วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นายกมาจากดาวอังคาร พวกสื่อสารมวลชนมาจากดาวศุกร์


ช่วงนี้มีแต่คนบ่น เสียงกร่นด่าว่า กล่าวหารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มากขึ้นทุกวัน สังเกตดูจากโพลล์ที่เพิ่งออกมา ก็มีนัยสำคัญว่าคะแนนนิยมท่านเริ่มลดลง เมื่อเทียบกับช่วงที่เพิ่งจะเข้ามา นี่เพิ่งผ่านไปได้เพียง 5 เดือนเท่านั้นเอง และโร้ดแม็ปก็เดินไปตามแผนที่ท่านได้วางเอาไว้ แล้วเหตุไฉนกระแสความนิยมจึงเดินสวนทางเช่นนี้ สาเหตุคงมาจากผลงานที่ไม่เข้าตา ต้องใจประชาชนมากนัก เราจึงขอลองมาไล่เรียงดูเล่นๆ เอาคร่าวๆ กันหน่อย ได้แก่

 
 
 

-นโยบายปะผุโป๊วสีในช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเข้ามา เช่น จัดระเบียบสื่อทีวี โดยเฉพาะดาวเทียมพวกคอการเมืองทั้งหลาย โดยคำสั่งประกาศกฏอัยการศึก , การจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซด์,รถตู้,รถเมล์,รถยนต์ส่วนบุคคล,รถแท็กซี่,รถไฟหวานเย็น  (ถ้ารถไฟฟ้าไม่วิ่งตรงรางก็คงโดนจัดระเบียบด้วย)  ล็อตเตอรี่ราคาแพง,ราคาสินค้าในห้างแพง,รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย,ราคาน้ำมันลดลงเป็นบางชนิด แต่เพิ่มสวนทางในราคาแก๊สแทนในเวลาต่อมา, หาบเร่แผงลอยที่ตั้งบนทางเท้าและล้ำเส้นจนคนต้องลงไปเดินบนถนน, จัดระเบียบจราจร เข้มงวดกฎให้มากขึ้น,จับกุมพวกมีอาวุธ ยาบ้า ยาเสพติด,จับกุมแหล่งการพนัน-ตู้ม้า-โต๊ะบอล ,การจับกุมหรือเข้าไปตรวจสอบผู้บุกรุกที่ดิน ป่าสงวน หรือเขตอุทยาน ,ตรวจสอบโกดังรับจำนำข้าว เพื่อประเมินความเสียหายและสต็อกข้าวที่เหลือ ,เข้มงวดสถานบันเทิง ปราบแก็งค์ซิ่งมอเตอร์ไซด์ ,กวดขันเรื่องวัยรุ่นตีกัน ,การทำแท้งหรือรับจ้างอุ้มบุญ ,จัดระเบียบพวกหากินบริเวณชายหาด,ออกหมายจับแกนนำจาบจ้วงสถาบันหมิ่นเบื้องสูง (เพิ่งมาทำจริงจังในช่วงหลัง) ,จับกุมเว็บหมิ่นสถาบัน ดูเหมือนทุกอย่างเข้าไปปะผุ ตบแต่งให้ดูดี แต่เป็นปัญหาหมักหมมมานาน แต่ดูเหมือนยิ่งแก้ มันก็วนกลับมาใหม่ไม่จบสิ้น เนื่องจากไม่ได้ขุดรากถอนโคนที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง เพียงทำเพื่อสร้างภาพว่าได้ทำในทุกเรื่อง เหมือนที่ท่านมักมาพูดแถลงทุกคืนวันศุกร์ในช่วงเวลาไพร์มไทม์ ทั้งๆ ที่งานเหล่านั้นเป็นส่วนงานที่พวกข้าราชการมีหน้าที่ต้องทำและมารายงานต่อท่าน แต่ท่านนำเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดให้ประชาชนฟังว่านี่คือผลงานที่ทำลงไป เอามาพูดให้ประชาชนฟัง บังคับให้ฟัง ไม่เอาไปออกช่อง 11 เพราะไม่มีคนดู แต่ประชาชนต้องเปลี่ยนหนีไปช่องเคเบิ้ลทุกทีที่มีเธอ หรือบทเพลงคืนความสุขตามมาหลอกหลอนอีกแล้ว  
 
 

