“โดราเอม่อนเป็นหุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่ไม่มีหู กลัวหนู
และชอบกินแป้งทอดเป็นชีวิตจิตใจ เขาเดินทางจากศตวรรษที่ 22 มาเพื่อช่วยเหลือโนบิตะ เด็กผู้ชายวัย 10 ขวบ
ที่ไม่เอาไหนและพบเจอแต่เรื่องซวยๆ”
นี่คือเรื่องย่อของการ์ตูนที่พวกเราคุ้นเคยกันดีอย่างโดราเอมอน
โดราเอมอนได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆ ครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี 1969 และพิมพ์รวมเล่มในปี 1974 -1996
โดยมีการเขียนขึ้นทั้งหมด 1,344 ตอน
รวมเป็นหนังสือการ์ตูนพ็อคเก็ตบุ้คได้ 45 เล่ม
ทำยอดขายได้ทั้งหมด 1 ร้อยล้านเล่มทั่วโลก
และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ จีน ฮินดี ไทย ลาว ฯลฯ
โดราเอมอนเป็นการ์ตูนขนาดสั้นจบในตอน แต่ละตอนมีลักษณะคล้ายกัน
คือเปิดเรื่องมาด้วยโนบิตะพบกับปัญหาบางอย่าง
จากนั้นโดราเอมอนก็จะเอาของวิเศษออกมาช่วยเหลือ
แต่ด้วยการที่ใช้ผิดวิธีส่งผลให้เหตุการณ์อลหม่านบานปลายจนสุดท้ายโดราเอมอน
(หรือเพื่อนๆ คนอื่นๆ ของโนบิตะ) ต้องมาคอยช่วยเหลือแก้ไขให้อยู่เสมอ
ไฮไลท์ในแต่ละตอนจะอยู่ที่ของวิเศษที่โดราเอมอนดึงออกมาจากกระเป๋าหน้าท้อง 4
มิติ ซึ่งของที่หลายคนจำได้ก็มี อาทิ คอปเตอร์ไม้ไผ่
,ยานไทม์แมชชีน, ประตูวิเศษไปที่ไหนก็ได้, วุ้นแปลภาษา, ผ้าคลุมล่องหน
เป็นต้น จุดเด่นของของวิเศษเหล่านี้ก็คือ
มันไม่ได้มีรูปลักษณ์ไฮเทคล้ำยุค เหมือนในหนัง การ์ตูนแนวไซไฟทั่วไป
แต่มีลักษณะเหมือนของใช้ประจำบ้านที่เข้าถึงง่าย
ซึ่งของวิเศษส่วนใหญ่มีหลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางชิ้นที่แฝงไว้ด้วยไสยศาสตร์และความเชื่อพื้นบ้านด้วย
ร่วมรำลึกและคารวะผู้เขียนเรื่องนี้ 2 ท่าน ก็คือ ฟูจิโกะ และฟูจิโอะ
ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (Fujiko Fujio) เป็นนามปากการ่วมของสองนักเขียนการ์ตูน
ฮิโรชิ ฟูจิโมโต้ (1993-1996) และโมโตโอะ อาบิโกะ (1934-ปัจจุบัน)
ทั้งคู่เป็นเพื่อนเรียนร่วมชั้นเดียวกันสมัยประถมที่จังหวัดโทยามะและหลงใหลในการวาดการ์ตูนเหมือนกัน
โดยมีนักเขียนในดวงใจคือ เท็ดสึกะ โอซามุ (ผู้เขียน เจ้าหนูอะตอม) ในช่วงมัธยมต้น
ทั้งคู่ได้แรงบันดาลใจจากการ์ตูนของโอซามุ จนสร้างผลงานการ์ตูนชิ้นแรกของพวกเขาขึ้นมา
และเริ่มส่งผลงานไปตามนิตยสารการ์ตูนต่างๆ
ทั้งยังเปิดบัญชีร่วมกันเพื่อระดมเงินมาซื้ออุปกรณ์วาดรูป
โดยใช้วิธีแบ่งรายรับและรายจ่ายกันคนละครึ่ง
ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ทั้งคู่ทำไปตลอดชีวิตการร่วมงาน ในช่วงมัธยมปลาย
ผลงานของทั้งคู่ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 1951 และในปีนั้นเอง
พวกเขาได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านของ เท็ดสึกะ โอซามุ และโชว์ภาพวาดผลงานเรื่อง Ben
Hur ให้ดู โอซามุกล่าวชื่นชมทั้งคู่และยังเผยในภายหลังว่า
เขารู้ในตอนนั้นว่าทั้งสองคนจะกลายเป็นคนสำคัญในวงการการ์ตูนอย่างแน่นอน
