เอเจนซีส์ – หลังเหตุนองเลือดในกองบรรณาธิการ ชาร์ลี เอ็บโด เมื่อวันที่ 7 มกราคม เผยแพร่ออกมาไม่กี่ชั่วโมง อินเตอร์เน็ตก็ว่อนไปด้วยทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดมากมาย เป็นต้นว่าการสังหารหมู่ดังกล่าวเป็นปฏิบัติการของหน่วยซีเคร็ต เซอร์วิส หรือกลุ่มต่อต้านมุสลิม ไม่ใช่มือปืนอิสลามิสต์อย่างที่ทางการฝรั่งเศสประกาศ เหตุการณ์ในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ที่มีการร่ำลือไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด สำหรับครั้งนี้เรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ กระจกมองหลังของรถที่สองพี่น้องคูอาชีใช้ โดยภาพที่ถ่ายใกล้สำนักงาน ชาร์ลี เอ็บโด เป็นสีขาว แต่ในภาพที่ถ่ายหลังจากรถยนต์คันเดียวกันถูกจอดทิ้งภายหลังก่อเหตุกลับเป็นสีดำ เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า เนื่องจากกระจกทำจากโครเมียมที่สามารถเปลี่ยนสีตามแสงที่ตกกระทบ บ้างบอกว่า มีรายละเอียดมากมายที่เข้าทางทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด อาทิ บัตรประจำตัวที่หนึ่งในสองพี่น้องคูอาชีทำตกไว้ และการที่ผู้รับโทรศัพท์ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่มือปืนอีกคนคือ อาเมดี กูลิบาลี สังหารตัวประกัน 4 คน วางหูไม่สนิท แม้แต่เส้นทางการเดินขบวนสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในปารีสเมื่อวันที่ 11 ที่ผ่านมา ก็มีคนเอาไปโยงกับแนวพรมแดนของอิสราเอลเอ็มมานูเอล เตเอ็บ ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลีอองของฝรั่งเศส และผู้เชี่ยวชาญทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด แสดงความเห็นว่า เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากการที่คนมากมายคิดว่า การตีความเหตุการณ์ต่างๆ ของตำรวจ นักการเมือง และนักวิเคราะห์ ตื้นเขินเกินไป ผู้สังเกตการณ์หลายคนบอกว่า หนุ่มสาวที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ มีแนวโน้มสูงที่จะเชื่อทุกสิ่งที่อ่านเจอในออนไลน์ บางคนบอกว่า ผู้ใหญ่สมัยนี้มีอิทธิพลน้อยมากต่อสิ่งที่เด็กเลือกที่จะเชื่อ ครูคนหนึ่งแจกแจงว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เด็ก 90% เรียนรู้จากพ่อแม่หรือโรงเรียน แต่ปัจจุบันกลับเป็นตรงกันข้าม สำหรับกิโญม บรอสซาร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง hoaxbuster.com เว็บไซต์ที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล มองว่า ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงตัวตนผ่านอินเทอร์เน็ตของหนุ่มสาว ความแพร่หลายอย่างมากของเครือข่ายสังคมทำให้สิ่งที่เคยถกเถียงกันในชั้นเรียนย้ายวิกไปถกกันในทวิตเตอร์, สแนปแชต หรืออินสตาแกรม แทน โอลิวิเญร์ เอิร์ซชิด ผู้บรรยายวิชาสารสนเทศศาสตร์ในเมืองนองต์ทางตะวันตกของฝรั่งเศส ตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า สื่อกระแสหลัก เช่น หนังสือพิมพ์ เลอ มงด์ ตอบโต้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดต่างๆ มากมายอย่างรวดเร็วบนเครือข่ายสังคม ซึ่งบ่งชี้ว่าความไวอาจเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการนำเสนอหลักฐานมาหักล้างกัน