-พอเข้าสู่นโยบายหลักจริงๆ  กลับดูเลื่อนลอยจับต้องไม่ค่อยได้ และไม่ค่อยเป็นรูปธรรมมากนัก หรือเป็นรูปธรรม แต่ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอะไร อาทิ เรื่องจำนำข้าว มีการสรุปตัวเลขความเสียหายออกมา กว่า 18 ล้านตัน เหลือเป็นข้าวดีอยู่เพียง 10% ที่เหลือคือความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าเกือบ 800,000 ล้านบาท ซึ่งหม่อมอุ๋ย (รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจ) ออกมาเคาะกะลาแล้ว บอกว่าจะแก้ด้วยการออกเป็นพันธบัตรกระทรวงการคลังเพื่อล้างหนี้ก้อนโตจากนโยบายรับจำนำข้าว ทันทีที่มีการโยนกระดูกออกมา ผู้สื่อข่าวก็เอาไมค์ไปทิ่มปาก หม่อมอุ๋ยแล้วถามว่า เอ้า แล้วคนทำผิดไม่ต้องร่วมรับผิดชอบเหรอนี่ กลายเป็นประชาชนต้องมาเป็นผู้แบกรับหนี้ ก้อนนี้ที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ทำ คล้ายเหตุการณ์ตอนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งช่วงปี 40 ที่รัฐบาลสมัยนั้น ก็แก้ปัญหาหนี้สถาบันล้มกว่า 50 แห่งด้วยการ ตัดขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปรส.มาดูแล และออกเป็นพันธบัตรช่วยชาติเพื่อล้างหนี้ คราวนี้ก็อีหร็อบเดียวกัน แถมนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์) ก็ออกมาสำทับเรื่องนี้ว่า คนผิดก็ไปว่ากันที่ศาล ก็ไปฟ้องกันต่อไป จะให้รัฐบาลไปไล่บี้งั้นเหรอ คงไม่ได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ ท่านจะไม่ลงไปสั่งการหาตัวผู้กระทำความผิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาล ทั้งๆ ที่ท่านเป็นรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร และสาเหตุหนึ่งของการรัฐประหารครั้งนี้ ก็คือไม่อาจนั่งทนรอต่อความฉิบหายของประเทศจากโครงการรับจำนำข้าว ท่านจึงเข้ามาทำรัฐประหาร ส่วนข้ออ้างที่ท่านบอกว่า เข้ามาเพราะ 2 ฝ่ายทะเลาะกัน จะฆ่ากันตายอยู่แล้ว อันนี้ผู้เขียนคิดว่าฟังไม่ค่อยขึ้น คือถ้าใช้สาเหตุข้อนี้จริงๆ ท่านควรเข้ามาให้เร็วกว่านี้ ตั้งแต่ที่มีคนตายศพแรกแล้ว ทำไมรอจนมีคนตายมากมายกว่า 20 กว่าคน และบาดเจ็บอีกมากมาย คือถ้าเป็นประเทศอื่น ถ้ากองทัพมันทำรัฐประหารด้วยสาเหตุนี้จริงๆ มันต้องล้างบางทั้ง 2 ฝ่าย จับกุมทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่แค่ให้มารายงานตัวแล้วปล่อยกลับบ้านไป ส่วนใครทำความเสียหายใหญ่โตระดับโลกขนาดนี้ เขาคงสั่งยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน แล้วใช้กลไกของแบ็งค์ชาติจัดการ ไล่ล่าให้ผู้มีธนบัตรจำนวนมากตั้งแต่หลัก 10 ล้านบาท ต้องมาแลกเปลี่ยนเป็นซีเรียลใหม่ ล็อตให่ม่ เพื่อให้ผู้มีเงินสดจำนวนมากต้องนำเงินมาแจ้งรายงานที่มาที่ไป หากไม่นำมาแลก จะถือว่าเงินนั้นหมดค่า ใช้เป็นธนบัตรไม่ได้ ถามว่าทำเช่นนี้จะไม่กระทบระบบสถาบันการเงินหรือค่าเงินหรือ บอกได้เลยกระทบแน่ แต่ทำเพื่อระยะยาวและเป็นการดัดหลังพวกโกงคอรัปชั่นแล้วขนเงินออกนอกประเทศ จีนกับมาเลเซียเขายังเคยทำมาแล้ว จะกลัวอะไร ไม่เห็นเขาเจ๊งเลย คือมันมีวิธีการทำอยู่ เพียงแต่ผู้มีอำนาจกล้าตัดสินใจหรือไม่ คนที่ขนเงินออกนอกประเทศ มีใครบ้างน่าจะเดาๆ กันออก มีไม่มากหรอกในประเทศนี้ และพฤติกรรมชั่วๆ แบบนี้ จะปล่อยลอยนวลไว้ทำบิดาทำไม ในเมื่อคุณเป็นรัฐบาลที่กล้าทำรัฐประหาร ในบางเรื่องกลับไม่กล้าตัดสินใจ แต่ในบ้างเรื่องทำเด็ดขาดขึงขัง ประกาศออกทีวี ใช้ประกาศกฎอัยการศึก ตำหนิสื่อบางประเภทที่เป็นศัตรูกับตนเองยังทำได้ แต่คนที่ชั่วช้าทำลายประเทศในระดับโครงสร้างมหึมาขนาดนั้น กลับเงียบเป็นเป่าสากเลย
 