ซึ่งเหตุการณ์นี้จุดประกายให้ฟูจิโมโต้และอาบิโกะอย่างมาก พวกเขาเคยคิดจะใช้นามปากกาว่า
เท็ตสึกะ ฟูจิโอะ เพื่อแสดงความเคารพ เท็ตสึกะ โอซามุ ด้วยซ้ำ หลังจากจบมัธยม
ทั้งคู่ที่เป็นลูกชายคนโตจึงไปหางานที่บริษัททำเพื่อความมั่นคง
โดยฟูจิโมโต้ไปทำงานในบริษัทลูกกวาด ส่วนอาบิโกะทำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของโทยามะ
แต่ไม่นานฟูจิโมโต้ก็ได้รับบาดเจ็บจากเครื่องจักร
และลาออกมาเขียนการ์ตูนส่งให้นิตยสาร โดยมีอาบิโกะคอยมาช่วยในยามว่าง ในที่สุด
ทั้งคู่ก็ตัดสินใจก้าวเข้าสู่การเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพ
โดยเดินทางไปกรุงโตเกียวในปี 1954
ในปี 1996 ฟูจิโมโต้ได้ถึงแก่กรรมในวัย
62 ปี ส่วนอาบิโกะยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน
ในปี 2011 มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์
ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ ในเมืองคาวาซากิ ซึ่งรวบรวมผลงานของเขาเอาไว้มากมาย
และแน่นอนว่า ไฮไลท์ย่อมหนีไม่พ้น โดราเอมอน นี่เอง
การ์ตูนโดราเอมอน ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เนื่องจากนักวาดการ์ตูนทั้ง 2 ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาทั้งสองไว้ว่าจะมีตัวเอกที่ออกมาจากลิ้นชัก ในนิตยสารการ์ตูนฉบับต้อนรับปีใหม่ ที่จะมาแทนการ์ตูน เจ้าชายจอมเปิ่น แต่ในความจริงแล้วทั้งสองยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้แม้แต่น้อยเลย เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งต้นฉบับก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับทั้งสองเป็นอย่างมาก ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ หนึ่งในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หลังจากนั้นฮิโรชิได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้เขาตกใจว่าตนเองเผลอหลับไป จึงรีบวิ่งลงจากบันไดบ้านไปสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นของลูกสาวที่ตกอยู่บนพื้น เหตุนี้เองทำให้ฮิโรชิเกิดไอเดียขึ้นโดยนำหน้าแมวจรจัดมาผสมกับตุ๊กตาญี่ปุ่น สร้างออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวจากอนาคตคอยช่วยเหลือเด็กชายที่แสนจะไม่ได้เรื่อง และตั้งชื่อว่า โดราเอมอน เป็นคำผสมระหว่าง "โดราเนโกะ" กับ "เอมอน" ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะนั้นแปลว่าแมวหลงทาง ส่วนคำว่า "เอมอน" เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่น และได้เปิดตัวในปีเดียวกัน เริ่มตีพิมพ์ในนิตรยสารโยะอิโกะ, นิตรยสารโยชิเอ็ง และนิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1 - 4 (เดือนมกราคม ค.ศ. 1970) การ์ตูนโดราเอมอน ลงตีพิมพ์พร้อมกันในนิตยสาร 6 ฉบับคือ นิตรยสารโยะอิโกะ, นิตรยสารโยชิเอ็ง, นิตรยสารโชงะกุอิชิเน็นเซ (นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1), นิตรยสารโชงะกุนิเน็นเซ (นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 2), นิตยสารโชงะกุซังเน็นเซ (นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 3) และนิตยสารโชงะกุโยเน็นเซ โดยมีทั้งหมด 1,344 ตอน โดยเขียนให้เหมาะกับผู้อ่านแต่ละระดับอายุ ซึ่งการ์ตูนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2540 โดราเอมอนได้รับ รางวัลเท็ตซึกะ โอซามุ เป็นการ์ตูนดีเด่น
