่อเธอ
และ ข้าบดินทร์ โดยภายในงานพบกับกองทัพเหล่าดารา-นักแสดง
และ ผู้ประกาศจากครอบครัวข่าวกว่า 100 ชีวิต มาร่วมอวดโฉม
เดิน เฉิดฉายบนพรมแดง ท่ามกลางเหล่าแฟนคลับนับร้อย
พร้อมรับชมการแสดงบนเวทีสุดพิเศษตระการตาจากละคร 5 เรื่อง
ได้แก่ ชาติพยัคฆ์, หนึ่งในทรวง, ผู้กองยอดรัก,
กำไลมาศ และ ตามรักคืนใจ พร้อมการเปิดตัวรายการใหม่
ซึ่งเหล่านักแสดงก็ได้ฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่เพื่อความอลังการต่อแฟนๆช่อง 3
ที่รับชมอยู่ทางบ้าน งานจัดขึ้นในวันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 16.00-21.00น. ณ พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน น่าจะเป็นครั้งแรกในไทยที่สถานนีโทรทัศน์บ้านเราจัดอีเว้นต์ใหญ่เปิดตัวละครล็อตใหญ่แข่งกัน
เป็นการบลั๊ฟกลับแกรมมี่ด้วยอีเว้นต์นี้ ในระยะเวลาใกล้ๆ กัน
ก่อนหน้านั้น “จีเอ็มเอ็ม 25” เดินหน้าลุยละครเต็มตัว
เปิดผังเปิดตัวทีเดียว 25 เรื่อง ด้วยสโลแกน “ GMM 25
ละครสนุก ความสุข 2 ทุ่ม” หลังจากประเดิมละครยาวเรื่องแรกกับซีรีส์
มิ้นต์กับมิว To
Be Continute ที่กำลังออนแอร์กวาดเรตติ้งอยู่ในตอนนี้
ก็ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ชมอย่างมาก ล่าสุดทางช่อง GMM25 เปิดผังละคร
25 เรื่อง โดยภายในงานคุณเอส-วรฤทธิ์ ไวเจียรนัย ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตละคร
กล่าวแถลงภาพรวมของช่องว่า “วันนี้พวกเราGMM25 ได้สร้างละครขึ้นมาทั้งหมด 25 เรื่องด้วยกัน ถามว่าทำคนเดียวได้ไหม
ทำไม่ได้จริงๆ ถ้าเราไม่มีทีมที่แข็งแรง มีผู้กำกับ มีทีมงานที่คอยอยู่ข้างหลัง
และผลักดันให้เกิดงานสิ่งดีๆขึ้นมาได้ วันนี้เรามั่นใจนะครับว่า GMM25 พร้อมที่จะมอบความสุขในช่วงเวลา2ทุ่ม ให้กับคนดูของเรา
พร้อมที่จะสร้างความแปลกใหม่ ความแตกต่าง ให้กับละคร นอกจากทีมงานของทางGMM25
ที่ผลิตเองขึ้นมา25 เรื่องแล้ว เรายังมีบริษัทผลิตที่ร่วมละครดีๆอีกมากมาย
อย่างที่ออกอากาศอยู่ในตอนนี้ ก็คือ น้ำตากามเทพ ของทางGTH , รักนะเป็นโง่ ของGMM TV ตอนนี้เพิ่งจะออนแอร์ไปและนำพาเรตติ้งที่ดีให้กับช่องเราด้วย
รวมถึง ซีรีส์10สยอง ของ บริษัท 16ต่อ9
ถ้าใครที่เป็นแฟนหนังสยองขวัญรอดูได้เลย ทั้งหมดนี้หวังว่าทุกท่านคงจะตอบรับและตอนรับละครของทางGMM25เป็นอย่างดีครับ”
โดยละคร25 เรื่องที่เรากำลังจะได้รับชมนั้น
เริ่มด้วยละครยาว อาทิ “I Wanna Be Sup’Tar วันหนึ่งจะเป็นซุปตาร์”
นำแสดงโดยพระเอกหล่อแมนแฮนซั่ม พุฒ พุฒิชัย ประกบกับนางเอกจอเงิน ยิปโซ
อริย์กันตา กำกับโดย กู่ เอกสิทธิ์ ตามมาด้วยเรื่อง Devil Lover เผลอใจให้นายปีศาจ นำแสดงโดย กอล์ฟ พิชญะ ,พิกเล็ท
ชาราฎา ที่งานนี้หนุ่มกอล์ฟทุ่มทุนเป็นทั้งผู้จัดและนักแสดงนำในเรื่อง ซึ่งจะมีการใช้CGที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นความแปลกใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน อีกทั้งยังถ่ายทำที่ประเทศญี่ปุ่น
แค่ภาพวิวทิวทัศน์ในเรื่องก็กินขาดแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆจะเป็นเรื่องอะไรกันบ้างเราจะทยอยนำเสนอให้ได้รับทราบกันติดตามได้ทางเว็บไซต์
ส่วนวันออกอากาศจะเป็นวันจันทร์-อังคาร 1 เรื่อง, วันพุธ-พฤหัสบดี 1 เรื่อง และวันเสาร์ เป็น
คลับฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์ ซึ่งตอนนี้เดินทางมาถึงซีซั่น ที่ 6 แล้ว และวันอาทิตย์อีก 1 เรื่อง
ทั้งหมดจะออนแอร์อยู่ในช่วงเวลา 2 ทุ่ม โดยเนื้อหาและคอนเทนต์ของละครช่อง
GMM25 จะแตกต่างกับช่องอื่นๆ ซึ่งคาแรคเตอร์ของช่องจะมีความหลากหลาย
ทั้งบท เทคนิคการถ่ายทำ ล้วนเป็นสไตล์ที่ถูกใจคนรุ่นใหม่ ร่วมเปิดประสบการณ์ “ละครสนุก ความสุข 2 ทุ่ม” ได้ที่ช่อง
GMM25 จริงๆ
ต้องถือว่าทั้ง ช่อง 3 และแกรมมี่ เป็นพันธมิตรกันมากกว่าคู่แข่งทางธุรกิจ
เพราะได้เอื้อผลประโยชน์ร่วมกันมาหลายอย่าง
และจับมือผนึกกำลังยึดหัวหาดคนชั้นกลางในเมืองได้อยู่หมัด ถือเป็น 2 เจ้าที่ครองส่วนแบ่งตลาดคนเมืองเอาไว้ได้มากที่สุด
และถือว่าเก่งเรื่องการตลาดด้วยกันทั้งคู่ งานนี้คนที่ได้กับได้ก็คือ
ประชาชนคนดูนั่นเอง ที่จะได้เสพงานคอนเท้นต์ดีๆ จาก 2 ค่ายยักษ์
รวมกัน 6 สถานีเข้าไปแล้ว (ช่อง 3 Original ,3HD ,3SD,
3 family, One HD, GMM25)
อันดับ 6 อ่านความสำเร็จของยอดทีมฟุตบอล ทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด
ผ่านวิธีคิดของคนชื่อ เนวิน ชิดชอบ ดังนี้
The Future of Thailand Footballคุณเนวิน คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ทำให้วงการฟุตบอลไทยมีอนาคตที่ดี อยากให้ทุกสโมสรในไทย เอาแนวคิดของคุณเนวินเป็นแบบอย่าง
- ปีนี้เราเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน ปีหน้าเราจะต้องจบฤดูกาลด้วยการเป็น ท๊อป 5 ของเอเชีย นั่นคือเป้าหมายในปี 2557 เพื่อศักศรีของฟุตบอลไทย เพื่อไม่ให้คนในเอเชียดูถูกเราได้
- สนามแข่งขัน จะต่อเติมอีก 4 ด้าน จากความจุที่มี 24000 ที่นั่ง เมื่อเปิดฤดูกาลใหม่ ไอโมบาย สเตเดิ้ยม จะมีความจุ 33000 ที่นั่ง
- รายได้ฤดูกาลนี้ประมาณการ 270 ล้านบาท จาก AFC Champion League 30 ล้านบาท
- บุรีรัมย์ต้องการนักเตะต่างชาติที่เป็น Rising สตาร์ อายุน้อยๆ มีอนาคตจะเติบโตไปอย่าง อาเชียมปง หรือ ออสมา มันจะพัฒนาทีมได้และพัฒนาลีกของไทยได้ เราต้องการพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าสโมสรของเราเป็นสโมสรซึ่งเป็นอนาคตของพวกเขาถ้าเขามาเล่นที่นี่จะมีโอกาสไปไกลถึงลีกใหญ่ๆในยุโรป
- ความฝันสูงสุดของผมในการทำทีมคือ ต้องการเห็นเด็กบุรีรัมย์ไปเล่นกับทีมชั้นนำในยุโรป กรณีธีราทร ผมคิดว่าเขาต้องใช้เวลาอีก 2 ปีในไทยลีก ฝีเท้าของอุ้มเวลานี้เล่น เซกุนด้า สเปนได้สบาย แต่ไปทำไม ผมอยากให้เขาพัฒนาและไปลาลีก้าเลยมากกว่า ซึ่งวันนี้ อเลคานโดร เมเนซกาเซีย ทำให้ธีราทรเปลี่ยนไปเยอะ บอลวันทัช ทูทัช การเคลื่อนที่ สปิดเร็วขึ้น
- วันนี้เราต้องยอมรับว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ เรียนรู้ทักษะการเล่น แท๊คติคการเล่นมาจากโค้ชไทย นั่นคือปัญหา เด็กไทยหลายคนที่มีอนาคตและศักยภาพที่จะไปเล่นลีกในยุโรปได้ แต่ขอเวลาให้เขาได้รับการกล่อมเกลา และ ฝึกฝนแท๊กติคจากโค้ช ที่มีขีดความสามารถสูงกว่าอดีตที่ผ่านมา
- อเลคานโดร เมเนซกาเซีย มีวิธีคิดและกำหนดแท๊คติคในการฝึกซ้อมที่ไม่ธรรมดา แต่ละเกมที่เขากำหนดแท๊คติคในการเล่น เขามีวิธีทำให้ผู้เล่นยอมรับว่า ซ้อมตามแท๊คติคที่เขากำหนดแล้วเวลาแข่งนำไปใช้ และใช้อย่างได้ผล สมารถเค้นประสิทธิภาพของผู้เล่นแต่ละคนให้เปลี่ยนไป ขีดความสามารถของเขามีความต่างกันมากๆกับโค้ชคนก่อนๆ
- สมมุติมีมาตรวัด 0 ถึง 100 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คงอยู่ที่ 65 บนความคาดหวังของผมผมว่าเขาต้องดีกว่านี้ จะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ หากได้แชมป์ AFC Champion League เราก็คงอยู่ที่ 90 ต้องเป็นเจ้าเอเชีย
เครดิต : FB Thailand
Football & FB สายเลือดบอลไทย
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เอาใจแฟนคลับ
เปิดสำนักงาน ช็อปขายสินค้า กลางสยามสแควร์
พร้อมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของสโมสรฟุตบอลไทย ตั้งเป้าพาทีมเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นางกรุณา
