วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปริศนาของโลกบิดเบี้ยวใบนี้ ตอนที่ 1


มนุษย์พยายามที่จะเปิดเผยความลับของจักรวาล

ตั้งแต่เด็กๆ ผู้เขียนเองเคยเห็นภาพการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศของประเทศสหรัฐ สามารถนำยานอวกาศร่อนลงจอดบนดวงจันทร์ และนำนักบินอวกาศลงสัมผัสพื้นผิวบนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น อัศจรรย์ใจยิ่งสำหรับตัวผู้เขียน และภาพเหตุการณ์นั้นนำมาซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผู้เขียนเองสนใจในเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเหตุผล สามารถอธิบายที่มาที่ไปของปรากฏการณ์ สสาร หรือวัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ และนักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่คิดที่จะหาคำตอบเลยนั่นก็คือ นามหรือสิ่งที่อยู่ในจิตใจมนุษย์นั่นเอง แต่สิ่งที่สามารถอธิบายเรื่องนามธรรม หรือสิ่งที่อยู่ในจิตใจได้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้ กลับเป็นพระพุทธศาสนาของเรานั่นเอง จนแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอัจฉริยะของโลกอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังเคยกล่าวยอมรับไว้ว่า ถ้าจะมีศาสนาใดในโลกนี้มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลกนั้นแล้ว ศาสนานั้นคือศาสนาพุทธ ดูเหมือนไอน์สไตน์เองก็สนใจในศาสนาพุทธ เพราะเขาค้นพบว่าการที่จะไขความลับของจักรวาลได้ จำเป็นต้องศึกษาด้านนามธรรมหรือศึกษาเรื่องจิตของมนุษย์ด้วย แม้ว่าไอน์สไตน์จะเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสุดท้ายของโลกที่สามารถไขความลับเรื่องของความเร็วแสง ซึ่งเป็นมิติที่ 3 (เป็นผลจากค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ) แต่โลกยังต้องการนักวิทยาศาสตร์คนต่อไปที่จะเป็นผู้ไขความลับเรื่องมิติที่ 4 ซึ่งเป็นความลับของเวลา (ซึ่งจะไขปริศนาไปสู่เรื่องของการล่องหน หายตัว การข้ามเวลา ย้อนอดีต ไปในอนาคต) และมิติที่ 5 เรื่องความลับของแรงโน้มถ่วง (อ้างอิง: ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นเล่ม 2 ,ทพ.สม สุจีรา) หรืออาจมีมิติที่ 6,7 หรือมิติใดๆ อีกมากมาย ที่ยังเป็นปริศนาของโลกใบนี้ที่เรายังไม่สามารถค้นพบ หรือหาคำตอบมันได้ ทำให้ทุกวันนี้มนุษย์จึงยังงุนงงสงสัย กับปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้หลายต่อหลายเรื่อง ที่เราไม่เข้าใจและไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร อาทิ

ปิรามิดอียิปต์ ใครเป็นคนสร้าง มนุษย์ดึกดำบรรพ์เหล่านั้นเป็นผู้สร้างได้อย่างนั้นหรือ แล้ววิทยาการที่ก้าวหน้าขนาดนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร

การเหยียบลงบนดวงจันทร์ ของนักบินอวกาศ 3 คน ของสหรัฐ เป็นเรื่องจัดฉากจริงอย่างที่มีคนสงสัยหรือเป็นเรื่องจริงที่วิทยาการก้าวไปถึง

ปริศนาของนครแอตแลนติส นครที่หายสาบสูญไปในอดีต , ปริศนาเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า , ปริศนาของฟาโรห์และการทำมัมมี่ ,เรื่องของมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก อย่างเช่น การค้นพบจานยูเอฟโอ มาร่วงตกอยู่บ่อยๆ บริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ 51 ของมลรัฐเนวาด้า ประเทศสหรัฐ ,ปริศนารอยเรขาคณิตแปลกๆ บนทุ่งข้าวสาลี ที่เห็นในภาพยนตร์เรื่อง sign (เอ็มไนท์ ชยามาลาน) เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างของปริศนาจริงๆ ที่ปรากฏขึ้นบนพื้นโลกที่ยังหาคำตอบกันอยู่ แต่ก็มีปริศนาที่สร้างหรือสมมติฐานขึ้นในโลกภาพยนตร์เพื่อจะสื่อสารหรือหาคำตอบให้กับผู้ชมหรือคนดูซึ่งเป็นมนุษย์โลกได้เข้าใจสัจธรรมต่างๆ ด้วย ซึ่งจะขอยกตัวอย่าง ปริศนาจากภาพยนตร์ไซไฟชื่อก้องโลก เรื่องนึง ได้แก่



ปริศนาของเจ้าหมู่ฝูงลิงกอริลล่า ค้นพบแท่งหินสีดำ และมีการทำลายเจ้าแท่งหินสีดำนั้น เป็นปริศนาที่สมมติขึ้นในภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิค เรื่อง 2001 a space odyssey มีนัยสำคัญที่จะบอกอะไรแก่ผู้ชมหรือมนุษย์โลก มีผู้ไขปริศนาสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้คนดูทั่วโลกงง เอาไว้ดังนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมโดยแท้ ว่านี่เป็นหนังดีที่สุดในโลก อีกอย่างหนึ่งก็เขียนเรียกลูกค้าให้เข้ามาอ่านกันเยอะ ๆ อย่างนั้นแหละ แต่จะพูดให้จริงจังแล้ว ผมก็ว่าผมคิดอย่างนี้จริง ๆ เพราะได้ดูหนังที่เขาว่าดีที่สุดในโลกมาแล้ว เช่น ซิติเซ่น เคน (Citizen Kane) หรือแม้แต่เรือรบโปเต็มกิ้น (Battleship Potemkin) ซึ่งก็เป็นหนังดีควรค่าแก่การยกย่อง แต่ผมว่ามันมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์การทำหนัง มากกว่าคุณค่าแบบเต็มอิ่ม สูงสุด และสมบูรณ์แบบ อย่างหนังเรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า เรื่องราวที่เข้าใจยากเรื่องนี้นั้น ผมหาญกล้ามาเล่าให้ฟัง เพราะผมนั้นก็สดับตรับฟังมาจากผู้รู้อีกทีหนึ่ง ผสมกับความรู้สึกของผมเอง หาใช่มีปัญญาเลิศลอยจนตีความแตกแต่อย่างใดไม่ ผมจะเริ่มตรงที่ว่าเหตุใดหนังเรื่องนี้จึงดูยาก แต่เป็นหนังสุดคลาสสิก จนเป็นหนังในดวงใจของนักวิจารณ์และคนดู รวมถึงผม แต่ก็มีคนอีกมากที่ไม่เข้าใจ จนบางคนไม่ชอบไปเลยก็มีประการแรกเป็นเพราะ ผมคิดว่าหนังสร้างจากนิยายของอาเธอร์ ซี. คล้าก (Arthur C. Clarke) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่ระบือนามที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งล่วงลับไปไม่นานมานี้ คือเมื่อ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ซึ่งผมเองนั้นชอบอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ต้องรับว่า หนังสือของคล้ากนั้น อ่านเข้าใจยากมาก ด้วยภาษาที่เป็นพรรณาโวหารเยิ่นเย้อ และเกี่ยวกับจิต จักรวาล ที่เข้าใจยาก ๆ แถมในบางตอนที่เป็นบรรยายโวหาร ให้เห็นภาพความคิดของแก ก็ยังอ่านเข้าใจยากอยู่ดี ค่อนข้างจะเป็นปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ปน ๆ กัน สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งแรก ที่ทำให้ ๒๐๐๑ เข้าใจยาก ทีนี้พอมาสร้างหนัง คูบริกซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนทำหนังจากหนังสือได้ดีมาก ๆ ก็เลยรักษาความเป็นปรัชญาของหนังสือเอาไว้ นอกจากนี้ตัวคล้ากเองยังร่วมเขียนบทกับคูบริกด้วย เมื่อสองอัจฉริยะมารวมกัน ก็เป็นเรื่องละสิครับ ทีนี้ก่อนจะไปถึงเนื้อหาของหนัง ขอเกริ่นข้อมูลก่อนสักเล็กน้อยว่า เป็นหนังในปี ๑๙๖๘ ซึ่งผมดูแล้วตกตะลึงมาก เพราะเทคนิคด้านภาพทันสมัยและดูดีมาก ๆ ทั้งที่สร้างก่อนหน้าสตาร์วอร์ถึง ๙ ปี นอกจากเทคนิคการสร้างฉากแล้ว ยังมีเทคนิคการใช้กล้องที่หมุนไปมา เหมือนสภาวะไร้น้ำหนัก เทคนิคการใช้แสงสีที่ฉูดฉาด เทคนิคการถ่ายภาพในแบบสมมาตร และที่สำคัญ ยังกวนอารมณ์ลึก ๆ ในแบบคูบริกอีกต่างหาก เปิดเรื่องมาก็กวนอารมณ์เลยครับ โดยเป็นภาพมืด ๆ เหมือนยังไม่ได้เปิดเครื่องฉาย หรือยังไม่ได้เปิดทีวียังไงยังงั้น จากนั้นจึงมีเสียงแผ่ว ๆ ของดนตรีที่ฟังเข้าใจยาก แต่ให้อารมณ์ลึกลับดำมืดเช่นเดียวกับภาพมืด ๆ แบบนี้ นี่คือบทโหมโรงในแบบหนังอีพิค (Epic) แต่เป็นอีพิคแบบอวกาศโดยแท้ ! จากนั้นจึงจะเข้าสู่ไตเติ้ลหนัง ด้วยภาพของดวงดาวอยู่ในวงโคจรเรียงกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา กล่อมด้วยเสียงดนตรีคลาสสิกคือ Also Sprach Zarathustra ของคีตกวีชาวเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อว่าริชาร์ด สเตราส์ โยนจากความลึกลับดำมืดของห้วงอวกาศ มาเป็นโลกมนุษย์วานร ! ตั้งชื่อตอนแรกนี้เสียเก๋ไก๋ด้วยว่า ปฐมบทแห่งมนุษยชาติ ใช้การถ่ายทำในแบบภาพมุมกว้าง ซึ่งถ่ายทอดทิวทัศน์ออกมาได้อย่างกระจ่าง แม้จะเป็นสังคมยุคแรกเริ่มของมนุษย์ ซึ่งมีภัยอันตรายจากเผ่าพันธุ์ประเภทอื่น และพวกเดียวกันเอง จึงเป็นสังคมที่ป่าเถื่อน แต่ภาพที่เห็นล้วนแต่หมดจดงดงาม ในหนังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากความเงียบสงัดของโลกดึกดำบรรพ์ จะมีก็แต่เสียงธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอย่างแผ่ว ๆ และเสียงของสัตว์..... มนุษย์ เป็นการเกริ่นนำของหนังอวกาศที่ท้าทายมาก เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศที่เริ่มจากมนุษย์วานร และหนังไม่ได้รีบร้อนที่จะนำเสนอเรื่องราวการเดินทางในอวกาศ กลับดูเหมือนอ้อยอิ่งกับปฐมบทตรงนี้เล็กน้อย ราวกับว่า... แค่จะมาเป็นมนุษย์วานรได้ ก็คงไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปี ! แต่ทำไมมนุษย์วานรจึงพัฒนากลายมาเป็นมนุษย์ในแบบโฮโมเซเปียนส์แบบปัจจุบันได้ ทำไมจึงเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่พัฒนาสมองจนเหนือกว่าสัตว์ประเภทอื่นได้ ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าคิดมาก และในนิยายวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่ชอบเรื่องราวเล้นรับ อาจคิดไปไกลถึงขนาดว่า หรือเราคือสายพันธุ์ที่ถูกกำหนด ถ้าเช่นนั้นกำหนดโดยใคร? เราพัฒนาขึ้นมาเองแบบรวดเร็ว ก้าวกระโดด เพราะตัวเราเอง หรือเพราะสิ่งมีชีวิตอื่นที่ทรงปัญญามากกว่าเรา และสิ่งนั้นคือพระเจ้า หรือจะเป็นมนุษย์ต่างดาวนอกโลก ! เรื่องราวจึงเข้าสู่ประเด็นที่เป็นปริศนา"ดำมืด "ที่ไขไม่ออก เมื่อจู่ ๆ วันหนึ่งฝูงลิงก็ต้องแตกตื่น เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีแท่งหิน "ดำมืด" มาโผล่ขึ้นกลางชุมชนลิง โดยไม่เห็นที่มาที่ไป และไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ขอเรียกว่าลิงก็แล้วกัน เพราะสั้นดี ฝูงลิงนั้นทำได้ก็แต่เพียงสำรวจโดย "ลูบคลำ" อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ตามประสาลิง ไม่แตกต่างอะไรกับภาพของลิงในปัจจุบันเลย แล้วจริง ๆ แล้ว สิ่งนี้มันคืออะไรกันเล่า... และแท่งหินลึกลับดำมืดนี้ จะมาโผล่อีก ๒ ครั้ง แต่จากการปรากฏในครั้งแรกนี้ ต่อมาจะด้วยเหตุใดก็ตาม ฝูงลิงเกิดพบปัญญาขึ้นมาจากกองกระดูกซากสัตว์ ว่าเรานั้นมีอุปกรณ์ในการทุบตีฝ่ายตรงข้ามแล้ว สิ่งนี้คือพัฒนาการสำคัญของมนุษย์ ในการรู้จักเปลี่ยนตีนให้เป็นมือ และรู้จักใช้และสร้าง "เครื่องมือ" เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้ดิ้นรนชีวิต และเอาชนะธรรมชาติบางอย่าง และความเป็นเอกอุของหนังเรื่องนี้ อยู่ตรงตอนนี้ด้วย ตรงที่เมื่อเจ้าลิงใช้ท่อนกระดูกทุบตีลิงพวกตรงข้ามแล้ว เจ้าลิงประกาศชัยชนะด้วยการโยนกระดูกขึ้นท้องฟ้า จากนั้นภาพตัดไป........เป็นภาพยานอวกาศ ! ตรงนี้แหละครับ น่าสนใจมาก ผู้รู้บอกว่าเป็นการเสนอภาพของประวัติศาสตร์มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ ไปสู่อนาคตแห่งการเดินทางด้วยอวกาศเพียงลัดนิ้วมือเดียว โดยไม่ต้องไปกล่าวถึงยุคสมัยต่อ ๆ มาของมนุษย์เลย ไม่ต้องไปพูดถึงศึกสงคราม ไม่ต้องไปพูดถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมให้เมื่อยตุ้ม เพียงแต่ลิงโยนกระดูกขาว ๆ ยาว ๆ ขึ้นฟ้า ฉับพลันทันใด ผู้ชมก็เห็นเจ้าแท่งยาว ๆ ขาว ๆ ของยานอวกาศมาแทนที่ !!! นั่นคือจากปฐมบทที่เริ่มด้วยการเรียนรู้ที่จะใช้มือ ใช้เครื่องมือ จากปฐมบทที่แสนจะพื้นฐาน กลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ทีนี้ก็มาถึงเจ้าแท่งหินสีดำอีกละสิครับ

