เข้าไปชมหรือพูดคุยในเฟซบุ๊กแฟนเพจได้ที่ "หยิกแกมหยอก" ตามลิ้งค์นี้ครับ https://www.facebook.com/yikgamyok
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แนวรบด้านตะวันออกยังไม่สงบ ศึกนี้ยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพคนตาย
การเปิดตัวศูนย์การค้า Paradise Park ของผู้บริหารบริษัทสยามพิวรรธน์ อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธจักร คล้ายๆ เมื่อคราวที่สยามพาราก้อนเปิดใหม่ๆ นั้นสะเทือนไปถึงศูนย์การใหญ่ๆในสิงคโปร์เลยทีเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะคู่แข่งของสยามพาราก้อนไม่ใช่เพียงแค่ศูนย์การค้าใหญ่ในย่านราชประสงค์เท่านั้นแต่หมายรวมถึงทั่วอาเซี่ยนทีเดียว เพราะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วทั้งภูมิภาค จนทำให้ช่วงนั้นบนเกาะสิงคโปร์ต้องจัดแคมเปญ year grand sale เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวของตัวเองไว้ไม่ให้มาเมืองไทยกันเลยทีเดียว ในส่วนของ Paradise Park แม้จะเป็นการปักธงในพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ แต่ก็กินอาณาเขตไปอย่างกว้างขวางมาก มองข้ามซีคอนสแควร์ที่อยู่ใกล้ๆ ไปได้เลย เพราะคนเรา class คนละ segment ในระดับเดียวกันที่อย่ใกล้เคียงก็คือเซ็นทรัลบางนา ที่กำลัง renovate อยู่เช่นกัน และที่กำลังจะมาก็คือ Mega Bangna ที่เตรียมจะเปิดตัวในช่วงปีหน้า ซึ่งทำเลทองย่านนั้นจะมีการแย่งลูกค้าในระดับ high end กันอย่างไม่ต้องสงสัยรวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากสนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย รายละเอียดของศูนย์การค้าใหม่ Paradise Park มีรายละเอียดดังนี้
บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ทุ่มงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เนรมิตสวนสวรรค์ของการช้อปปิ้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพตะวันออก Paradise Park (พาราไดซ์ พาร์ค) ปรับโฉมอาคารทั้งภายในและภายนอกทั้งหมดภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Oasis of Srinakarin” เสริมคุณภาพชีวิตของประชากรบนศรีนครินทร์ และรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัวทุกเพศทุกวัย ได้อย่างกว้างขวางที่สุด มองโอกาสเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสดใส พร้อมเปิดรับพันธมิตรร้านค้าแบรนด์ดังระดับแนวหน้าร่วมเป็นหนึ่งในความสำเร็จศูนย์การค้าแห่งอนาคต โดยให้เช่าพื้นที่แล้วกว่า 70% ของพื้นที่ทั้งหมดภายในเวลา 3 เดือน
นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล ประธานกรรมการ บริษัท เสรีเซ็นเตอร์ แมเนจเมนท์ จำกัด และ นางชฎาทิพ จูตระกูล รองประธานกรรมการ ร่วมกันกล่าวถึงการตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัท เสรีเซ็นเตอร์ แมเนจเมนท์ จำกัด ทั้งหมดมูลค่า 975 ล้านบาทในปี 2551 ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจของโลกอยู่ในช่วงขาลงและส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา แต่ทั้งสยามพิวรรธน์ และ เอ็ม บี เค มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน ชื่อเสียง และประสบการณ์ รวมทั้งศักยภาพในการทำศูนย์การค้าระดับแนวหน้าที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการมายาวนานกว่า 30 ปี จึงเห็นโอกาสทางธุรกิจของเสรีเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่อยู่ในทำเลที่ดีและอยู่ในใจของคนย่านศรีนครินทร์อยู่แล้ว ประกอบกับไม่มีศูนย์การค้าใหม่ขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่จากสุขุมวิทถึงก่อนชลบุรีมาเป็นเวลานานมากแล้ว จึงตัดสินใจลงทุนซื้อเสรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างให้เป็นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของโซนกรุงเทพตะวันออก
ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น เอ็ม บี เค ได้มอบหมายให้สยามพิวรรธน์ รับผิดชอบในการวางแนวทางปรับปรุงศูนย์การค้าใหม่ทั้งหมด และทำการให้เช่าพื้นที่ ทีมงานสยามพิวรรธน์จึงได้ทำการศึกษาวางแผนการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ เพื่อตอบรับกับการขยายตัวของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่มีจำนวนอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเขตพื้นที่โดยรอบ อาทิ เขตประเวศ พระโขนง บางนา สวนหลวง บางกะปิ สะพานสูง ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยทั้งสิ้นโดยประมาณ 1.4 ล้านคน โดยมีปัจจัยมาจากการเพิ่มจำนวนของโครงการหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่และระดับปานกลางถึงราคาสูง ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และ อพาร์ตเม้นท์ กว่า 70 โครงการ ที่อยู่รายล้อมเสรีเซ็นเตอร์ ตลอดจนการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งส่งผลให้อัตราการขยายตัวในโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว จากผลการวิจัยรายได้ต่อครัวเรือนของประชากรในพื้นที่โดยรอบดังกล่าวพบว่า จำนวนครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่า 50,000 บาทต่อเดือนมีสูงถึง 43% ของครอบครัวทั้งหมด ในขณะที่ทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร มีอัตราเพียง 20% เท่านั้น และมีครอบครัวจำนวนกว่า 28,000 ครอบครัวในเขตพื้นที่โดยรอบเสรีเซ็นเตอร์มีรายได้รวมสูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัว
สยามพิวรรธน์ และเอ็ม บี เค มีความเชื่อมั่นว่าการลงทุนถึง 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 290,000 ตารางเมตร ของบริษัทฯคนไทยด้วยกัน จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า อีกทั้งยังก่อให้เกิดภาพพจน์การลงทุนที่ดีของประเทศและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มลูกค้า เกิดการจ้างงานจ้างคนเป็นจำนวนมาก อันเป็นการสนองนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยตรง
ถือเป็นการพลิกโฉมของห้างเสรีมาร์เก็ต ให้กลายเป็นสวรรค์ย่านชานเมือง ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบวงจร โดยแบ่งเป็นศูนย์รวมแฟชั่น Fashion Avenue, Sport World, Loft และ Beauty Park ที่รวมแบรนด์ดังจากศูนย์การค้าใจกลางเมืองมากกว่า 100 แบรนด์ที่มี มาเอาใจทุกเพศทุกวัย
มาดูข้อมูลคู่แข่งกันบ้างครับ
ไอเกีย" เปิดเบื้องลึกบิ๊กดีล (8 ปี) จับมือสยามฟิวเจอร์แผ่อาณาจักร
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4105
สัมภาษณ์
หลังปล่อยให้เหล่าสาวกแฟนพันธุ์แท้ลุ้นเชียร์อยู่นานว่าจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่กันแน่ หลังเจอกระแสข่าวเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ล่าสุด "ไอเกีย" ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่สวีเดน จรดปากกาเซ็นสัญญากับ"สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์" สำหรับ การพัฒนาโครงการ "เมกะบางนา" โปรเจ็กต์มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางสักขีพยานล้นหลาม เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
และคงไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของไอเกียสโตร์ จากยอดขาย 2.3 หมื่นล้านยูโร จาก 300 สาขา ใน 35 ประเทศทั่วโลก "ทอม ฮูเซล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาโน่ จำกัด บริษัทที่ได้รับสิทธิ์ในการขายแฟรนไชส์ "ไอเกีย" ทั่วโลก ได้เปิดใจถึงความพร้อมของไอเกียสำหรับการเปิดตลาดในเมืองไทยทุกๆ รูปแบบ
- รูปแบบการเข้ามาลงทุนของไอเกียกับสยามฟิวเจอร์
เมื่อ 8 ปีก่อนตอนที่เข้ามาเซอร์เวย์ตลาดเมืองไทยได้เจอกับ คุณนพพร (นพพร วิฑูรชาติ ซีอีโอ สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์) ก็เลยได้พูดคุยกัน จนกลายมาเป็นการร่วมทุนโครงการเมกะ
บางนา และตั้งเป็นบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ เอสเอฟ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2.5 พันล้านบาท สยามฟิวเจอร์และอิโคโน่ถือหุ้นเท่ากัน ฝ่ายละ 49% และอีก 2% เป็นบริษัท เอส.พี.เอส.โกลเบิ้ลเทรด ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับไอเกียมาแล้วกว่า 20 ปี ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปีนี้ แล้วเสร็จต้นปี 2554
- รูปแบบการเข้าไปลงทุนของ "ไอเกีย" ในแต่ละประเทศเป็นแบบไหน
ขึ้นอยู่กับ กม.ของแต่ละที่ ถ้าเลือกได้ ชอบที่จะเข้าไปลงทุนเอง และส่วนใหญ่การลงทุนของไอเกียแต่ละประเทศก็เป็นแบบนั้น แต่บางประเทศก็ทำไม่ได้ เช่นเมืองไทย ที่ติดปัญหา กม.คนต่างชาติ จึงกลายมาเป็นการร่วมลงทุนแทน ในแต่ละภูมิภาคจะมี บ.อิโคโน่ ที่เป็นเหมือนบริษัทลูกของไอเกียดูแลแฟรนไชส์ ทำให้รูปแบบการลงทุนแต่ละแห่งต้องพูดคุยกันทั้งแฟรนไชซีและแฟรนไชซอร์ว่าอยากให้ร้านออกมาในแบบไหน
- มองตลาดเมืองไทยอย่างไร ต้องปรับเพื่อเข้ากับพฤติกรรมลูกค้ามากน้อยแค่ไหน
ตลาดค้าปลีกไทยมีขนาดใหญ่มาก เคลื่อนไหวรวดเร็ว มีการให้ความรู้และมี นวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนตลอดเวลา ขณะที่กลุ่มลูกค้าพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ทำให้การเปิดตลาดของไอเกียไม่มีความจำเป็นต้องมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้ามากนัก มีเพียงรายละเอียดสินค้าบางกลุ่มที่ต้องทำให้สอดคล้องกับการเลือกซื้อ เช่นขนาดความกว้างของเตียง แต่อื่นๆ คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไร
- หลังโครงการ "เมกะบางนา" ภาพของไอเกียเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
โครงการที่ไทยเป็นการเปิดแบบเต็ม รูปแบบครบวงจร ด้วยพื้นที่รวม 4 แสน ตร.ม. เป็นทั้งคอมมูนิตี้มอลล์และไอเกียที่เป็นแม็กเน็ตหลัก สำหรับร้านไอเกียเราจะเข้ามาบริหารเองและคาดว่าจะใช้งบฯลงทุน 3-4 พันล้านบาท
ซึ่งถ้าการตอบรับดี คือมีคนเข้ามาเดินจับจ่ายในร้านมากกว่า 5.5 ล้านคนต่อปี นั่นหมายความว่าเตรียมตัวขยายสาขาใหม่ได้เลย ตามแผนระยะยาวใน 10 ปี น่าจะมีไอเกียสโตร์ในกรุงเทพฯ 3 แห่ง
- ในโครงการ 2 และ 3 พันธมิตรร่วม โปรเจ็กต์ จำเป็นต้องชื่อสยามฟิวเจอร์หรือไม่
สยามฟิวเจอร์เป็น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดค้าปลีกของเมืองไทย ที่ผ่านมามีหลายๆ ค่ายเข้ามาพูดคุยและอยากทำงานร่วมกัน แต่การที่ไอเกียตัดสินใจร่วมงานกับสยามฟิวเจอร์ เพราะมีการทำงานที่คล่องตัวและรวดเร็ว เป็นทีมที่ทำงานสนุก โอเพ่นมายด์ และที่สำคัญเป็นทีมงาน young as heart เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
ที่ผ่านมาการลงทุนของเราจะมองตลาดเป็นสเต็ปบายสเต็ปไป ตอนนี้อยากโฟกัสที่เมกะบางนาก่อน ส่วนโครงการหลังจากนี้ค่อยว่ากันแต่ก็พร้อมเปิดรับทุกโอกาสที่จะเข้ามานะ
- การขยายสาขาแต่ละแห่งวางรูปแบบคอนเซ็ปต์สโตร์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ไอเกียสโตร์มีรูปแบบเดียวที่เหมือนกันทั่วทั้งโลก แต่ที่ผ่านมาก็เคยลองเปิด คอนเซ็ปต์ไอเกียไลฟ์ ทดลองทำในประเทศแถบยุโรปตะวันออก แต่มันไม่เวิร์ก ไม่ใช่วิถีทาง และไม่ใช่ตัวตนของไอเกีย จึงเลิกไป
- อะไรที่ทำให้ไอเกียประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศ
เรายึดหลักการทำงาน 4 อย่างเป็นคอร์ในการทำธุรกิจที่สร้างไอเกียสโตร์ให้เติบโตและแตกต่างจากคู่แข่งด้วยจุดแข็งของราคาที่สมเหตุสมผล ดีไซน์ที่ดี คุณภาพสูง และฟังก์ชั่นการทำงานที่เยี่ยม โดยราคาเฉลี่ยเราสามารถทำได้ถูกกว่าคู่แข่ง 10-30% เพราะใช้ระบบโกลบอลซอร์ซิ่ง 1,380 แห่ง จาก 54 ประเทศ เพื่อวางกระจายครอบคลุม 300 สาขาทั่วโลก
และเป้าหมายเพิ่มอีก 100 สาขา ในอีก 6 ปีข้างหน้าเป็นตัวสะท้อนการยอมรับ "ไอเกียสโตร์" ได้เป็นอย่างดี