-การให้เงินอุดหนุน/ชดเชยชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 15,000 บาทต่อครัวเรือน และไม่เกิน 15 ไร่ ไปถามชาวนาจริงๆ สิ ว่าเขาแฮ็ปปี้มั๊ย หรือการให้เงินอุดหนุน/ชดเชย แก่เกษตรกรผู้ปลูกสวนยางพารา ค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่มีที่ปลูกยางไม่เกิน 15 ไร่ ซึ่งก็ไม่ตอบโจทย์ที่จะทำให้ราคายางสูงขึ้น เป็นเพียงการเยียวยาเบืองต้นเท่านั้นเอง แต่เข้าใจว่าปัญหาเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลก่อนๆ รัฐบาลนี้ทำได้เพียงเข้ามาช่วยเหลือเยียวยา แต่ระยะยาวยังต้องเป็นการลงไปแก้ที่ต้นเหตุจริงๆ

-การแก้ปัญหาล็อตเตอรี่แพง ไปๆ มาๆ ก็แก้ไม่สำเร็จ กลับทำให้ราคาขายถีบตัวจาก 100 บาท ขึ้นเป็น 120 บาท แล้วในบางแผง หรืออาจสูงกว่านั้น ในบางเลข และบางงวด

-ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เช่น ไมค์ของทำเนียบรัฐบาล ที่ถูกสื่อตั้งข้อสังเกต จนเป็นที่มาของการตรวจสอบ แต่ก็ตั้งคนของรัฐบาลเข้าไปตรวจสอบกันเอง แล้วออกมาแถลงกับสื่อว่า ไม่มีทุจริต เป็นเพียงการตั้งราคาสูงเกินไป หรือมีส่วนต่างเยอะ (อันนี้ถามจริงๆ แก้ตัว หรือแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันแน่) ยังมีเรื่องของการทุจริตการสร้างสนามฟุตซอล ของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศ ที่กำลังเป็นปัญหาและมีการตรวจสอบอยู่ในเวลานี้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูอีกตามเคย จับผู้บงการตัวใหญ่ๆ ไม่ได้

-คดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คน ก็เป็นการประจานระบบหรือกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นของไทย ซึ่งรับไปเต็มๆก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้อกล่าวหาเรื่องการจับแพะ หรือจับกุมผิดคน หรือไม่ได้สืบสวน สอบสวนเอาผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษ เรื่องนี้กลายเป็นกรณีศึกษาระดับโลก ถึงขนาดหน่วยงานอย่างสก็อตแลนด์ยาร์ด ต้องเข้ามาลงพื้นที่หาข่าว หาหลักฐาน และติดตามการสืบสวนสอบสวนโดยตนเอง เพราะไม่เชื่อในน้ำยา หรือความเชื่อถือในหน่วยงานที่เรียกว่า โปลิซไทย จริงๆ แล้วเรื่องนี้คนเป็นนายกรัฐมนตรี สามารถทุบโต๊ะเพื่อให้มีการรื้อคดี สอบสวนใหม่ได้ แต่ก็ไม่ทำ ยังคงเอาเครดิตของตนเอง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่าในขณะนี้) ไปรับประกันความถูกต้องของคดีนี้อีก

-ปัญหาเศรษฐกิจดูไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น และส่อแววว่าจะเดี้ยงยาวเสียด้วย จริงๆ เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าจะพูดลงรายละเอียดจะยาวเกินไป เอาไว้ไปพูดคุยในคอลัมน์หรือบทความอื่นแทน แต่กล่าวโดยสรุปก็คือกลไกทุกตัวของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมันเดี้ยงทุกตัว กอร์ปกับมาได้รัฐบาลที่เข้ามาเพียงมีวาระพิเศษเพียงแค่ประสานผลประโยชน์ของกลุ่มทุน กับกลุ่มการเมืองให้ลงตัวแค่นั้น ไม่ได้คิดอยู่ยาวเพื่อแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ชนิดถอนรากถอนโคน หรือใช้กระบวนทัศน์ใหม่ในการเข้ามาแก้ มันจึงดูราวๆ การแก้ปัญหาแบบปะผุอย่างที่บอก อย่างที่สื่อหลายสำนัก ใช้คำว่า ประชานิยมแบบประยุทธ์ หรือประยุทธ์นิยมนั่นแหละ คือส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาแบบหยอดข้าวต้ม กันตาย เพื่อให้รอดจากห้องไอซียู ได้เป็นพอ ส่วนโรคจะหาย หรืออาการจะฟื้นได้เมื่อไหร่ หมอที่รักษาอยู่ในเวลานี้ไม่เก่งพอ ก็คิดดูว่ารัฐบาลขิงแก่ว่าแย่แล้ว แต่รัฐบาลชุดนี้ยิ่งกว่าขิงแก่ ประกอบด้วย ข้าราชการเก่ารากงอกมาก่อน คนของระบอบทักษิณยั้วเยี้ยยึ่บยั่บเต็มไปหมด ก็ดูอย่าง ณรงค์ชัย อัครเศรณี ออกมาพูดว่าต้องให้มีการอนุมัติสัมปทานพลังงานรอบที่ 21 โดยเร็ว อ้างว่าแก๊สจะหมดภายในปี 2560 พอโดนสื่อไล่ต้อนมากๆ เข้าก็อ้างว่าเป็นเพราะต้องทำให้เสร็จจบเกมภายใน 1 ปี เพราะห้วงเวลาการทำงานมีแค่นั้น นี่ย่อมเป็นการแบไต๋ออกมาหรือไม่ว่าตนเองมาเพื่อทำงานนี้เพียงเรื่องเดียวโดยใบสั่งของใครบางคน และรัฐบาลนี้ก็คงอยู่ไม่เกิน 1 ปี แล้วประชาชนจะไปคาดหวังอะไรได้กับรัฐบาล หรือบรรดาผู้บริหารชุดนี้ ที่ไม่รุ้ใครใช้ให้มา เข้ามาทำไม ลำพังข้อกล่าวหาที่ว่า รัฐบาล คมช.เคยถูกกล่าวหาว่า ทำรัฐประหารเสียของ แต่รัฐบาล คสช.ชุดนี้ยิ่งกว่าเสียของ เพราะมันเสียเวลา เสียความรู้สึก และเสียหายหนักกว่าเก่าด้วย