เพราะเมื่อมนุษย์เริ่มเดินทางในอวกาศได้แล้ว ก็จึงไปพบเอาคลื่นลึกลับที่ส่งออกมาจากดวงจันทร์ ตรงนี้เป็นชั้นเชิงของหนังที่ไม่จำต้องบรรยายอย่างละเอียดยิบ ว่าพบได้อย่างไร ใครเป็นคนพบ แต่ว่ามุ่งโดยตรงต่อการนำเสนอในประเด็นที่ว่า มนุษย์ในยุคนี้เอง ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนต้องส่งชุดสำรวจเดินทางออกไปที่ดวงจันทร์ เพื่อไขปริศนาอันนี้ ความคลาสสิกของช่วงนี้ อยู่ตรงที่ดนตรีประกอบและภาษาภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในศิลปะหลาย ๆ อย่างของคูบริก คูบริกถ่ายทอดภาพของอวกาศให้น่าหลงไหล เป็นความลึกลับดำมืด แต่ชวนให้หลงไหล ผจญภัย ค้นหา ด้วยทำนองเพลงว้อลซ์ ที่ชื่อว่าบลูดานูบ (Blue Danube) ของโยฮัน สเตราส์ (ไม่ได้เกี่ยวข้องกับริชาร์ด สเตราส์ในตอนแรก) มันเป็นชั้นเชิงที่งดงาม เพราะบลูดานูบนั้น แม้แต่คนที่ไม่ฟังดนตรีคลาสสิกก็คงได้ยินทำนองผ่านหู ส่วนคนตะวันตกเองนั้นคงรู้จักกันดี ว่าเป็นเพลงบรรยายภาพของแม่น้ำดานูบที่ไหลผ่านหลายประเทศ รวมถึงออสเตรียบ้านเกิดของโยฮัน สเตราส์ด้วย ซึ่งว่ากันว่า (ผมไม่เคยไป) แม่น้ำดานูบ มันไม่ได้เป็นสีฟ้าสวยแต่อย่างใด แต่นายสเตราส์ตั้งใจจะทำให้แม่น้ำสีดินน้ำตาล ๆ แบบนี้ เป็นแม่น้ำที่สวยงามน่าพิศมัย ทีนี้คูบริกหยิบเอางานดนตรี "ขึ้นหิ้ง" ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าหมายถึงแม่น้ำดานูบ มาใช้ประกอบฉากการเดินทางของยานอวกาศ ซึ่งจากทำนองที่เพราะอ่อนหวาน เนิบนาบ จังหวะที่โยนตัวเล็กน้อย ทำให้เหมาะเหม็งอย่างประหลาด !!! หนังก็ไม่มีคำตอบสำหรับนักสำรวจที่เดินทางไปดวงจันทร์ และแน่นอน ไม่ให้คำตอบกับผู้ชมด้วย แม้ว่ามนุษย์พ้นจากความเป็นลิงมาแล้ว แต่บทสนทนาในเรื่องนี้น้อยมาก ใช้เฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อเป็นเงื่อนงำให้คนดูขบ... และขบไม่แตก ดูประหนึ่งคูบริกให้ความสำคัญกับภาษาภาพไม่น้อยไปกว่าปฐมบทของมนุษย์ เอาเข้าจริง ๆ ภาษาภาพตรงส่วนนี้มีความสำคัญมากกว่าเสียอีก เพราะให้คนดูเห็นเอาเองว่า เราช่างพัฒนาการอะไรได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? หนังแทรกอารมณ์ขันเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศยุคแรกเริ่มนี้ เมื่อด็อกเตอร์หัวหน้านักสำรวจของเรา จะเข้าห้องน้ำที่สถานีอวกาศ แต่ห้องน้ำที่สถานีอวกาศจะไปเหมือนกับพื้นโลกได้จะใด๋ ? เขาจึงต้องอ่านคู่มือการใช้ "ยาวเหยียด" อยู่หน้าห้องก่อนที่จะเข้าไป เพราะนี่คือห้องน้ำในอวกาศ ! หนังไม่ต้องมีบทสนทนาเลยครับ แค่นี้ก็อมยิ้มแล้ว ใครหนอจะอั้นไหว หนังไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นปลีกย่อยเลย ตรงนี้คนจึงงงมาก เพราะอยู่ ๆ ทีมสำรวจแท่งหินลึกลับที่ดวงจันทร์ ก็เกิดอาการประหลาดเมื่ออยู่ใกล้แท่งหินนั้น เหมือนกับแท่งหินได้ส่งคลื่นหรือสัญญาณอะไรออกมาบางอย่าง แล้วหนังก็ตัดฉับ ไปที่เวลาต่อมา ที่มีทีมสำรวจอีกทีมหนึ่งเดินทางไปดาวพฤหัส ตรงนี้มันเป็นอย่างนี้ครับ คือว่า ประเด็นหลักที่หนังนำเสนอมาตั้งแต่ปฐมบทของมนุษยชาตินั้น ก็คือ การพัฒนาของมนุษย์ในแบบก้าวกระโดด อย่างที่สัตว์ประเภทอื่นทำไม่ได้ แต่การพัฒนานั้น เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหินลึกลับโผล่ออกมา จึงดังกับว่า เจ้าหินที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี้ จึงต้องเกิดมาจากสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก จึงอาจเป็นดั่งสัญลักษณ์ หรือเป็นสิ่งที่จะบอกว่า "ถึงคราว" ที่มนุษย์จะเริ่มพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว และอาจเป็นดั่งตัวบันทึกเหตุการณ์ หรือแม้แต่ตัวเร่งที่มีอำนาจลึกลับบางอย่าง กระตุ้นให้มนุษย์พัฒนาต่อไปได้ กล่าวคือ เมื่อมันปรากฏในครั้งแรก ต่อมามนุษย์ก็รู้จักใช้มือ ใช้เครื่องมือ เมื่อมันปรากฏตัวครั้งที่ ๒ มนุษย์ก็มีความสามารถที่จะเดินทางในอวกาศได้แล้ว และการที่มันฝังตัวอยู่ในดวงจันทร์ ก็แสดงว่า มันรอให้มนุษย์มีเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง แต่สูงพอที่จะพบคลื่นจากมันได้ และสูงพอที่จะไปพบมันได้ ส่วนการเดินทางไปดาวพฤหัสต่อมานั้น ก็เพราะว่ามนุษย์พบว่า เจ้าแท่งที่ดวงจันทร์นี้ ส่งสัญญาณตรงไปยังดาวพฤหัส การปรากฏในครั้งที่สองนี้ จึงหมายความว่า มนุษย์สามารถเดินทางไปดาวพฤหัสได้แล้ว เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง ! แต่การเดินทางนั้นแสนยาวไกล และใช้เวลานานมาก จึงต้องอาศัยคอมพิวเตอร์แสนฉลาดอย่างเจ้าฮัล (HAL) ซึ่งฉลาดเสียยิ่งกว่าคน เป็นผู้ควบคุมการเดินทางทั้งหมด และควบคุมความเป็นความตายของลูกเรือด้วย เพราะต้องเดินทางนานแสนนาน ลูกเรือบางส่วนจึงต้องอยู่ในสภาพจำศีล คือ นอนแช่อยู่ในหีบ ควบคุมให้มีชีวิตต่อไปโดยเจ้าฮัลตัวนี้ เรื่องมันมาเกิดตรงที่เจ้าฮัลซึ่งแสนจะรับผิดชอบในภารกิจจนเกินเหตุ ไม่ยินยอมให้มนุษย์มาปิดการทำงานของมันได้ เพราะนี่คือภารกิจสำคัญที่ไม่อาจหยุดยั้ง ตรงนี้ก็เป็นชั้นเชิงของหนังอีก ที่ทำให้หนังมีความขัดแย้ง หรือมีบทตื่นเต้นแทรกเข้ามา แทนที่จะราบเรียบแบบสารคดีไปเสียทั้งหมด หนังแสดงให้เห็นการล้อเลียนเสียดสี ว่าลูกเรือที่ไม่ได้ถูกแช่แข็งนั้น หน้าตาย ไร้ชีวิตชีวา และพูดน้อย เผลอ ๆ จะน้อยกว่าฮัลเสียอีก ตกลงมนุษย์กลายเป็นเครื่องจักร แต่เจ้าฮัลกลับมีชีวิตจิตใจขึ้นมาเช่นนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เจ้าฮัลคือคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมระบบยานทั้งหมด ไม่ได้มีแขนขาแบบหุ่นยนต์ในสตาร์วอร์ แต่เรารู้สึกได้ถึงชีวิต และความคิดของมัน รู้สึกได้ถึงการต่อสู้กันระหว่างมนุษย์จริงและมนุษย์เทียม ! หลังจากที่มีความสูญเสีย และลูกเรือแก้สถานการณ์ได้บางส่วน เราก็เดินทางมาถึงดาวพฤหัสแล้วละครับ ตรงนี้ผมยกให้เป็นส่วนสุดยอดของหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นภาษาภาพจริง ๆ ภาษาภาพโดยแท้ ภาษาภาพโดยสมบูรณ์แบบ นั่นคือลูกเรือที่เหลือรอดจากการเล่นงานของฮัล เพียงรายเดียว พบแท่งหินลึกลับดำมืดที่ล่องลอยอยู่นอกดาวพฤหัสเข้าให้แล้ว เขาจึงออกจากยานแม่ ขับยานลำเล็กตรงดิ่งเข้าไป ทันใดนั้น เขาก็เห็นแสงสีอันประหลาดมหัศจรรย์