เอเอฟพี - ตำรวจระบุในวันนี้ (19 ม.ค.) ว่ามีโบสถ์คริสต์ 45 แห่งถูกวางเพลิงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเมืองหลวงของไนเจอร์ ระหว่างที่มีการประท้วงต่อต้านการตีพิมพ์การ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัดของนิตยสาร "ชาร์ลี เอ็บโด" อดิลี โตโร โฆษกตำรวจแห่งชาติ ระบุในการแถลงข่าว ว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและได้รับบาดเจ็บ 128 รายในกรุงนีอาเม นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กของชาวคริสเตียนถูกวางเพลิงด้วยเช่นกัน การ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัดของศาสนาอิสลาม ที่ถูกตีพิมพ์บนปกของนิตยสารรายสัปดาห์ "ชาร์ลี เอ็บโด" ฉบับใหม่ที่ใช้ชื่อว่า "ผู้รอดตาย" ได้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมุสลิมในหลายประเทศ โตโร บอกด้วยว่า มีธงชาติฝรั่งเศสถูกเผาในระหว่างการประท้วงดังกล่าว รวมถึงมีการปล้นสะดมและวางเพลิงสถานที่หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโรงแรม 5 แห่งและบาร์ 36 แห่ง ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงไป 189 ราย โดยที่มี 2 รายเป็นผู้เยาว์ เมื่อวันอาทิตย์ มีผู้ก่อเหตุประท้วงราว 300 รายในกรุงนีอาเม ได้ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการประท้วง โดยทางผู้ว่าฯ ฮามิดู การ์บา ได้ระบุว่า มีผู้ถูกจับกุมในวันนั้น 90 ราย ขณะที่สื่อท้องถิ่นก็รายงานด้วยว่า ในกลุ่มผู้ที่ถูกจับ มีผู้นำฝ่ายค้านรวมอยู่ด้วย
รอยเตอร์ - คณะสืบสวนอินโดนีเซียในวันจันทร์(19ม.ค.) เผยจากผลตรวจสอบ"กล่องดำ"บันทึกเสียงสนทนาในห้องนักบินเบื้องต้น จนถึงตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานว่าก่อการร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชียดิ่งทะเลชวาเมื่อเดือนก่อน คร่าชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารยกลำ อันเดรียส ฮานันโต บอกกับรอยเตอร์ว่าคณะสืบสวน 10 คนของคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติ(เอ็นทีเอสซี) บอกว่าจากบันทึกเสียงในห้องนักบิน ไม่พบว่ามีสิ่งใดๆที่บ่งชี้ว่ามีเหตุทำมิดีมิร้ายระหว่างเที่ยวบิน QZ8501 เครื่องบินแอร์บัสเอ320-200 สูญหายไปจากจอเรดาร์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ระหว่างเดินทางจากสุราบายา เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของอินโดนีเซียไปยังสิงคโปร์ ก่อนต่อมาพบว่ามันตกลงสู่ทะเลชรา โดยไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว เมื่อถูกถามว่าจากบันทึกเสียงในห้องนักบิน มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่าก่อการร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ ฮานันโต บอกว่า "ไม่ เพราะถ้าเป็นก่อการร้าย ก็น่าจะมีรูปแบบการข่มขู่บางอย่าง และในสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ขณะนั้น สิ่งที่บันทึกได้บ่งชี้ว่านักบินง่วนอยู่กับความพยายามจัดการกับเครื่องบิน" ทีมสืบสวนบอกว่าพวกเขาได้ฟังบันทึกการสนทนาทั้งหมดแล้ว แต่เพิ่งถอดความได้เพียงครึ่งเดียว "เราไม่ได้ยินเสียงบุคคลอื่นยกเว้นแต่นักบินทั้งสอง" นูร์ชาห์โย อูโตโม เจ้าหน้าที่สืบสวนอีกคนบอก "เราไม่ได้ยินเสียงปืนหรือระเบิดตั้งแต่ต้น และจากพื้นฐานดังกล่าว เราสามารถขีดฆ่าความเป็นไปได้ของการก่อการร้ายไปได้เลย" อูโตโม บอกต่อว่าคณะสืบสวนจะได้ยินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนักบินเกือบทั้งหมดจากกล่องดำ 