โครงการเมกะบางนา หัวเลี้ยวสำคัญ..สยามฟิวเจอร์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2552 00:59
ถ้าให้ประเมินคร่าวๆ หลังโครงการเมกะ บางนาเปิดในไตรมาส 1 ปี 2554 จะทำให้สยามฟิวเจอร์มีผลประกอบการ “ทะยาน” ขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง'
นับตั้งแต่รายได้รวมและกำไรสุทธิของ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ เติบโตก้าวกระโดดเมื่อปี 2549 จากรายได้รวม 475 ล้านบาท เมื่อปี 2548 กระโดดเป็น 1,674 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิมีการเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวภายในปีเดียว หลังจากนั้นผ่านมาแล้วกว่า 2 ปีที่สยามฟิวเจอร์แทบจะไม่มีอัตราการเติบโต ขณะที่กำไรสุทธิก็ถดถอยมาอย่างต่อเนื่อง
มาตอกย้ำอีกครั้งเมื่อผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิเพียง 61.83 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 52% บ่งชี้ถึงอาการ "ฟอร์มตก" และยังหาจุดกลับตัวไม่เจอ สอดคล้องกับราคาหุ้น SF ที่ปกติเคยเคลื่อนไหวในกรอบ 10-12 บาท ตกลงมาเหลือเพียง 3.60 บาท
จนล่าสุด นพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ ได้สร้างจุดหักเหครั้งใหญ่ให้กับบริษัทด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมมากถึง "หนึ่งเท่าตัว" จำนวน 513.14 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.20 บาท เพื่อระดมทุนก้อนโต 615 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวจัดตั้งบริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท อิคาโน่ จำกัด (ในเครือไอเกีย) และบริษัท เอส.พี.เอส. โกลเบิ้ลเทรด จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท โดยสยามฟิวเจอร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 49% เพื่อดำเนินการสร้างศูนย์การค้า "เมกะ บางนา" ศูนย์การค้าคอนเซปต์ใหม่มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท รวมทั้งศูนย์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน "ไอเกียสโตร์" แห่งแรก
และเป็นศูนย์เฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม.9 ตัดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก คาดว่าจะสามารถดึงคนเข้าศูนย์ได้กว่า 40 ล้านคนต่อปี
ภายในโครงการเมกะ บางนา จะประกอบไปด้วย ไอเกียสโตร์ พื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม., ห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, ร้านอาหาร, ศูนย์รวมอุปกรณ์ไอที และศูนย์บันเทิงครบวงจร รวมทั้งที่จอดรถขนาดใหญ่กว่า 8,000 คัน เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
ปัจจุบัน IKEA มีสโตร์ทั้งหมด 285 แห่งทั่วโลก และมีลูกค้ากว่า 600 ล้านคน มียอดขายรวมในปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงินกว่า 22,000 ล้านยูโร (กว่า 1 ล้านล้านบาท) ฐานสำคัญของไอเกียอยู่ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก อันได้แก่ สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ก้าวนี้ของสยามฟิวเจอร์จึงน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
นพพร บอกว่า โครงการเมกะ บางนาจะมาต่อ “ฝัน” ของสยามฟิวเจอร์ที่ต้องการมีจำนวนพื้นที่ให้เช่ารวม 500,000 ตร.ม.เป็นความจริง จากปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่เช่ารวม 237,308 ตร.ม. และภายในปี 2554 จำนวนพื้นที่เช่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอีก 260,000 ตร.ม. และจะทำให้บริษัทมีพื้นที่เช่าทั้งหมดเป็นไปตามเป้าหมายคือ 500,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 100% ซึ่งจะส่งผลให้รายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม (เติบโตก้าวกระโดด) เช่นกัน
"ถ้าให้ประเมินคร่าวๆ ผมมองว่าหลังโครงการนี้เปิดในไตรมาส 1 ปี 2554 จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการ “ทะยาน” ขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะในแง่อัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสวิ่งขึ้นไปแตะ 40% ไม่ใช่เรื่องยาก"
เขา อธิบายว่า ที่ดินโครงการนี้เราซื้อไม่ได้เช่าเหมือนทุกโครงการ ฉะนั้นจะสามารถประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก แม้จะต้องมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น คาดว่าหลังโครงการนี้เปิดดำเนินการสยามฟิวเจอร์อาจมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดจากปี 2551 ที่มีรายได้รวม 1,697 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมโปรเจคใหม่ๆ ที่อาจผุดขึ้นภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ด้วย..ฟังแค่นี้ก็คงเห็นภาพชัดเจนแล้วนะ
"แม้ว่าจะช้ากว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าเราจะทำสำเร็จภายในปี 2553 แต่ก็สามารถทำได้ตามที่ปากพูดไว้ ผมไม่ได้ โม้ให้นักลงทุนตื่นเต้นไปวันๆ" นพพร พูดจริงจัง
สำหรับอนาคตของสยามฟิวเจอร์ ภายในอีก 10 ปีข้างหน้านับจากนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัท เล่าแผนการคร่าวๆ ให้ฟังว่า เราจะเปิดโครงการลักษณะเดียวกับเมกะ บางนา อีกประมาณ 3 ศูนย์ เพราะเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จแน่นอน โดยปัจจุบันบริษัทมีศูนย์การค้าแบบเปิด 29 แห่ง อาทิ เอสพลานาด (รัชดาภิเษก), เจ อเวนิว ทองหล่อ ซอย 15, เมเจอร์ อเวนิว รัชโยธิน, ดิ อเวนิว พัทยา, ดิ อเวนิว แจ้งวัฒนะ, สยามฟิวเจอร์ ทาวน์ เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 71 และสยามฟิวเจอร์ ทาวน์ เซ็นเตอร์ เกษตร-นวมินทร์ เป็นต้น ซึ่งทุกแห่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องเงินลงทุน นพพร ระบุว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะการเพิ่มทุนครั้งนี้ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (ถือหุ้น 24.10%) และพันธมิตรกลุ่มวิฑูรชาติ พร้อมจะเพิ่มทุนแน่นอน ถ้านักลงทุนรายย่อยคนใดวิตกกังวล ส่วนตัวอยากให้สลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป มันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิด
คิดว่าข่าวโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้น SF หรือไม่ นพพร ตอบว่า คงมีส่วนช่วยบ้าง บริษัทจะสวยขึ้นในสายตานักลงทุน และจากนี้ไปนักลงทุนจะรักเรามากขึ้น ใครที่ไม่เคยมองหุ้น SF จะเริ่มหันมามอง เพราะตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไปบริษัทวางเป้าหมายว่าจะต้องมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 30% ซึ่งในปี 2551 ทำได้แล้ว โดยขยับจาก 25.04% ในปี 2550 เป็น 33.66% และต้องรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ให้เกิน 1 เท่า ปัจจุบันอยู่ระดับ 1.2 เท่า
ส่วนในปี 2553 สยามฟิวเจอร์มีแผนจะปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 940 ล้านบาท ซึ่งเป็นในส่วนของหุ้นกู้ 1,100 ล้านบาท จากหนี้สินประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยอาจเลือกใช้วิธีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ก่อนเดือนสิงหาคม 2553 ก่อนที่หุ้นกู้ชุดนี้จะครบกำหนดชำระ
คิดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้จะเป็นอย่างไร เจ้าพ่อศูนย์การค้าแบบเปิด บอกว่า คงออกมา "อ่อนแรง" ลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากบริษัทได้รับรู้ค่าเซ้งโครงการย่านซอยเสนาไปแล้วเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เหลือการรับรู้รายได้ค่าเซ้งจากลูกค้าไม่มากนัก
"แต่ผมเชื่อมั่นว่าทั้งปี 2552 รายได้รวมจะเติบโตได้ประมาณ 10% เพราะช่วงเดือนมิถุนายนนี้ เตรียมเปิดโครงการ นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว เฟส 1 ถนนเกษตร-นวมินทร์ หน้าหมู่บ้านรอยัล เรสซิเดนท์ พื้นที่ 15,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท จะส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น และรายได้จากค่าเช่าพื้นที่เติบโตประมาณ 20% ขณะเดียวกันคาดว่าธุรกิจค้าปลีกในปี 2552 อาจเติบโตประมาณ 10%"
เขา บอกว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดรายได้และกำไรสุทธิในปี 2553 จะยังออกมาดี เพราะปีหน้ามีแผนจะเปิดโครงการ นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว เฟส 2 พื้นที่ 50,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่งผลให้มีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 350,000 ตารางเมตร แต่ถ้าได้ทำเลดีอาจเปิดโครงการเพิ่มเติม ปัจจุบันสยามฟิวเจอร์มีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 90% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด
ซีอีโอ สยามฟิวเจอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้บริษัทนี้จะไม่ใช่ธุรกิจใหญ่โต แต่เราสร้างตัวเองจากปี 2537 ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 513 ล้านบาท เพียงเท่านี้ส่วนตัวก็ภาคภูมิใจสุดๆ แล้ว
"ไอเกีย" คือแบรนด์ศูนย์การค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่จากสวีเดนซึ่งมีสาขาโยงใยไปทั่วโลก ดังนี้
แหล่งข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/IKEA
ที่น่าสังเกตคือ ที่ไหนมี IKEA ที่นั่นจะมี IKANO ซึ่ง IKANO Group เป็นแฟรนไชส์ของ IKEA ที่บริหารงานโดยคนในตระกูล Kampard ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก Ingvar Kampard ผู้ก่อตั้ง
IKANO Group ่ดำเนินธุรกิจ IKEA Store ในมาเลเซีย สิงคโปร์ และล่าสุดคือ ไทย นอกจากนี้ IKANO Group ยังดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภทในยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย เช่น ธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์ บริหารสินทรัพย์ ประกันภัย และธุรกิจค้าปลีก ในภูมิภาคเราประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกที่มีแบรนด์ศูนย์การค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์นี้ที่ชานเมือง KL (Damansara) และกำลังจะมีสาขาใหม่ที่เขตเศรษฐกิจใหมในรัฐยะโฮร์ (Johor) ทางตอนใต้ของประเทศติดกับสิงคโปร์เพื่อดึงดูดลูกค้าใน 2 ประเทศ
Did you know?
IKEA ในสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และอังกฤษ มีบริการ “BOKLOK” หรือ House Pack สำหรับคนที่ซื้อบ้านหลังแรก ด้วยคอนเซ็ปต์เหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ที่นำไปประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านเอง
เราคงได้เห็นพฤติกรรมคนกรุงย่านนั้นเปลี่ยนไป รวมถึงศูนย์การค้าเล็กๆ เท่านั้น ต้องปรับตัวหรือตายไป ยังครับนี่เพียงแค่เริ่มต้นของสงครามเท่านั้น คงต้องดูกันต่อไปยาวๆ
ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ โดย หลีจื้ออิง นักธุรกิจเจ้าของแบรนด์ Giordano
ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ comment แนะนำ
หนังสือ pocket book แนวบริหารธุรกิจ How-to ในหมวดจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง
สำนักพิมพ์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
“การอ่านคือรากฐานที่สำคัญ การอ่านหนังสือก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ไม่ใช่เพื่อค้นหาสูตรสำเร็จของความร่ำรวย ความสำเร็จที่ดูเหมือนเกิดขึ้นในทันทีนั้น ความจริงแล้วคือผลลัพธ์ที่ได้มาจากความรู้ ที่ซึมซับมาจากหนังสือเล่มนั้นนิด หนังสือเล่มนี้หน่อย หลักการตรงนั้นนิด วิชาตรงนี้หน่อย ผ่านการสั่งสม กลั่นกรอง จนตกผลึก” คำกล่าวของ หลีจื้ออิง ผู้เขียนหนังสือ “ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ”