ดุจดังเขาถูกดูดกลืนเข้าไปในมิติแห่งเวลาและอวกาศ หนังแสดงเทคนิคสีสันประหลาด โดยที่ไม่มีฉากอะไรเลย นอกจากสีแสงที่เปลี่ยนไปนี้ ผมเคยจับเวลาแต่จำไม่ได้แล้วว่ากี่นาที เข้าใจว่าไม่ต่ำกว่า ๕ นาที และก็ดุจดั่งเขาเห็นภาพการเกิดของจักรวาล การก่อตัวของกลุ่มเมฆ กลุ่มก๊าซ รวมถึงพื้นปฐพี ซึ่งน่าจะเป็นดาวพฤหัส แต่ด้วยแสงสีที่ราวกับอีกโลกหนึ่ง นัยน์ตาของตัวละครเอกของเรา (ผมจำชื่อไม่ได้ว่า ดร.พูล หรือ ดร.บาวแมน ที่รอดชีวิต) เหลือกลานเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ ปนกับความช็อก และใบหน้าสั่นระริก นี่คืออะไร นี่คือนรกหรือสวรรค์ นี่คือมิติไหน....
ภาพของดวงตาเป็นสีสันตามการเปลี่ยนไปของแสงสีภายนอก แล้วมาหยุดลงด้วยการโผล่..... โผล่มาในห้องที่มีเครื่องเรือนชั้นดี แต่มันดูเหมือนไม่ใช่ห้องในโลกนี้ และดูเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ เขาเห็นตัวเองอยู่ในห้องนี้ครับ เป็นภาพของตัวเองมองตัวเอง เห็นตัวเองดั่งเป็นคนแปลกหน้า ตัวเขาเองนั้นยังคงสติเสียอยู่ แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาเองที่ถูกมองเห็นนั้น ก็คือตัวเขาเองที่กำลังมองดูตัวเองอยู่ โอย ให้บรรยากาศพิลึกดีแท้ ในที่สุดเขาก็เห็นตัวเองแก่ เจ็บ และตายบนเตียงนอน แล้วก็เห็นภาพของจักรวาลอีกครั้ง เห็นเด็กตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม ลอยอยู่ ...... นี่คือการแสดงให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในพุทธศาสนาหรือเปล่า สิ่งทรงปัญญานอกโลกชักนำให้เรามาพบอะไร หรือจะบอกเพียงว่า ที่สุดแล้วก็คือวัฏสงสาร หนังทิ้งให้เรามึนงง ให้เราขบคิดต่อไปแม้ว่าหนังจะจบไปหลายนาที หรือหลายชั่วโมงแล้ว เรื่องจบลงเพียงเท่านี้ แต่ผมขอสารภาพว่า ผมนั้นเข็ดขยาดกับสำบัดสำนวนของคล้าก เพราะได้อ่านหนังสือแกได้สัก ๒ ถึง ๓ เล่ม ดังนั้น จึงไม่พิศมัยใฝ่หาหนังสือมาอ่าน จึงไม่แน่ใจนักว่าผมจะตีความหนังเรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่ และความจริงแล้วคล้ากยังแต่งภาคต่อออกมาอีกหลายภาค ได้แก่ ๒๐๑๐ และต่อ ๆ มาอีก ซึ่งเป็นบทเฉลยเงื่อนงำ และเป็นการผจญภัยต่อ ๆ ไปอีก ดังนั้น ผมจึงอาจตีความนัยที่นำเสนอในเรื่องนี้ผิดก็ได้ ใครที่ทราบว่าผมผิดตรงไหน หรือมีส่วนไหนที่ผมพลาดไป หรือยังไม่ได้พูดถึง ก็มาแลกเปลี่ยนทัศนะกันครับ ข้อความช่วงนี้ทั้งหมด Credit จาก blog คุณวิกหลุด ใน ok nation blog


ยังมีปริศนาเรื่องหลุมดำ , ปริศนาเรื่องบิ๊กแบ็ง , ปริศนาเรื่องปฏิทินของชาวมายา หรือวันสิ้นสุดของอารยธรรมโลก ฯลฯ

หลุมดำ (อังกฤษ: black hole) หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป


เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ และคลื่นโน้มถ่วงของหลุ่มดำ (ในเชิงทฤษฎี โครงการ แอลไอจีโอ) และจนถึงปัจจุบันได้ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง

หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ

หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร, หลุมดำขนาดกลาง, หลุมดำจากดาวฤกษ์ ซึ่งเกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์, และ หลุมดำจิ๋วหรือหลุมดำเชิงควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเริ่มแรกของเอกภพ

แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในหลุมดำได้ แต่ตัวมันก็แสดงการมีอยู่ผ่านการมีผลกระทบกับวัตถุที่อยู่ในวงโคจรภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น หลุมดำอาจจะถูกสังเกตเห็นได้โดยการติดตามกลุ่มดาวที่โคจรอยู่ภายในศูนย์กลางหลุมดำ หรืออาจมีการสังเกตก๊าซ (จากดาวข้างเคียง) ที่ถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำ ก๊าซจะม้วนตัวเข้าสู่ภายใน และจะร้อนขึ้นถึงอุณหภูมิสูง ๆ และปลดปล่อยรังสีขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจจับได้จากกล้องโทรทรรศน์ที่โคจรอยู่รอบโลก การสำรวจให้ผลในทางวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่าหลุมดำนั้นมีอยู่จริงในเอกภพ