รู้ไว้ใช่ว่า...เกี่ยวกับโดราเอมอน
-แอนิเมชั่นทางทีวีของโดราเอมอนนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ช่วง
ช่วงแรกเริ่มฉายในปี 1973 โดย Nippon Television แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไร ช่วงที่ 2 เริ่มฉายปี 1979
โดย TV Asahi ซึ่งงวดนี้โด่งดังเป็นประวัติการณ์
มีการสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งหมด 1,787 ตอน
(เวอร์ชั่นคลาสสิกที่ฉายทางช่อง 9 การ์ตูน
ก็คือเวอร์ชั่นนี้) ช่วงที่ 3 เริ่มฉายในปี 2005 เมื่อ TV Asahi ได้เริ่มสร้างโดราเอมอน Episode ใหม่ โดยทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ทีมงาน,คนให้เสียงพากย์,การออกแบบตัวละคร
ซึ่งเวอร์ชั่นนี้ได้ไปฉายในอเมริกาและประเทศฝั่งตะวันตกด้วย
-โดราเอมอนทั้งฉบับหนังสือการ์ตูนและการ์ตูนแอนิเมชั่นที่เข้าไปเผยแพร่ในตะวันตก
ได้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดหลายอย่างเพื่อให้เข้าถึงผู้ชม่ง่ายขึ้น เช่น
ตัดต่อใหม่,เปลี่ยนแปลงสกุลเงินเป็นดอลล่าร์ และข้อความต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ
เปลียนชื่อตัวละครให้ออกเสียงง่ายขึ้น เช่น โนบิตะเป็นโนบี้, ชิซูกะเป็นซู,ซูเนโอะเป็นสนีช,
ไจแอนท์เป็นบิ๊กจี
(ถ้าเวอร์ชั่นนี้เข้ามาในไทยแล้วตั้งชื่อตามนี้คงถูกด่ากันขรมแน่)
-โดราเอมอนเคยถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นคนแสดงมาแล้วในโฆษณาโตโยต้าเมื่อปี 2011
โดยนำเสนอตัวละครในอีก 20 ปีต่อมา
และได้นักแสดงอย่าง ฌอง เรโน (Leon) มารับบทเป็นโดราเอมอน
(ซึ่งใครดูต่างก็บอกว่า ลาก่อน ภาพความฝันอันงดงามในวัยเยาว์ของฉัน)
-โดราเอมอนเคยมีตอนจบอยู่ในตอนสุดท้ายของเล่ม 6 เมื่อปี
1971 ในชื่อตอน “ลาก่อนโดราเอมอน”
โดยโดราเอมอนต้องกลับไปในโลกอนาคต (ซึ่งเป็นตอนที่อยู่ในหนัง Stand by Me
Doraemon ด้วย) เนื่องจากผู้เขียนตั้งใจตัดจบ
เพราะตอนนั้นโดราเอมอนยังไม่ได้รับความนิยม แต่พอตีพิมพ์ ก็มีคนอ่านเรียกร้องว่าไม่อยากให้จบ
ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ จึงเขียนตอนต่อมา และก็ไม่เคยมีการพูดคุยกันถึงตอนจบอีกเลย
จนกระทั่งทั้งคู่แยกทางกันในปี 1987 และฟูจิโมโต้เสียชีวิตในปี
1996 ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนจบอื่นๆ ซึ่งแพร่หลายในอินเตอร์เน็ท
(เช่น จบโดยให้โนบิตะ ที่จริงแล้วเป็นเด็กป่วยหนักใกล้เสียชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล
ส่วนโดราเอมอนและตัวละครเสริมอื่นๆ นั้นไม่มีจริง)
ล้วนแต่เป็นแฟนฟิคชั่นแต่งขึ้นมาเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น