ผมขอเริ่มจากตรงนี้ก็แล้วกัน เนื่องด้วยหนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าดีและน่าอ่านมากเล่มนึงในตลาดของพ็อกเก็ตบุ้คแนวอัตชีวประวัติ หรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีอยู่วันนึงก็ไปพบโดยบังเอิญในร้านซีเอ็ด เพราะก่อนหน้านี้เคยไปหาซื้อในร้านนายอินทร์ก็ไม่มีอาจจะขายดีจนหมดก็ได้ เลยไม่ได้ตาม พอมาเจอก็เลยรีบซื้อ และนำไปอ่านในวันนั้นเลย ก็ปรากฏว่าเป็นไปตามคาด บ่อน้ำตาผมแตกทีเดียว เพราะประเด็นในการผูกปม การเล่าเรื่องของผู้เขียน ไม่เหมือนเรากำลังอ่านชีวประวัติของคนมีชื่อเสียงอยู่ แต่เหมือนอ่านนวนิยายเสียมากกว่า เพราะมีการปูพื้น ขมวดปม มีการขัดแย้งซึ่งนำไปจุดไคลแม็กซ์ มีการคลี่คลายปม และบทสรุป เสมือนอ่านนวนิยายเล่มนึง และก็มีแง่มุมบางอย่างของตัวผู้เขียนคล้ายแง่มุมชีวิตของข้าพเจ้าเอง บางส่วนคล้ายแง่มุมชีวิตเพื่อนสนิทของเราก็มี ทำให้เราอินไปกับเนื้อหาเป็นอย่างมาก ประกอบกับตัวข้าพเจ้าเองก็มีปมในเรื่องที่เคยล้มเหลว ไร้ศักดิ์ศรีมาก่อน (underdog) จึงอินไปกับเนื้อหาเป็นอันมาก ผมคิดว่าได้รับข้อคิดจากชีวิตของคุณหลีจื้ออิงเป็นอย่างมากที่จะนำไปปรับใช้กับชีวิตของตนเองได้ ชีวิตเขาก็ลูกชาวบ้านเหมือนกับเรา ไม่ใช่ลูกเทวดามาจากไหน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนๆ นึงผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย ตกต่ำ แล้วก้าวมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้อย่างไรกัน จึงฝันว่าเราก็น่าจะทำอย่างเขาได้บ้าง สักวันจะต้องเป็นวันของเราบ้าง
เริ่มเนื้อหาตรงนี้ ขอเริ่มจากคำโปรยของหนังสือ “ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ จากเด็กอดอยากข้างถนน สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าชั้นนำระดับโลก และเจ้าพ่อวงการสื่อสิ่งพิมพ์ของฮ่องกงและไต้หวัน ผุ้มีทรัพย์สินกว่า 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ”
คุณหลีจื้ออิง บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครก็คือตัวเขาเอง เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ที่ชีวิตเคยดิ้นรน ตกทุกข์ได้ยาก เคยเป็นเด็กเสเพลทำงานกุลี ข้างถนน พื้นเพเขาเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ครอบครัวเป็นคนชั้นกลางพอมีอันจะกิน คุณพ่อเป็นพ่อค้าเคยมีกิจการด้านสิ่งทอเป็นของตนเอง แต่แล้วชีวิตก็พลิกผัน พอช่วงปี ค.ศ.1949 ในยุคปลดแอกของจีน ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ มีการทำสงครามปลดแอกระหว่างคน 2 กลุ่ม นั่นคือพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็ก กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ของประธานเหมาเจ๋อตุง ในยุคนั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจล่มสลาย ครอบครัวของหลีจื้ออิงโดยเฉพาะคุณพ่อของเขา ประสบกับภาวะล้มละลาย กลายเป็นคนจนเพียงชั่วข้ามคืน หลีจื้ออิงตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าพยายามหนีมาที่ฮ่องกง เขามาเพียงลำพังคนเดียวโดยทิ้งครอบครัวให้อยู่เบื้องหลัง มาตั้งแต่อายุ 11 ปี เข้ามาหางานทำ ด้วยความที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้จึงต้องมาเป็นกุลีก่อน แต่ด้วยมีพื้นฐานด้านสิ่งทออยู่บ้างจากครอบครัว ทำให้เขาได้เข้าไปฝึกงานที่โรงงานทักออน เป็นเด็กล้างพิมพ์ พิมพ์ผ้า กินนอนอยู่บนโต๊ะทำงาน ด้วยความที่เถ้าแก่เอ็นดู รวมถึงลูกชายเถ้าแก่ที่ไม่ถือตัว คบหลีจื้ออิงเหมือนเพื่อน แต่เขาทำอยู่ไม่นานก็ไปสมัครเป็นลูกจ้างโรงงานทอผ้าเซียนสือ ด้วยความที่หัวไว ทำงานเก่ง จึงได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการโรงงานในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยอายุเพียง 20 ต้น ๆ หลีจื้ออิงผ่านงานมาแล้วถึง 2 ที่ และตำแหน่งล่าสุดเป็นผู้จัดการโรงงาน แต่สุดท้ายเขาก็ลาออกจากเซียนสือ เพราะไปขัดแย้งกับตัวเถ้าแก่ตลอดจนญาติพี่น้องของเถ้าแก่ ที่ไม่พอใจที่หลีจือ้อิงว่าเป็นคนแข็งกระด้าง ดื้อรั้นไม่ยอมฟังนายจ้าง และไม่เคารพนบนอบให้กับบรรดาญาติพี่น้องของเถ้าแก่ เขาจึงตัดสินใจยอมหักไม่ยอมงอ ลาออกมา ซึ่งทำงานได้เพียงปีเดียว วลีที่คำพูดขึ้นในตอนนั้นก็คือ ต่อให้ต้องขายถั่วคั่วก็ขอเป็นเถ้าแก่เอง ก่อนหน้านั้นเขาเคยอยู่โรงงานทักออน เขามีเพื่อนสนิทที่ชื่อเหลียงจวี้หรง คนที่เคยเลี้ยงข้าวเขา เทคแคร์ตอนช่วงที่เข้าไปทำงานใหม่ๆ ยังไม่มีเงินกินข้าว แต่ก็ไม่กล้าไปขอใคร เพราะอยู่ในช่วงทดลองงาน เงินเดือนยังไม่ออก เหลียงจวี้หรงชอบเรียกหลีจื้ออิงมาร่วมทานข้าวของเขาด้วยกัน และเทคแคร์อยู่ถึง 15 วันจนถึงวันที่เงินเดือนก้อนแรกของหลีจื้ออิงจะออก ซึ่งหลีจื้ออิงซึ้งในน้ำใจมาจนถึงทุกวันนี้ และเพื่อนรักเพื่อนแท้คนนี้แหละเป็นคนเดียวกับลูกชายเถ้าแก่โรงงานทักออน หลีจื้ออิงให้เหลียงจวี้หรงเพื่อนรักช่วยพาไปหาคุณพ่อ และเล่าจุดประสงค์ให้คุณพ่อฟังว่าอยากทำธุรกิจร่วมกับลูกชายของท่าน แต่ยังไม่มีเงินทุน คุณพ่อเหลียงจวี้หรงฟังดูก็เห็นเข้าท่าและเห็นดีเห็นงามด้วย จึงรับปากว่าจะช่วยเหลือ นี่คือปฐมบทของการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม ไว้จะมาเล่าต่อว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไรกับก้าวแรกของหลีจื้ออิง ผู้คิดการใหญ่ อยากจะเป็นเถ้าแก่ คงต้องติดตามตอนต่อไป
“ผมไม่อยากเป็นคนเฝ้าศาลเจ้า ผมจะขอเป็นเจ้าเสียเอง”
หนังสือ pocket book แนวบริหารธุรกิจ How-to ในหมวดจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง
สำนักพิมพ์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
“การอ่านคือรากฐานที่สำคัญ การอ่านหนังสือก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ไม่ใช่เพื่อค้นหาสูตรสำเร็จของความร่ำรวย ความสำเร็จที่ดูเหมือนเกิดขึ้นในทันทีนั้น ความจริงแล้วคือผลลัพธ์ที่ได้มาจากความรู้ ที่ซึมซับมาจากหนังสือเล่มนั้นนิด หนังสือเล่มนี้หน่อย หลักการตรงนั้นนิด วิชาตรงนี้หน่อย ผ่านการสั่งสม กลั่นกรอง จนตกผลึก” คำกล่าวของ หลีจื้ออิง ผู้เขียนหนังสือ “ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ”
ผมขอเริ่มจากตรงนี้ก็แล้วกัน เนื่องด้วยหนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าดีและน่าอ่านมากเล่มนึงในตลาดของพ็อกเก็ตบุ้คแนวอัตชีวประวัติ หรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีอยู่วันนึงก็ไปพบโดยบังเอิญในร้านซีเอ็ด เพราะก่อนหน้านี้เคยไปหาซื้อในร้านนายอินทร์ก็ไม่มีอาจจะขายดีจนหมดก็ได้ เลยไม่ได้ตาม พอมาเจอก็เลยรีบซื้อ และนำไปอ่านในวันนั้นเลย ก็ปรากฏว่าเป็นไปตามคาด บ่อน้ำตาผมแตกทีเดียว เพราะประเด็นในการผูกปม การเล่าเรื่องของผู้เขียน ไม่เหมือนเรากำลังอ่านชีวประวัติของคนมีชื่อเสียงอยู่ แต่เหมือนอ่านนวนิยายเสียมากกว่า เพราะมีการปูพื้น ขมวดปม มีการขัดแย้งซึ่งนำไปจุดไคลแม็กซ์ มีการคลี่คลายปม และบทสรุป เสมือนอ่านนวนิยายเล่มนึง และก็มีแง่มุมบางอย่างของตัวผู้เขียนคล้ายแง่มุมชีวิตของข้าพเจ้าเอง บางส่วนคล้ายแง่มุมชีวิตเพื่อนสนิทของเราก็มี ทำให้เราอินไปกับเนื้อหาเป็นอย่างมาก ประกอบกับตัวข้าพเจ้าเองก็มีปมในเรื่องที่เคยล้มเหลว ไร้ศักดิ์ศรีมาก่อน (underdog) จึงอินไปกับเนื้อหาเป็นอันมาก ผมคิดว่าได้รับข้อคิดจากชีวิตของคุณหลีจื้ออิงเป็นอย่างมากที่จะนำไปปรับใช้กับชีวิตของตนเองได้ ชีวิตเขาก็ลูกชาวบ้านเหมือนกับเรา ไม่ใช่ลูกเทวดามาจากไหน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนๆ นึงผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย ตกต่ำ แล้วก้าวมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้อย่างไรกัน จึงฝันว่าเราก็น่าจะทำอย่างเขาได้บ้าง สักวันจะต้องเป็นวันของเราบ้าง
เริ่มเนื้อหาตรงนี้ ขอเริ่มจากคำโปรยของหนังสือ “ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ จากเด็กอดอยากข้างถนน สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าชั้นนำระดับโลก และเจ้าพ่อวงการสื่อสิ่งพิมพ์ของฮ่องกงและไต้หวัน ผุ้มีทรัพย์สินกว่า 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ”
คุณหลีจื้ออิง บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครก็คือตัวเขาเอง เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ที่ชีวิตเคยดิ้นรน ตกทุกข์ได้ยาก เคยเป็นเด็กเสเพลทำงานกุลี ข้างถนน พื้นเพเขาเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ครอบครัวเป็นคนชั้นกลางพอมีอันจะกิน คุณพ่อเป็นพ่อค้าเคยมีกิจการด้านสิ่งทอเป็นของตนเอง แต่แล้วชีวิตก็พลิกผัน พอช่วงปี ค.ศ.1949 ในยุคปลดแอกของจีน ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ มีการทำสงครามปลดแอกระหว่างคน 2 กลุ่ม นั่นคือพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็ก กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ของประธานเหมาเจ๋อตุง ในยุคนั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจล่มสลาย ครอบครัวของหลีจื้ออิงโดยเฉพาะคุณพ่อของเขา ประสบกับภาวะล้มละลาย กลายเป็นคนจนเพียงชั่วข้ามคืน หลีจื้ออิงตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าพยายามหนีมาที่ฮ่องกง เขามาเพียงลำพังคนเดียวโดยทิ้งครอบครัวให้อยู่เบื้องหลัง มาตั้งแต่อายุ 11 ปี เข้ามาหางานทำ ด้วยความที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้จึงต้องมาเป็นกุลีก่อน แต่ด้วยมีพื้นฐานด้านสิ่งทออยู่บ้างจากครอบครัว ทำให้เขาได้เข้าไปฝึกงานที่โรงงานทักออน เป็นเด็กล้างพิมพ์ พิมพ์ผ้า กินนอนอยู่บนโต๊ะทำงาน ด้วยความที่เถ้าแก่เอ็นดู รวมถึงลูกชายเถ้าแก่ที่ไม่ถือตัว คบหลีจื้ออิงเหมือนเพื่อน แต่เขาทำอยู่ไม่นานก็ไปสมัครเป็นลูกจ้างโรงงานทอผ้าเซียนสือ ด้วยความที่หัวไว ทำงานเก่ง จึงได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการโรงงานในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยอายุเพียง 20 ต้น ๆ หลีจื้ออิงผ่านงานมาแล้วถึง 2 ที่ และตำแหน่งล่าสุดเป็นผู้จัดการโรงงาน แต่สุดท้ายเขาก็ลาออกจากเซียนสือ เพราะไปขัดแย้งกับตัวเถ้าแก่ตลอดจนญาติพี่น้องของเถ้าแก่ ที่ไม่พอใจที่หลีจือ้อิงว่าเป็นคนแข็งกระด้าง ดื้อรั้นไม่ยอมฟังนายจ้าง และไม่เคารพนบนอบให้กับบรรดาญาติพี่น้องของเถ้าแก่ เขาจึงตัดสินใจยอมหักไม่ยอมงอ ลาออกมา ซึ่งทำงานได้เพียงปีเดียว วลีที่คำพูดขึ้นในตอนนั้นก็คือ ต่อให้ต้องขายถั่วคั่วก็ขอเป็นเถ้าแก่เอง ก่อนหน้านั้นเขาเคยอยู่โรงงานทักออน เขามีเพื่อนสนิทที่ชื่อเหลียงจวี้หรง คนที่เคยเลี้ยงข้าวเขา เทคแคร์ตอนช่วงที่เข้าไปทำงานใหม่ๆ ยังไม่มีเงินกินข้าว แต่ก็ไม่กล้าไปขอใคร เพราะอยู่ในช่วงทดลองงาน เงินเดือนยังไม่ออก เหลียงจวี้หรงชอบเรียกหลีจื้ออิงมาร่วมทานข้าวของเขาด้วยกัน และเทคแคร์อยู่ถึง 15 วันจนถึงวันที่เงินเดือนก้อนแรกของหลีจื้ออิงจะออก ซึ่งหลีจื้ออิงซึ้งในน้ำใจมาจนถึงทุกวันนี้ และเพื่อนรักเพื่อนแท้คนนี้แหละเป็นคนเดียวกับลูกชายเถ้าแก่โรงงานทักออน หลีจื้ออิงให้เหลียงจวี้หรงเพื่อนรักช่วยพาไปหาคุณพ่อ และเล่าจุดประสงค์ให้คุณพ่อฟังว่าอยากทำธุรกิจร่วมกับลูกชายของท่าน แต่ยังไม่มีเงินทุน คุณพ่อเหลียงจวี้หรงฟังดูก็เห็นเข้าท่าและเห็นดีเห็นงามด้วย จึงรับปากว่าจะช่วยเหลือ นี่คือปฐมบทของการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม ไว้จะมาเล่าต่อว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไรกับก้าวแรกของหลีจื้ออิง ผู้คิดการใหญ่ อยากจะเป็นเถ้าแก่ คงต้องติดตามตอนต่อไป
“ผมไม่อยากเป็นคนเฝ้าศาลเจ้า ผมจะขอเป็นเจ้าเสียเอง”
เหตุการณ์สำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของหลีจื้ออิง ก็คือ ช่วงปี 1960 ตอนนั้นเขาอายุ 11 ขวบ ตัดสินใจเดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อข้ามมายังเกาะฮ่องกงเพื่อไปแสวงหาโอกาสของชีวิตใหม่ หรือก็คือไปตายเอาดาบหน้า และนี่ก็คือการลำดับเหตุการณ์อันสำคัญในชีวิตของเขา