แนวคิดของวัตถุที่มีแรงดึงดูดมากพอที่จะกันไม่ให้แสงเดินทางออกไปนั้นถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวอังกฤษ จอห์น มิเชล[4] ในปี 1783 และต่อมาในปี 1795 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ปีแยร์-ซีมง ลาปลาซ ก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ตามความเข้าใจล่าสุด หลุมดำถูกอธิบายโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งทำนายว่าเมื่อมีมวลขนาดใหญ่มากในพื้นที่ขนาดเล็ก เส้นทางในพื้นที่ว่างนั้นจะถูกทำให้บิดเบี้ยวไปจนถึงศูนย์กลางของปริมาตร เพื่อไม่ให้วัตถุหรือรังสีใดๆ สามารถออกมาได้

ขณะที่ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายว่าหลุมดำเป็นพื้นที่ว่างที่มีความเป็นเอกภาวะที่จุดศูนย์กลางและที่ขอบฟ้าเหตุการณ์บริเวณขอบ คำอธิบายนี่เปลี่ยนไปเมื่อค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม การค้นคว้าในหัวข้อนี้แสดงให้เห็นว่านอกจากหลุมดำจะดึงวัตถุไว้ตลอดกาล แล้วยังมีการค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังงานภายใน เรียกว่า รังสีฮอว์คิง และอาจสิ้นสุดลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่ถูกต้องตามทฤษฎีควอนตัม

บิ๊กแบง (อังกฤษ: Big Bang หรือ the Big Bang หมายถึง การระเบิดครั้งใหญ่) คือแบบจำลองของการกำเนิดและการวิวัฒนาการของเอกภพในวิชาจักรวาลวิทยาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และจากการสังเกตการณ์ที่แตกต่างกันจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปใช้คำนี้สำหรับกล่าวถึงแนวคิดการขยายตัวของเอกภพหลังจากสภาวะแรกเริ่มที่ทั้งร้อนและหนาแน่นอย่างมากในช่วงเวลาจำกัดระยะหนึ่งในอดีต และยังคงดำเนินการขยายตัวอยู่จนถึงในปัจจุบัน

จอร์จ เลอแมตร์ นักวิทยาศาสตร์และพระโรมันคาทอลิก เป็นผู้เสนอแนวคิดการกำเนิดของเอกภพ ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ ทฤษฎีบิกแบง ในเบื้องแรกเขาเรียกทฤษฎีนี้ว่า สมมติฐานเกี่ยวกับอะตอมแรกเริ่ม (hypothesis of the primeval atom) อเล็กซานเดอร์ ฟรีดแมน ทำการคำนวณแบบจำลองโดยมีกรอบการพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1929 เอ็ดวิน ฮับเบิลค้นพบว่า ระยะห่างของดาราจักรมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับการเคลื่อนไปทางแดง การสังเกตการณ์นี้บ่งชี้ว่า ดาราจักรและกระจุกดาวอันห่างไกลกำลังเคลื่อนที่ออกจากจุดสังเกต ซึ่งหมายความว่าเอกภพกำลังขยายตัว ยิ่งตำแหน่งดาราจักรไกลยิ่งขึ้น ความเร็วปรากฏก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากเอกภพในปัจจุบันกำลังขยายตัว แสดงว่าก่อนหน้านี้ เอกภพย่อมมีขนาดเล็กกว่า หนาแน่นกว่า และร้อนกว่าที่เป็นอยู่ แนวคิดนี้มีการพิจารณาอย่างละเอียดย้อนไปจนถึงระดับความหนาแน่นและอุณหภูมิที่จุดสูงสุด และผลสรุปที่ได้ก็สอดคล้องอย่างยิ่งกับผลจากการสังเกตการณ์ ทว่าการเพิ่มของอัตราเร่งมีข้อจำกัดในการตรวจสอบสภาวะพลังงานที่สูงขนาดนั้น หากไม่มีข้อมูลอื่นที่ช่วยยืนยันสภาวะเริ่มต้นชั่วขณะก่อนการระเบิด ลำพังทฤษฎีบิกแบงก็ยังไม่สามารถใช้อธิบายสภาวะเริ่มต้นได้ มันเพียงอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเอกภพที่เกิดขึ้นหลังจากสภาวะเริ่มต้นเท่านั้น

คำว่า "บิ๊กแบง" ที่จริงเป็นคำล้อเลียนที่เกิดจากนักดาราศาสตร์ชื่อ เฟรด ฮอยล์ จากการออกอากาศทางวิทยุครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งเขาดูหมิ่นและตั้งใจจะทำลายความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่เขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นจริง ในเวลาต่อมา ฮอยล์ได้ช่วยศึกษาผลกระทบของนิวเคลียร์ในการก่อเกิดธาตุมวลหนักที่ได้จากธาตุซึ่งมีมวลน้อยกว่า อย่างไรก็ดี การค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลในปี ค.ศ. 1964 ยิ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิเสธทฤษฎีบิกแบงได้

การเดินทางเพื่อค้นหาปริศนา(คำตอบ) ของสิ่งมีชีวิต, แหล่งพลังงาน ,ทรัพยากรมีค่า บนดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ ในกาแล็คซี่นี้ หรือกาแล็คซี่อื่นๆ คือภาระกิจของมนุษยชาติร่วมกัน และกำลังดำเนินต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด............
แต่การค้นคว้า ศึกษา เพื่อค้นหาปริศนา (คำตอบ) ของสิ่งมีชีวิต ,แหล่งพลังงาน, ทรัพยากรมีค่าบนโลกใบนี้ กำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อชาวโลกค้นพบว่าโลกกำลังถึงกาลอวสานในระยะเวลาอันใกล้นี้ ถึงขนาดมีการพยากรณ์ (คาดคะเน ทำนายชะตากรรมของโลกใบนี้) ยังมีการค้นคว้า วิจัย และลงทุนศึกษาความเป็นไปได้ ของการหาแหล่งที่อยู่ใหม่ ของประชากรโลก มาแทนโลกใบเก่า ที่กำลังจะถึงกาลแตกดับ สิ้นสูญ
บ้านหลังใหม่ ที่จะเป็นถิ่นที่อยู่ใหม่ ของสิ่งมีชีวิตบนโลก แหล่งพลังงาน ทรัพยากรมีค่า และมีสิ่งแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับโลกมนุษย์(ใบเก่า) มากที่สุด เพื่อที่จะสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติไว้ ต่อไปได้ในอนาคต ไม่ให้สูญพันธุ์ไปกับอารยธรรมของโลก ซึ่งเป็นเพียงดาวนพเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาลเท่านั้น
ขอแทรกภาคผนวกที่เกี่ยวกับคำอธิบายเรื่องระบบสุริยจักรวาล และคำทำนายพยากรณ์โลก ประกอบบทความนี้ ดังนี้

ระบบสุริยะจักรวาล

ระบบสุริยะ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และดาวบริวาร โลกเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 โดยทั่วไป ถ้าให้ถูกต้องที่สุดควรเรียกว่า ระบบดาวเคราะห์ เมื่อกล่าวถึงระบบที่มีวัตถุต่างๆ โคจรรอบดาวฤกษ์

ระบบสุริยะ คือระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรอยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกว่าแสนล้านดวงในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ต้องมีระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของเราเป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถในการติดต่อจะทำได้ถึงที่โลกของเราอยู่เป็นระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ (The sun) เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ที่เราเรียกกันว่า ดาวนพเคราะห์ ( นพ แปลว่า เก้า) เรียงตามลำดับ จากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ( ตอนนี้ไม่มีพลูโตแร้ว เหลือแค่ 8 ดวง )

และยังมีดวงจันทร์บริวารของ ดวงเคราะห์แต่ละดวง (Moon of sattelites) ยกเว้นเพียง สองดวงคือ ดาวพุธ และ ดาวศุกร์ ที่ไม่มีบริวาร ดาวเคราะห์น้อย (Minor planets) ดาวหาง (Comets) อุกกาบาต (Meteorites) ตลอดจนกลุ่มฝุ่นและก๊าซ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจร ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูด จากดวงอาทิตย์ ขนาดของระบบสุริยะ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเทียบระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 1au.(astronomy unit) หน่วยดาราศาสตร์ กล่าวคือ ระบบสุริยะมีระยะทางไกลไปจนถึงวงโคจร ของดาวพลูโต ดาว เคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ไกล เป็นระยะทาง 40 เท่าของ 1 หน่วยดาราศาสตร์ และยังไกลห่างออก ไปอีกจนถึงดงดาวหางอ๊อต (Oort's Cloud) ซึ่งอาจอยู่ไกลถึง 500,000 เท่า ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วย ดวงอาทิตย์มีมวล มากกว่าร้อยละ 99 ของ มวลทั้งหมดในระบบสุริยะ ที่เหลือ

นอกนั้นจะเป็นมวลของ เทหวัตถุต่างๆ ซึ่ง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต รวมไปถึงฝุ่นและก๊าซ ที่ล่องลอยระหว่าง ดาวเคราะห์ แต่ละดวง โดยมีแรงดึงดูด (Gravity) เป็นแรงควบคุมระบบสุริยะ ให้เทหวัตถุบนฟ้าทั้งหมด เคลื่อนที่เป็นไปตามกฏแรง แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ดวงอาทิตย์แพร่พลังงาน ออกมา ด้วยอัตราประมาณ 90,000,000,000,000,000,000,000,000 แคลอรีต่อวินาที เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ โดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนให้กับดาว ดาวเคราะห์ต่างๆ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์ จะเสียไฮโดรเจนไปถึง 4,000,000 ตันต่อวินาทีก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์ จะยังคงแพร่พลังงานออกมา ในอัตรา ที่เท่ากันนี้ได้อีกนานหลายพันล้านปี