ชิดชอบประธานเชียร์ นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานบริหารฯ นายทัดเทพ พิทักษ์พูลสิน
ผู้จัดการทีม และผู้บริหารผู้สนับสนุนสโมสรทุกราย รวมทั้งนักเตะ และแฟนบอลจำนวนมาก
ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดสำนักงานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกของสโมสรฯ สาขาสยามสแควร์ นายเนวิน ชิดชอบ กล่าวว่า
วันนี้เป็นปีที่ 6 ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
เป้าหมายเดิมของเราคือการเป็นสโมสรอันดับ 5 ของเอเชีย
เราไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงเพราะทีมงาน และสตาฟโค้ช แต่เรามีผู้เล่นคนที่ 12
เป็นกำลังสำคัญ นั่นคือแฟนบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นั่นเอง และในปีนี้เราจะคว้าแชมป์
ไทยพรีเมียร์ลีก ให้ได้ก่อนนัดสุดท้ายของฤดูกาล เพื่อเป็นรางวัลแด่แฟนบอลของเรา
ซึ่งเราจะแสดงให้เห็นว่าผู้เล่น 11 คน บวกกองเชียร์จะเอาชนะทุกทีมให้ได้ด้วยสปิริต
และในปี 2561 เราจะนำบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าตลาดหลักทรัพย์
เนื่องจากการแข่งขันในระดับนานาชาติต้องใช้งบประมาณสูง
และเพื่อความมั่นคงของสโมสรในอนาคต
ส่วนในวันนี้เรายกทัพเซราะกราวมาบุกกรุง
เพื่อเปิดช็อปในสยามสแควร์ เพื่อเป็นศูนย์รวมแฟนบอลในกทม.
และจะเปิดทีวีถ่ายทอดสดทุกแม็ตช์ที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลงเตะ ให้แฟนๆ ได้ชมกันสดๆ
พร้อมกับแฟนๆ ที่สนาม และสุดท้าย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอขอบคุณแฟนๆ
ที่หนุนหลังเราเสมอมาครับ ขณะที่บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก มีแฟนบอลจำนวนมากเดินทางมาร่วมกิจกรรมกับเหล่าขุนพลปราสาทสายฟ้า
ในงาน Buriram United Meet & Greet กับนักเตะ บุรีรัมย์
ยูไนเต็ด ทั้งทีม นอกจากนี้ แฟนบอลที่มาร่วมงานยังได้สิทธิพิเศษซื้อเสื้อ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปี 2015 ในราคา 499 บาท พร้อมกับได้กอดนักเตะ ที่ชื่นชอบฟรี สำหรับ
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกของสโมสรฯ สาขาสยามสแควร์
ถือเป็นหนึ่งในแผนงานของการขยายฐานแฟนบอล และเปิดโอกาสให้แฟนฟุตบอลทั่วไป
มีโอกาสเข้าถึงมากขึ้น โดยสำนักงานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งอยู่เลขที่ 430/20
อาคารสำนักงานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 ตรงข้ามอาคารวิทยกิตต์
(ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) สยามสแควร์ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ล่าสุดอยู่อันดับ 9 ของเอเชีย จากการจัดอันดับของ Footballdatabase
เว็บไซต์ จัดอันดับและเก็บสถิติผลการแข่งขันของสโมสรทั่วโลก และยังเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ภายในประเทศมากที่สุด
ที่ไม่เคยมีสโมสรใดในประเทศไทยทำได้มาก่อน โดยคว้าแชมป์มาครอบครองแล้ว 14 แชมป์ ภายในเวลา 5 ปี เป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน
ก. 3 สมัย ในปี 2556, 2557, 2558 แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก
3 สมัย ปี 2554, 2556, 2557 แชมป์เอฟเอคัพ
3 สมัย ปี 2554, 2555, 2556 แชมป์ลีกคัพ
3 สมัย 2554, 2555, 2556 และ
แชมป์พรีเมียร์คัพ 2 สมัย ปี 2555,2557 (เครดิตข้อมูลจากเว็บไซต์ MGR online,คอลัมน์ MGR
Sport ,6 พฤศจิกายน 2558)
อันดับ 5
Samsung เปิดตัว ลอนซ์โปรดักท์ใหม่จัดหนัก vs Apple ก็ปล่อย i-phone 6 มาท้าชนช่วงท้ายปี
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ไทยซัมซุงโมบาย
จัดงานเปิดตัว Samsung Galaxy S6 และ Samsung
Galaxy S6 Edge ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ณ
โรงแรม Centara Grand @ centralworld ซึ่งมีแขกจากผู้บริหาร
กลุ่มไอที กลุ่มแฟชั่น ดารานักแสดง กลุ่มพันธมิตรร้านค้าต่างๆ และสื่อมวลชน
ร่วมงานอย่างคับคั่ง โดยบรรยากาศภายในงาน จะได้รู้จักกับที่มาการออกแบบดีไซด์ของ Galaxy
S6 Edge ที่สวยงาม ทนทาน
และความสามารถอันยอดเยี่ยมในการถ่ายภาพ และการชาร์ตแบตที่เร็วกว่าเดิม ด้วย Galaxy
S6 Edge แสดงถึงนวัตกรรมใหม่ในวงการสมาร์ทโฟน
ที่จอโค้งถึง 2 ด้าน ดีไซต์หรู
การถ่ายรูปที่สามารถถ่ายได้ทุกสภาวะแสดงและสวยงามดีที่สุด และรูปแบบการชาร์จไฟแบบใหม่
ที่สามารถชาร์จเพียง 10 นาที ใช้ได้นานถึง 4 ชั่วโมง อีกทั้งเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายทุกมาตรฐานด้วย
หลังจากที่งานแถลงข่าวเสร็จสิ้นลง ผู้เข้าร่วมงานก็ได้ร่วมสัมผัสกับมือถือ Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 Edge
พร้อมกับเผยโฉมอุปกรณ์เสริมของ Galaxy S6 เช่น เคส s6 ลายต่างๆ Powerbank แท่นชาร์จไร้สาย
ระบบรักษาความปลอดภัย Samsung Knox และไฮไลท์คือ
การชาร์ต
Galaxy S6 , S6 Edge ที่วางชาร์ตไร้สายบนรถยนต์ ซึ่งเริ่มใช้ได้จริงในไทยแล้ว
โดยรถยนต์ที่มีแท่นชาร์จมือถือไร้สายด้วยคือ Lexus NX 300h และ TOYOTA CAMRY
Samsung Galaxy S6 และ S6 Edge
เริ่มขายในประเทศไทยแล้วเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 ที่ผ่าน โดยราคา
Samsung Galaxy S6 ราคา 23,900 บาท และ
Samsung Galaxy S6 Edge ราคา 27,900 บาท สิ้นสุดการรอคอยเมื่อ Samsung จัดอีเว้นท์ Unpacked 2015 รอบที่ 2 ของปี เป็นการแนะนำภาคต่อของแท็บเล็ตขีดเขียนได้ในชื่อ “Samsung Galaxy Note 5” ที่ปรับโฉมในด้านดีไซน์และเพิ่มลูกเล่นให้กับปากกา S-Pen การออกแบบ Samsung Galaxy Note 5 กล่าวว่าได้เป็นการนำปรัชญาจาก Samsung Galaxy S6 / S6 Edge มาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดความหรูหรา แสดงออกถึงความเป็นพรีเมียม โดดเด่นสมกับความเป็นเรือธงในตลาดแฟ็บเล็ตที่เหนือกว่าด้วยปากกา S-Pen คู่ใจ
หน้าจอแสดงผลของ Note 5 มาพร้อมเทคโนโลยี Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560 x 1440 พิกเซล) ไม่เปลี่ยนแปลงจาก Note 4
ชิปประมวลผลใช้ Exynos 7420 ภายใต้สถาปัตยกรรมการออกแบบ 14 นาโนเมตร ความเร็ว 2.1GHz, แรม 4G (อัพเกรดขึ้นจาก Note 4 ที่ใช้แรม 3GB), หน่วยความจำภายในเริ่มต้นที่ความจุ 32GB, 64GB และ 128GB พร้อมตัดการรองรับ microSD Card ออกไป ตามแนวทางของ S6 และ S6 Edge
กล้องถ่ายภาพด้านหลังมากับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล F/1.9 พร้อมระบบป้องกันการสั่นไหวขณะถ่ายภาพหรือ Smart OIS สามารถถ่ายภาพแบบ HDR ได้แบบ Real-Time สนับสนุนการเปิดกล้องที่เร็วขึ้นด้วยฟีเจอร์ Quick Launch หรือการปุ่มโฮมสองครั้ง ที่ใช้เวลาเพียง 0.6 วินาที ขณะที่กล้องหน้าใช้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล F/1.9
ด้านการเชื่อมต่อสนับสนุน CAT 9/6 LTE (ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค), Bluetooth 4.2, NFC, Samsung Pay, รองรับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, ใช้พอร์ต microUSB 2.0
แบตเตอรี่ความจุ 3,000mAh ลดลงจาก Note 4 ที่เดิมใช้อยู่ที่ 3,220mAh แต่สามารถชาร์จแบบปกติให้แบตเต็มภายใน90 นาที แถมสามารถชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charging) ให้แบตเต็มภายในเวลา 120 นาที