1 ใน 2 กล่องของเครื่องบิน ส่วนอีกกล่องเป็นบันทึกข้อมูลการบิน ซึ่้งทั้งสองกล่องเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ขึ้นจากก้นทะเลชวาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตามเขาอ้างกฎหมายอินโดนีเซีย ปฏฺิเสธเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับช่วงเวลานาทีสุดท้ายของเครื่องบินมรณะลำนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียสันนิษฐานว่าสภาพอากาศเลวร้ายน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ขณะที่ อูโตโม เสริมว่าจากหลักฐานที่มีพบว่าเครื่องบินไม่น่าจะระเบิดก่อนดิ่งลงสู่ทะเล "จากบันทึกข้อมูลการบินจนถึงตอนนี้ เครื่องบินไม่น่าจะระเบิด เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น เราก็น่าจะรู้แน่ชัด เนื่องจากแน่นอนว่ามันจะแสดงให้เห็นตัวแปรต่างๆ" ฮานันโต ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะสืบสวนเอ็นทีเอสซี บอกว่าจำเป็นต้องคัดครองเสียงเครื่องยนต์และเสียงเตือนต่างๆในช่วงนาทีท้ายๆของเที่ยวบิน QZ8501 เพื่อให้ได้มาซึ่งบันทึกที่สมบูรณ์ว่ามีเสียงใดบ้างภายในห้องนักบิน หลังจากเบื้องต้นได้ถอดรหัสบันทึกเสียงภายในห้องนักบินที่มีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง ในนั้นรวมถึงเสียงจากเที่ยวบินก่อนหน้านี้และช่วงต้นของเที่ยวบิน QZ8501 ซึ่งประสบอุบัติเหตุราว 40 นาทีหลังจากเทคออฟ คณะสืบสวนที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนด้านความปลอดภัยทางอากาศจากฝรั่งเศส สิงคโปร์และจีน หวังว่าจะถอดความบันทึกเสียงสนทนาในห้องนักบินแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลการบินในกล่องดำอีกกล่องคงใช้เวลานานกว่า เนื่องจากคณะสืบสวนต้องตรวจสอบเที่ยวบินทั้ง 72 เที่ยวก่อนหน้านี้ของเครื่องบินลำดังกล่าว คณะสืบสวนหวังว่ารายงานเบื้องต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า ส่วนรายงานฉบับสมบูรณ์คงต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปี "ในอินโดนีเซีย มันจะไม่ถูกเปิดเผย จะมีแค่เหตุการณ์สำคัญๆบางส่วนปรากฎอยู่ในรายงานเท่านั้น" ฮานันโต กล่าว
รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง “โบโก ฮารัม” จากไนจีเรีย ก่อเหตุอุกอาจบุกข้ามชายแดนเข้าไปลักพาตัวประชาชนกว่า 80 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศแคเมอรูน รวมถึงลงมือสังหารประชาชนไปอีก 3 รายในวันอาทิตย์ (18 ม.ค.) เหตุอุกอาจที่เกิดขึ้นล่าสุด ถือเป็นเหตุลักพาตัวครั้งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินแคเมอรูน และเป็นการตอกย้ำว่าในเวลานี้กลุ่มอิสลามิสต์โบโก ฮารัมได้ขยายขอบเขตการแผ่อำนาจของตนเข้าสู่แคเมอรูนอย่างเต็มตัวแล้ว จากที่เดิมมีเป้าประสงค์เฉพาะการสถาปนาการปกครองแบบรัฐอิสลามสุดโต่งขึ้นในภาคเหนือของไนจีเรีย เหตุลักพาตัวโดยฝีมือกลุ่มโบโก ฮารัมในครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเวลาเดียวกับที่กำลังพลจากกองทัพของประเทศ “ชาด” ชุดแรกได้เดินทางมาถึงยังแคเมอรูนแล้ว ในภารกิจให้การสนับสนุนกองทัพแคเมอรูนในการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าว ข้อมูลเบื้องต้นจากแหล่งข่าวในกองทัพแคเมอรูนระบุว่า ในจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการลักพาตัวของกลุ่มโบโก ฮารัมในครั้งนี้ มีเด็กชายและเด็กหญิงที่มีอายุระหว่าง 10-15 ปีรวมอยู่ด้วยราว 50 คน และอีกราว 30 คนเป็นผู้ใหญ่ โดยทั้งหมดถูกลักพาตัวจากหมู่บ้านมาบาสส์และหมู่บ้านใกล้เคียงอื่นๆในแคเมอรูน ไม่ไกลจากพรมแดนไนจีเรีย ด้านอิสซา ทีชิโรมา โฆษกรัฐบาลแคเมอรูนออกมาแถลงยืนยันเหตุลักพาตัวดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อการลักพาตัวของกลุ่มโบโก ฮารัมในครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด แต่มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีบ้านเรือนของประชาชนราว 80 หลังคาเรือนถูกเผาทำลายด้วยจากการบุกโจมตีของกลุ่มโบโก ฮารัม
เอเอฟพี - "บุนเดสแบงค์" ธนาคารกลางของเยอรมัน ได้เปิดเผยในวันนี้ (19 ม.ค.) ว่าการส่งทองคำสำรองของประเทศที่เก็บไว้ในต่างแดน กลับไปเก็บไว้ในคลังของตนเองเมื่อปีที่แล้วลุล่วงด้วยดี คำแถลงของบุนเดสแบงค์ ระบุว่า ทางธนาคารประสบความสำเร็จในการขนส่งทองคำสำรองกลับสู่ประเทศในปีที่แล้ว โดยมีทองถูกส่งไปเก็บไว้ในแฟรงค์เฟิร์ตเป็นจำนวน 120 ตัน ในจำนวนนั้นถูกส่งมาจากปารีส 35 ตัน และจากนิวยอร์ก 85 ตัน ทองคำสำรองของเยอรมันนั้นมีมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 3,384.2 ตัน ตามหลังเพียงแค่สหรัฐอเมริกา จากข้อมูลล่าสุดของสภาทองคำโลก ซึ่งทองคำเหล่านี้ของบุนเดสแบงค์ ถูกเก็บไว้ในธนาคารของประเทศอื่น ในกรุงปารีส ลอนดอนและนิวยอร์ก มานานนับทศวรรษแล้ว จากข้อมูลของธนาคารกลางเยอรมัน พวกเขามีทองคำเก็บไว้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ในนิวยอร์ก 1,447 ตัน ที่ธนาคารกลางอังกฤษในลอนดอน 438 ตัน และที่ธนาคารกลางฝรั่งเศสในปารีส 307 ตัน เหตุผลที่เยอรมันต้องเก็บทองคำสำรองไว้ในต่างแดน เป็นเพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฟื้นตัวด้านการส่งออกของเยอรมันตะวันตกที่ถูกเรียกว่า "อีโคโนมิค มิราเคิล" ช่วงยุคปี 1950 ตอนนั้นบุนเดสแบงค์ได้นำสกุลเงินดอลลาร์ที่เก็บไว้ ไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ตอนนั้นเยอรมันมีการแบ่งออกเป็นเยอรมันตะวันตก (ทุนนิยม) กับเยอรมันตะวันออก (คอมมิวนิสต์) การเก็บทองคำสำรองไว้ในต่างแดนก็เพื่อให้พ้นเงื้อมมือสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น อย่างไรก็ตาม กระแสความไม่เชื่อมั่นในสกุลเงินยูโรช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรป ทำให้บรรดาพรรคการเมืองในเยอรมันพากันเป็นกังวลเกี่ยวกับทองคำสำรองที่เก็บไว้นอกประเทศ บุนเดสแบงค์จึงได้ตัดสินใจจะส่งทองคำสำรองที่เก็บไว้ในต่างแดนกลับสู่เมืองเบียร์ ภายใต้แผนจัดเก็บทองคำสำรองฉบับใหม่เมื่อปี 2013 บุนเดสแบงค์ตัดสินใจที่จะนำทองคำสำรองในต่างแดนกลับมาไว้ในประเทศเป็นจำนวน 674 ตัน ภายในปี 2020 โดยจะเก็บทองคำครึ่งหนึ่งไว้ในห้องนิรภัยของตนเอง "การดำเนินงานตามแผนจัดเก็บทองคำสำรองฉบับใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น ปฏิบัติการทั้งหมดเป็นไปตามกำหนดที่วางไว้" คาร์ล-ลุดวิก ธีลล์ หนึ่งในบอร์ดบริหารของบุนเดสแบงค์ กล่าว "เรายังได้เรียกผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศให้มาตรวจสอบแล้วด้วย ซึ่งผลก็ออกมาตามที่คาดไว้ นั่นคือไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น" เขากล่าว บุนเดสแบงค์ ระบุว่า นับตั้งแต่เริ่มขนส่งทองคำกลับประเทศในปี 2013 ตอนนี้มีการขนย้ายทองไปเก็บไว้ในแฟรงค์เฟิร์ตแล้ว รวมทั้งสิ้น 157 ตัน โดยนำมาจากปารีส 67 ตัน กับอีก 90 ตันจากนิวยอร์ก