ปี 1949 ประเทศจีนปลดแอกประเทศ โดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาปกครองประเทศ ครอบครัวของเขาล่มจม ล่มสลาย สินทรัพย์ตกเป็นของรัฐบาล
ปี 1960 ตัดสินใจเดินทางออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่มายังเกาะฮ่องกงเพื่อแสวงหาโอกาสของชีวิตที่ดีกว่า
ปี 1972 ลงขันกับเพื่อนเปิดพอร์ตเล่นหุ้น โดยนำเงินโบนัสส่วนตัวจำนวน 7,000 เหรียญฮ่องกง รวมกับเพื่อนอีก 3,000 เหรียญ รวมกันเป็นเงิน 10,000 เหรียญ ไปเปิดพอร์ตโบรกเกอร์ ที่บริษัทหลักทรัพย์ ซันฮุงไก ซื้อขายหุ้นอยู่ร่วมปีกว่า ได้ทั้งกำไรและขาดทุน แต่ส่วนใหญ่จะได้กำไร หักกลบแล้วกำไรสุทธิกว่า 200,000 กว่าเหรียญ จึงตัดสินใจปิดพอร์ต แบ่งกำไรให้ตัวเองขั้นต้น 10 % เป็นค่าบริหารจัดการ เพราะตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจซื้อขาย ที่เหลือแบ่งกำไรตามสัดส่วนกับเพื่อน และนี่คือเงินทุนก้อนสำคัญก้อนแรก ที่ทำให้เขามีเงินไปลงทุนเปิดโรงงานกับหุ้นส่วนในเวลาต่อมา
ปี 1973 ตลาดหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกง ใกล้เข้าสู่ตลาดหมี เขาเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้น แต่หลีจื้ออิง รอดตัวมาได้ เพราะสัญชาติญาณที่เหมือนเข้ารู้ล่วงหน้า เขาตัดสินใจกรีดเลือดสาบานกับตัวเองว่าจะล้างมือจากอ่างทองคำ จะไม่หวนกลับไปเล่นหุ้นอีกเลยตลอดชีวิต การได้ลาภก้อนใหญ่นั้นมาได้มาจากอิทธิพลจากความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือการลงทุนหุ้นจำนวนมาก บทสัมภาษณ์นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว 1 ในหนังสือเล่มที่เป็นแรงบันดาลใจนั้น เขียนโดย เอ็ดวิน เลอแฟทัวร์
ปี 1974 ตลาดหุ้นฮั่งเส็งดิ่งเหว เข้าสู่ภาวะตลาดหมีเต็มตัว
ปี 1975 เขานำเงินทุนก้อนแรก 200,000 กว่าหยวน ร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนอีก 2 ราย เปิดโรงงานทอผ้ากงหมิง เป็นของตนเอง จากนั้นจึงซื้อกิจการโรงงานเสื้อไหมพรมย่านซันโผกง
ปี 1981 สร้างกิจการใหม่ ผลิตเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ จิออดาโน่ ( Giordano) เขาได้รับขนานนามเรียกชื่อใหม่ว่าจิมมี่ ไหล
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งนึงในชีวิตเขาต่อมาก็คือ การก่อตั้งโรงงานกงหมิงนั้น กลายเป็นโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าให้คนอื่นถึง 8 เดือนเต็ม เขาก็พบว่าสมมติฐานที่วางไว้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งหวังไว้ ออเดอร์ใหญ่จากอเมริกา ที่คิดว่าจะมาสั่งผลิตก็ไม่มาตามที่คิดไว้ หรือตกลงกันไว้ เนื่องจากผู้สั่งผลิตจากต่างประเทศไม่เชื่อในเรื่องคุณภาพ และระยะเวลาส่งมอบว่าจะผลิตให้ทันตามออเดอร์ จึงทำให้ความฝันนั้นพังครืนลงมา กับเงินลงทุนที่ได้ลงทุนไปจำนวนมาก จึงต้องปรับแนวคิดธุรกิจใหม่ ปรับโครงสร้างการลงทุนใหม่ ไปเป็นโรงงานขนาดเล็กรับจ้างผลิตงานรับช่วงต่อจากโรงงานใหญ่ สิ่งแรกๆ ที่เขาทำก็คือ ลงไปดูปัญหาของลูกน้องในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ว่ามีตรงไหนติดปัญหาอะไรแล้ววางแผนแก้ไขปัญหาให้ทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น ขจัดปัญหาการติดขัดในทุกขั้นตอน จึงพบว่าความเร็วคือกุญแจสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วงเวลา 8 เดือนเต็มได้ฝึกฝน หล่อหลอมประสบการณ์ทำให้เขาสามารถควบคุมต้นทุนคุณภาพ และแก้ปัญหาระยะเวลาส่งมอบสินค้าได้สำเร็จ ซึ่งเป็นพื้นฐานการรับงานออเดอร์ส่งออก ซึ่งต้องทำให้ได้ดีกว่า เร็วกว่า และราคาถูกกว่าของเจ้าอื่นให้ได้ จึงจะได้งาน
ชื่อตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตหลีจื้ออิง กัลยาณมิตร และผู้มีพระคุณที่เขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต มีจำนวนมากมาย ตัวละครหลักๆ มีดังนี้
-เหลียงจวี้หรง เพื่อนคนแรก รู้จักตอนอยู่โรงงานทักออน เป็นคนที่มีน้ำใจเลี้ยงข้าวหลีจื้ออิงอยู่ 15 วัน ก่อนเงินเดือนจะออก เพราะยังไม่มีตังค์กินข้าว กลายมาเป็นหุ้นส่วนหลักคนสำคัญในภายหลัง
-เหลียงเสวียจวิน เป็นบิดาของเหลียงจวี้หรง และเป็นกรรมการท่านนึงของโรงงานทักออน เป็นผู้ผลักดันให้ทั้งหลีจื้ออิงและเหลียงจวี้หรง ก่อตั้งโรงงานกงหมิงขึ้น โดยช่วยหาพันธมิตร และเงินทุนซัพพอร์ตให้อยู่เบื้องหลังคนทั้งคู่
-คุณหวง เพื่อนของเหลียงเสวียจวิน เป็นผู้ขายวัตถุดิบหลักให้โรงงานกงหมิงมาตลอด และเป็นหุ้นส่วนคนที่ 3 ของกงหมิง
-คุณหม่า เจ้าของโรงงานผลิตเสื้อไหมพรมรายใหญ่ของฮ่องกง ที่คิดจะซื้อกิจการตรงซันโผกง แต่สุดท้ายโดนอุบายหลอกล่อของหลีจื้ออิงทำให้ตัดสินใจไม่ซื้อกิจการแข่งกับ กงหมิง
-EDDIE LO ผจก ห้าง J.C. PENNY สาขาฮ่องกง เป็นคนพาหลีจื้ออิงไปพบ JOE PAPA หน.ฝ่ายจัดซื้อ เสื้อผ้าสตรี
-JOE PAPA หน.ฝ่ายจัดซื้อแผนกเสื้อผ้าสตรี ของ J.C PENNY นิวยอร์ค เมื่อหลีจื้ออิงมาขอเข้าพบ เขาให้ดูเสื้อผ้าตัวอย่าง 10 กว่าแบบ แล้วตั้งโจทย์ให้กับหลีจื้ออิงว่า ให้ผลิตเสื้อ 5 แบบ แบบละ 300 – 600 โหล ให้แจ้งราคามา พร้อมต้องส่งมอบสินค้าให้ได้ภายใน 75 วัน ถามว่าทำได้หรือไม่ หลีจื้ออิงกลับมาครุ่นคิดและตัดสินใจว่าจะเดินหน้าสู้ เพื่อขอออเดอร์นี้เป็นใบเบิกทางให้ได้ กลยทธ์ของเขาก็คือไปเดินในห้างดังที่สุด แล้วหยิบเสื้อผ้าที่ดูคล้ายกันกับตัวอย่างที่ JOE PAPA ใหดู มาแกะแบบเพื่อดูวัสดุ วัตถุดิบที่ใช้ผลิตทั้งหมด จากนั้น applied วัตถุดิบที่ดีกว่าใส่ลงไปแทน จากนั้นคำนวณต้นทุนให้ถูกที่สุด ผลิตเป็นตัวอย่าง จากนั้นยอมบินตรงไปหา JOE PAPA ถึงนิวยอร์ค เพื่อให้เขาดูตัวอย่างเสื้อที่ผลิตเสร็จแล้วตามที่ต้องการ
JOE PAPA ทั้งพอใจและเซอร์ไพร์ส ที่หลีจื้ออิงไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมา ซึ่งเป็นเวลาที่รวดเร็วมาก JOE PAPA จึงให้ออเดอร์ตามนั้นแก่หลีจื้ออิงไป พร้อมกับให้ออเดอร์แบบเดียวกันนั้นเพิ่มไปอีก 2,300 โหล และยังแนะนำ หน.ฝ่ายจัดซื้อของแผนกอื่นๆ ให้ร่วมงานกับเขาอีกด้วย การที่หลีจื้ออิงได้งานนั้น เกิดจากการทุ่มเทจริงจัง ใส่ใจ และสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นแบบสุดๆ แก่ JOE PAPA ยอมทำตัวอย่างสินค้าแม้จะต้องเพิ่มต้นทุนสูง กำไรแทบจะไม่มี แต่เพื่อจะให้ได้งานเป็นใบเบิกทางให้ได้งานที่ใหญ่กว่า และต่อเนื่องระยะยาว จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก
-BILL MILKEN หน.ฝ่ายจัดซื้อ ห้าง K-MART คือกัลยาณมิตรคนต่อมาของหลีจื้ออิง เขาและภรรยาคือ เคท ชวนให้หลีจื้ออิง ไปพักที่บ้านทุกครั้งที่มานิวยอร์ค และตัวภรรยาชอบเล่าวรรณกรรมคลาสสิคให้เขาฟัง เอาหนังสือดีๆ มาให้เขาอ่าน หลีจื้ออิงชอบอ่านแต่หนังสือแนว HOW-TO จนวันนึง บิลแนะนำเพื่อนที่เป็นทนายให้หลีจื้ออิงรู้จัก ทนายคนนั้นก็แนะนำหนังสือ 1 เล่มให้หลีจื้ออิงอ่าน และหนังสือเล่มนี้เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงชีวิต วิธีคิด เขาไปตลอดกาล หนังสือเล่มที่ว่าชื่อ The Road to Serfdom (หนทางสู่ความเป็นทาส) ของนักเขียนชื่อ ฟรีดวิช เอ. ฮาเย็ด หนังสือเล่มนี้เปิดประตูแห่งการแสวงหาความรู้ให้เขา มันได้เปลี่ยนชีวิต และทำให้หลีจื้ออิงเข้าใจ กระจ่างเรื่องของชีวิตและการทำธุรกิจมากขึ้น เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่แก่เขา
-LU เป็นเพื่อนสนิทของ Bill เคยเป็นพนักงานขายของบริษัทอ็อกฟอร์ดเชิ้ต ปัจจุบันลูเป็นผู้นำเข้าเสื้อสูทชื่อดังของนิวยอร์ค ลูเคยเตือนสติ หลีจื้ออิง ที่เป็นคนทะเยอทะยานสูงว่า “คุณควรทำงานตามอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม คุณถึงจะมีกำลังเพียงพอ เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เพราะเมื่อทำเช่นนี้ สภาพแวดล้อมทั้งหมดจะกลายเป็นแนวหนุนให้คุณ และผลักดันให้คุณก้าวหน้า “ “การรีบร้อนอยากได้ความสำเร็จ จะทำให้คุณหลุดออกจากแรงขับและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งสวนทางกับจุดประสงค์ร่วมกันของคนรอบข้าง และทำให้สูญเสียพลังเกื้อหนุนจากมวลชน การทำงานจะเหนื่อยเปล่า สักวันคุณก็จะหมดแรง หมดไฟ สุดท้ายก็ล้มเหลว ดังนั้นไม่ว่าส่วนตัวคุณจะมีกำลังมากมายแค่ไหน และไม่ว่าคุณจะใจร้อนแค่ไหน คุณก็จะไม่สามารถ ทำให้โลกก้าวไวไปกว่าตัวของมันเองได้”
หลีจื้ออิงเริ่มเรียนรู้ว่า “วิธีการหรือระเบียบการทำงานเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ แต่หลักการและจรรยาบรรณห้ามเปลึ่ยนเด็ดขาด เพราะนั่นคือจุดประสงค์ร่วมและพลังของมวลชน ซึ่งเป็นดังจุดค้ำจุนอันเป็นเสาหลักที่ค้ำยันความสำเร็จ หากสูญเสียกำลังหนุนสำคัญนี้ไป เราก็จะสูญเสียข้อได้เปรียบ แล้วมีหรือธุรกิจจะไม่ล้ม”
ปรัชญาแนวคิดที่ได้จากประสบการณ์ชีวิตของหลีจื้ออิง ได้แก่
-ต่อให้ต้องขายถั่วคั่ว ก็ขอเป็นเถ้าแก่เอง สามารถกำหนดอนาคตและการตัดสินใจของตนเองได้ มันจะถูกหรือผิดแต่ก็กำหนดโดยตัวเรา
-ผมไม่อยากเป็นคนเฝ้าศาลเจ้า ผมจะเป็นเจ้าเสียเอง ที่มาของการที่เขาออกมาตั้งกิจการเป็นของตนเอง ไม่ขอเป็นลูกจ้าง
-ความพยายามสำคัญกว่าความโชคดี บทพิสูจน์นี้มาจากการที่เขาได้งานออเดอร์แรกชิ้นใหญ่จาก JOE PAPA
-การอ่านหนังสือก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ไม่ใช่เพื่อค้นหาสูตรสำเร็จของความร่ำรวย ข้อคิดนี้ได้มาจากตอนที่เขาตัดสินใจจะลงทุนเล่นหุ้น เขาแสวงหาความรู้เอง โดยเข้าออกร้านหนังสือเพื่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนทุกชนิด บางเล่มซื้อมาอ่านที่บ้าน เข้าออกร้านหนังสืออยู่ทุกวันหลังเลิกงานวันละหลายชั่วโมง เพื่อหาหนังสืออ่านเป็นเวลา2-3 เดือน จนรู้ทุกกลเม็ดของการลงุทน ทุกแง่มุม และก็ลองหาประสบการณ์จากการเปิดพอร์ตเล่นเอง นำมาซึ่งลาภก้อนใหญ่ ที่ต้องบอกว่าเป็นจังหวะชีวิตและดวงมากกว่าเสียส่วนใหญ่ แต่ความรู้ตรงนี้เขาได้นำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยในเวลาต่อมา ซึ่งโดยนิสัยเขาเป็นคนกล้าเสี่ยง และพยายามปิดประตูความเสี่ยงทุกรูปแบบ ได้แล้วเลิก ในทุกเกมการพนันหรือการแข่งขัน เรียกว่าปิดประตูแพ้ได้เลยสำหรับเขา
-การแสวงหาความรุ้ ก็เพื่อค้นหาสัจธรรม ไม่ใช่เพื่อหาเงิน ข้อคิดนี้ได้ตอนที่เพื่อนทนายของ Bill ให้เขาอ่านหนังสือชื่อ The Road to Serfdom เป็นหนังสือที่เป็นทั้งแรงบันดาลใจและเปิดประตูความคิดไปสู่วิธีคิดแบบใหม่ ที่เข้าใจชีวิตและการทำงานมากขึ้น
-ความสำเร็จที่ดูเหมือนเกิดขึ้นในทันทีนั้น ความจริงแล้วคือผลลัพธ์ที่ได้มาจากความรู้ที่ซึมซับมาจากหนังสือเล่มนั้นนิด เล่มนั้นหน่อย หลักการตรงนั้นิด วิชาตรงนี้หน่อย ผ่านการสั่งสม กลั่นกรองจนตกผลึก ทั้งการหาความรู้และการธุรกิจต่างได้รับผลจากการลงมือปฏิบัติจริง การค้นคว้าด้วยการลงมือเท่านั้น จึงจะทำให้เชาวน์ปัญญาเกิด แต่กระบวนการดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจากหนังสือต่างเล่มกัน และการใช้วิธีการเช่นนี้ จึงจะเกิดความรู้แจ้ง
สิ่งที่เขาเคยพลาดหรือล้มเหลวคืออะไร
ใช่ว่าเขาจะประสบแต่ความสำเร็จ สิ่งที่เขายอมรับว่าเคยประสบกับความผิดพลาดล้มเหลว และนำมาสรุปเป็นบทเรียน ได้แก่ การทำเว็บไซต้ขายสินค้าออนไลน์ชื่อว่า แอดมาร์ท ที่เขาประเมินผิด คิดง่ายๆ ว่าตลาดสินค้าออนไลน์เป็นตลาดใหญ่ที่กำลังจะมา แต่ลืมคิดไปว่าภาพเบื้องหน้าแม้จะเห็นเป็นขุนเขาแต่แท้จริงมันไม่ใช่ขุนเขา มันเป็นเพียงหนทางที่จะต้องเดินไปให้ถึง และทางนั้นคดเคี้ยว กว่าจะไปถึงตัวจริงๆ ของขุนเขาที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น มันไกลเกินกว่าจะทนรอความสำเร็จได้ เขาสรุปบทเรียนนี้เป็นคำตอบไว้ 3 ข้อดังนี้
1 ธุรกิจนี้ใช้เวลานานเกินไป เวลาสิบยี่สิบปีนี้ ภายในฮ่องกงไม่อาจมีลูกค้าที่ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ทได้มากเพียงพอ