ซอฟต์แวร์ที่ใช้เป็น Android 5.1 Lollipop รุ่นล่าสุด ครอบทับด้วยอินเตอร์เฟซ TouchWiz UX
ในส่วนของปากกา S-Pen มีการเพิ่มกลไกด้วยการกดที่ปลายด้ามเพื่อให้ปากกาดีดตัวออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อดึงออก S-Pen ออกมาแล้ว หน้าจอจะแสดงเมนูพร้อมใช้งานต่างๆ ทำให้สามารถเริ่มต้นขีดเขียนหรือจัดการงานตามที่ต้องการได้ทันที รวมไปถึงสามารถขีดเขียนบนหน้าจอได้โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอ เป็นการติดต่อระหว่างตัวอุปกรณ์และผู้ใช้ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นการใช้งานร่วมกับแอพ SideSync การถ่ายโอนข้อมูลระหว่าง Note 5 กับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต
Samsung Galaxy Note 5 มี 4 สีให้เลือก ได้แก่ Silver Titanium, Black Sapphire, White Pearl,
Gold Platinum เริ่มวางขายในสหรัฐอเมริกา 21 สิงหาคม
ศกนี้ ส่วนในบ้านเราก็อาจเป็นเร็วๆ นี้เช่นกัน
Apple ปล่อยหมัดเด็ด iphone
6s และ 6s Plus หลังจากอุบไต๋ไว้ว่าจะมีอะไรใหม่บ้าง
หลังจาก iPhone 6s และ iPhone 6s Plus
เปิดวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม
2558
ที่ผ่านมา
ผู้ใช้ในบ้านเราต่างก็ให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก โดยรุ่นยอดฮิตคงหนีไม่พ้น iPhone 6s สีทองกุหลาบ หรือสีชมพู (Rose Gold) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากที่สุดในขณะนี้ iPhone 6s รุ่นนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นสมาร์ทโฟนซีรีส์ "S" ที่มาพร้อมกับการอัปเกรดครั้งใหญ่ และน่าจะมากที่สุดในซีรีส์นี้ด้วย
iPhone 6s มาพร้อมการอัปเกรดหลักๆ อย่าง ตัวเครื่องที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุ อะลูมิเนียมเกรด 7000 (Aluminium-700) เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง, หน่วยความจำแรม (RAM) ที่เพิ่มขนาดเป็น 2GB, กล้องดิจิทัล iSight ด้านหลังพัฒนาความละเอียดขึ้นมาเป็น 12 ล้านพิกเซล, กล้องดิจิทัล FaceTime ด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด iOS 9.0 และฟีเจอร์สำคัญที่ถือเป็นพระเอกของรุ่นนี้อย่างหน้าจอ 3D Touch สุดล้ำที่สามารถแยกแยะน้ำหนักของแรงกดบนหน้าจอได้ รวมถึงการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ และการใช้งานอีกมากมาย
iPhone 6s มาพร้อมการอัปเกรดหลักๆ อย่าง ตัวเครื่องที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุ อะลูมิเนียมเกรด 7000 (Aluminium-700) เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง, หน่วยความจำแรม (RAM) ที่เพิ่มขนาดเป็น 2GB, กล้องดิจิทัล iSight ด้านหลังพัฒนาความละเอียดขึ้นมาเป็น 12 ล้านพิกเซล, กล้องดิจิทัล FaceTime ด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด iOS 9.0 และฟีเจอร์สำคัญที่ถือเป็นพระเอกของรุ่นนี้อย่างหน้าจอ 3D Touch สุดล้ำที่สามารถแยกแยะน้ำหนักของแรงกดบนหน้าจอได้ รวมถึงการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ และการใช้งานอีกมากมาย
อันดับ 4 ธุรกิจทีวีโฮมช็อปปิ้งโตสวนกระแสเศรษฐกิจ
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวดังกล่าว ธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในปีนี้กลับขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยเติบโตร้อยละ 20–25 จากปีที่แล้ว
ซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับประมาณ
8,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ
แม้ทีวีโฮมชอปปิ้งจะเป็นธุรกิจที่ไม่ใหญ่ แต่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นแบบก้าวกระโดด
คู่ขนานกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ขณะที่บางภาคส่วนถึงขนาดนำทีวีโฮมช้อปปิ้งไปผนวกรวมให้เป็นส่วนหนึ่งและเป็นตัวแบบในการพัฒนา
Digital Economy ที่คาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้
จากการผสมผสานของอุตสาหกรรมบอร์ดแคสติ้ และอุตสาหกรรมค้าปลีก ผ่านช่องทาง
Entertainment จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยความสะดวกสบายที่กระตุ้นให้เกิดความนิยมซื้อสินค้าทางออนไลน์,
ซื้อสินค้าผ่านช่องทางโฮมช้อปปิ้ง
รวมทั้งช่องทางการชำระเงินที่มีความสะดวก โดยชำระผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน
รวมถึงการจัดส่งสินค้าถึงที่พัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ยอดขายของทีวีช้อปปิ้งเติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านทีวีโฮมช้อปปิ้ง ครอบคลุมกลุ่มอายุประชากรที่กว้างขวางมาก
กล่าวคือมีกลุ่มลูกค้าอายุตั้งแต่ 20-70 ปีโดยมีสัดส่วนเป็นลูกค้าต่างจังหวัด
55% และลูกค้าในกรุงเทพฯ 45% ในขณะที่สินค้าที่ลูกค้านิยมซื้อสูงสุด
คือเครื่องครัว ตามด้วยเครื่องสำอาง, อาหารเสริม และเครื่องออกกำลังกายตามลำดับ
แต่ทีวีโฮมช้อปปิ้งไม่ได้เติบโตอยู่ในภาวะสุญญากาศ หากดำเนินไปท่ามกลางช่องทางการทำการตลาดที่หลากหลายและแข่งขันกันอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (อาทิ ห้างสรรพสินค้า
ไฮเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียนสโตร์ สเปเชียลตี้สโตร์ คอมมูนิตี้มอลล์) การขายตรงผ่านตัวแทนที่มีผู้ประกอบการรายใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
รวมถึงการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านร้านค้าปลีกออนไลน์ (E-Commerce)
ผู้ประกอบการธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งจึงต้องหากลยุทธ์เพื่อสร้างความสนใจและเข้าใจในตัวสินค้าผ่านทางสื่อโทรทัศน์
โดยแต่ละรายพยายามหาจุดเด่นด้วยการนำเสนอสินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อสร้างความแตกต่างจากสินค้าที่จำหน่ายตามค้าปลีกทั่วไป
เช่น เครื่องออกกำลังกาย หรือการขายสินค้าที่หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด หรือการนำเสนอขายสินค้าโดยให้ข้อมูลรายละเอียดของสินค้า
เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงมุมที่มองไม่เห็น ซึ่งถือเป็นจุดต่างสำคัญของการทำธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง
ที่แตกต่างจากสินค้าที่จำหน่ายตามค้าปลีกทั่วไป สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งต้องคำนึง
คือทำอย่างไรให้ผู้บริโภคสนใจที่จะเลือกดูช่องรายการทีวีโฮมช้อปปิ้ง และเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านทางช่องทางทีวีมากขึ้น
รวมทั้งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า คือระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบแบ็กออฟฟิศที่ต้องพร้อม
ไม่ว่าจะเป็นระบบคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลลูกค้า รวมทั้งระบบการชำระเงิน
การส่งสินค้า การคืนสินค้าที่จะต้องมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมทีวีโฮมช้อปปิ้งเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การแข่งขันของธุรกิจโฮมช้อปปิ้งทวีความรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนคู่แข่งที่มีมากขึ้น
