วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

ตอน เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญ


ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ส่องแสงเปล่งประกาย แดดจ้ากว่าทุกวัน อากาศร้อนจัดมากในความรู้สึกของผู้คน แต่ลองไปเช็คอุณหภูมิดูจริงๆ ก็ไม่เห็นมันจะทะลุ 40 องศาเซลเซียสไปเลยซักวัน นั่นเป็นเพราะความรู้สึกของเราเองที่คิดว่าแดดวันนี้มันร้อนจัดมาก อุณหภูมิคงทะลุจุดเดือดไปนานแล้ว ความรู้สึกกับความเป็นจริงหลายครั้งดูขัดแย้ง ไม่ได้สอดคล้องต้องกันเลย เฉกเช่นในโลกของการลงทุนที่เมื่อครั้งนึง ตลาดหุ้นดิ่งเหวลงไปแตะ 380 จุด ไม่มีคนคิดที่จะลงทุนอีกแล้ว ขายมันทุกราคา โลกวันนั้น ท้องฟ้าเป็นสีเทา และดูมืดมิด ไม่มีแสงจากพระอาทิตย์ส่องลงมาเลย เผลอๆ คิดไปเองว่าดวงจันทร์จะมาโผล่เอาตอนกลางวันเสียด้วยซ้ำ แต่ในภาวะนั้นมีคนกลุ่มนึงเข้ามาดอดเก็บหุ้นในราคาถูกแบบเงียบๆ ซึ่งตรงตามทฤษฏีที่ว่า “จงลงทุนในภาวะที่ผู้คนตื่นกลัว และจงทำกำไรเสียในภาวะที่คนรู้สึกหิว กระหาย และโลภถึงที่สุด” แต่ผู้คนจำนวนมากทำอย่างที่ทฤษฎีบอกไว้ไม่เป็น เพราะเรามักจะเอาความรู้สึกไปผูกพันกับการลงทุนจนเคยชินเป็นนิสัย


ในอดีตที่ราคาทองคำ บาทละ 400 บาท แทบไม่เคยมีใครคิดที่อยากจะซื้อทองไว้ลงทุนเลย นอกจากพวกร้านทอง ที่ต้องทำธุรกิจซื้อขายเป็นปกติอยู่แล้ว กับคนธรรมดาโดยทั่วไปที่ถูกบังคับให้ซื้อทองเป็นสินสมรสตอนช่วงที่จะแต่งงาน จนเมื่อราคาทองวิ่งขึ้นมาถึง 20,000 กว่าบาท แล้ว ภาวะตื่นทองจึงเกิดขึ้น และทองกลายเป็นสินค้าเก็งกำไรขึ้นมาทันที ในโลกตลาดทุน ถือว่าทองเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนึงที่สามารถเก็งกำไรได้ จนเกิดตลาดฟิวเจอร์สทองขึ้นมา สำหรับประเทศที่เจริญแล้วอย่างตะวันตกนั้นมีตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองกันมานานแล้ว แต่ของพี่ไทยเพิ่งจะมีการจัดตั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ด้วยความที่ตลาดหลักทรัพย์ฯของไทย ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดทุนที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างเต็มตัว และเพื่อที่จะแข่งขันกับประเทศรอบบ้านเราได้ หรือแม้กระทั่งต้องการสร้างผลกำไรมหาศาลจากช่องทางการลงทุนใหม่ เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะมีคนทักท้วงถึงความไม่พร้อม หรือกฎกติกาที่เสียเปรียบของตลาดบ้านเรา ที่ไม่อาจแข่งขันกับประเทศอื่นได้ (ตลาดทองเป็นตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด โดยประเทศมหาอำนาจไม่กี่แห่ง ถูกชี้นำโดยตลาดทุนใหญ่คือนิวยอร์ค ลอนดอน และฮ่องกง มีการซื้อขายแบบเรียลไทม์คือ 24ชั่วโมง ไม่มีการหยุดพักเทรด) ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดซื้อขายทองล่วงหน้า (สัญญาทองกระดาษ)จำเป็นจะต้องศึกษากฏ กติกานี้อย่างเข้าใจก่อน และต้องยอมรับความเสี่ยงนี้ได้ ไม่นับวงเงินวางหลักประกันขั้นต่ำที่จะต้องถูกบังคับวางตามหลักเกณฑ์ซื้อขายที่กำหนดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนทองคำแท่งแบบ gold spot (ได้ทองคำไปจริงๆ) แม้ว่าราคาจะตกลงไป ก็ยังสามารถถือครองทองคำแท่งนั้นไว้ได้ เสมือนสินทรัพย์ชนิดนึงที่ยังมีราคาค่างวด ถือครองไว้ได้ตลอดชีวิตเพื่อเป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานได้ ตราบใดที่ทองคำแท่ง ยังเป็นสินทรัพย์ที่ผู้คนยอมรับ ใช้เป็นสินค้าแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราหรือเงินสดได้ และยังเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศที่ทุกประเทศให้การยอมรับ