2.ฮ่องกงไม่มีวันเกิดมวลวิกฤตได้ตลอดกาล หมายถึง กระบวนการที่ต้องการปริมาณคนหรือทรัพยากรจำนวนหนึ่ง กิจการนั้นจึงจะดังระเบิดได้ ถ้าเป็นบ้านเราเขาเรียกง่ายๆ ว่ากระแส ถ้าไม่มีกระแสเกิดยาก
3.สำหรับอนาคตที่มองเห็นได้ ฮ่องกงไม่มีวันเกิดมวลวิกฤตพอที่จะทำให้ธุรกิจตัวนี้สร้างกำไรได้
ตอนที่เขาทำเสื้อผ้าแบรนด์ดัง GIORDANO การตั้งชื่อเขาใช้ภาษาอิตาเลียน เพื่อให้คนไม่ทราบว่าเป็นสินค้าแบรนด์ของคนฮ่องกง เพื่อว่าจะได้ขยายไปยังตลาดต่างประเทศได้ง่าย จุดผิดพลาดในช่วงแรกที่เริ่มกิจการใหม่ๆ ของเขาก็คือ การนำสินค้าไปฝากขายรวมกับสินค้าแบรนด์อื่นในห้าง ทำให้สินค้าไม่โดดเด่นพอ สู้คู่แข่งอื่นไม่ได้ ทำให้เขาตัดสินใจเปิดร้านภายใต้แบรนด์ของ GIORDANO ขึ่นเอง และนี่คือจุดผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วงเริ่มต้นกิจการ
1.เปิดร้านโดยคำนึงถึงต้นทุน หาทำเลที่ไม่แพง เพื่อประหยัดต้นทุน แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ยอดขายดี เพราะทำเลที่ไปเปิด แทบไม่มีลูกค้าเข้าร้าน แม้ประหยัดต้นทุนได้ดี แต่สุดท้ายไม่มียอดขาย สุดท้ายก็ต้องเจ๊งอยู่ดี เขาตัดสินใจหาทำเลดีที่สุด ลงทุนกับร้านที่ไฉไลกว่าเดิม หน้าร้านเด่น และจ้างพนักงานที่มีความสามารถ โดยให้สวัสดิการที่ดีจูงใจให้อยู่ทน เพื่อเป็นตัวจูงใจสร้างยอดขาย ภายหลังแม้ต้องแบกภาระต้นทุนสูงในช่วงแรก แต่สุดท้ายยอดขายดี ทำให้ร้านอยู่ได้
2.การออกแบบสินค้าจำนวนมาก หลากหลายแบบ มีหลายสี หลายขนาด ทำให้กระบวนการผลิตยุ่งยาก ไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ อีกทั้งเมื่อฤดูกาลสินค้ามาไว แบบสินค้าเปลี่ยนไว ความนิยมก็เปลี่ยน สินค้าเก่าจึงล้นสต็อก แถมยังต้อง launch สินค้าตัวใหม่ออกมาทับไลน์สินค้าเก่า ทำให้ต้องลดราคาสินค้าตัวออก เป็นการทำให้ภาพพจน์สินค้าในร้านมีแต่ของลดราคา
เขาตัดสินใจลดแบบสินค้าลง ลดสี ลดขนาด หันมาเน้นความเรียบง่ายของแบบเพื่อให้แบบนึงอยู่ได้นาน และหันมาโฟกัสกับสินค้าในแบบที่ผลิตขายดี หันมาเน้นในแบบนั้น โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยควบคุมสต็อกสินค้า และผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการสินค้าในแต่ละช่วง สินค้าตัวไหนแบบไหนขายดี ต้องมีโชว์อยูในหน้าร้านให้เพียงพอและเห็นเด่นชัดเพื่อเรียกลูกค้าไปด้วยในตัว
สินค้าแบรนด์ GIORDANO ของเขาเคยเกือบจะตายจากตลาดไปแล้ว เมื่อเจอสินค้าคู่แข่งอย่าง G2000 ตอนที่สินค้ายังมีปัญหาอยู่นั้น เขาได้ให้หุ้นส่วนท่านอื่นมาบริหารงานแทนไปก่อน ภายหลังเขาคิดแก้ปัญหาธุรกิจตัวนี้ได้ จึงกลับเข้ามาบริหารใหม่ในช่วงปี 1986 และทำการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ ปรับภาพลักษณ์สินค้าใหม่ แก้ปัญหา 2 ข้อดังกล่าวไปได้ ทำให้ทุกวันนี้ สินค้าแบรนด์ดังกล่าวยังคงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองจนถึงปัจจุบัน ขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากมาย
กล่าวโดยสรุปแล้ว การจะได้มาซึ่งความสำเร็จของคนแต่ละคนไม่ใช่จะได้มาได้โดยง่าย ขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะของความรู้และประสบการณ์ โชคช่วย จังหวะชีวิต ความกล้าตัดสินใจ และอะไรอีกหลายอย่าง ดังบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อว่า ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จนั่นเอง การได้อ่านหนังสือเล่มนี้จึงน่าจะได้อ่านประสบการณ์ชีวิตของคนๆ นึงที่เป็นเสียยิ่งกว่าคัมภีร์บริหารจัดการดีๆ ซักเล่มนึงเสียอีก เพราะการอ่านหนังสือ text book คุณจะได้เพียงทฤษฎีที่ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าจะทำได้ตามที่หนังสือเขียนบอกหรือเปล่า แต่การอ่านประสบการณ์ชีวิตของคุณหลีจื้ออิงนั้นผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่ามันคือของจริงที่ผู้ใดจะนำไปปรับใช้หรือลอกเลียนแบบในบางมุมก็น่าจะให้คุณประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Ideality -Do its myself อัตลักษณ์ทางความคิด ทำมันด้วยตัวฉันเอง
เรื่องเล่าผลงานที่มาจากไอเดียของผมเอง
เรื่องสนุกๆ เรื่องแรกที่ผมอยากจะเล่าก่อนก็คือ ผมเป็นคนแรกที่คิดค้นวิธีการทำโพลล์และจัดอันดับความนิยมในห้องเรียน ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ในระดับอนุปริญญา หรือ ปวส.ตอนช่วงที่เรียนเทอมสุดท้ายแล้ว ใกล้เวลาที่เพื่อนในห้องจะต้องเรียนจบและแยกย้ายกันไปเรียนต่อหรือทำงาน ช่วงนั้นเป็นปี 2531 ผมตั้งคำถามในใจว่า เอ๊ะเรายังรู้จักเพื่อนไม่หมดทุกคนในห้องเลยทั้งๆ ที่ในห้องเราก็มีกันอยู่แค่ 30 กว่าคนเอง แต่เราคบหรือสนิทกันอยู่ในกลุ่มเพียงแค่ไม่เกิน 5-6 คนเท่านั้นเอง จะทำอย่างไรนะเราถึงจะรู้จักเพื่อนให้ครบทุกคนและเป็นการจัดอันดับความนิยมในตัวเพื่อนโดยแบ่งเป็นด้านต่างๆ เช่น เพื่อนที่แต่งกายดีสุดฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เพื่อนที่มีบุคลิกภาพดีที่สุดฝ่ายชายและหญิง เพื่อนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีทีสุดฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เป็นต้น จึงเกิดไอเดียจัดทำโปรเจ็คท์ที่เรียกว่า รางวัลแด่คนช่างฝัน ตั้งรางวัลขึ้นมาประมาณ 10 รางวัลดังกล่าว และแจกรางวัลกันเอง โดยใช้แบบฟอร์มสำรวจในหัวข้อต่างๆ 10 ด้านด้วยกัน และให้ทุกคนในห้องมีส่วนในการโหวต โดยลงชื่อได้ชื่อเดียวในแต่ละหัวข้อ จากนั้นผมก็ระดมเพื่อนๆ มานั่งสรุปวิเคราะห์ผล ใครได้รับคะแนนโหวตในด้านใดมากที่สุดคือผู้ได้รับรางวัลในด้านนั้นไป ปรากฏว่าเป็นที่ฮือฮาและสนุกสนานมากในหมู่เพื่อนห้องเรา สุดท้ายทุกคนก็ได้รับความสุข ความประทับใจ สนุกสนานกันไปตามวัตถุประสงค์ที่ผมตั้งหวังไว้ และแน่นอนที่สุด ตัวผมเองก็ยังได้รับการชื่นชมจากเพื่อนในห้องรวมถึงได้รับรางวัล ความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมไปด้วย ในฐานะผู้คิดริเริ่มรางวัลดังกล่าว เรื่องเล่าเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องการจัดทำแม็กกาซีนในกลุ่มเพื่อน คล้ายๆ เป็นสื่อกลางระหว่างเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งแก็งค์เราชื่อว่า แก็งค์คาราบาว ผมก็อีกแหละเป็นคนริเริ่มทำแม็กกาซีนที่ชื่อว่า trio magazine แปลว่า 3 เพราะเราสนิทกันอยู่ 3 คน คือ ชาติ เล็ก แดง (คือตัวผมเอง) เนื่อหาก็ไม่มีอะไรคือ กัด แทะโลม ด่า ซุบซิบนินทา เพื่อน ครู อาจารย์สมัยเรียน และเอาพฤติกรรมของเพื่อนที่เราสนิทมาอำ มาหยอกล้อ เล่นกัน หรือเอาคำพูดที่เป็นคำพูดติดปากของแต่ละคนมาอำ มาแซวกันเล่น ปรากฏว่าทำอยู่ได้ 2-3 ฉบับ สมาชิก 1 ใน 3 ของกลุ่มก็มาถึงแก่กรรมลง ทำให้ผมต้องปรับรูปแบบและเปลี่ยนชื่อมาเป็นหยิกแกมหยอก และขยายฐานวัตถุดิบหรือเพื่อนที่จะนำมาแซวให้กว้างขึ้น จึงเอาเพื่อนที่ทำงานมาแซวด้วย รวมถึงเพื่อนนอกกลุ่มสนิท ซึ่งก็ดำเนินมาได้ 3-4 ฉบับก็ต้องเลิกราลงไป เพราะทำอยู่คนเดียว ไม่มีเวลาและคนช่วยเหลือ จึงเป็นที่มาของชื่อเว็บบล็อกอันนี้ที่ยังยืมชื่อแม็กกาซีนหยิกแกมหยอก (แม็กกาซีนในฝัน) ของผมเองมาใช้เป็นชื่อเว็บบล็อกอันนี้ด้วย เรื่องเล่าเรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของสินค้าตัวแรกที่ผมกับเพื่อนที่ชื่อว่าสุชาติ ร่วมกันคิดค้น ผลิตขึ้นมาขาย เป็นครั้งแรกของโลก ถูกต้องแล้วครับคุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะมันเป็นผลิตผลที่เราคิดว่าเราคงเป็นคนคิดและผลิตขึ้นมาครั้งแรกในโลก จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ นั่นคือกรอบรูปโมเดลตู้ถ่ายสติกเกอร์ ขยายความนะครับ ก็คือกรอบรูปที่มีรูปร่างเหมือนตู้ถ่ายสติกเกอร์ที่ฮิตมากเมื่อซัก 10 ปีที่แล้วในบ้านเรานั่นเอง ความเป็นมาก็เกิดขึ้นมาจาก ในช่วงปี 2540 เป็นช่วงเวลาภายหลังจากเพื่อนสนิทของเราคนนึงที่ชื่อว่าเล็กเสียชีวิตไป ผมกับสุชาติเรามองหาธุรกิจทำกันเป็น sideline ตอนนั้นผมยังทำงานประจำอยู่ ส่วนสุชาติก็เพิ่งลาออกจากบริษัทลิสซิ่งแห่งหนึ่งมา ออกมาค้าขายเล็กๆ น้อยอยู่ และสุชาติมีไอเดียอยากจะทำกรอบรูป โดยสุชาติเพิ่งไปฝึกวิชาการทำเรซิ่นมา จึงอยากทดลองแกะแบบ (แถวบ้านเรียกว่าก็อปปี้) งานสวยๆ ดู จึงไปลองซื้อกรอบรูปมาหลายแบบมากเพื่อจะก็อปงานออกขาย ตั้งแต่กระจกเงาขนาดใหญ่ที่มีรูปปลาโลมาติดอยู่ งานโมเดลฟิกเกอร์หลายอย่างที่มาจากภาพยนตร์ เช่น คนเหล็ก ตัวละครจากสตาร์วอร์ หรือไดโนเสาร์ แต่ก็ไม่เวิร์ค มาเจอกรอบรูปสี่เหลี่ยมอยู่อันตรงด้านข้างมีดอกกุหลายขนาบติดอยู่ จึงปิ๊งไอเดียว่าจะก็อป กรอบรูปนี้ไปสอยมาเลยจากร้าน country living ชั้น 3 ศูนย์การค้าเวิลด์เทรด (สมัยนั้นยังไม่ได้ renovate เป็นเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) ผลงานนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ผมเห็นว่าสุชาติเอาจริงและทำออกมาได้เนียน และประณีตเหมือนต้นฉบับเด๊ะ จึงเชื่อใจในเครดิตความสามารถของสุชาตินับแต่นั้นมา และเราก็เอาผลงานชิ้นนี้แหละไปหาเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่าตัน เพื่อชวนมาร่วมลงทุน แต่ปรากฎว่าตันไม่ชอบและไม่เห็นด้วยที่จะก็อปงานของคนอื่นขาย และตั้งโจทย์ให้พวกเราลองคิดผลิตกรอบรูปที่เป็นไอเดียต้นฉบับจากมันสมองของพวกเรากันเอง นี่แหละคือโจทย์หินที่ผมกับสุชาติไปนอนคิดกันหลายคืน ก็คิดไม่ออก มีอยู่วันนึงผมกับสุชาติได้มีโอกาสไปเดินเล่นกันที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง สมัยนั้นต้องถือว่าเป็นห้างที่ทันสมัยสุดในกรุงเทพฯแล้ว แฟชั่นถ่ายรูปสติกเกอร์กำลังระบาดและอยู่ในช่วงบูมท้ายๆ ของมันแล้ว เพราะเข้ามาฮิตได้ 4-5 ปีแล้ว ช่วงที่ผมพูดถึงนั้นคือปี 2540 ผมพบว่าตู้ถ่ายสติกเกอร์มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง พบเห็นมากกว่าตู้เย็นหรือตู้โทรศัพท์เสียอีก ทั้งห้างมีมากกว่า 10 ตัว ยังไม่นับย่านสยามสแควร์อีกเพียบเลย ผมเดินผ่านหน้าตู้สติกเกอร์ไปแล้วก็แอบพูดขึ้นลอยๆ ว่าโมเดลตู้สติกเกอร์มันช่างมีหลายหน้าตา หลายรูปร่าง คนคิดก็ช่างสร้างสรรค์จริงๆ ใครเป็นคนคิดนะ เก่งจังเลย เอ๊ะถ้ากรอบรูปเรามีหน้าตาคล้ายรูปร่างตู้สติกเกอร์ก็คงเก๋นะ นั่นไง โป๊ะเช๊ะเลยผมเกิดปิ๊งไอเดียนั้นโดยบัดดล ผมหันมาบอกเพื่อนสุชาติว่า เฮ้ยชาติมึงก็ปั้นโมเดลเก่ง มึงลองปั้นแบบโมเดลตู้สติกเกอร์หน่อยสิวะ ทำให้เหมือนเลยนะ และตรงหน้าจอก็คือกรอบรูปที่เอาไว้ใส่รูปไงขนาดจิ๋ว ๆ เก๋เป็นบ้าเลยนะ ถ้าทำได้ ภายหลังจากวันนั้นที่คิดไอเดียได้ผ่านไปเกือบ 4 เดือน โมเดลกรอบรูปพิมพ์แรกก็เสร็จ และเป็นที่มาของธุรกิจกรอบรูปโมเดลตู้ถ่ายสติกเกอร์ของผมกับสุชาติ เราทำไปวางขายไป พัฒนาสินค้าไป เป็นเวลาเกือบ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะเลิกโปรเจ็คท์นี้ไป ร้านแรกที่เราวางขายคือ gumption ที่จตุจักรโครงการ 3 ร้านต่อมาคือร้านอะไรผมจำไม่ได้แล้วแต่อยู่ที่ สยามเซ็นเตอร์พ้อยท์ และร้านต่อมาคือ country living ที่เวิลด์เทรด และอีกหลายร้านต่อๆ มา กระจายทั่วกรุงเทพฯกว่า 10 สาขา ทำยอดขายไปได้เกือบ 600 ชิ้น (ซึ่งรวมหลายแบบหลายขนาดมาก) ยังเก็บเป็นสถิติแห่งความทรงจำและความภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องเล่าเรื่องที่ 4 สินค้าที่เป็นความภูมิใจของผมเอง เพราะทำคนเดียวไม่ได้ทำกับสุชาติแล้ว คือเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว นั่นคือ beanbag โปรเจ็คท์นี้ผมทำช่วงปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ beanbag เพิ่งจะเข้ามาในบ้านเรา ตลาดของตกแต่งบ้านมีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า beanbag ตัวแรกๆ ที่ผมเห็นนั้นอยู่ที่ร้าน habitat และ anyroom ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ชิ้นหนึ่งราคาขายหลายพันบาทมาก เกินความสามารถที่เราจะซื้อหามาครอบครองได้ แต่กระนั้นผมเองชอบมันมาก และอยากจะได้มาไว้ใช้ จึงเกิดไอเดียคิดจะทำขึ้นมาใช้เองและขายด้วย