ไม่ว่าจากผู้แข่งขันทางตรงในตลาดโฮมช้อปปิ้งที่มี 3-4 รายใหญ่ๆ
อาทิ ทีวีไดเร็ค, ทรู ซีเล็คท์, โอ
ช้อปปิ้ง, ช้อป แชนแนล และยังมีผู้ประกอบการรายย่อยอีก 14-15
ราย ในธุรกิจนี้ ในขณะเดียวกันก็มีคู่แข่งทางอ้อมจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตและมีรายใหม่ๆ
กระโดดเข้ามาหลายค่าย เช่น ลาซาด้า เอ็นโซโก ไลน์ช้อป เป็นต้น
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ ธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซ ก็มีผู้บริโภคมากขึ้นด้วยเช่นกัน
จากผลของจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามเทคโนโลยี โดยในช่วง
1-2 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการทั้งไทยและเทศ ได้มาให้บริการอย่างต่อเนื่อง
ด้วยสินค้าที่หลากหลาย โปรโมชั่นจูงใจ ซึ่งทำให้ธุรกิจ “โฮมช้อปปิ้ง”
ต้องเร่งปรับตัวในทุกทิศทางเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ในขณะที่เจ้าตลาด “ทีวีไดเร็ค” ที่เร่งปรับโครงสร้าง
และพักการลงทุนต่างประเทศ จากเดิมที่ต้องการเป็นผู้นำโฮมช้อปปิ้งในภูมิภาคอินโดจีนโดยหันมามุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งตลาดในประเทศแทน
ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีไดเร็ค
จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ระบุว่า
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย มีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้น บวกกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น
พร้อมกับที่อี-คอมเมิร์ชเติบโตขึ้น บริษัทฯ จึงชะลอแผนลงทุนในต่างประเทศและมุ่งเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก
โดยใช้งบลงทุนในปีนี้กว่า 80 ล้านบาท ในการปักธงเพื่อแข่งขันกับธุรกิจออนไลน์ทุกรูปแบบ
โดยปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้เป็นรูปแบบ “มัลติสกรีน”
(Multiscreen) หรือการขายผ่าน 4 แพลตฟอร์ม คือ
1. โทรทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวหลักในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ
2. โมบาย 3. แอปพลิเคชั่น และ4.
รีเทล โดยตั้งยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 2,888 ล้านบาท
คาดว่าภายในปี 2560 จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ถึง 5
ล้านคน พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่จะไม่เป็นสองรองใคร (Second to
none) ด้าน “โอ ช้อปปิ้ง” เบอร์สองของกลุ่มทีวีโฮมช้อปปิ้ง บริษัทร่วมทุนระหว่างจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
กับ ซี เจ โอ ช้อปปิ้ง ที่หันมาปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับสภาพตลาด ด้วยการนำเสนอการขายสินค้าให้มีความน่าสนใจและตรงกับความต้องการมากขึ้น
พร้อมทั้งปรับราคาสินค้าให้ถูกลง เพื่อกระตุ้นแรงซื้อ ในขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของโอ
ช้อปปิ้ง คือกลุ่มผู้หญิงและกลุ่มแม่บ้าน อายุประมาณ 30-59 ปี
โดยในปีที่ผ่านมา โอ ช้อปปิ้ง ได้ออกแคมเปญการขาย ด้วยบริการ ‘รับของ ก่อนจ่าย’ และ ‘ส่งฟรีทั่วไทย’
โดยได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี สำหรับในปี 2558
นี้ ได้เน้นย้ำการบริการที่มั่นใจว่าถูกใจผู้บริโภคกับ ‘เปลี่ยนคืนไม่ยุ่งยาก’ เพื่อเรียกศรัทธาลูกค้าจากที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับการคืนสินค้าเมื่อซื้อผ่านโฮมช้อปปิ้งต่างๆ
ปัจจุบัน โอ ช้อปปิ้ง
มีสินค้าที่จำหน่ายผ่านสื่อทีวีและช่องทางออนไลน์รวมกันกว่า 1,000 รายการ ซึ่งในส่วนของสินค้าที่จำหน่ายทั้ง 2 ช่องทางค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน
แต่เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักส่วนใหญ่จะเป็นตลาดต่างจังหวัด จึงทำให้สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากช่องทางทีวีมากกว่าช่องทางออนไลน์
โอ ช้อปปิ้ง มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านบาท เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,138
ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 20%
และคาดว่าภายในปี 2560 จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ
3,000 ล้านบาท ในขณะที่เป้าหมายสูงสุด คือการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจนี้ในอนาคต
ขณะที่ “ทรู ซีเล็คท์” อีกหนึ่งผู้ประกอบการทีวีโฮมช้อปปิ้งที่เป็นการผนึกกำลังของ
4 บริษัท ชั้นนำทั้งทรูวิชั่นส์, จี
เอส ช้อป ธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง อันดับหนึ่งจากเกาหลี, เดอะ มอลล์
กรุ๊ป ผู้นำค้าปลีกไทย และซีพีออลล์ ผู้นำร้านสะดวกซื้อ ออกกลยุทธ์การตลาดด้วยการเพิ่มสินค้าแฟชั่น
เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นแรงซื้อจากผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง
ธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดีในสภาวะเศรษฐกิจที่มีกำลังซื้อชะลอตัว
และถือเป็นช่องทางที่จะช่วยระบายสินค้าจากกลุ่มค้าปลีก ที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนและทำให้คลังสินค้ามีสินค้าคงค้างลดลง
จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งเติบโต และเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ภาครัฐเห็นความสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดที่จะสร้างประโยชน์เพิ่มขึ้นจากทีวีดิจิตอลของ
กสทช. ว่าด้วยนโยบายการออกใบอนุญาตการให้บริการโทรทัศน์แบบประยุกต์ให้ธุรกิจขายสินค้าผ่านโทรทัศน์
หรือทีวีโฮมช้อปปิ้ง ซึ่งหาก “ทีวีโฮมช้อปปิ้ง” ในไทยเติบโตอย่างมีระบบภายใต้กฎกติกา ก็จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งตามนโยบาย Digital
Economy ของรัฐบาล ที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
(กสทช.) ในฐานะประธาน กสทช. ระบุว่า “ทีวีโฮมช้อปปิ้ง”
เป็นการผสมผสานธุรกิจระหว่าง “มีเดีย+ค้าปลีก+ไอที”
เป็นการทำทีวีโดยไม่ต้องขายโฆษณา แต่เป็นช่องทางการขายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานไม่น้อยกว่าผู้ประกอบการ
“ฟรีทีวี” แม้ปัจจุบันทีวีโฮมช้อปปิ้งจะเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกของไทย
ที่มีมูลค่าน้อยมาก เมื่อเปรียบกับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าถึง 2.3-2.4
ล้านล้านบาท แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่อาจทวีความสำคัญและเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยที่น่าจับตามองในอนาคต
ASTVผู้จัดการรายวัน-ตลาดโฮมช้อปปิ้งบูมสุดตัว
เจ้าใหญ่จากฝั่งยุโรป อเมริกา เตรียมบุกเต็มกำลัง คาดอีก2ปีตลาดโต2เท่า ทะลุ 16,000 ล้านบาท "โอ
ช้อปปิ้ง"เร่งเครื่องโฟกัสช่องทางออนไลน์ หลังพบคนไทยตอบรับสูงขึ้น มั่นใจอีก2ปี รายได้แตะ 3,000 ล้านบาท มาจากออนไลน์ถึง 30%
นายซอง นัก เจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ซีเจ โอ
ช้อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยช่วง1-2ปีที่ผ่านมาเติบโตดีมากไม่ต่ำกว่า 40% หรือในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า