เดอะการ์เดียน/รอยเตอร์ - ด้วยปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ กองทัพยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่เกือบทั้งหมดของสนามบินโดเนตสก์ได้แล้วในวันอาทิตย์ (18 ม.ค.) หลังถูกกบฏฝักใฝ่รัสเซียโจมตีอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา จนเกือบจะสูญเสียการควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าว อังดรีย์ ลีเชนโก โฆษกสภากลาโหมแห่งชาติของยูเครน บอกกับนักข่าวในวันอาทิตย์ (18 ม.ค.) ว่ากองทัพประสบความสำเร็จในการตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ สามารถเคลียร์พื้นที่ได้เกือบทั้งหมดของสนามบินโดเนตสก์ ที่ทางกองกำลังฝ่ายรัฐบาลถือเป็นเส้นแบ่งพื้นที่ในเชิงการทหาร พร้อมกับยืนยันว่ากองทัพยูเครนโจมตีเข้าใส่เฉพาะตำแหน่งที่ตั้งของกองกำลังฝ่ายกบฏเท่านั้น โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทหารยูเครนเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 31 รายในพื้นที่ของสนามบิน ขณะที่เว็บไซต์ข่าว ไลฟ์นิวส์ ของรัสเซีย รายงานในวันอาทิตย์ว่า กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลยูเครนได้ยิงถล่มเข้าใส่ตัวอาคารภายในสนามบิน พร้อมทั้งระบุด้วยว่า ฝ่ายกบฏสามารถต้านการโจมตีครั้งใหญ่ของทหารยูเครนและรถถัง 15 คันในช่วงเช้าวันอาทิตย์เอาไว้ได้ 4 รอบอเล็กซานเดอร์ ซาคาร์เชนโก ผู้นำของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน "สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์" ที่ออกมาอ้างว่ากองกำลังของเขาสามารถยึดสนามบินเอาไว้ได้แล้วในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้บอกกับสำนักข่าวของรัสเซียในวันอาทิตย์ ว่าโดเนตสก์และลูฮานสก์โดนยิงถล่มอย่างหนักโดยกองทัพยูเครน พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลกำลังพยายามจะเริ่มก่อสงครามขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ สนามบินโดเนตสก์เป็นพื้นที่สำคัญทั้งทางยุทธศาสตร์และในเชิงสัญลักษณ์สำหรับทั้งสองฝ่าย และยังคงเป็นจุดที่มีการสู้รบเกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิงในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม โดยเริ่มที่จะกลับมาสู้รบกันอย่างรุนแรงอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้หอควบคุมการบินพังถล่มลงมา ส่วนตัวอาคารภายในสนามบินและรันเวย์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายกบฏได้ระบุไว้ในคำแถลงเมื่อวันศุกร์ ว่าสามารถยึดครองพื้นที่สนามบินโดเนตสก์และพื้นที่โดยรอบเอาไว้ได้ แต่ยอมรับว่ายังมีทหารยูเครนประมาณ 10 นายที่ปักหลักอยู่ภายในตัวอาคาร ซึ่งมีทางเชื่อมต่อกับอุโมงค์ใต้ดินออกไปยังพื้นที่ด้านหลัง ทำให้ทหารยูเครน ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของความอึดจนถูกเรียกว่า "ไซบอร์ก" ยังคงควบคุมพื้นที่ชั้นล่างๆ ของตัวอาคารเอาไว้ได้ ในขณะที่ฝ่ายกบฏนั้นควบคุมพื้นที่ชั้นบนสุดของตัวอาคารและพื้นที่โดยรอบของสนามบินในตอนนั้น