ผมจึงศึกษาหาข้อมูลเอาเองจากเว็บไซต์ในต่างประเทศ และสอบถามหาแหล่งซื้อวัตถุดิบคือเม็ดโฟมที่ใช้บรรจุข้างใน รวมถึงหาแหล่งซื้อหนังเทียมที่จะนำมาผลิตตัว beanbag เมื่อได้แหล่งวัตถุดิบครบผมก็เริ่มลงมือผลิต ตามรูปแบบดีไซน์ของผมเอง โดยดูจากเว็บไซต์ในต่างประเทศ แล้วทำออกขายเป็นงานอดิเรก ผมตั้งชื่อแบรนด์ให้มันด้วยว่า modifier มาจากคำว่า modern ผสมกับ interior และอีกนัยนึงก็คือ แผลงมาจากคำว่า modify ที่แปลว่าดัดแปลง แม้ว่าจะขายได้ยอดไม่เยอะเท่ากรอบรูป แต่ก็เป็นความภูมิใจครั้งแรกที่ผมได้ทำมันเองกับมือและถือเป็นงานชิ้นแรกที่เป็นผลผลิตเดี่ยว ไม่ได้ร่วมหุ้นหรือร่วมลงสมองกับเพื่อนแต่อย่างใด เรื่องเล่าเรื่องที่ 5 เป็นไอเดียผลิตผ้าม่านหน้าต่าง จริงๆ ไอเดียนี้ผมได้มาจากเพื่อนที่ชื่อว่าตัน วันหนึ่งผมไปกับเขาไปเดินเล่นสนามหลวง 2 (ตลิ่งชัน) เขาบ่นๆ ว่าอยากได้ผ้าม่านผืนใหม่ไปติดที่ห้อง ก็ชวนกันไปเลือกซื้อผ้าม่านกัน ผ้าม่านที่เพื่อนผมซื้อไม่ได้สวยงามหรือเก๋ไก๋อะไรมาก แต่ก็แพงเอาการอยู่ ผมจึงเกิดไอเดียอยากผลิตขึ้นใช้เองและก็เผื่อขายได้ จึงเป็นที่มาของธุรกิจผลิตผ้าม่านหน้าต่าง ผมไปหาซื้อผ้าซาตินที่สำเพ็ง ซึ่งก็มีราคาแพง เพื่อนสุชาติเคยด่าผมว่าทำธุรกิจเป็นหรือเปล่าทำไมถึงไปซื้อสำเพ็งในราคาปลีกเพื่อมาผลิตขาย มันจะได้กำไรอะไรกัน ผมก็ยอมรับว่าธุรกิจนี้ผมถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ถือว่าเจ๊งหรือขาดทุน เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่เห็นแล้วอยากทำแค่นั้นเอง แต่ก็ยังไม่วายมีตั้งชื่อแบรนด์ให้มันอย่างเก๋ไก๋ว่า Hip Town ที่แปลว่าเมืองแห่งความทันสมัยนั่นเอง แบรนด์ของผมทุกตัวจะชื่อเก๋ ๆ แบบนี้แหละ และไม่มีทางจะซ้ำแบบใคร เพราะผมชอบเป็นตัวเอง ไม่อยากเหมือนใครอยู่แล้ว เรื่องเล่าสุดท้ายจะเป็นธุรกิจที่ผมเองคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือธุรกิจเสื้อผ้า เพราะที่บ้านเคยทำธุรกิจเสื้อผ้า พ่อกับแม่เคยรับจ้างเย็บเสื้อโหลตามออเดอร์ ส่วนพี่ชายคนรองเป็นเซลล์ขายผ้า และพี่สาวคนโตเคยอยู่โรงงานการ์เม้นท์ และร่วมกันทำธุรกิจเสื้อยืด ปักเสื้อ และยังมีญาติฝ่ายแม่ทำธุรกิจการ์เม้นท์อีกด้วย ผมจึงคลุกคลีได้เห็นมันมาตั้งแต่เล็ก ในทุกขั้นตอนการผลิตเสื้อยืด เสื้อโปโลและเสื้อเชิ้ต อะไรต่างๆ วันนึงก็เลยอยากทำธูรกิจเสื้อผ้าเป็นแบรนด์ของตัวเองตามคำท้าของเพื่อนที่ชื่อว่าสุชาติ และจริงๆ มันก็เป็นธุรกิจที่อยากทำอยู่แล้วในใจมาตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มด้วยการตามเพื่อนสุชาติไปซื้อผ้าที่บางปู ตอนนั้นสุชาติเข้าสู่ธุรกิจทำผ้าปูที่นอนแล้ว เราจึงแยกกันทำธุรกิจ วันนึงพบว่ามีผ้าที่สามารถนำมาทำกางเกงได้ จึงซื้อมาลองผลิตซักล็อตนึง ก็ปรากฏว่าขายได้ ผมฝากเพื่อนที่ชื่อตันไปขาย และต่อมาก็เป็นเพื่อนที่รับช่วงสินค้าของผมไปขายต่อ จากนั้นผมก็มาทำเสื้อโปโลต่อจากกางเกงที่เวิร์คมาก ธุรกิจนี้จริงๆ กำลังไปได้สวย แต่ผมมาพบอุปสรรคอยู่ 2-3 เรื่อง จึงต้องเลิกราไป นั่นคือ สินค้าขายได้แต่ไม่ได้เงิน เนื่องจากเพื่อนที่รับสินค้าไปขายต่อไม่นำเงินมาเคลียร์ให้ ทำให้ผมขาดเงินทุนหมุนเวียน ที่จะไปซื้อผ้ามาผลิตต่อ บวกกับช่วงนั้นผมขาดเงินทุนดำเนินงานต่อ (ขาดทุนจากการเล่นหุ้นไปมาก) และอีกประการก็คือปัญหาเรื่องหาคนเย็บที่ชำนาญมีฝีมือ ราคาไม่สูงนัก ซึ่งมาพบว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก และเราติดกับ แก้ปัญหาไม่ได้ จึงหยุดพักธุรกิจนี้ไปก่อน ฝันว่าไว้วันข้างหน้าถ้ามีความพร้อมมากกว่านี้ อยากกลับไปสานงานธุรกิจนี้ต่อ ธุรกิจนี้ผมก็มีแบรนด์เป็นส่วนตัวเช่นกันชื่อแบรนด์คือ factis มาจากคำว่า fact และคำว่า is (เป็น....อยู่.....คือ) เลย ง่ายๆ มาประกบกัน อีกนัยนึงก็คือ fact ยังมาจากคำว่า factory ที่แปลว่าโรงงาน fact แปลว่าข้อเท็จจริง ซึ่งคล้ายกับคำว่า true และ real ซึ่งผมชอบแบรนด์ของ truevision และทีมฟุตบอลที่ชื่อว่า realmadrid ผมถือว่าเป็นองค์กรของคนจริง หรือมืออาชีพที่แท้จริง เป็นตัวจริงในวงการนั้นๆ จึงนำคำที่ใกล้เคียงเหล่านั้นมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ผมเองว่า factis ส่วนคอนเซ็ปท์หรือรูปแบบการดีไซน์ของเสื้อผ้าและกางเกงนั้น ผมนำเอาคุณลักษณะการออกแบบที่เท่ห์และเก๋มาใช้ดังนี้ เสื้อโปโล ผมจะมองไปที่ความเรียบเท่ห์ของ polo และ lacoste มาเป็น pattern แต่ใส่ความสดใส หนุ่มแน่นลงไปให้กับมันในแบบเดียวกับ cc-oo และ BNN ภายหลังดีไซน์ของเสื้อผมจะมาทางเดียวกับ 2 แบรนด์หลังมากกว่า นั่นคือ cc-oo และ bnn แต่ไม่ได้ก็อปปี้มาเด็ดขาด เพียงแต่ concept ใกล้เคียงกัน และของผมจะดิบกว่าเท่านั้นเอง แบรนด์ระดับโลกที่ผมชอบและมองดูไว้เป็นเทรนด์แฟชั่นและไว้เป็นแนวทางในการนำมาเป็นต้นแบบหรือแรงบันดาลใจก็คือ Armani Exchange ( A/X ) และ Diesel เป็นหลักมากกว่าส่วนแบรนด์ไทยก็มักตามๆ กันมา และในส่วนของกางเกง ผมจะนำเอาคุณลักษณะการออกแบบที่เท่ห์และเก๋ของ abercrombies และ defry มาเป็น pattern แต่จะตัดเอา accessorie ที่ยั้วเยี้ยฟูมฟายของ ทั้ง 2 แบรนด์ออก ใส่ความดิบและเรียบง่ายลงไปแทน ในแบบของผมเอง ขอบอกว่ากางเกงผมก็มาทางเดียวกับ cc-oo และ bnn อีกนั่นแหละ แต่ของผมจะดิบและเรียบง่ายมากกว่า เพื่อให้มันมีความเป็นแฟชั่นน้อยที่สุด ใส่ได้นานด้วย format และ pattern ที่เป็นสากลเท่านั้นเอง
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
จากภาพยนตร์แนวไซไฟแอ็คชั่นจิตสังหารจิตวิเคราะห์ในแบบตะวันตก สู่จิตตานุปัสสนา จิตวิเคราะห์ชั้นสูงในแบบพุทธ
จากภาพยนตร์แนวไซไฟแอ็คชั่นจิตสังหารจิตวิเคราะห์ในแบบตะวันตก สู่จิตตานุปัสสนา จิตวิเคราะห์ชั้นสูงในแบบพุทธ
ก่อนอื่นผมขอพูดถึงบทความนี้โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ใน part แรก จะพูดถึงภ.เรื่อง INCEPTION หรือจิตสังหารพิฆาตโลก ในเชิงการวิเคราะห์แบบตะวันตก หรือในแบบที่ผู้กำก้บคริสโตเฟอร์ โนแลนทำหรือสื่อออกมา และในส่วน part หลังจะพูดถึงการอธิบายทางจิตในแบบพุทธว่าเขาอธิบายกันอย่างไร ผู้อ่านสามารถนำไปเปรียบเทียบกันเอง ไม่มีการชี้นำ แต่น่าจะได้ประโยชน์ทั้ง 2 แง่มุมมองที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันก็ได้ ซึ่งในส่วนแรกนั้นผู้เขียนพบเห็นบทความการวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง inception ไว้ในเว็บบอร์ดหรือตามบล็อกมากมาย แต่มีอยู่อันนึงเขียนได้อย่างน่าสนใจ จึงขออนุญาตินำมาลงไว้ในบทความนี้ทั้งหมด (ต้องขออนุญาติท่านเจ้าของบทความดังกล่าว เนื่องจากเขามีการสงวนลิขสิทธิ์ไว้ด้วย) เป็นบทความของคุณนวกานต์ ในเว็บบล็อก NAVAGAN BLOG ไปอ่านกันก่อนแล้วค่อยมาว่ากันต่อว่าผู้เขียนคิดเห็นอย่างไรต่อทั้งบทความและตัวภาพยนตร์นั้น เชิญทรรศนาได้เลย
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในด้านของรายได้ และคำวิจารณ์ในแง่ดีมากๆทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์จาก The Dark Knight จนเป็นที่เชื่อมั่นในฝีมือทั้งจาก Studio และผู้ชมในวงกว้างแล้ว
Christopher Nolan จึงมีโอกาสสร้าง “Project ในฝัน” ให้เป็นจริงเสียที และ Project ที่ว่านั้นก็คือ Inception
Inception เล่าเรื่องราวของ Dom Cobb (Leonardo DiCaprio) และพรรคพวก เหล่าจารชนผู้เชี่ยวชาญในการเข้าไปจารกรรม “ความลับ” ในขณะที่เป้าหมายกำลังฝัน
มาในคราวนี้ Cobb และพรรคพวก กลับต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามนั่นก็คือ การฝังข้อมูล เพื่อ “จุดประกายความคิด (Inception)” ลงในจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย เพื่อปลูกฝังให้เป้าหมายมีความคิดในแบบที่ต้องการ ซึ่งถือเป็นงานที่ยากมากๆ
ที่สำคัญงานนี้ยังเป็นการเดิมพันอิสรภาพของ Cobb อีกด้วย
จริงอย่างที่ Cobb บอกกับ Ariadne (หรือ Nolan บอกกับ ผู้ชม) ว่า Idea นั้น มีศักยภาพที่ร้ายกาจมากมายมหาศาล
เพราะถึงแม้ Inception จะเป็นหนังที่ดูสดใหม่มากแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้ชมคงสัมผัสได้ว่า Idea เริ่มต้นที่สร้างสรรค์ของหนังนั้น ตัว Nolan เองก็อาจโดน Inception (ทั้งที่ยังตื่น) จากหนังหลายๆเรื่องมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น
Waking Life (ฝันซ้อนฝัน, การถูกจองจำในความฝัน)
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (การเข้าไปโลดแล่นในจิตใจ)
Open Your Eyes (ความเรือนลางระหว่าง ความจริง กับ ความฝัน)
The Cell (การแชร์ความฝัน)
และที่ขาดไม่ได้ก็คือ The Matrix ที่ Nolan ออกปากเองว่า นี่คือแรงบันดาลใจหลักของงานนี้
นอกจากนี้ในส่วนของเนื้อเรื่องที่ว่าด้วยการจารกรรมและการปฏิบัติการณ์นั้น เราจะพบเห็นความละม้ายคล้ายคลึงกับหนังสายลับอังกฤษอย่าง James Bond ไม่ว่าจะเป็น
- การที่หนังใช้ Location ในหลายประเทศทั่วโลก
- การที่หนังมีสองสาวสวย มารับบทเด่น โดยที่คนหนึ่งดี คนหนึ่งร้าย ไม่ต่างจากสาวๆในหนัง Bond ทั้งหลาย
- ฉาก Action ใน Location หิมะตอนท้ายเรื่อง ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์หนัง Bond
ไม่แปลกใจเลยที่ Nolan เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาโตมากับ หนังสายลับ 007
และหากพิจารณา “เงื่อนไข” ของโลกแห่งความฝัน โดยเฉพาะในข้อที่ว่า “เวลาในความฝัน จะเดินเร็วกว่าปกติ” เราจะพบว่า เงื่อนไขนี้มันมีความคล้ายคลึงกับลักษณะอันโดดเด่นอย่างหนึ่งของหนัง นั่นก็คือ
เวลาในหนังส่วนใหญ่นั้น กินเวลามากกว่าเวลาที่ฉายจริง
(น่าจะเกิน 99 % จากหนังทั้งหมดที่เคยสร้างกันมาในโลก ที่เป็นแบบนี้)
ตัวอย่างง่ายๆก็คือ Forrest Gump เล่าเรื่องราวที่ยาวนานกว่า 20 ปี ได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง
จึงอาจเปรียบได้ว่า หนัง ก็คือ ความฝัน หรือพูดให้สวยหรูได้ว่า
"ความฝัน" คือ "ภาพยนตร์"
และถ้ามองในแง่ของ “ที่มาที่ไป” ของหนังเรื่องนี้ ประโยคข้างบนก็ยังคงใช้ได้ เนื่องจาก Inception คือ ภาพยนตร์ในฝัน ที่ Nolan อยากทำมานานแล้ว นั่นเอง
ซึ่งเหมือนเป็นการ “แชร์ความฝัน” กับผู้ชม ด้วยการเชื้อเชิญผู้ชมให้เข้ามาโลดแล่นในความฝันของเขาอีกด้วย
ด้วยธรรมชาติที่คล้ายคลึงกันระหว่าง ความฝัน กับ หนัง
ตัวละครใน Inception อาจเปรียบได้กับ เหล่าบุคลากรหลากหลายหน้าที่ในกระบวนการสร้างหนังได้เช่นกัน
Cobb, The Extractor (ผู้สกัด, ผู้คัดแยก) = ผู้กำกับ หรือ ผู้ตัดต่อ ที่ต้องเลือกเรื่องราว ควบคุมองค์ประกอบทั้งหมด เพื่อนำเสนอ
Arthur, The Point Man (คนชี้จุด, กำหนดเป้า) = ผู้เขียนบท ที่ต้องค้นคว้าหาวัตถุดิบ กำหนดเรื่องราว หรือแก่นสำคัญ
Ariadne, The Architect (สถาปนิก) = คนออกแบบงานสร้าง ควบคุมองค์ประกอบ สภาพแวดล้อม หรือสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งอาจหมายถึง ผู้กำกับภาพ ได้อีกด้วย
Eames, The Forger (นักปลอมแปลง) = เหล่านักแสดง ที่ต้องสวมบทบาทต่างๆในหนัง
Yusuf, The Chemist (นักเคมี) = ช่างเทคนิค หรือเทคนิคพิเศษทั้งหลายในหนัง ที่คอยอำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่น หรือเติมเต็มความสมบูรณ์ของหนัง
Saito, The Tourist (ผู้เที่ยวชม) = ผู้อำนวยการสร้าง ที่จัดสรร บริหารเงินทุนสำหรับงานสร้าง และแน่นอนว่านี่ต้องถือเป็น ผู้เที่ยวชม หรือตรวจเยี่ยมกองถ่ายหนัง และมีอิทธิพลต่อการสร้างมากๆ
แน่นอนว่า Nolan อาจไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรมากนัก และอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็เห็นได้ชัดว่า โลก “ความฝัน” ใน Inception ก็คือ โลก “ภาพยนตร์” ที่เขาประสบพบเจออยู่เป็นประจำนั่นเอง
ก็อย่างที่บอก Nolan ถูกหนังและชีวิตการทำหนัง Inception เข้าให้แล้ว
อาจมีคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว Fischer, Jr., The Mark กับ Mal, The Shade คืออะไร?