8,000 ล้านบาท จากปีก่อน 6,000 ล้านบาท
ส่วนสำคัญมาจากการปรับตัวของผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการซื้อสินค้าในลักษณะโฮมช้อปปิ้งได้ดีขึ้น
และสำคัญที่สุดคือมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
ซึ่งมองว่าในอีก2ปีข้างหน้าตลาดจะเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว
หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาท "ตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมาก
ซึ่งขณะนี้พบว่า มีกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ทั้งจากฝั่งยุโรป
รวมถึงอเมริกา เริ่มเข้ามาศึกษาตลาดและเตรียมเข้ามาลงทุนเต็มตัวในช่วง1-2ปีหลังจากนี้ ซึ่งผู้ประกอบการรายล่าสุดที่เข้ามาคือ ของทางฮุนได
ที่รวมกับเทเลวิซ ในชื่อ ไฮช้อปปิ้ง
ปีหน้าจะเห็นการทำตลาดอย่างชัดเจนมากขึ้น" ทั้งนี้ตลาดโฮมช้อปปิ้งในไทยเมื่อปี
2554 มีมูลค่าเพียง 2,100 ล้านบาท
โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ 1-2 รายเท่านั้น สัดส่วนยังไม่ถึง 0.1%
ของมูลค่าตลาดค้าปลีกรวมที่มีประมาณ 2.18 ล้านล้านบาท
ขณะที่ปี 2557 ตลาดรวมเพิ่มเป็น 6,000 ล้านยบาท
คิดเป็น 0.2% ของตลาดค้าปลีกรวมที่มีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการใหญ่ประมาณ 6-8 ราย นายพีระ ลักษณาภิรักษ์
ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การออกอากาศ บริษัท จีเอ็มเอ็ม ซีเจ โอ ช้อปปิ้ง จำกัด
กล่าวต่อว่า ในส่วนของโอช้อปปิ้ง
ตามแผนการดำเนินงานหลังจากนี้จะเน้นช่องทางออนไลน์ขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ชและโมบายช้อปปิ้งมากยิ่งขึ้น
เพื่อตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ภายใต้กลยุทธ์หลัก 3
ด้าน คือ
1.สินค้าใหม่ๆเน้น แฟชั่น ซีซันนอลโปรดักส์ และสินค้าอีคอมเมิร์ช 2.ระบบการขายอีคอมเมิร์ช เน้นสาวระบบไอทีให้มีการบริหารจัดการที่ดี และ 3.แบรนด์คอมมูนิเคชั่น เพิ่มบริการหลังการขายในกรณีเปลี่ยนคืน ด้วยระบบ เปลี่ยนคืนได้ไม่ยุ่งยาก เพียงโทรกลับมาที่คอลเซนเตอร์จะมีเจ้าหน้าที่ไปรับคืนถึงบ้าน
นายซอง นัก เจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงสิ้นปีนี้เชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 40% มาจากช่องทางทีวี 85% และออนไลน์ 15% โดยในอีก 2 ปีข้างหน้าเชื่อว่า จะมีรายได้ถึง 3,000 ล้านบาท มาจากทีวี 70% และออนไลน์ 30% ซึ่งเราเป็น 1 ในบริษัทลูกของเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ อันดับต้นๆที่ขับเคลื่อนรายได้ให้กับจีเอ็มเอ็ม ปัจจุบันโอช้อปปิ้งมีแชร์ 20% ในตลาดรวมโฮมช้อปปิ้ง และเป็นที่2ของตลาด ซึ่งหากมองเฉพาะยอดขายจากช่องทางทีวีแล้ว มั่นใจว่าเป็นผู้นำตลาดที่มียอดขายสูงสุด ทั้งนี้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่า โอ ช้อปปิ้ง จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโฮมช้อปปิ้งได้แน่นอน ซึ่งปัจจุบัน โอช้อปปิ้งมีช่องทางการออกอากาศทางกล่องจีเอ็มเอ็มแซดช่อง0 พีเอสไอช่อง48 ระบบจานดาวเทียมและเคเบิลทีวีทั่วประเทศ “ยอดขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของเราเติบโตขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นถึง 8% ของธันวาคมปีที่แล้ว เราจึงต้องพัฒนาและขยายบริการทางอีคอมเมิร์ซให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ครบถ้วน โดยเตรียมสินค้ากว่า 1,000 รายการ ทุกหมวดหมู่พร้อมระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยไว้บริการ โดยยอดขายรายเดือนจากช่องทางอีคอมเมิร์ซจะสูงถึง 20% ภายในสิ้นปีนี้ และจะสูงเป็นประวัติการณ์ 50% ของยอดขายทั้งหมดภายในเวลา 5 ปี” นายซองกล่าว
1.สินค้าใหม่ๆเน้น แฟชั่น ซีซันนอลโปรดักส์ และสินค้าอีคอมเมิร์ช 2.ระบบการขายอีคอมเมิร์ช เน้นสาวระบบไอทีให้มีการบริหารจัดการที่ดี และ 3.แบรนด์คอมมูนิเคชั่น เพิ่มบริการหลังการขายในกรณีเปลี่ยนคืน ด้วยระบบ เปลี่ยนคืนได้ไม่ยุ่งยาก เพียงโทรกลับมาที่คอลเซนเตอร์จะมีเจ้าหน้าที่ไปรับคืนถึงบ้าน
นายซอง นัก เจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงสิ้นปีนี้เชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 40% มาจากช่องทางทีวี 85% และออนไลน์ 15% โดยในอีก 2 ปีข้างหน้าเชื่อว่า จะมีรายได้ถึง 3,000 ล้านบาท มาจากทีวี 70% และออนไลน์ 30% ซึ่งเราเป็น 1 ในบริษัทลูกของเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ อันดับต้นๆที่ขับเคลื่อนรายได้ให้กับจีเอ็มเอ็ม ปัจจุบันโอช้อปปิ้งมีแชร์ 20% ในตลาดรวมโฮมช้อปปิ้ง และเป็นที่2ของตลาด ซึ่งหากมองเฉพาะยอดขายจากช่องทางทีวีแล้ว มั่นใจว่าเป็นผู้นำตลาดที่มียอดขายสูงสุด ทั้งนี้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่า โอ ช้อปปิ้ง จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโฮมช้อปปิ้งได้แน่นอน ซึ่งปัจจุบัน โอช้อปปิ้งมีช่องทางการออกอากาศทางกล่องจีเอ็มเอ็มแซดช่อง0 พีเอสไอช่อง48 ระบบจานดาวเทียมและเคเบิลทีวีทั่วประเทศ “ยอดขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของเราเติบโตขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นถึง 8% ของธันวาคมปีที่แล้ว เราจึงต้องพัฒนาและขยายบริการทางอีคอมเมิร์ซให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ครบถ้วน โดยเตรียมสินค้ากว่า 1,000 รายการ ทุกหมวดหมู่พร้อมระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยไว้บริการ โดยยอดขายรายเดือนจากช่องทางอีคอมเมิร์ซจะสูงถึง 20% ภายในสิ้นปีนี้ และจะสูงเป็นประวัติการณ์ 50% ของยอดขายทั้งหมดภายในเวลา 5 ปี” นายซองกล่าว
อันดับ 3 แผนการตลาดของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของค่ายดิสนีย์
“Starwars Episode 7 : The Force Awakens"
จัดเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่แฟนคลับคนทั่วโลกตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ
ว่าเมื่อไรจะมีกำหนดฉาย จริงๆ ก็นับตั้งแต่ข่าวสาร ที่จอร์จ ลูคัส
ตัดสินใจขายลิขสิทธิ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับสตาร์วอร์สให้กับสตูดิโอค่ายดิสนีย์แล้ว
ข่าวลือเกี่ยวกับคนที่จะมากำกับหนังสตาร์วอร์สตอนต่อไป หรือภาค 7 สุดท้ายเป็นไปตามข่าวลือ ก็คือ เจเจ อับรามส์
ได้มาเป็นผู้กำกับหรือคุมบังเหียนโปรเจ็คท์ภาตใหม่นี้จริงๆ และข่าวความคืบหน้า
เกี่ยวกับกับโปรเจ็คท์นี้ก็มีออกมาอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดการรอคอย
เมื่อกำหนดวันเข้าฉายจริง เกิดกระแสแฟนคลับที่คลั่งสตาร์วอร์ส แห่ไปจองตั๋วล่วงหน้าจนกลายเป็นข่าวใหญ่
จากนั้นก็มีข่าวเป็นระลอกๆ ที่เกี่ยวกับสตาร์วอร์สตามมามากมาย ผู้เขียนไม่สามารถรวบรวมได้หมดหรือครบถ้วน
เอาเท่าที่พอจะรู้จากข่าวมีดังนี้
-เริ่มจากการปล่อยทีเซอร์เรียกน้ำย่อย
ออกมาเป็นระลอก ตัวที่ 1,2,3 แบบย่อไม่กี่นาทีไปจนถึงตัวเต็มล่าสุด
ซึ่งตัวแรกนั้นออกมาเพียงไม่กี่วินาที แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาเมือปลายปีที่แล้ว