ชื่อของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงยกเว้นโลก ถูกตั้งชื่อตามเทพของชาวกรีก เพราะเชื่อว่าเทพเหล่านั้นอยู่บนสรวงสวรค์ และเคารพบูชาแต่โบราณกาล ในสมัยโบราณจะรู้จักดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น(ไม่นับโลกของเรา) เพราะสามารถเห็นได้ ด้วยตาเปล่าคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ประกอบกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ รวมเป็น 7 ทำให้เกิดวันทั้ง 7 ในสัปดาห์นั่นเอง และดาวทั้ง 7 นี้จึงมีอิทธิกับดวงชะตาชีวิตของคนเราตามความเชื่อถือทางโหราศาสตร์ ส่วนดาวเคราะห์อีก 3 ดวงคือ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต ถูกคนพบภายหลัง แต่นักดาราศาสตร์ก็ตั้งชื่อตามเทพของกรีก เพื่อให้สอดคล้องกันนั่นเอง

ทฤษฎีการกำเนิดของระบบสุริยะ

หลักฐานที่สำคัญของการกำเนิดของระบบสุริยะก็คือ การเรียงตัว และการเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบระเบียบของดาว เคราะห์ ดวงจันทร์บริวาร ของดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์น้อย ที่แสดงให้เห็นว่าเทหวัตถุ ทั้งมวลบนฟ้า นั้นเป็นของ ระบบสุริยะ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่เทหวัตถุท้องฟ้า หลายพันดวง จะมีระบบ โดยบังเอิญโดยมิได้มีจุดกำเนิด ร่วมกัน Piere Simon Laplace ได้เสนอทฤษฎีจุดกำเนิดของระบบสุริยะ ไว้เมื่อปี ค.ศ.1796 กล่าวว่า ในระบบสุริยะจะ มีมวลของก๊าซรูปร่างเป็นจานแบนๆ ขนาดมหึมาหมุนรอบ ตัวเองอยู่ ในขณะที่หมุนรอบตัวเองนั้นจะเกิดการหดตัวลง เพราะแรงดึงดูดของมวลก๊าซ ซึ่งจะทำให้ อัตราการหมุนรอบตัวเองนั้น จะเกิดการหดตัวลงเพราะแรงดึงดูดของก๊าซ ซึ่งจะทำให้อัตราการ หมุนรอบตังเอง มีความเร็วสูงขึ้นเพื่อรักษาโมเมนตัมเชิงมุม (Angular Momentum) ในที่สุด เมื่อความเร็ว มีอัตราสูงขึ้น จนกระทั่งแรงหนีศูนย์กลางที่ขอบของกลุ่มก๊าซมีมากกว่าแรงดึงดูด ก็จะทำให้เกิดมีวงแหวน ของกลุ่มก๊าซแยก ตัวออกไปจากศุนย์กลางของกลุ่มก๊าซเดิม และเมื่อเกิดการหดตัวอีกก็จะมีวงแหวนของกลุ่มก๊าซเพิ่มขึ้น ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ วงแหวนที่แยกตัวไปจากศูนย์กลางของวงแหวนแต่ละวงจะมีความกว้างไม่เท่ากัน ตรงบริเวณ ที่มีความ หนาแน่นมากที่สุดของวง จะคอยดึงวัตถุทั้งหมดในวงแหวน มารวมกันแล้วกลั่นตัว เป็นดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ของดาว ดาวเคราะห์จะเกิดขึ้นจากการหดตัวของดาวเคราะห์

สำหรับดาวหาง และสะเก็ดดาวนั้น เกิดขึ้นจากเศษหลงเหลือระหว่าง การเกิดของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในปัจจุบันก็คือ มวลก๊าซ ดั้งเดิมที่ทำให้เกิดระบบสุริยะขึ้นมานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่มีความเชื่อในการเกิดระบบสุริยะ แต่ในที่สุดก็มีความเห็นคล้ายๆ กับแนวทฤษฎีของ Laplace ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีของ Coral Von Weizsacker นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ซึ่งกล่าวว่า มีวง กลมของกลุ่มก๊าซและฝุ่นละอองหรือเนบิวลา ต้นกำเนิดดวงอาทิตย์ (Solar Nebular) ห้อมล้อมอยู่รอบดวงอาทิตย์ ขณะที่ดวงอาทิตย์เกิดใหม่ๆ และ ละอองสสารในกลุ่มก๊าซ เกิดการกระแทกซึ่งกันและกัน แล้วกลายเป็นกลุ่มก้อนสสาร ขนาดใหญ่ จนกลายเป็น เทหวัตถุแข็ง เกิดขั้นในวงโคจรของดวงอาทิตย์ ซึ่งเราเรียกว่า ดาวเคราะห์ และดวงจันทร์ของ ดาวเคราะห์นั่นเอง

ระบบสุริยะของเรามีขนาดใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับโลกที่เราอาศัยอยู่ แต่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกาแล็กซีของเราหรือ กาแล็กซีทางช้างเผือก ระบบสุริยะตั้งอยู่ในบริเวณ วงแขนของกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) ซึ่งเปรียบเสมือนวง ล้อยักษ์ที่หมุนอยู่ในอวกาศ โดยระบบสุริยะ จะอยู่ห่างจาก จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณ 30,000 ปีแสง ดวงอาทิตย์ จะใช้เวลาประมาณ 225 ล้านปี ในการเคลื่อน ครบรอบจุดศูนย์กลาง ของกาแล็กซี ทางช้างเผือกครบ 1 รอบ นักดาราศาสตร์จึงมี ความเห็นร่วมกันว่า เทหวัตถุทั้ง มวลในระบบสุริยะไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ทุกดวง ดวงจันทร์ของ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน มีอายุเท่ากันตามทฤษฎีจุดกำเนิดของระบบ สุริยะ และจาการนำ เอาหิน จากดวงจันทร์มา วิเคราะห์การสลายตัว ของสารกัมมันตภาพรังสี ทำให้ทราบว่าดวงจันทร์มี อายุประมาณ 4,600 ล้านปี ในขณะเดียวกัน นักธรณีวิทยาก็ได้คำนวณ หาอายุของหินบนผิวโลก จากการสลายตัว ของอตอม อะตอมยูเรเนียม และสารไอโซโทป ของธาตุตะกั่ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า โลก ดวงจันทร์ อุกกาบาต มีอายุประมาณ 4,600 ล้านปี และอายุของ ระบบสุริยะ นับตั้งแต่เริ่มเกิดจากฝุ่นละอองก๊าซ ในอวกาศ จึงมีอายุไม่เกิน 5000 ล้านปี ในบรรดาสมาชิกของระบบสุริยะซึ่งประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดวงจันทร์ ของดาวเคราะห์ดาวหาง อุกกาบาต สะเก็ดดาว รวมทั้งฝุ่นละองก๊าซ อีกมากมาย นั้นดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ 9 ดวง จะได้รับความสนใจมากที่สุดจากนักดาราศาสตร์

วัตถุในระบบสุริยะ

'ดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ที่มีชนิดสเปกตรัม G2 มีมวลประมาณ 99.86% ของทั้งระบบ

• ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมี 8 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และ ดาวเนปจูน

ดาวบริวาร คือ วัตถุที่โคจรรอบดาวเคราะห์ ฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็กอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็นวงแหวนโคจรรอบดาวเคราะห์ ขยะอวกาศที่โคจรรอบโลก เป็นชิ้นส่วนของจรวด ยานอวกาศ หรือดาวเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น

• ซากจากการก่อตัวของดาวเคราะห์ เป็นเศษฝุ่นที่จับตัวกันในยุคแรกที่ระบบสุริยะก่อกำเนิด อาจหมายรวมถึงดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง

• ดาวเคราะห์น้อย คือ วัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ ส่วนใหญ่มีวงโคจรไม่เกินวงโคจรของดาวพฤหัสบดี อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มและวงศ์ ตามลักษณะวงโคจร

• ดาวบริวารดาวเคราะห์น้อย คือ ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กที่โคจรรอบดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าหรืออาจมีขนาดพอๆ กัน

• ดาวเคราะห์น้อยทรอย คือ ดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรอยู่ในแนววงโคจรของดาวพฤหัสบดีที่จุด L4 หรือ L5 อาจใช้ชื่อนี้สำหรับดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ที่จุดลากรางจ์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วย

• สะเก็ดดาว คือ ดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเท่าก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปถึงผงฝุ่น

• ดาวหาง คือ วัตถุที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็ง มีวงโคจรที่มีความรีสูง โดยปกติจะมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ภายในวงโคจรของดาวเคราะห์วงใน และมีจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดห่างไกลเลยวงโคจรของดาวพลูโต ดาวหางคาบสั้นมีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มักสูญเสียน้ำแข็งไปหมดจนกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย ดาวหางที่มีวงโคจรเป็นรูปไฮเพอร์โบลา อาจมีกำเนิดจากภายนอกระบบสุริยะ

• เซนทอร์ คือ วัตถุคล้ายดาวหางที่มีวงโคจรรีน้อยกว่าดาวหาง มักอยู่ในบริเวณระหว่างวงโคจรของดาวพฤหัสบดีและดาวเนปจูน

• วัตถุทีเอ็นโอ คือ วัตถุที่มีกึ่งแกนเอกของวงโคจรเลยดาวเนปจูนออกไป

• วัตถุแถบไคเปอร์ มีวงโคจรอยู่ระหว่าง 30 ถึง 50 หน่วยดาราศาสตร์ คาดว่าเป็นที่กำเนิดของดาวหางคาบสั้น บางครั้งจัดดาวพลูโตเป็นวัตถุประเภทนี้ด้วย นอกเหนือจากการเป็นดาวเคราะห์ จึงเรียกชื่อวัตถุที่มีวงโคจรคล้ายดาวพลูโตว่าพลูติโน

• วัตถุเมฆออร์ต คือ วัตถุที่คาดว่ามีวงโคจรอยู่ระหว่าง 50,000 ถึง 100,000 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นถิ่นกำเนิดของดาวหางคาบยาว

• เซดนา วัตถุที่เพิ่งค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมีวงโคจรเป็นวงรีสูงมาก ห่างดวงอาทิตย์ระหว่าง 76-850 หน่วยดาราศาสตร์ ไม่สามารถจัดอยู่ในประเภทใดได้ แม้ว่าผู้ค้นพบให้เหตุผลสนับสนุนว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของเมฆออร์ต ฝุ่นซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในระบบสุริยะ อาจเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์แสงจักรราศี ฝุ่นบางส่วนอาจเป็นฝุ่นระหว่างดาวที่มาจากนอกระบบสุริยะ

ดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล

ดวงอาทิตย์ (Sun)

เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล อยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทางประมาณ 93 ล้านไมล์ และมีขนาดใหญ่กว่าโลกมากกว่า 1 ล้านเท่า มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าโลก 100 เท่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก อุณหภูมิของดวงอาทิตย์อยู่ระหว่าง 5,500 - 6,100 องศาเซลเซียส พลังงานของดวงอาทิตย์ทั้งหมดเกิดจากก๊าซไฮโดรเจน โดยพลังงานดังกล่าวเกิดจากปฏิกริยานิวเคลียร์ภายใต้สภาพความกดดันสูงของดวงอาทิตย์ ทำให้อะตอมของไฮโดรเจนซึ่งมีอยู่มากบนดวงอาทิตย์ทำปฏิกริยาเปลี่ยนเป็นฮีเลียม ซึ่งจะส่งผ่านพลังงานดังกล่าวมาถึงโลกได้เพียง 1 ใน 200 ล้านของพลังงานทั้งหมด นอกจากนั้นบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ยังเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของพลังงานความร้อนบนดวงอาทิตย์อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแปรผันของพายุแม่เหล็ก และพลังงานความร้อน ทำให้อนุภาคโปรตรอนและอิเล็กตรอนหลุดจากพื้นผิวดวงอาทิตย์สู่ห้วงอวกาศ เรียกว่า ลมสุริยะ (Solar Wind) และแสงเหนือและใต้ (Aurora) เป็นปรากฏการณ์ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้

• การเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) บางครั้งเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และจะเห็นได้ชัดเจนเวลาดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน จุดดับของดวงอาทิตย์จะอยู่ประมาณ 30 องศาเหนือ และ ใต้ จากเส้นศูนย์สูตร ที่เห็นเป็นจุดสีดำบริเวณดวงอาทิตย์เนื่องจากเป็นจุดที่มีแสงสว่างน้อย มีอุณหภูมิประมาณ 4,500 องศาเซลเซียส ต่ำกว่าบริเวณโดยรอบประมาณ 2,800 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าก่อนเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์นั้น ได้รับอิทธิพลจากอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าบริเวณพื้นผิวดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวต่ำกว่าบริเวณอื่นๆ และเกิดเป็นจุดดับบนดวงอาทิตย์

• แสงเหนือและแสงใต้(Aurora) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ มีลักษณะเป็นลำแสงที่มีวงโค้ง เป็นม่าน หรือ เป็นแผ่น เกิดเหนือพื้นโลกประมาณ 100 - 300 กิโลเมตร ณ ระดับความสูงดังกล่าวก๊าซต่างๆ จะเกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า และเมื่อถูกแสงอาทิตย์จะเกิดปฏิกริยาที่ซับซ้อนทำให้มองเห็นแสงตกกระทบเป็นแสงสีแดง สีเขียว หรือ สีขาว บริเวณขั้วโลกทั้งสองมีแนวที่เกิดแสงเหนือและแสงใต้บ่อย เราเรียกว่า "เขตออโรรา" (Aurora Zone)

ดาวพุธ (Mercury)

เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด สังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ตอนใกล้ค่ำและ ช่วงรุ่งเช้า ดาวพุธไม่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร ดาวพุธหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกกินเวลา ประมาณ 58 - 59 วัน และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 88 วัน

ดาวศุกร์ (Venus)

สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยสามารถมองเห็นได้ทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกในเวลาใกล้ค่ำ เราเรียกว่า"ดาวประจำเมือง" (Evening Star) ส่วนช่วงเช้ามืดปรากฏให้เห็นทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเรียกว่า "ดาวรุ่ง" (Morning Star) เรามักสังเกตเห็นดาวศุกร์มีแสงส่องสว่างมากเนื่องจาก ดาวศุกร์มีชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีผลทำให้อุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ไม่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร

โลก (Earth)

โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เนื่องจากมีชั้นบรรยากาศและมีระยะห่าง จากดวงอาทิตย์ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต นักดาราศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับการเกิดโลกว่า โลกเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มก๊าซ และมีการเคลื่อนทีสลับซับซ้อนมาก โดยเราจะได้ศึกษาในรายละเอียดต่อไป

ดาวอังคาร (Mars)

อยู่ห่างจากโลกของเราเพียง 35 ล้านไมล์ และ 234 ล้านไมล์ เนื่องจากมีวงโคจรรอบดวง อาทิตย์เป็นวงรี พื้นผิวดาวอังคารมีปรากฏการณ์เมฆและพายุฝุ่นเสมอ เป็นที่น่าสนใจในการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีลักษณะและองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกับโลก เช่น มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 วัน เท่ากับ 24.6 ชั่วโมง และระยะเวลาใน 1 ปี เมื่อเทียบกับโลกเท่ากับ 1.9 มีการเอียงของแกน 25 องศา ดาวอังคารมีดวงจันทร์เป็นบริวาร 2 ดวง

ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)

เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 9.8 ชั่วโมง ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา12 ปี นักดาราศาสตร์อธิบายว่า ดาวพฤหัสเป็นกลุ่มก้อนก๊าซหรือของเหลวขนาดใหญ่ ที่ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็งเหมือนโลก และเป็นดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวารมากถึง 16 ดวง

ดาวเสาร์ (Saturn)

เป็นดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นดาวที่ประกอบไปด้วยก๊าซและของ เหลวสีค่อนข้างเหลือง หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 10.2 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบใช้เวลา 29 ปี ลักษณะเด่นของดาวเสาร์ คือ มีวงแหวนล้อมรอบ ซึ่งวงแหวนดังกล่าวเป็นอนุภาคเล็กๆ หลายชนิดที่หมุนรอบดาวเสาร์มีวงแหวนจำนวน 3 ชั้น ดาวเสาร์มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร 1 ดวง และมีดวงจันทร์ดวงหนึ่งชื่อ Titan ซึ่งถือว่าเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล

ดาวยูเรนัส (Uranus)

หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 16.8 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 84 ปี ดาวยูเรนัสประกอบด้วยก๊าซและของเหลว เช่นเดียวกับ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ 4.8 ดาวเนปจูน (Neptune) เป็นดาวเคราะห์ที่มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ เท่ากับ 17.8 ชั่วโมง และระยะ เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เท่ากับ 165 ปี มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร 2 ดวง

ดาวพลูโต (Pluto)

เป็นดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายของระบบสุริยะจักรวาล มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ รอบ เท่ากับ 453 ชั่วโมง ระยะเวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เท่ากับ 248 ปี เป็นดวงดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวพุธ และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด

ตำแหน่งและขนาดของระบบสุริยจักรวาลในกาแลคซี่ทางช้างเผือก

ในกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งระบบสุริยจักรวาลของเราเป็นสมาชิกอยู่ ประกอบด้วยดวงดาวประมาณ 100,000 ดวง นอกจากนั้นยังประกอบด้วย กลุ่มเมฆไฮโดรเจนและฮีเลียมกับ ละอองฝุ่นคลุมอยู่ตลอดทั้งบริเวณกาแลคซี่ทางช้างเผือก เมื่อมีนักสังเกตการณ์นอกทางช้างเผือกมองดูแกแลคซี่ ของเรา จะมองเห็นว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกมีรูปเป็นวงล้อยักษ์ แกแลคซี่ทางช้างเผือกมีความยาวประมาณ 100,000 ปีแสง ใกล้กับแกแล๕ซี่ทางช้างเผือกมีกลุ่มแกแลคซี่อยู่อีกประมาณ 20 แกแลคซี่ เรียกกาแลคซี่ในกลุ่มนี้ว่า"กลุ่มท้องถิ่น" สมาชิกในกลุ่มนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีขนาดใหญ่กว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกของเราเกือบ 2 เท่าตัวคือ กาแลคซี่แอนโดรมีดา ซึ่งอยู่ห่างจากเราประมาณ 2 ล้านปีแสง สุริยจักรวาลของเราตั้งอยู่ในบริเวณวงแขนของกาแลคซี่ทางช้างเผือกอยู่ห่างจาก จุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 30,000 ปีแสง ดวงดาวที่เรามองเห็นอยู่ในกลุ่มดาว Orion(กลุ่มดาวนายพราน) และดาวCygnus(กลุ่มดาวหงษ์)เป็นกลุ่มที่อยู่ในบริเวณวงแขนของกาแลคซี่ที่ระบบสุริยจักรวาลของเราตั้งอยู่ จากบริเวณที่ตั้ง ของระบบสุริยจักรวาลตรงไปยังจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นบริเวณวงแขน Sagittarius (กลุ่มดาวคนยิงธนู) ห่างออกไปจากจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่เป็นบริเวณวงแขน Perseus บริเวณนี้คือบริเวณที่เรามองเห็นกลุ่มดาว Perseus ดวงดาวทุกดวง ในกาแลคซี่ทางช้างเผือกหมุนรอบจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก ดวงอาทิตย์ของเราใช้เวลา 225 ล้านปี ในการหมุนครบรอบจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือกรอบหนึ่ง ดังนั้นนับตั้งแต่ระบบสุริยจักรวาล เกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว สุริยจักรวาลจึงโคจรรอบจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือกมาแล้ว 20 รอบ ขนาดของระบบสุริยจักรวาล นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์จนถึงดาวเคราะห์ พลูโต มีระยะทางทั้งสิ้น 3,679 ล้านไมล์

จักรวาล หมายถึง ห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนมหาศาลมีก๊าซและฝุ่นผงเกาะกลุ่มกันบ้าง กระจายกันอยู่บ้าง

ดวงดาวจะรวมกันอยู่เป็นกลุ่มๆเรียกว่า กาแล๊กซี ดวงดาวที่เรามองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในกาแล็กซี่ มีชื่อเรียกว่ากาแล๊กซีทางช้างเผือก โลกก็รวมอยู่ด้วย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในจักรวาล มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ก็มีฐานมาจากการสังเกตดูดวงดาวบนท้องฟ้าเรียกว่าปรากฎการณ์ทางธรรมชาติได้แก่