เอเจนซีส์ - เอกสารลับ NSA ของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ NSA ถูกเปิดเผยล่าสุดผ่านนิตยสารรายสัปดาห์ของเยอรมัน แดร์ ชปีเกล จากการรายงานของสื่อออสเตรเลียพบว่า สายลับจีนแผ่นดินใหญ่แอบลอบขโมยข้อมูลคอมพิวเตอร์รายละเอียดเครื่องบินขับไล่ของล็อคฮีดมาร์ติน F- 35 กว่า 50 เตตราไบท์ เพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ของตนเอง ซิดนีย์มอร์นิงเฮอราลด์ รายงานเมื่อวานนี้(18)ว่า สายลับรัฐบาลจีนลอบขโมยข้อมูลการออกแบบเครื่องบินขับไล่ F- 35 ของล็อคฮีดมาร์ติน ซึ่ง F- 35 ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ล่าสุดประะจำกองทัพออสเตรเลีย โดยสื่อเยอรมัน นิตยสารรายสัปดาห์ แดร์ ชปีเกล ถึงการดักฟังข้อมูลของ NSA ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก 5 eyes ที่มีออสเตรเลียเป็นหนึ่งในชาติสมาชิก ในความพยายามที่จะต่อกรกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ อ้างจากข้อมูลลับ NSAที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อเยอรมันพบว่า สายลับจียนได้ขโมยข้อมูลสำคัญบนระบบจำนวนมาก รวมไปถึงรายละเอียดการออกแบบของเครื่องบินรบขับไล่ของบ.ล็อคฮีดมาร์ติน F- 35 ไลต์นิง 2 โดยในเอกสารที่เปิดเผยรวมไปถึงระบบเรดาร์ของเครื่องบินรบขับไล่ที่ใช้ค้นหาเป้าหมาย รวมไปถึงระบบเครื่องยนต์ ระบบการหล่อเย็นก๊าซเสีย และ aft deck heating contour maps ซึ่งถึงแม้จะมีการสงสัยว่าหน่วยจารกรรมจีนหมายตาในข้อมูลของ F- 35 แต่ครั้นี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีหลักฐานยืนยันถึงความเชื่อนี้ว่าเกิดขึ้นจรืง โดยผู้เชี่ยวชาญทางการทหารชี้ว่า เครื่องบินขับไล่ใหม่ของกองทัพจีน Chengdu J-20 and the Shenyang J-31 ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจาก F-35 ในเดือนเมษายน 2014 นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โทนี แอ็บบอตต์ ประกาศจะสั่งซื้อ เครื่องบินขับไล่ F- 35 จำนวนมากกว่า 58 ลำ ที่มีตัวเลขไม่ต่ำกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ออสเตรเลียมีเครื่องบินขับไล่ F- 35 ทั้งหมด 72 ลำ ตามแผนการที่วางไว้ โดยลำแรกจเริ่มต้นเข้าทำการกับกองทัพอากาศออสเตรเลียในปี 2020 อย่างไรก็ตาม จากเอกสารของสโนว์เดนเปิดเผยว่า รัฐบาลออสเตรเลียรับรู้ถึงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ เครื่องบินขับไล่ F- 35 ถูกสายลับจีนขโมย นอกจากนี้สื่ออสเตรเลียยังรายงานเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากนี้สื่อเยอรมันยังเปิดเผยว่า สายลับจีนยังโจรกรรมข้อมูลลับเครื่องบินล่องหนบอมเบอร์ B-2 เครื่องบินขับไล่ล่องหนแรปเตอร์ F-22 เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และบลูพรินต์ของมิสไซล์ระบบต่อต้านอากาศยานของกองทัพเรือ รวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่กองทัพหลายหมื่นนาย ดดยพบว่าจำนวนข้อมูลทางทหารนั้นมีมากถึง 50 เตตราไบต์ หรือคิดเป็นข้อมูลในห้องสมุดรัฐสภาคองเกรส 5 แห่งรวมกัน แต่ในทางกลับกันเอกสารลับ NSA เปิดเผยว่า หน่วยงานสหรัฐฯ และหน่วยงานความมั่นคงในไฟว์สตาร์สามารถลอบเจาะข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของจีนได้สำเร็จ รวมไปถึงเป้าหมายการจารกรรมข้อมูลของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ และชาติต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น