จนกลายเป็นคลิปยอดนิยมมีผู้เข้าชมหลายล้านเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ปล่อยออกมา-ตามด้วยภาพจากเบื้องหลังการถ่ายทำ รวมถึงฉาก ตัวละครของภาพยนตร์ที่ทยอยปล่อยออกมาให้เห็น เป็นที่ฮือฮา และคาดเดาเนื้อเรื่องไปต่างๆ นาๆ ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร และตัวละครใดมีบทบาทนำ
-ผู้กำกับให้สัมภาษณ์สื่อ รวมถึงนักแสดงในชุดเวอร์ชั่นไตรภาคแรก ไปออกรายการทีวีให้สัมภาษณ์
-เปิดตัวปฏิทินทองคำหนัก 10 กิโลกรัมลายสตาร์วอร์ส โดยร้านอัญมณีชื่อดัง ในกรุงโตเกียว
-สายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ เผยโฉมเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 787-9 ดรีมไลเนอร์ ซึ่งมีลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหุ่นยนต์ R2-D2 ด้วย เพื่อเฉลิมฉลองให้กับสตาร์วอร์ส ที่กลับมาอีกครั้ง
-เปิดนิทรรศการ “สตาร์วอร์สแฟนฟีโนมีน่อน” ขึ้นในย่านดังไทม์สแควร์ ที่เกาะฮ่องกง ในธีมคอนเพลย์ มีโมเดลตัวละครดังครบครัน เพื่อโปรโมตภาพยนตร์สตาร์วอร์ส แฟนคลับฮ่องกงแห่คลั่งร่วมงานมากมาย
-เปิดตัวเกมบนโทรศัพท์มือถือ Starwars Galaxy of Heroes ซึ่งสามารถเล่นได้ทั้งบนระบบ iOS และ Android ซึ่งเป็นผลงานของบริษัท EA, Disney Lucas Film
-เปิดตัวหุ่นยนต์ตัวใหม่ในภาคใหม่นี้ นาม BB-8 ที่จะมาเคียงคู่กับ R2-D2 ซึ่งปรากฏเห็นอยู่ในทีเซอร์ตัวเต็ม ที่จะมีบทบาทสำคัญในไตรภาคใหม่นี้ มาปรากฏตัวจริงในงานแถลงข่าวที่แคลิฟอร์เนียด้วย
-บอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลี นาม EXO ได้รับเกียรติร้องเพลงประกอบภาพยนตร์สตาร์วอร์ส ภาคใหม่นี้ ในซิงเกิ้ลที่ชื่อ Light Sabre และกลายเป็นศิลปินฝั่งเอเชียเพียงกลุ่มเดียว ที่ได้ร่วมงานกับสตาร์วอร์ส
-ในโลกคนดังลูกหนัง ก็มีกระแสนำนักฟุตบอลหรือโค้ชชื่อดังมาล้อเลียน
เปรียบเทียบหน้าตาว่าคล้ายกับตัวละครตัวใดในสตาร์วอร์ส
ซึ่งก็เป็นเพียงกระแสอำเล่นขำ ๆ แต่หน้าตาก็ดูคล้ายจริงๆ ด้วย
-มาจนกระทั่งการจัดอีเว้นต์
วิ่งแข่งมาราธอนในชื่อโครงการ Starwars Half Marathon – The Dark Side กับ Light Side ซึ่งเป็นอีเว้นต์ของดิสนีย์ที่รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการวิ่งระยะทางตั้งแต่
5,10 กิโล และรุ่นเด็ก
โดยระหว่างทางก็จะมีตัวละครจากสตาร์วอร์สมาเข้าร่วมด้วย ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นเพียงบางส่วนที่ลิสต์มา ยังมีอีกมากมาย ซึ่งการโปรโมตในแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันด้วย สุดแล้วแต่แผนโปรโมตของทางสตูดิโอเจ้าของลิขสิทธิ์กับผู้ซื้อลิขสิทธิ์ในแต่ะประเทศจะตกลงร่วมกัน
อันดับ 2 Impact ของ Social Viral, Social
Try-In,Product Placement กรณีเบียร์ยี่ห้อดัง ขวดสีเขียว ต่อกรณีที่ดาราศิลปินชื่อดังโพสต์ภาพตนเองกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่ง
(ชื่อดัง:ขวดสีเขียว) ลงในไอจีส่วนตัว และเกิดดราม่าร้อนสะเทือนวงการในช่วง
2-3 เดือนก่อนหน้านี้ จากจุดเริ่มจาก
ผู้บริหารบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ายใหญ่คู่แข่ง ได้ออกมาเปิดประเด็นท้วงติง
ถึงความไม่เหมาะสม เข้าข่ายโฆษณาแฝง ซึ่งผิดหลักกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ที่ห้ามโฆษณาเชื้อชวนทุกรูปแบบให้เกิดการบริโภค จนเป็นที่มาที่ทำให้ถูกเรียกไปสอบ
โดยสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ต่อกรณีมองได้หลากหลายมิติมาก แต่ในบทความนี้จะขอมองไปในมิติของเชิงการตลาด
ก็ต้องตอบว่า การกระทำในลักษณะนี้ ถ้าตัวสินค้าไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีกฏหมาย
พรบ.ควบคุมไม่ให้โฆษณา ก็ต้องถือว่าเป็นแคมเปญโฆษณาที่ได้ผลทั้งในเชิงของอิมแพ็ค
ส่งเสริมการรับรู้ โดยใช้ยุทธวิธีแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้ง และยังส่งผลต่อยอดขายโดยตรง
(เนื่องจากผู้เขียนอยู่ในแวดวงค้าปลีก จึงได้รับรู้ถึงยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่เป็นกระแสอยู่นั้น
ยอดขายของเครื่องดื่มยี่ห้อที่เป็นปัญหาอยู่นี้ ยอดวิ่งกระฉูดแซงไป 3 เท่าตัวมากกว่าคู่แข่งซึ่งเป็นเจ้าตลาดเดิมมาก)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้กำลังจะมาบอกว่าสิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มองในเชิงการตลาดล้วนๆ ต้องถือว่าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ
และน่าจะเป็นกรณีศึกษาให้กับนักการตลาดไปได้อีกนาน
เพียงแต่แคมเปญนี้ได้มองข้ามในส่วนของผลกระทบต่อสังคมไป ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
ในยุคที่การทำธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาล และรับผิดชอบต่อสังคมด้วย จะว่าไปบริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว
ก็ทำในเรื่องตอบแทนคืนสังคมมาช้านาน และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นอันดับต้นๆ
ของประเทศก็ว่าได้ แต่มาพลาดในเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน เป็นความไม่ตั้งใจ
หรือไม่มีเจตนา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็สุดแล้วแต่ ขอให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักในส่วนนี้ไว้มากๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังคงยกให้แคมเปญโฆษณาชุดนี้เป็นสุดยอดแคมเปญโฆษณาแห่งปี
และเป็นอันดับ 2 ในหมวดของ 10 สุดยอดปรากฏการณ์ทางการตลาดแห่งปี
เพราะตัดสินจากในแง่ impact และการรับรู้ที่ต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ดราม่าต่อที่พันทิป แต่คำปฏิเสธของ “โดม” ก็ไม่อาจทำให้ชาวเน็ตไทยคลายข้อสงสัยได้ จนกระทั่งเกิดการตั้งกระทู้ในพันทิปว่าจริงหรือที่ว่า “โดม” นั้นไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดังกล่าวนั้นจริงๆ (คลิกอ่านกระทู้จากพันทิป) และจากจุดนี้นี่เองทำให้ต่อมนักสืบของชาวพันทิปเริ่มทำงานกันอย่างฉับไว เริ่มค่อยๆ แกะรอยไปทีละน้อย จนพบว่าไม่ได้มีแค่ “โดม” คนเดียวที่โพสต์ภาพเบียร์ยี่ห้อนั้นลงในไอจี แต่ยังมีดารา เซเล็บ คนดัง อีกหลายคนที่โพสต์ภาพคู่กับเบียร์ในอิริยาบถอื่นที่แตกต่างกันไป นักสืบพันทิปแซะต่อไปอีกว่า แต่เอ…ในไมโครไซท์แคมเปญใหม่ล่าสุดจากแบรนด์เบียร์ยี่ห้อดังกล่าวนี้ ก็เต็มไปด้วยดารา เซเล็บ คนดังที่ถ่ายรูปคู่กับเบียร์ยี่ห้อนั้นลงไอจีเลยน้า หรือนี่จะเป็นการจ้างงานกันจริงๆ มากกว่าภาพส่วนตัว
ตามมาด้วยหน่วยงานรัฐออกมาฮึ่ม อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการออกมาชี้แจงจากทั้งฝั่งแบรนด์และบรรดาดาราคนดังต่างๆ แต่ล่าสุด ทางฝ่ายรัฐก็ขยับตัวเด้งรับกระแสดราม่าจากโลกออนไลน์ โดย นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่าอาจเข้าข่ายโฆษณา ผิด พ.ร.บ. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5 แสนบาท พร้อมกับเตรียมเรียกเหล่าคนดังที่ตกเป็นข่าวมาให้ปากคำ และหากให้การเป็นประโยชน์ก็จะกันไว้เป็นพยานเอาผิดเฉพาะผู้ว่าจ้าง แต่หากปฏิเสธจะรวบรวมพยานหลักฐานส่งฟ้องศาลแน่นอน (หลังจากนั้นบรรดาดาราเซเลปหลายคนได้ทยอยเข้าให้ปากคำพร้อมกับทนายส่วนตัว มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจมีการขอเจรจายอมความกัน แต่กรณีนี้ถือว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว คงน่าจะต้องถูกเปรียบเทียบปรับไปตามระเบียบ และคงจำไว้เป็นบทเรียน สำหรับกรณีศึกษาใกล้เคียงที่จะมีต่อไปในอนาคต)