1. กลางวันกลางคืน เกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง ซีกที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะเป็นกลางวัน ส่วนอีกซีกหนึ่งอยู่ในเงามืดจะเป็นเวลากลางคืน

2. ฤดูกาล เกิดจากโลกหมุนรอบตัวเองในขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ภายใน 1 ปี โลกจะเปลี่ยนตำแหน่งไปวันละ 1 องศารอบดวงอาทิตย์ เนื่องจากวงโคจรของโลกเป็นวงรี ทำให้ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ไมเท่ากัน แกนหมุนของโลกทำมุมกับพื้นทางโคจรของโลก ทำให้แกนของโลกชี้ไปทางเดียวคือ ชี้ไปที่ดาวเหนือทางเดียว เหตุนี้ดาวเหนือเป็นดาวที่ชี้ทิศเหนือ

3. ข้างขึ้นข้างแรม เกิดจากดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง และโคจรรอบโลกใช้เวลาเท่ากันประมาณ 1 เดือน เนื่องจากดวงจันทร์ เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่าง ต้องอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ดังนั้นแสงสว่างของดวงจันทร์ในบางคืนก็คือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ที่สะท้อนมายังโลก ส่วนอีกซีกหนึ่งไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะมืด เราจึงมองเห็นแสงของดวงจันทร์ในลักษณะเต็มดวงบ้าง เป็นเสี้ยวบ้าง มืดบ้าง และสาเหตุหนึ่งเกิดจากเมฆบังดวงจันทร์ เราจึงเห็นดวงจันทร์ เป็นเสี้ยวบ้าง มืดบ้าง

4. น้ำขึ้นน้ำลง เกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์กระทำต่อโลก เราจะเห็นปรากฏการณ์ได้ชัดเจน ในส่วนที่เป็นน้ำตามชายฝั่งทะเลหรือมหาสมุทร เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จึงมีอิทธิพลน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าดวงอาทิตย์คือในแต่ละวันน้ำบนผืนโลกด้านที่หันเข้าหาดวงจันทร์จจะถูกดูดเข้ารวมกันซึ่งจะมีผลต่อซีกโลกด้านตรงข้ามกับดวงจันทร์ คือจะปรากฏน้ำขึ้นด้วยส่วนพื้นผิวโลกอีก 2 ด้านระดับน้ำก็จะลดลง เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองระดับน้ำก็จะลดลง เมื่อห่างไปอยู่อีกซีกหนึ่งระดับน้ำก็จะเพิ่มขึ้น จะเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในที่แห่งหนึ่ง ทุก 12 ชม. 25 น.

5. จันทรุปราคา เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขณะที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเขตเงาของโรค ทำให้มองเห็นดวงจันทร์มืดไประยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในจันทร์วันเพ็ญเท่านั้น ประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี จันทรุปราคามี 3 แบบคือ1. จันทรุปราคาเต็มดวง 2. จันทรุปราคาแบบมืดบางส่วน 3. จันทรุปราคาแบบเงามัว

6. สุริยุปราคา เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์โคจรไปอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกในแนวเส้นตรงเดียวกันมี 3 แบบคือ1. สุริยุปราคาเต็มดวง

2. สุริยุปราคาบางส่วน 3. สุริยุปราคาวงแหวน

ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมีดาวเคราะห์ต่างๆโคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ให้พลังงานความร้อนและแสงแก่ดาวบริวาร ดาวเคราะห์ที่สำคัญมีอยู่ 9 ดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในระยะห่างออกมาเป็นชั้นๆ นับจากดวงที่ใกล้สุดออกมาตามลำดับ คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวพลูโต ดาวเคราะห์ทั้งหมดนี้ มีขนาดโตกว่าโลก 4 ดวง และเล็กกว่าโลก 4 ดวง บางคนเชื่อว่าไกลออกไปอาจมีบริวารของดวงอาทิตย์มากกว่านี้อยู่อีก ดาวเคราะห์ทุกดวงยกเว้นดาวพุธและดาวศุกร์จะมีดวงจันทร์วิ่งอยู่รอบๆโลกมีดวงจันทร์ 1 ดวง ดาวเสาร์มี 17 ดวง นอกจากนี้ระบบสุริยะยังมี ดาวเคราะห์น้อยเป็นกลุ่มสะเก็ดดาวขนาดต่างๆกันวิ่งวนเป็นแถบรอบดวงอาทิตย์ ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสนอกจากนี้ในอวกาศระหว่างดาว ยังมีสะเก็ดดาวและดาวหางอีกจำนวนหนึ่งวิ่งอยู่ด้วย ระบบสุริยะเป็นกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งของแกแล็กซี่ทางช้างเผือก กลุ่มดาวจะโคจรรอบแกแล็คซี่ การเกิดระบบสุริยะนี้ อุบัติขึ้นเมื่อประมาณ 4600ล้านปีมาแล้ว แกแล็คซี่มีกลุ่มดาวจำนวนมากมายมหาศาลประมาณ สี่ร้อยพันล้านดวง จัดเรียงตัวกันเป็นรูปวงรี

โครงสร้างของกาแล็คซี่หรือดาราจักรจากการศึกษาทางดาราศาสตร์สมัยใหม่ สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้โดยการเริ่มต้นจากการจินตนาการว่า ตัว

เราคือนักเดินทางสำรวจกาแล็คซี่ ณ จุดเริ่มต้นนักสำรวจพึงระลึกไว้ว่า แสงเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 186,000 ไมล์ หรือประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แสงเดินทางจากดวงจันทร์มายังโลกใช้เวลา 1.3 วินาที และจากดวงอาทิตย์มายังโลกใช้เวลา 803 นาที จากดวงอาทิตย์ไปยังดาวพลูโตประมาณ 4 ชั่วโมง และจากดวงอาทิตย์ไปยังดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดประมาณ 4.3 ปี เวลา 4 ชั่วโมงกับเวลา 4.3 ปี เป็นระยะเวลาที่ห่างไกลกันมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบสุริยะจักรวาลของเรากับดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ อยู่ห่างไกลกันเพียงใด และภายในรัศมีที่แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทาง 17 ปี มีดาวฤกษ์อยู่ในขอบเขตเพียง 50 ดวง

แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012

จาก การทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น ในการค้นคว้า วิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การ พลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี ใน ประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็ก ของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์ ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ถ้า คุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

แหล่งที่มา: คําทํานายของ โสรัจจะ นวลอยู่ - พลังจิตรพิชิตภัยพิบัติ – http://www.palungjitrescuedisaster.com/showthread.php?t=637


คำทำนายโลกทางด้านวิทยาศาสตร์

2008 - ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 (พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 )ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมีการนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ผู้คนจะป่วยเป็นฝี หนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี

2016 – ยุโรปแทบจะร้างผู้คน

2018 - จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง

2023 – วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

2028 - เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น )โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์

2033 - น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

2043 - เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป

2046 - มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด

2066 - สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง

2076 - สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)

2084 - ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู

2088 - เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)

2097 - เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้

2100 - ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงสว่างกับโลกส่วนที่มืด

2111 - มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)

2125 - โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ

2130 - โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)

2164 - สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์

2167 - เกิดศาสนาใหม่

2183 - อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก

2187 - โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก

2195 - อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน

2196 - ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์

2221 - ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว

2256 - ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก

2262 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร

2273 - การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่

2279 - พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )

2288 - มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว

2291 - ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่

2296 - เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก

2299 - ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม

2302 - เปิดกฎใหม่เรื่องความลับของจักรวาล

2304 - พบความลับของดวงจันทร์

2354 - เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง

2371 - เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่

2480 - ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน

3005 - สงครามบนดาวอังคาร

3010 - ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก

3797 - ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีว ิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

แหล่งที่มา: http://www.jokergameth.com/board/archive/index.php/t-34832.html


วันสุดท้ายของปฏิทินชาวมายันคือ 21 ธันวาคม 2012

ชาวมายันเชื่อว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันเกิดใหม่ เป็นการเริ่มต้นของ the World of the Fifth Sun เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ดวงอาทิตย์เดินทางผ่านเส้น equator ของ Galaxy และโลกจะปรับทิศทางให้เข้ากับศูนย์กลางของ Galaxy ดวงอาทิตย์จะขึ้นเชื่อมกับการทับกันของทางช้างเผือกก ับระนาบของ Ecliptic บนท้องฟ้าจะปรากฏดาวเคราะห์ และดวงดาวต่างๆมากมาย ปรากฏการณ์ของจักรวาลครั้งนี้ถือว่าเป็น The Sacred Tree, The Tree of Lifeการที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ Galaxy

ในปี 2012 จะเปิดช่องทางหนึ่งสำหรับพลังงานจักรภพที่จะไหลผ่านโ ลก ล้างโลกให้สะอาด รวมทั้งล้างสิ่งที่อาศัยอยู่ ยกทั้งหมดสู่ภาวะที่สูงขึ้น สรุปคือโลกแตกดับเพื่อการเกิดใหม่นั่นเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนให้ความสนใจถึงปีสุดท้ายของโลกโด ยอ้างถึงศาสตร์แขนงต่างๆ

อย่างทางด้านวิทยาศาสตร์มองว่าในปี 2012 จะเกิดเหตุการณ์ที่เชื่อว่า แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว หรือ Pole Shift เป็นกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแ หน่งกัน

เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย ์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆ สิบเอ็ดปีพอดีซึ่งอาจจะก่อให้เกิด

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล ้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ส่วนทางด้านโหราศาสตร์ก็มองว่า ช่วงปีนี้จะเป็นปีที่จะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์ เอาเป็นว่าจะจริงหรือไม่ใครสนใจสามารถหาข้อมูลได้เพิ ่มเติมที่ google : search คำว่า 2012 หรือ doomsday ก็ได้

นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

"หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้

[อ้างอิง หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...]