ช่วง 1สัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นช่วงที่เกิดภาวะขาลงของตลาดทองทั่วโลก แบบเฉียบพลัน เป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับช่วงวันหยุดยาว สงกรานต์ประเพณีของไทย และตลาดฟิวเจอร์สก็ปิดอยู่ แต่ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดทองโลกไม่ได้หยุด พอเปิดตลาดมาวันแรกก็คือวันที่ 17 เม.ย.2556 ต้องถือว่าเป็นวันนรกแตก ของนักลงทุนทองของไทยก็ว่าได้ จนตลาดฟิวเจอร์ส ต้องทำการเซอร์กิตเบรกเกอร์ ตลาด เพื่อให้เกิดการพักการหยุดไหลของราคาทอง และต้องทำการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ที่ใช้แบบชั่วคราวเฉพาะกรณี ถามว่าสิ่งเหล่านี้ มีการคาดการณ์กันไว้ก่อนแล้วหรือไม่ว่าจะเกิด ผู้สันทัดกรณีบอกว่า ผู้ทีมีอำนาจและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องน่าจะต้องรู้อยู่ว่าความเสี่ยงชนิดนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ ในเมื่อภาวะการลงทุนในบ้านเราเป็นแบบปิด ในขณะที่ตลาดภายนอกเป็นแบบเปิด และตลาดทองเป็นตลาดที่ถูกชี้นำโดยกลไกตลาดโลก แบบ 100% เช่นนี้ ไม่อยากจะคิดว่า “งานนี้จะมีคนเสียหาย ล้มตายไปมากน้อยเพียงใด” ยิ่งกว่าแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ใครต้องมีส่วนรับผิดชอบ แต่คิดว่างานนี้ทุกคนทุกฝ่ายจะได้บทเรียนที่แลกมาด้วยความเสียหายที่ไม่น่าจะต้องแลกเลย การสำเร็จความใคร่ของผู้มีอำนาจในตลาดทุนนั้นเสร็จสมบูรณ์ไปนานแล้ว แต่คนที่เสียตัว เสียใจ เสียทรัพย์ เสียความรู้สึก และเสียหายนั้นตกอยู่กับฝ่ายใดก็คงจะทราบดี ไม่ขอนำมาขยายความซ้ำเติมอีก (ผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติม หาอ่านเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์ รวมถึงบทความ บทวิเคราะห์ ภาวะตลาดทอง ได้จากสื่อการลงทุนทุกประเภท หรือจากนักลงทุน นักวิเคราะห์ระดับประเทศชื่อดังได้จากหลายๆช่องทางดังเช่นที่ท่านติดตามอยู่ได้)

ในช่วงเวลาที่ฟ้าหม่น โลกเป็นสีเทา มองอะไรไม่ออกนั้น แม้ว่าจิตใจจะหดหู่ไปด้วย ตามความรู้สึก แต่โลกของการลงทุนอาจเป็นช่วงเวลาที่สดใสเหมาะกับการลงทุนมากกว่าช่วงเวลาที่ฟ้าสว่างก็เป็นได้ พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลงรักปาฏิหารย์ของลุลา มากเลย

“ในวันที่ท้องฟ้าสีหม่น ต้องเจอกับหยาดฝน ต้องทนหนักแค่ไหน แต่ในใจฉันลึกๆ ไม่เคยนึกจะหวั่นไหว ด้วยความรักมันต้องผ่านไปด้วยดี รอคอยอดทนได้ทุกอย่าง เพราะฉันมีความหวัง และยังเชื่อต่อไป ว่าต้องมีใครคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ไหน จะได้พบได้เจอในสักวัน ....ฉันยังรอคอยปาฏิหารย์ เชื่อว่าวันหนึ่งจะมาถึง ครึ่งหนึ่งของฉันที่มันขาดหายไป ใครที่รักกันจริงคนนั้น คนที่เคยฝันเขาจะมาอยู่ข้างกันจริงๆ...."   (เพ้อเจ้อ...ไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้เกี่ยวกับอารมณ์นักลงทุนในตอนนี้เท่าไหร่ แต่ขอให้มองโลกในแง่ดีแบบในเนื้อเพลงต่อไปครับนักลงทุนผู้ไม่เคยย่อท้อ) 