ตลาดบิ๊กไบค์คึกคัก ค่าย”ฮอนด้า”ชี้ไทยยังเนื้อหอม
เตรียมแผนรองรับด้วยการเสริมเกมรุกปลายปี มั่นใจยอดขายเข้าเป้า ด้านยามาฮ่า
เปิดตัวรถรุ่นใหม่พร้อมเปิดโชว์รูมและศูนย์ในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู
ส่ง 3 รุ่นใหม่ผลิตจากโรงงานในประเทศ ชูราคาพิเศษเริ่มต้น 6.5
แสนบาท นายยุทธนา
มั่งคั่ง ผู้จัดการศูนย์ ฮอนด้า บิ๊กวิง บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด
ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ ฮอนด้า เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าภาพรวมตลาดรถบิ๊กไบค์มีอัตราการเติบโตกว่า
120% ขณะที่ฮอนด้ามีการเติบโตสูงกว่าตลาดเล็กน้อยที่ 130%
โดยคาดว่าปี 2558 ตัวเลขการขายของรถบิ๊กไบค์ทั้งหมดจะอยู่ที่
2 หมื่นคัน ส่วนฮอนด้าตั้งเป้าหมายการขายอย่างต่ำ 7.200
คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มียอดขาย 6,640
คัน “ปกติสิงหาคมจะเป็นช่วงโลว์ ซีซันของตลาดรถมอเตอร์ไซค์
แต่หลังจากที่เราเห็นยอดขายตามรายงานที่ได้รับกลับพบว่า
ฮอนด้ามีสถิติการขายที่เป็นนิวไฮ สูงที่สุดในรอบปี
ผลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หน้าโลว์ ซีซัน
รวมไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือค่าเงินที่ผันผวน
ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถของลูกค้าในกลุ่มนี้เลย” ด้านแผนงานในช่วงปลายปีนี้
ในส่วนของโมเดลใหม่ๆ
คาดว่าจะมีในรุ่นปรับโฉมที่เพิ่งทำการเปิดตัวในตลาดยุโรปเข้ามาทำตลาดในไทย
ขณะที่แผนงานด้านเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการนั้น
ยังคงเดินหน้าตามแผนที่ได้วางไว้ โดยปัจจุบันมีศูนย์บิ๊ก วิง จำนวน 11 แห่งแบ่งกรุงเทพฯ 3 แห่งได้แก่
สาขาเลียบทางด่วนประดิษฐ์มนูธรรม ,พระราม 3 ,ราชพฤกษ์ ส่วนต่างจังหวัดประกอบไปด้วยภูเก็ต,สุราษฎร์ธานี,เชียงใหม่,อุดรธานี,อุบลราชธานี,นครราชสีมา ,พัทยา และนครสวรรค์ นายยุทธนา กล่าวเพิ่มเติมว่า
รถบิ๊กไบค์ในไทยถือเป็นตลาดน้องใหม่ที่แต่ละค่ายแต่ละผู้ผลิตมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน
จากเดิมที่เริ่มต้นกับมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก ก็เริ่มขยับมาเป็นแนวสปอร์ต
และมาสู่กลุ่มบิ๊กไบค์ขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับราคาจำหน่ายจากเดิมราคาสูงมาก
แต่พอผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเริ่มทำตลาดอย่างจริงจัง
มีการลงทุนเปิดไลน์การผลิตและใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกก็ยิ่งทำให้ราคาขายจับต้องได้
และมีส่วนทำให้ตลาดบิ๊กไบค์มีการขยายฐานมากขึ้น “ตลาดเติบโตต่อเนื่อง
ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเพราะราคาจำหน่ายของรถบางรุ่นบางค่ายถูกลง
เป็นผลมาจากอัตราภาษีนำเข้าที่ลดลงตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงต่างๆ อาทิ เจเทปป้า
รวมไปถึงบิ๊กไบค์จากบางค่ายมีการปรับเปลี่ยนผู้นำเข้าซึ่งจะมีผลด้านกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ
เข้ามาก็ยิ่งทำให้ตลาดน่าจะเติบโต”ด้านนางสาวจินตนา
อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด
ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เปิดเผยว่า
ตลาดรวมรถมอเตอร์ไซค์ในช่วงที่ผ่านมาไม่เติบโต มีอัตราการติดลบเล็กน้อย
แต่เซกเมนต์บิ๊กไบค์กลับโตสวนกระแส ถือเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบทางด้านภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าเซกเมนต์อื่นๆ
ขณะเดียวกันสถาบันการเงิน-ไฟแนนซ์
ก็มีการปรับตัวและหันมาหาลูกค้ากลุ่มนี้และนำเสนอดอกเบี้ยถูก
ทำให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของยามาฮ่า
ได้มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อาทิ ยามาฮ่า MT-03 Street Naked ที่มาพร้อมขุมพลัง
321 ซีซี. ดีไซน์รถแบบ X-Movement ที่เน้นความแรง
และความคล่องตัว เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขับขี่ในเมือง
พร้อมราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว 1.77 แสนบาท
และโปรโมชันพิเศษฟรี ทะเบียน พ.ร.บ. และประกันภัย รวมมูลค่ากว่า 1.6 หมื่น บาท “เราตั้งเป้าหมายยอดขาย MT-03 ประมาณ 1 พันคัน ส่วนรถในรุ่นอื่นๆ ที่เราจำหน่ายก็ได้รับความนิยม อาทิ YZF-R15
โดยในรุ่นนี้เราวางเป้าหมายการขายไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน
นอกเหนือจากแผนงานด้านผลิตภัณฑ์แล้วในส่วนของโชว์รูมและศูนย์บริการ
ในเดือนตุลาคมนี้จะมีการเปิดยามาฮ่า ไรเดอร คลับแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ
เส้นเกษตร-นวมินทร์” ส่วนค่ายบิ๊กไบค์หรู
บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ทำยอดขายครึ่งปีแรกเติบโต 150% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ล่าสุดจึงมีการเปิดตัว
บีเอ็มดับเบิลยู R nineT (Limited Edition) ที่มาพร้อมชุดแต่งพิเศษจาก
Roland Sands ได้แก่ Roland Sands Breast Plate และ Roland Sands Valve cover อีกทั้งถังน้ำมันตกแต่งพิเศษแบบอะลูมิเนียม
(Aluminium Fuel tank) รวมถึง Aluminium Tail-hump,
Custom Seat, Knee pad และตราสัญลักษณ์พิเศษสำหรับรุ่น Limited
Edition เพียง 15 คันในโลก
โดยรถรุ่นนี้ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการดำเนินธุรกิจครบ 15 ปีของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย นอกจากนั้นแล้วยังมีการเปิดไลน์ผลิตรถ 2
รุ่นใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ที่มาพร้อมเครื่องยนต์
4 สูบ ขนาดเครื่องยนต์ 999 ซีซี
ระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องฟอกไอเสียแบบ 2
Closed-loop ชนิด 3 ทาง Catalytic
converters ให้กำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์หรือ 160
แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 112 นิวตัน-เมตร
คาดว่าราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ 6.5 แสนบาท และอีกหนึ่งรุ่นคือ
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ เพลาราวลิ้นคู่ ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน ขนาดเครื่องยนต์ความจุ 999
ซีซี ให้กำลังสูงสุด 146 กิโลวัตต์หรือ 199
แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 113 นิวตัน-เมตร
สนนราคา 8.5 แสนบาท
(เครดิตข้อมูล นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3086
วันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2558)
แอลเอกรุ๊ปมั่นใจในธุรกิจจักรยานที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
นับจากกระแส “ปั่นเพื่อแม่ Bike
for Mom” จนมาถึง “ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad” รวมถึงการที่ภาครัฐมีมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ
การรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดจักรยานแบรนด์ใหม่ล่าสุด “แอลเอ นีโอ (LA Neo)” ด้วยจักรยานกว่า 47 รุ่น เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกเซกเมนต์ พร้อมระเบิดแคมเปญ Fit
for All : Love and Share : LA Neo แจกจักรยานยกก๊วน 10
ก๊วน มูลค่ากว่า 500,000 บาท
ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มอีก 15% คุณจันทนา ติยวัชรพงศ์
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอล เอ ไบซิเคิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดเผยว่า แอล เอ ไบซิเคิ้ล ในฐานะผู้ผลิต และจำหน่ายรถจักรยานรายใหญ่สุด
และถือเป็นผู้นำตลาดรถจักรยานในประเทศไทย
ทั้งยังมีฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ โดยปัจจุบัน
นอกจากจะดำเนินการผลิตรถจักรยาน LA และ LA PRO แล้ว ยังมีการพัฒนาการผลิตจักรยานระดับไฮเอนด์ คือ Infinite และได้รับสิทธิ์ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีก 6 แบรนด์ คือ LOOK, AVENUE, CUBE และ commencal
ขณะเดียวกันยังเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานแบรนด์ดังชั้นนำทั่วโลกอีกกว่า
30 แบรนด์ ล่าสุด แอลเอ ได้ขยายไลน์สินค้า แตกแบรนด์ใหม่ “แอลเอ นีโอ” (LA Neo) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ยุคใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้
วิถีการใช้ รวมทั้งไลฟ์สไตล์กลุ่มคนรักสุขภาพรุ่นใหม่ที่หันมาใช้จักรยาน
ไม่เพียงแค่เป็นพาหนะ แต่จักรยานเป็นทั้งอุปกรณ์รักษาสุขภาพ
เป็นทั้งการรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นทั้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต outdoor หรือกลุ่ม social สำหรับก๊วนเดียวกัน จักรยานแอลเอ
นีโอ มาพร้อมกับการออกแบบโครงสร้างแบบใหม่ ที่เหมาะกับสรีระเพื่อการขี่ที่นุ่ม
สบาย อุปกรณ์อะไหล่คุณภาพ รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล สำหรับแนวคิดในการพัฒนาสินค้า LA Neo เรามองไปถึงกลุ่มผู้บริโภคอายุระหว่าง
25-45 ปี ทั้งชาย หญิง และเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภค
ที่มองหา gadget ใหม่ และพร้อมจะตอบสนอง ทดลองใช้
ผ่านข้อมูล online ต่าง ๆ ดังนั้น LA ได้ออกแบบจักรยานกลุ่ม
LA Neo เพื่อมาตอบสนอง ให้กับกลุ่มจักรยาน
ที่ต้องการลักษณะรูปแบบที่ต่างจาก LA signature เดิม
เพิ่มมาอีกกว่า 47รุ่น
โดยแยกออกมาเป็นกลุ่มที่สะท้อนถึงลักษณะการใช้งาน ในหลากหลายรูปแบบ เช่น กลุ่ม Fast คือ
กลุ่มที่ต้องการจักรยานที่ต้องการความคล่องตัว ปราดเปรียว เพื่อ การออกกำลัง กาย.
ปั่นเร็ว จักรยาน LA Neo ที่เหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้ได้แก่
รุ่น Podium Chaser , Flashy, Fast
กลุ่ม Challenge หรือกลุ่มที่รักความท้าทาย
ชอบกิจกรรมกลางแจ้งลุยได้ในทุกสภาวะ ได้แก่รุ่น Cliff และ Contest
ส่วนกลุ่ม Stylish คือ กลุ่มที่ชอบความแตกต่าง
มีสไตล์ ไม่อยากเหมือนใคร จะเหมาะกับรุ่น Vintage , Sense กลุ่ม
Joy กลุ่มที่ต้องการความสะดวก เข้าใจง่าย ได้แก่ รุ่น Joy
, Mixty และ กลุ่ม Play หรือกลุ่มเด็กที่ชอบปั่นสนุก
โลดโผน ตั้งแต่ balance bike จนถึง road bike สำหรับเด็ก ซึ่งต้องการขี่จักรยานที่เหมือนผู้ใหญ่ จักรยาน LA Neo ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ได้แก่ รุ่น whiz , chaser , fit
, ruster โดยจะนำสินค้ามาจัดแสดงในงาน International Bangkok
Bike 2015 เป็นแห่งแรก และจะเริ่มตัดจำหน่ายสู่ร้านค้า
และตัวแทนจำหน่ายภายในต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยคาดว่า กลุ่ม LA Neo ใหม่นี้ น่าจะสร้างมูลค่าให้กับ LA ได้เพิ่มถึง 15%
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 “แอล เอ
ไบซิเคิ้ล มั่นใจในธุรกิจจักรยานที่จะเติบโตในปี 2559 เพิ่ม 10-15%
หลังจากภาครัฐมีมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ SME และกลุ่มผู้บริโภคที่รักการขี่จักรยานเพิ่มมากขึ้น หลังจากกิจกรรม Bike
For Mom ที่เล็งเห็นว่าทุกภาคส่วนให้การตอบรับเรื่องการใช้จักรยาน
โดยในงาน International Bangkok Bike ทางแอลเอกรุ๊ป
จะได้นำเสนอจักรยานกลุ่มใหม่ในปี 2016 ภายใต้ Concept
“LA Neo” เปิดตัวกว่า 47 รุ่น ในงาน Bangkok
Bike พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทั้ง Online Media และ Off line กว่า 15 ล้านบาท
โดยจะมีแคมเปญพิเศษ Fit for All : Love and Share : LA Neo แจกจักรยานยกก๊วน 10 ก๊วน มูลค่ากว่า 5แสนบาท เพื่อแนะนำ LA Neo สู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาจักรยานให้สำหรับตนเองและคนที่คุณรัก
โดยกิจกรรมจะเริ่มผ่านสื่อ On Line ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน -31 ตุลาคม 2558 และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น
LA Neo ได้แล้วทั้งระบบแอนดรอยด์ และ IOS รายการ โดยแอลเอกรุ๊ปจะใช้ เวทีงานอินเตอร์เนชั่นแนล บางกอกไบค์ 2015
เป็นงาน exhibition เปิดตัวสินค้าจักรยานใหม่
สำหรับ season เพราะเชื่อมั่นว่างานนี้จะเป็น hub สำหรับจักรยานในภูมิภาคนี้ นอกจากจักรยาน LA Neo ปี 2016
แล้ว ยังมีจักรยานระดับ High Performance Infinite 2016 ที่จะโชว์สินค้าใหม่ในปี 2016 อีกกว่า 30 รุ่น หลังจากที่ได้ไปแสดงอวดโฉมที่ Eurobike ประเทศเยอรมัน
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เตรียมพบกับจักรยานในเครือแอลเอกรุ๊ป ‘LA
Neo, Infinite, Cube จากเยอรมัน, Look จากฝรั่งเศส
ได้ในงานอินเตอร์เนชั่นแนล บางกอกไบค์ 2015งานมหกรรมจักรยานของผู้ที่มีใจรักการปั่น
International Bangkok Bike ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2558 ณ เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 3— อิมแพค เมืองทองธานี”
คุณจันทนากล่าวในที่สุด
กระแสความนิยมในการปั่นจักรยานของคนไทย มาในจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอดี ไม่เพียงแต่ผลพวงจากกิจกรรม Bike for Mom หรือ Bike for Dad แต่มันมาในขณะเวลาที่คนทั่วโลกให้ความสนใจต่อสุขภาพ เมืองที่ประหยัดพลังงาน ไร้มลพิษ กระแสความนิยมปั่นจักรยานในต่างประเทศมีมาก่อนแล้วซักพัก แล้วมาฮิตในไทย มาในจังหวะที่ผู้คนโหยหาความเป็นธรรมชาติ การรักษ์โลก ลดโลกร้อน slow life หรือ hipster ซึ่งที่สุดแล้วมันก็คือ Life Style ที่ตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทำลายโลกให้น้อยลง ประหยัดพลังงาน ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ นั่นเอง
กระแสความนิยมในการปั่นจักรยานของคนไทย มาในจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอดี ไม่เพียงแต่ผลพวงจากกิจกรรม Bike for Mom หรือ Bike for Dad แต่มันมาในขณะเวลาที่คนทั่วโลกให้ความสนใจต่อสุขภาพ เมืองที่ประหยัดพลังงาน ไร้มลพิษ กระแสความนิยมปั่นจักรยานในต่างประเทศมีมาก่อนแล้วซักพัก แล้วมาฮิตในไทย มาในจังหวะที่ผู้คนโหยหาความเป็นธรรมชาติ การรักษ์โลก ลดโลกร้อน slow life หรือ hipster ซึ่งที่สุดแล้วมันก็คือ Life Style ที่ตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทำลายโลกให้น้อยลง ประหยัดพลังงาน ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น