-ปัญหาการปฏิรูประบบพลังงาน (จริงๆ สภาปฏิรูปมีด้านต่างๆ ตั้ง 11 ด้าน บวกๆ) แต่แค่ดูการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะให้มีการเซ็นอนุมัติสัมปทานพลังงานรอบที่ 21 โดยไม่รอฟังสภาปฏิรูป และไม่ฟังเสียงคัดค้านจากภาคประชาชนจริงๆ (ไม่ใช่ภาคประชาชนจัดตั้งมาชนอย่างแถววัดอ้อน้อย) ก็หมดความหวังแล้วขี้คร้านไม่ต้องไปดูเรื่องการปฏิรูปด้านอื่นๆ หรอก เพราะคงมีธงหรือมีการวางแบบ วางกฎเกณฑ์ของร่างรัฐธรรมนูญ หรือมีพิมพ์เขียวของร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบวางเอาไว้แล้ว โดยใคร ก็โดยเนติบริกรชื่อคุ้นๆ เจ้าเก่า ๆ อย่าง ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม ,ศ.ดร.มีชัย ฤชุพันธ์ ,ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวัณโณ บลาๆๆ กลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่ ในช่วง 10 ปีนี้ ก็ยังคงต้องเจอชื่อเหล่านี้เขียนรัฐธรรมนูญให้ประเทศสาระขัณฑ์อยู่ต่อไป ในวังวนเดิมๆ ฟังดูมีความหวังมั๊ยครับพี่น้อง (ใช้เสียงพี่อู๊ด เป็นต่อ จะฮามาก)
ประเทศไทยเคยมีรัฐบาลที่พูดน้อยอยู่ท่านหนึ่ง จนได้ฉายาจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลว่า เตมีย์ใบ้ นั่นก็คือ พณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ผู้เขียนกลับชื่นชอบ ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของไทย (เฉพาะในช่วงที่ผู้เขียนยังจำความได้จนถึงปัจจุบัน) เหตุเพราะว่า ท่านเป็นคนที่ทำงานเก่ง รู้ปัญหา ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ปราบโกงได้จริง แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงชาติเป็นใหญ่ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผลงานจึงเป็นตัวบ่งบอกความสามารถของท่าน ท่านเป็นคนให้สัมภาษณ์น้อย พูดน้อยต่อยหนัก ตรงประเด็นชั่วะๆ ไม่เสียเวลาต่อร้องต่อเถียงไร้สาระกับนักข่าว แถลงผลงานหรือเรื่องที่ต้องการสื่อให้ประชาชนสั้น กระชับ และตรงประเด็น ไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง เหมือนนายกฯบางคนในอดีต ไม่ต้องใช้สื่อของรัฐมาแก้ประเด็นปัญหาของตัวเอง หรือสร้างภาพลักษณ์ผลงาน อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ขนาดท่านเป็นนายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้ง ยังสร้างผลงานเอาไว้มากมาย กว่านายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง แบบไม้จิ้มฟันกับเรือรบ คือเทียบกันไม่ติดเลย ผู้เขียนจึงนึกถึงสุภาษิตที่ว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี" แต่ยุคนี้คนดี ซื่อสัตย์และเก่งหายากมาก ที่ผานมาเราได้แบบครึ่งผีครึ่งคน เอ้ย..ครึ่งบกครึ่งน้ำ  เอ้ย....ครึ่งดีครึ่งเลว   เอ้ย....ถูกแล้ว  เอวัง ด้วยฉะนี้



ยุคต่างๆ ของการเมืองไทย ที่ประเมินโดยผู้เขียนเอง ดังนี้

1.ยุคล้มลุกคลุกคลาน  คือรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลทหาร  มีการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจกัน โดยรัฐบาลที่มาจากพลเรือนอยู่ไม่ได้นาน หรือไม่ค่อยมั่นคง ได้แก่ สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม จนถึง สมัย พล.อ.เกรียงศํกด์ ชมะนันท์ เหตุการณ์สำคัญๆ ในช่วงนี้ ได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลา , 6 ตุลา กบฏเมษาฮาวาย  กลุ่มยังเติร์ก

2.ยุคก่อร่างสร้างประเทศ คือยุคที่ประเทศไทยรุ่งเรืองสุดๆ เป็นผู้นำการเมือง และเศรษฐกิจของอาเซี่ยน เป็นุยุคที่เปิดประเทศเทศให้มีการลงทุนจากต่างประเทศ เจริญก้าวหน้าในทุกด้าน ทุนสำรองประเทศมั่งคั่ง แต่ก็ได้สร้างเสือร้าย ระบบทุนนิยมผูกขาด การฉ้อฉลคอร์รัปชั่น อย่างใหญ่โต ผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย โกงทั้งโคตร  ได้แก่  ตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนมาถึงรัฐบาลขิงแก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์  เหตุการณ์สำคัญในช่วงนี้ ก็คือ บุฟเฟต์คาบิเนต ,รัฐประหาร รสช.,พฤษภาทมิฬ, รัฐประหาร คมช. 19 กันยา

3.ยุคหายนะและพังทลาย  คือยุคที่พวกเรากำลังได้รับวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้ยังไง การเมืองแบ่งขั้วแบ่งสีชัดเจน ผู้นำมาจากกลุ่มทุน 2 ขั้ว ผลัดกันเข้ามาบริหารประเทศ บนซากศพและหายนะของประเทศ ได้แก่ ตั้งแต่นายกสมัคร สุนทรเวช จนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหตุการณ์สำคัญช่วงนี้ก็คือ เหตุการณ์ 7 ตุลา ,พันธมิตรชุมนุมหน้าสนามบินดอนเมือง, เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ชุมนุมของนปช.ปี 53, เหตุการณ์ชายชุดดำยิงทหารบริเวณสี่แยกคอกวัว ,ชุมนุมปิดสี่แยกราชประสงค์, อภิมหาน้ำท่วมปี 54 ,การชุมนุมของมวลมหาประชาชน ปลายปี 56-57

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น