ผู้เขียนพูดถึงภาวะการณ์ลงทุนในตลาดทองแล้วเลยคิดวกวนเวียนกลับมายังการลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง ซึ่งเจ็บปวดไม่แพ้กัน ฟ้าสว่างเหมือนกันในช่วงที่ดัชนีขึ้นไปแตะ 1,600 จุด มีแต่คนทำนายทายทักว่าจะไปต่อถึง 1,700 ยัน 2,000 จุดขึ้นไปกันเลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อมันยืนอยู่ไม่ได้ ก็มีกระบวนการทุบหุ้นลงมาแบบม้วนเดียว ลงไปแตะที่ 1,470 กว่าจุด แล้วค่อยมีการรีบาวด์ขึ้นมา จากนั้นก็ไซด์เวย์อยู่ราวๆ 1,500 จุด บวกลบ คล้ายๆ ตอนช่วงทอง ลงมาจาก 1,900 เหรียญ ทำนายว่าจะทะลุไป 2,000 เหรียญขึ้นไปบ้าง จากนั้นก็มีกระบวนการทุบราคาทองลงมาเป็นระยะ จนมันมายืนแถวๆ 1,500 เหรียญอยู่พักใหญ่ ทำไซด์เวย์อยู่แถวๆ นี้นานเป็นปี แต่ก็ไม่สามารถขึ้นไปต่อได้ แล้วก็เกิดการเทขายทองออกมาล็อตใหญ่ หาเหตุจากประเทศไซปรัสเททองออกมาขายบ้าง กองทุนของโซรอสเทขายทุบราคาทองบ้าง จนเวลานี้หาแนวรับที่ปลอดภัยไม่เจอ อยากจะบอกว่าตลาดทองเป็นการสู้กันของชาติตะวันตกกับมหาอำนาจเอเชีย ซึ่งฝั่งตะวันตกต้องการทุบราคาทองลง เพราะเห็นว่าประเทศที่ถือทองมาก และมีการสะสมทองเพื่อมาแทนแบ็งค์ดอลล่าร์กันมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ตก และเพื่อไม่ให้ความมั่งคั่งของเอเซียทะยานไกลได้มากกว่านี้ จำเป็นต้องทุบราคาทองลง เป็นกลยุทธ์ของฝั่งตะวันตก ซึ่งทำมาหลายครั้งแล้ว และครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จ คาดว่าครั้งนี้ตลาดที่ฮ่องกงนั้นเจ๊งกันระนาวทีเดียว รวมถึงไทยด้วย ในขณะที่ภาพแบบเดียวกันนั้น กำลังจะถูกนำมาใช้กับตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน แต่ตลาดหุ้นมันไม่ได้เป็นการสู้กันของคนเพียงแค่ 2ฝ่าย แต่มีหลายฝ่าย และอีกทั้งปัจจัยของตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ถูกชี้นำจากเมืองนอกแต่เพียงปัจจัยเดียว แม้ว่าจะเป็นปัจจัยหลักก็ตาม ตราบใดที่เสถียรภาพทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจยังดีอยู่ การที่เขาจะทุบหุ้นลงไปกองแบบตลาดทองนั้นยากอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะพยายามทำอยู่ และได้ผลมาแล้ว 1 ครั้งที่ผ่านมานี้ แต่หากบรรดาสถาบัน กองทุนในประเทศกับนักลงทุนรายย่อยของไทยผนึกกำลังกันแล้ว ย่อมพอจะต้านทานกระแสกลยุทธ์ของต่างประเทศและบรรดากองทุนอีแร้งเฮดจ์ฟันด์ รวมถึงบรรดาพอร์ตพร็อพเทรดได้บ้าง สิ่งที่เขาทำก็คือ ชอร์ตเซลล์ ยืมหุ้นมากระหน่ำขาย สร้างข่าวลือมาทุบหุ้น หลายๆ กรณีนี้ นักลงทุนรายย่อยตื่นตูมขายตามตลอด และก็เป็นฝ่ายเสียหายทุกที ในขณะที่บรรดาสถาบันต่างประเทศ และพร็อพเทรดก็กลับมาช้อนซื้อ แล้วดันหุ้นกลับขึ้นมาใหม่ แล้วขายทำกำไรทุกทีไป สิ่งเหล่านี้ทำกันมาหลายรอบแล้ว เข็ดแต่ก็ไม่จำ ผู้เขียนขอทำนายไว้เลยว่า ตลาดหุ้นจะไซด์เวย์ไปอีกซักพัก จากนั้นก็จะขึ้นไปทำ High ใหม่ ไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดนึงที่นักลงทุนตายใจแล้ว ก็จะเกิดกระบวนการทุบหุ้นรอบใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัว แล้วคราวนี้ แมงเม่าก็จะบาดเจ็บล้มตายกันระเนระนาด เหมือนตลาดทอง อย่างที่กล่าวมานั่นแหละ เพียงแต่ว่าท่านเป็นนักลงทุนที่เป็นเบี้ยหรือขุน ถ้าท่านเป็นเบี้ยก็จะถูกกินทั้งกระดานไปอย่างง่ายดายและบาดเจ็บเสียหาย แต่ถ้าท่านเป็นขุน ท่านก็จะได้ชัยชนะที่คุ้มค่า กับหมากกระดานนี้และเอาชีวิตรอดมาได้อย่างวีรบุรุษ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น