สำหรับสองตัวละครนี้อาจมีความหมายเป็นนามธรรมสักนิด
Fischer, Jr., The Mark (เป้าหมาย) = เป้าหมายของตัวหนัง หรืออาจหมายถึง สาระสำคัญที่ผู้สร้างต้องการนำเสนอ หรืออาจเป็น “ตัวจุดประกายความคิด” ให้ผู้ชม ก็ได้
Mal, The Shade (เงา) = ปัญหาลึกๆของตัวผู้กำกับ (หรือผู้กำหนดทิศทางของหนัง) ที่เจ้าตัวไม่กล้าบอกทีมงาน ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อตัวหนังได้ หรืออาจหมายถึง อิทธิพลมืดที่คอยควบคุมการสร้างหนัง ก็เป็นได้
หรือไม่ก็แปลว่า “เมียผู้กำกับ” กันตรงๆนั่นแหล่ะ
เอาหล่ะ กลับมาสู่การวิจารณ์กันบ้าง
Inception เป็นความบันเทิงที่เข้าถึงไม่ยากนัก แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนดูถูกสมองของผู้ชม ซึ่งนอกเหนือจากความประทับใจในตัวหนังแล้ว ก็ไม่ได้มีประเด็นหนักสมองให้เก็บไปคิดมากนัก
นอกเสียจากว่าใครจะสนใจในรายละเอียดต่างๆของเนื้อเรื่อง, รายละเอียดของกฎเกณฑ์ต่างๆ ในความฝัน หรือกลวิธีในการ Inception ก็คงมีอะไรให้ติดหัวออกไปคิดกันเล่นๆ เนื่องจากหนังเดินเรื่องเร็วพอสมควร
Nolan ยังคงถนัดกับการเล่าเรื่องราว "ตัวละครที่มีความรู้สึกผิดบาปในใจ" ไม่ต่างจากผลงานอื่นๆของเขา เพียงแต่ใน Inception หนังลดระดับความหดหู่ และความตึงเครียดของตัวละครลงไปเยอะทีเดียวเมื่อเทียบกับงานก่อนหน้านี้ทั้งหลาย
หนังไม่ได้ลงลึกในแง่ของการสำรวจจิตใจของมนุษย์ หรือในแง่ของปรัชญาเรื่องจิตใจ หรือความฝัน มากนัก
แต่ก็เป็นผลดีต่อตัวหนังมากกว่าผลเสีย เมื่อพิจารณาว่าเป้าหมายของหนังคือการเป็น หนังขายความบันเทิงประจำ Summer มากกว่าจะวางตัวเป็น หนังดราม่าขายการแสดง หรือ หนัง Sci-fi ขายปรัชญาล้ำลึก
ฉาก Action และ “ฉากโชว์ของ” หลายๆฉากนั้นทำออกมาได้ดีมีระดับ แม้จะไม่ได้สดใหม่ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ดีเยี่ยม
ที่โดดเด่นมากๆ คงหนีไม่พ้น “ฉากเมืองพับได้” กับฉาก “ไร้แรงโน้มถ่วง” ที่ต้องกลายเป็น “ภาพจำ” ของหนังแน่นอน
แต่ฉาก Action ใน Location หิมะขาวโพลนในช่วงท้ายนั้น ดูซ้ำซาก และขาดความสร้างสรรค์ไปหน่อย อีกทั้งตัวละครฝ่ายตัวเอกนั้นก็เก่งกาจมากเกินพอดีจนแทบจะไม่บาดเจ็บเลยซักนัด แม้กลุ่มผู้ร้ายจะยกโขยงมาเป็นกองทัพ (อารมณ์เดียวกับหนัง Bond นั่นแหล่ะ) ซึ่งทำให้อารมณ์ลุ้นเอาใจช่วยตัวละครนั้นมีน้อยเกินไป
แต่หนังก็ชดเชยด้วยการสร้างความลุ้นระทึกให้ผู้ชมโดยอาศัยเนื้อเรื่องที่เน้นไปที่ “การทำงานแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที” ซึ่งต้องถือว่าเป็นการชดเชยที่ได้ผลมากๆ
แม้ Inception จะขนทีมนักแสดงมาเยอะมาก แต่หนังก็แชร์ความเด่นให้กับตัวละครทั้งหลายได้อย่างเหมาะสม
DiCaprio ยอดเยี่ยมในบท Cobb หัวหน้าทีม ที่ถือเป็นบทนำของหนัง ซึ่ง DiCaprio สามารถพาหนังไปตลอดรอดฝั่งได้สบายๆ อย่างไรก็ตามบทนี้ไม่ได้เรียกร้องการแสดงที่ลึกซึ้งหรือซับซ้อนมากนัก นี่จึงไม่ใช่ผลงานที่ชื่อของ DiCaprio จะถูกจดจำในฐานะหัวใจหลักของหนัง
Ellen Page เยี่ยมในบท Ariadne ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ชมที่เริ่มเข้าสู่โลกความฝันไปพร้อมๆกัน แต่ก็ทำหน้าที่เป็น Guide นำเที่ยว (ตัวละครที่สร้างเหตุให้มีการอธิบายเรื่องราวต่างๆ) ไปในตัวอีกด้วย
สำหรับนักแสดงคนอื่น ต่างก็ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีและมีเสน่ห์ โดยเฉพาะ Joseph Gordon-Levitt ในบท Arthur และ Tom Hardy ในบท Eames
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ความสามารถของ Cillian Murphy ในบท Fischer, Jr. ที่หนังไม่เปิดโอกาสให้แสดงอะไรมากนัก
Inception ยังไม่ใช่งานที่ลุ่มลึกในระดับเดียวกับงานเก่าๆของ Nolan แต่ก็ถือเป็นงานขายความบันเทิงที่ซับซ้อน และสร้างสรรค์ จนยากที่จะเลียนแบบได้
หนังไม่มีประเด็นหนักๆอย่าง The Dark Knight แต่ก็มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียด แบบเดียวกับ The Prestige
ซึ่งทำให้หนังดูสนุก เข้าถึงไม่ยากนัก แถมยังสร้างความประทับใจ และเป็นความบันเทิงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แน่นอนว่าตอนจบของหนังที่เป็น "ปลายเปิด" ให้ผู้ชมไปคิดต่อเอาเองนั้น จะสร้างกระแสความสงสัย ที่อาจส่งผลไปถึงการดูซ้ำ ย่อมเป็นผลดีต่อรายได้ของหนังอีกด้วย
ผู้เขียนบล็อก navagan blog สรุปว่า
Inception คืองานที่ Nolan ต้องการ Incept ผู้ชม
ในช่วงต้นเรื่อง หนังบอกเอาไว้ว่า “ส่วนใหญ่แล้วความคิดแง่บวก ย่อมเติบโตได้ดีกว่าความคิดแง่ลบ”
ซึ่งนี่อาจตอบข้อสงสัยในตอนจบของหนังที่คลุมเครือได้ว่า สรุปแล้วมันจบแบบ “แง่บวก” หรือ “แง่ลบ” กันแน่
เพียงแต่ผู้ชมคงต้องพิจารณาเอาเองว่า “แง่บวก” หรือ “แง่ลบ” ของตัวเอง (หรือของ Cobb) คืออะไร อย่างที่หนังหลายๆเรื่องเคย Incept ตัวเขามาแล้วนั่นเอง
INCEPTION จิตสังหารพิฆาตโลก
แค่การตั้งชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ไม่รู้สึกถึงความประทับใจหรือน่าสนใจแล้ว ยังไม่พิจารณาถึงรายละเอียดในตัวหนังที่ยังมีอะไรติดอยู่ในใจผู้เขียนอยู่ในหลายประเด็นด้วยกัน แรกๆ ไม่คิดอยากจะดูเท่าไหร่ เพราะเบื่อหนังที่มีลีโอนาโด้ ดิคลาปริโอ เล่นเต็มที เป็นเพราะว่า การนั่งชมภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ทุกเรื่องคุณจะมานั่งชมแบบเพลินๆ ชิลด์ๆ โดยไม่คิดอะไรไม่ได้ ท่านจะไม่มีทางรู้เรื่องรู้ราวอะไรเกียวกับหนังของเขาได้เลย เพราะเอกลักษณ์หรือสไตล์ของหนังเขาแต่ละเรื่องจะมีวิธีเล่าเรื่องที่ไม่เรียงลำดับ 123 ไปตามเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหลัง แต่อาจเล่าจาก 3-4-5-1-2 หรือเล่าจาก 2-5-3-1-4 ก็เป็นไปได้ อีกทั้งตัวละครเอกมักมีปมขัดแย้งอยู่ในใจ หรือเป็นโรคจิตอ่อนๆหรือจิตหนัก อยู่ในแทบทุกเรื่อง ทีนี้เรามาลองดูรายชื่อหนังของเขาดูสิว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ที่ท่านผู้อ่านได้เคยผ่านตา งานของเขามาบ้างแล้วกี่เรื่องอะไรบ้าง และเป็นอย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้หรือไม่ ได้แก่่
ภาพยนตร์ขนาดยาว
ฟอลโลว์อิง (Following, 1998) • ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ (Memento, 2000) • อินซอมเนีย เกมเขย่าขั้วอำมหิต (Insomnia, 2002) • แบทแมน บีกินส์ (Batman Begins, 2005) • เดอะ เพรสทิจ ศึกมายากลหยุดโลก (The Prestige, 2006) • แบทแมน อัศวินรัตติกาล (The Dark Knight, 2008) • จิตพิฆาตโลก (Inception, 2010)
ภาพยนตร์ขนาดสั้น แทรันเทลลา (Tarantella, 1989) • ลาร์เซนี (Larceny, 1996) • ดูเดิลบัก (Doodlebug, 1997)
แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้รู้มาก่อนว่าหนังเรื่อง INCEPTION เป็นผลงานอีกเรื่องนึงของเขา เพราะไม่ได้ตามงานของเขาเป็นพิเศษ แต่มาได้ยินกิตติศัพท์ถึงความเยี่ยมยอดของภาพยนตร์เรื่องนี้จากตารางบ็อกออฟฟิซหนังทำเงินฤดุกาล summer ปีนี้ 2010 บทวิจารณ์ที่พูดถึงความเยี่ยมยอดของบทภาพยนตร์ และโปรดักชั่นดีไซน์ของหนังที่ทำให้ตื่นเต้นอยากดู แต่แล้วก็เป็นเหมือนทุกเรื่องที่ได้ชมภาพยนตร์ของอีตาคนนี้ คือต้องซื้อเป็น DVD เก็บ เพราะดูรอบเดียวไม่รู้เรื่อง ต้องดูซ้ำหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจกับประเด็นของหนังที่ต้องการสื่อ หรือนำเสนอแก่ผู้ชม อีกทั้งเรื่องนี้มีประเด็นพิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ ของเขาและของคนอื่นก็คือ หนังพูดถึงประเด็นเรื่องของจิตใจคน ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อนอยู่แล้ว อีกทั้งยังพูดในรายละเอียดลึกลงไปถึงว่าจิตวิเคราะห์ จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก ซึ่งเป็นศาสตร์ด้านจิตวิทยา ที่ผู้เขียนเคยเรียนมา ซึ่งบอกได้เลยว่ายาก และไม่อาจทำความเข้่าใจได้โดยง่ายหากท่านไม่เคยรู้ถึงทฤษฎีนี้มาก่อน ก่อนอื่นผู้เขียนขอนำทฤษฎีจิตวิทยาของซิกมันด์ ฟรอยด์ มาทำความเข้าใจกันก่อน ที่จะไปพูดถึงประเด็นของตัวหนังว่าสื่อสารอะไรให้คนดู และผู้เขียนมีทรรศนะอย่างไรต่อภาพยนตร์เรื่องนี้กัน
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychodynamic Theories) ของฟรอยด์
ทฤษฎี Psychosexual developmental stage ของฟรอยด์
ซิกมุนต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนักจิตวิทยาชาวยิว เป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual โดยเชื่อว่าเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการสนใจศึกษาและสังเกตผู้ป่วยโ รคประสาทด้วยการให้ผู้ป่วยนอนบนเก้าอี้นอนในอิริยาบท ที่สบายที่สุด จากนั้นให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องราวของตนเองไปเรื่อย ๆ ผู้รักษาจะนั่งอยู่ด้านศีรษะของผู้ป่วย คอยกระตุ้นให้ ผู้ป่วยได้พูดเล่าต่อไปเรื่อย ๆ เท่าที่จำได้ และคอยบันทึกสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าอย่างละเอียด โดยไม่มีการขัดจังหวะ แสดงความคิดเห็น หรือตำหนิผู้ป่วย ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ป่วย และจากการรักษาด้วยวิธีนี้เองจึงทำให้ฟรอยด์เป็นคนแร กที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ
1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต (eros = life instinct)
2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย (thanatos = death instinct)
ฟรอยด์อธิบายว่าสัญชาตญาณทั้ง 2 ลักษณะมีความต้องการทางเพศเป็นแรงผลักดัน ซึ่งบุคคลไม่กล้าแสดงออกมาโดยตรง จึงเก็บกดไว้ในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious mind) และได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์มีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิดเรียกว่า “Libido” ซึ่งทำให้บุคคลอยากมีชีวิต อยากสร้างสรรค์และอยากมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็นเป้าหมายคือความสุขและความพอใจ โดยมีอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก เช่น บริเวณปาก ทวารหนัก อวัยวะสืบพันธุ์ เรียกว่า อีโรจีเนียส โซน (erogenous zone) ซึ่งความพึงพอใจในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฟรอยด์จึงแบ่งขั้นตอนพัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์ออกเ ป็น 5 ขั้น ดังนี้
1. ขั้นปาก (oral stage) มีอายุอยู่ในช่วงแรกเกิดถึง 18 เดือนหรือวัยทารก ความพึงพอใจ
ของวัยนี้จะอยู่ที่บริเวณช่องปาก ทารกพึงพอใจกับการใช้ปากทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสุข เช่นการดูด กลืน กัด เคี้ยว แทะ กิน เป็นต้น ส่วนใหญ่ทารกจะใช้ปากในการดูดนมแม่ นมขวด ดูดนิ้วมือหรือสิ่งของ ทารกจะพึงพอใจเมื่อความต้องการดังกล่าวได้รับการตอบส นองที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เขาโตขึ้นอย่างยอมรับตนเอง สามารถรักตนเองและผู้อื่นได้ ในทางตรงข้าม หากความต้องการของทารกไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น เมื่อหิวร้องไห้จนเหนื่อยแต่ไม่ได้นมเลย ได้รับนมไม่เพียงพอ ไม่มีคนสนใจ หรือถูกบังคับให้หย่านมเร็วเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดความคับข้องใจ (frustration) เกิดภาวะ “การติดตรึงอยู่กับที่” (fixation) ได้ และก่อให้เกิดปัญหาทางด้านบุคลิกภาพเรียกว่า “Oral Personality” คือจะเป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจทางป ากอย่างไม่จำกัด มีลักษณะพูดมาก ชอบดูดนิ้ว ดินสอ หรือปากกาเสมอโดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด นอกจากนี้ยังชอบนินทาว่าร้าย ถากถาง เหน็บแนม เสียดสีผู้อื่น ก้าวร้าว พูดมาก กินจุบกินจิบ ติดเหล้า บุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ อย่างไรก็ตามคนที่มี Oral Personality อาจเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปจนไม่สามารถยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจแสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ
2. ขั้นทวารหนัก (anal stage) มีอายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี วัยนี้จะได้รับความพึงพอ
ใจจากการขับถ่าย การที่พ่อแม่เข้มงวดในการฝึกหัดให้เด็กใช้กระโถนและก ารควบคุมให้ขับถ่ายเป็นเวลาตามความต้องการของพ่อแม่ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของเด็ก จะทำให้เกิดความขัดแย้ง จนเป็น fixation ทำให้เกิดบุคลิกภาพที่เรียกว่า “Anal Personality” คือเป็นคนเจ้าระเบียบ เข้มงวด ไม่ยืดหยุ่น ตระหนี่ หึงหวงคู่สมรสมากเกินไป และมีอารมณ์เครียดตลอดเวลาเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คือ อาจเป็นคนใจกว้าง สุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นระเบียบ รกรุงรัง
3. ขั้นอวัยวะเพศ (phallic or oedipal stage) อายุอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ปี ความพึงพอใจของ