ผู้ที่ทำแผนที่ขึ้นมาคือนาย Gordon-Michael Scallion มี Web Site ชื่อว่า earthchanges.com นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก(ตามที่ Web site ของแกกล่าวอ้าง) จบการศึกษาท่างด้านอิเลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน) ในปี 1979 เคยเกือบตายมาแล้วแต่กลับฝื้นขึ้นมาได้ในที่ หลังจากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้อนาคต โดยบางสิ่งที่เขาทำนายถูกต้องก็ได้แก่ เหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใน ลอสแองเจอริส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2535, แผ่นดินไหวใน แลนเดอร์ส (Landers) และ บิกเบียร์ (Big bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม 2537 และแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 เป็นต้น

แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก โดยก็มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ทำให้เข้าสามารถสร้าง แผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Grodon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่ดังนี้ แยกเป็นทวีปให้ดู

เอเชีย -- เนื่องจากมีวงแหวนไฟ (Ring of Fire)ผ่าน Asia (แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก(Plate boundary) โดยส่วนแนวเขตนื้เรียกว่า riff ) ทำให้เป็นเขตเกิดแผ่นดินไหวสูง ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในเขตนี้ โดยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ ฟิลิปปิน ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่ง(เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับรัสเชีย) รวมทั้งหมู่เกาะคูรินและเกาะแซคาลิน(เป็นของรัสเชีย อยู่ใกล้กับ ฮอกไกโด ญี่ปุ่น) เนื่องมาจากแผ่นแปซิฟิกเคลื่อน(Pacific Plate shift)ไป 9 องศา เกาะญี่ปุ่นจะจมเหลือไวเพียงแค่ 2-3 เกาะเล็กๆเท่านั้น ไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะหายไปในทะเล และด้วยเหตุที่แผ่นโลกเคลื่อนตัวนี้ แนวฝั่งของจีนจะเลือนร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ อืนโดนีเซียจะถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะมีเกาะใหม่เกิดขึ้นมาด้วยก็ตาม ฟิลิปปินส์จะถูกกลืนหายลงไปในทะเล เอเซียจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ และจะมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นด้วย สิ่งที่ความพิจารณาจากคำทำนายนี้ก็คือ เอเชียอยู่บน 3 แผ่นทวีปคือ 1.แผ่นฟิลิปปินส์ 2.แผ่นอินโด-ออสเตรเลียน 3.แผ่นยูเรเซียน(ไทย - จีน อยู่บนแผ่นนี้) บริเวณที่ไทยและจีนอยู่เป็นเขตแผ่นดินยกตัวดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจริงน่าจะเป็นไปในทางที่ทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นมากกว่า โดยที่แผ่นแปซิฟิกที่ว่าเคลื่อนไป 9 องศานั้น ทิศทางการเคลื่อนที่ตามปกติก็จะเคลื่อนที่ในทิศทาง มุดตัวลงใต้แผ่นทวีป ยูเรเซียน บริเวณ ประเทศญี่ปุ่นและมุดตัวลงใต้แผ่นฟิลิปปิน และ แผ่นอินโด-ออสเตรเลียนมุดตัวใต้แผ่นยูเรเซียนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งการมุดตัวดังกล่าวจะทำให้ทวีปยกตัวขึ้น ข้อพิสูจน์นี้ก็ได้แก่ที่ราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลัย และ อีสานของไทย ซึ่งถูกยกตัวสูงขึ้นจากเมื่อ 60-20 ล้านปีก่อน

ออสเตรเลีย -- จะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็น จากน้ำท่วมชายฝั่งทั้งหมด ยกเว้นจะเกิดแผ่นดินบริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมเข้ากับเกาะทาสเมเนีย และเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นนอกชายฝั่ง

นิวซีแลนด์ -- นิวซีแลนด์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น บางส่วนจะเชื่อมเข้ากับแผ่นดินเก่าออสเตรเลีย ทั้งสองแผ่นดินจะเชื่อมต่อเป็นแผ่นดินเดียวกันด้วยคอคอด ทั้งนี้เกิดจากการยกตัวขึ้นของแผ่นดินและการระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งจะทำให้นิวซีแลนด์เดิมกลายเป็นตินแดนห่างไกลจากทะเล

แอฟริกา -- จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แม่น้ำไนส์จะกว้างขวางกว่าเก่ามาก ต้วยทิศทางของแม่น้ำไนส์เส้นทางใหม่จะวิ่งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยมตรงปากแม่น้ำไนส์ผ่านพื้นที่ประเทศซูดาน เส้นทางสายน้ำใหม่ของแอฟริกาจะเหมือนตัว "Y" วางอยู่บนทวีป โดยมีฐานตั้งในแนวตั้งอยู่บนเมืองเคปทาวน์(ต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เคปทาวน์) ทะเลแดงจะขยายกว้างออกทำให้ ไคโรจมหายไปในทะเล เกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจะจมลงในทะเล เกิดแผ่นดินใหม่ในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของโอมาน และจะมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเคปทาวน์ ทะเลสาบวิคทอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาใหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย

อเมริกาใต้ -- เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นอย่างมาก รวมถึงแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ผลกระทบครอบคุมไปทั่ว เวนิซูเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ลุ่มน้ำอะเมซอนจะกลายเป็นทะเลใน(ทะเลปิดอยู่ภายในแผ่นดินเหมือนทะเลสาปสงขลา) เปรูและ โบลิเวีย จะถูกน้ำท่วม ซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกรัย จะจมหายไปในทะเล เหมือนกับ หมู่เกาะฟอล์คแลนด์ และเกิดทะเลปิดอีกแห่งที่ตอนกลางของประเทศเาร์เจจนตินา เกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ขึ้นทางตะวันตกของทวีปแถวชิลีรวมทั้งทะเลปิดอีกแห่งด้วย

อเมริกาเหนือ --

แคนาดา -- อ่าวฮัทสันจะขยายตัวออกเป็นทะเลปิดภายในแผ่นดิน บางส่วนของตะวันตกเฉียงเหนือจะถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน 200 ไมล์ พื้นที่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่งการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น ผู้อพยพจะมาจาก บริติสโคลัมเบีย และ อะลาสกา

สหรัฐอเมริกา -- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้จะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อน โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือเกิดการโก่งตัว สร้างหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้น 150 เกาะ ในที่สุด จากขบวนการเพลทเทคโทนิก(tectonic plate-ขบวนการที่ทำให้แผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งมุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง) ซึ่งทำให้เกิกแนวโก่งตัวและรอยแยกซึ่งก่อให้เกิดอุทกภัยทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิงและ โคโลราโด ทะเลสาบ เกรทเลค(ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรียม,ฮุรอน,มิชิแกน,อิรีและออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก

เม็กซิโก -- แนวชายฝั่งของแมกซิโกจะถูกน้ำท่วมเข้ามาถึงในแผ่นดิน คาปสมุทรแคลิฟอร์เนีย จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลาจะหายไปในทะเล ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวจะเกิดต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ

อเมริกากลางและคาริเบียน -- อเมริกากลางจะเกิดอุทกภัยและมีจำนวนเกาะลดน้อยลง ที่สูงกว่า 500 เมตรเท่านั้นที่ปลอดภัย จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่ เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลองปานามาจะกลายเป็นคลองตัน

สุดท้าย..ยุโรป -- ตอนเหนือของยุโรปส่วนใหญ่จะจมลงสู่ทะเลซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก(ด้วย tectonic plate) นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ค จะถูกน้ำท่วม ทิ้งไว้เพียง เกาะเล็กๆนับร้อยเกาะ ส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร จากสกอต์แลนด์ถึงช่องแคบจมหายไปในทะเล เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็กๆขนาดประมาณหมู่เกาะเซตแลนด์(อยู่ทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ) ลอนดอนและเบอร์มิงแฮมจะเหลือกลายเป็นเกาะ อิรีแลนด์จะจมลงทะเลยเว้นที่สูงเท่านั้น

รัสเซีย จะแยกออกจากยุโรป โดยเกิดเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่โดยรวมเอาทะเลแคสเบียน ทะเลดำ ทะเลาคารา ทะเลบอสติก เข้าด้วยกัน ทะเลใหม่ซึ่งแบ่งถูกแบ่งโดยเทือกเข้าอูราล จะยืดยาวไปจดแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ทำให้มีอุณหภูมิอบอุ่นขึ้นและเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ให้กับยุโรป ทะเลดำจะรวมกับทะเลตอนเหนือทิ่งบัลแกเรียและโรมาเนียไว้ใต้น้ำ ดินแดนตั้งแต่โปแลนด์จนถึงตุรกีจะได้ความไม่สงบครั้งยิ่งใหญ่ สงครามศาสนาจะอุบัติขึ้น และจบลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำเกิดแนวชายฝั่งใหม่จาก อีสตันบูลถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของยุโรปกลางจะถูกน้ำท่วม แผ่นดินส่วนใหญ่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลบอลติกจะสูญหาย ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิดเกาะเล็กๆขึ้น ฝรั่งเศสส่วนใหญ่จมน้ำ เหลือไว้แค่เกาะในบริเวณกรุงปารีส ทางน้ำใหม่จะแยกสวิสเซอร์แลนด์ออกจากฝรั่งเศส อิตาลีจะจมน้ำ เวนิส,เนเปิล,โรม และ เจนัวจะถูกกลืนลงทะเล แต่นครรัฐวาติกันจะปลอดภัยเนื่องจากย้ายไปอยู่ที่สูงกว่า แผ่นดินที่สูงๆจะคงเหลือเป็นเกาะ แผ่นดินใหม่จะเกิดขึ้นทอดยาวจากเกาะซิซิลีจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย

หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหลายบนบทความนี้ เป็นเพียงการรวบรวมสาระสนเทศบนโลกอินเตอร์เน็ตมาไว้รวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อเท็จจริง บางส่วนก็เป็นเพียงความคิดเห็น ที่ผสมกันอยู่ในบทความ ท่านผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น