เด็กวัยนี้อยู่ที่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กจะสนใจอวัยวะเพศของตน และแสดงออกด้วยการจับต้องลูบคลำอวัยวะเพศ สนใจความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย เด็กผู้ชายจะมีปมเอ็ดดิปุส (oedipus complex) ซึ่งเกิดจากการที่เด็กผู้ชายวัยนี้จะติดแม่ ต้องการเป็นเจ้าของแม่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน จึงพยายามเก็บกดความรู้สึกที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่เ พียงผู้เดียว และพยายามทำตัวเลียนแบบพ่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า “Resolusion of Oedipal Complex” ส่วนเด็กผู้หญิงจะมีปมอีเล็คตรา (electra complex) ซึ่งเกิดจากเด็กผู้หญิงมีความรักพ่อแต่รู้ว่าไม่สามา รถแย่งพ่อจากแม่ได้จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับพฤติกรรมของผู้หญิง ในขั้นนี้การยอมรับปรากฏการณ์ทางเพศของพ่อแม่ต่อเด็ก วัยนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากพ่อแม่ไม่เข้าใจ เข้มงวดเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกผิด โตขึ้นจะมีปัญหาในเรื่องการรักเพศตรงข้าม ไม่ยืดหยุ่น ขัดแย้งในตนเองอย่างรุนแรง ตำหนิตนเอง ตีค่าตนเองต่ำ ไม่กล้าคิดสิ่งใหม่ ๆ และไม่กล้าถาม
4. ขั้นแฝงหรือขั้นพัก (latency stage) มีอายุอยู่ในช่วง 6 ถึง 12 ปี ฟรอยด์กล่าวว่าเด็กวัยนี้
จะมุ่งความสนใจไปที่พัฒนาการด้านสังคมและด้านสติปัญญ า เป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้การมีเหตุผล รู้ผิดชอบชั่วดี สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เรียนรู้ที่จะมีค่านิยม ทัศนคติ ต้องการเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวและเตรียมตัวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต่อไป เด็กจะเก็บกดความต้องการทางเพศ จะเล่นหรือจับกลุ่มกับเพศเดียวกัน เริ่มมีเพื่อนสนิทกับเพศเดียวกัน สนใจบทบาททางเพศของตน
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (genital stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป เด็กเริ่ม
สนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น มีความต้องการทางเพศ ความเห็นแก่ตัวลดลง ต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่ เป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่ ต้องการความสนใจ การยอมรับจากสังคม และมีการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่
โครงสร้างบุคลิกภาพ (The personality structure)
ฟรอยด์ เชื่อว่าโครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลมี 3 ประการ คือ
1. ตนเบื้องต้น (id) คือ ตนที่อยู่ในจิตไร้สำนึก เป็นพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มุ่งแสวงหา
ความพึงพอใจ (pleasure seeking principles) และเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้อง และความเหมาะสม ประกอบด้วยความต้องการทางเพศและความก้าวร้าว เป็นโครงสร้างเบื้องต้นของจิตใจ และเป็นพลังผลักดันให้ ego ทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่ id ต้องการ
2. ตนปัจจุบัน (ego) คือพลังแห่งการใช้หลักของเหตุและผลตามความเป็นจริง (reality
principle) เป็นส่วนของความคิด และสติปัญญา ตนปัจจุบันจะอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
3. ตนในคุณธรรม (superego) คือส่วนที่ควบคุมการแสดงออกของบุคคลในด้านของ
คุณธรรม ความดี ความชั่ว ความถูกผิด มโนธรรม จริยธรรมที่สร้างโดยจิตใต้สำนึกของบุคคลนั้น ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ในสังคมและวัฒนธรร มนั้น ๆ ตนในคุณธรรมจะทำงานอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
การทำงานของตนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุล
ซิกมุนต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนักจิตวิทยาชาวยิว เป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual โดยเชื่อว่าเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการสนใจศึกษาและสังเกตผู้ป่วยโ รคประสาทด้วยการให้ผู้ป่วยนอนบนเก้าอี้นอนในอิริยาบท ที่สบายที่สุด จากนั้นให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องราวของตนเองไปเรื่อย ๆ ผู้รักษาจะนั่งอยู่ด้านศีรษะของผู้ป่วย คอยกระตุ้นให้ ผู้ป่วยได้พูดเล่าต่อไปเรื่อย ๆ เท่าที่จำได้ และคอยบันทึกสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าอย่างละเอียด โดยไม่มีการขัดจังหวะ แสดงความคิดเห็น หรือตำหนิผู้ป่วย ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ป่วย และจากการรักษาด้วยวิธีนี้เองจึงทำให้ฟรอยด์เป็นคนแร กที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ
1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต (eros = life instinct)
2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย (thanatos = death instinct)
ฟรอยด์อธิบายว่าสัญชาตญาณทั้ง 2 ลักษณะมีความต้องการทางเพศเป็นแรงผลักดัน ซึ่งบุคคลไม่กล้าแสดงออกมาโดยตรง จึงเก็บกดไว้ในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious mind) และได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์มีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิดเรียกว่า “Libido” ซึ่งทำให้บุคคลอยากมีชีวิต อยากสร้างสรรค์และอยากมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็นเป้าหมายคือความสุขและความพอใจ โดยมีอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก เช่น บริเวณปาก ทวารหนัก อวัยวะสืบพันธุ์ เรียกว่า อีโรจีเนียส โซน (erogenous zone) ซึ่งความพึงพอใจในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฟรอยด์จึงแบ่งขั้นตอนพัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์ออกเ ป็น 5 ขั้น ดังนี้
1. ขั้นปาก (oral stage) มีอายุอยู่ในช่วงแรกเกิดถึง 18 เดือนหรือวัยทารก ความพึงพอใจ
ของวัยนี้จะอยู่ที่บริเวณช่องปาก ทารกพึงพอใจกับการใช้ปากทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสุข เช่นการดูด กลืน กัด เคี้ยว แทะ กิน เป็นต้น ส่วนใหญ่ทารกจะใช้ปากในการดูดนมแม่ นมขวด ดูดนิ้วมือหรือสิ่งของ ทารกจะพึงพอใจเมื่อความต้องการดังกล่าวได้รับการตอบส นองที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เขาโตขึ้นอย่างยอมรับตนเอง สามารถรักตนเองและผู้อื่นได้ ในทางตรงข้าม หากความต้องการของทารกไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น เมื่อหิวร้องไห้จนเหนื่อยแต่ไม่ได้นมเลย ได้รับนมไม่เพียงพอ ไม่มีคนสนใจ หรือถูกบังคับให้หย่านมเร็วเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดความคับข้องใจ (frustration) เกิดภาวะ “การติดตรึงอยู่กับที่” (fixation) ได้ และก่อให้เกิดปัญหาทางด้านบุคลิกภาพเรียกว่า “Oral Personality” คือจะเป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจทางป ากอย่างไม่จำกัด มีลักษณะพูดมาก ชอบดูดนิ้ว ดินสอ หรือปากกาเสมอโดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด นอกจากนี้ยังชอบนินทาว่าร้าย ถากถาง เหน็บแนม เสียดสีผู้อื่น ก้าวร้าว พูดมาก กินจุบกินจิบ ติดเหล้า บุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ อย่างไรก็ตามคนที่มี Oral Personality อาจเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปจนไม่สามารถยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจแสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ
2. ขั้นทวารหนัก (anal stage) มีอายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี วัยนี้จะได้รับความพึงพอ
ใจจากการขับถ่าย การที่พ่อแม่เข้มงวดในการฝึกหัดให้เด็กใช้กระโถนและก ารควบคุมให้ขับถ่ายเป็นเวลาตามความต้องการของพ่อแม่ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของเด็ก จะทำให้เกิดความขัดแย้ง จนเป็น fixation ทำให้เกิดบุคลิกภาพที่เรียกว่า “Anal Personality” คือเป็นคนเจ้าระเบียบ เข้มงวด ไม่ยืดหยุ่น ตระหนี่ หึงหวงคู่สมรสมากเกินไป และมีอารมณ์เครียดตลอดเวลาเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คือ อาจเป็นคนใจกว้าง สุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นระเบียบ รกรุงรัง
3. ขั้นอวัยวะเพศ (phallic or oedipal stage) อายุอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ปี ความพึงพอใจของ
เด็กวัยนี้อยู่ที่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กจะสนใจอวัยวะเพศของตน และแสดงออกด้วยการจับต้องลูบคลำอวัยวะเพศ สนใจความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย เด็กผู้ชายจะมีปมเอ็ดดิปุส (oedipus complex) ซึ่งเกิดจากการที่เด็กผู้ชายวัยนี้จะติดแม่ ต้องการเป็นเจ้าของแม่เพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน จึงพยายามเก็บกดความรู้สึกที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่เ พียงผู้เดียว และพยายามทำตัวเลียนแบบพ่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า “Resolusion of Oedipal Complex” ส่วนเด็กผู้หญิงจะมีปมอีเล็คตรา (electra complex) ซึ่งเกิดจากเด็กผู้หญิงมีความรักพ่อแต่รู้ว่าไม่สามา รถแย่งพ่อจากแม่ได้จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับพฤติกรรมของผู้หญิง ในขั้นนี้การยอมรับปรากฏการณ์ทางเพศของพ่อแม่ต่อเด็ก วัยนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากพ่อแม่ไม่เข้าใจ เข้มงวดเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกผิด โตขึ้นจะมีปัญหาในเรื่องการรักเพศตรงข้าม ไม่ยืดหยุ่น ขัดแย้งในตนเองอย่างรุนแรง ตำหนิตนเอง ตีค่าตนเองต่ำ ไม่กล้าคิดสิ่งใหม่ ๆ และไม่กล้าถาม
4. ขั้นแฝงหรือขั้นพัก (latency stage) มีอายุอยู่ในช่วง 6 ถึง 12 ปี ฟรอยด์กล่าวว่าเด็กวัยนี้
จะมุ่งความสนใจไปที่พัฒนาการด้านสังคมและด้านสติปัญญ า เป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้การมีเหตุผล รู้ผิดชอบชั่วดี สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เรียนรู้ที่จะมีค่านิยม ทัศนคติ ต้องการเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวและเตรียมตัวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต่อไป เด็กจะเก็บกดความต้องการทางเพศ จะเล่นหรือจับกลุ่มกับเพศเดียวกัน เริ่มมีเพื่อนสนิทกับเพศเดียวกัน สนใจบทบาททางเพศของตน
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (genital stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป เด็กเริ่ม
สนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น มีความต้องการทางเพศ ความเห็นแก่ตัวลดลง ต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่ เป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่ ต้องการความสนใจ การยอมรับจากสังคม และมีการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่
โครงสร้างบุคลิกภาพ (The personality structure)
ฟรอยด์ เชื่อว่าโครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลมี 3 ประการ คือ
1. ตนเบื้องต้น (id) คือ ตนที่อยู่ในจิตไร้สำนึก เป็นพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มุ่งแสวงหา
ความพึงพอใจ (pleasure seeking principles) และเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้อง และความเหมาะสม ประกอบด้วยความต้องการทางเพศและความก้าวร้าว เป็นโครงสร้างเบื้องต้นของจิตใจ และเป็นพลังผลักดันให้ ego ทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่ id ต้องการ
2. ตนปัจจุบัน (ego) คือพลังแห่งการใช้หลักของเหตุและผลตามความเป็นจริง (reality
principle) เป็นส่วนของความคิด และสติปัญญา ตนปัจจุบันจะอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
3. ตนในคุณธรรม (superego) คือส่วนที่ควบคุมการแสดงออกของบุคคลในด้านของ
คุณธรรม ความดี ความชั่ว ความถูกผิด มโนธรรม จริยธรรมที่สร้างโดยจิตใต้สำนึกของบุคคลนั้น ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ในสังคมและวัฒนธรร มนั้น ๆ ตนในคุณธรรมจะทำงานอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
การทำงานของตนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุล
ประเด็นที่หนังนำเสนอแก่ท่านผู้ชมนั้นแปลกแหวกแนวไม่เคยมีมาก่อน ดังนี้
1.เราสามารถเข้าไปจารกรรม (ขโมย) ความลับในสมองของศัตรู หรือคู่ขัดแย้งหรือคู่แข่งทางธุรกิจ ได้หรือไม่ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์แก่ใครบางคน ซึ่งเป็นผู้จ้างวาน และตัวพระเอกในเรื่องมีอาชีพรับจ้างจารกรรมข้อมูลในสมองของคน
2.เราสามารถเข้าไปเปลี่ยนความคิดของคน (ในที่นี้ภาพยนตร์กล่าวถึงคนที่เป้าหมายที่ผู้จ้างวานต้องการ) โดยเข้าไปเปลี่ยนที่ระดับจิตใต้สำนึกของคน อันอาจจะมีผลไปถึงการเปลี่ยนความคิดของคนได้ ข้อนี้ท้าทายต่อทฤษฎีจิตวิทยาที่เราท่านเคยได้ร่ำเรียนมาแน่นอน และยังไม่มีผลงานวิจัยใดๆ ในโลกพิสูจน์ว่าทำได้ และถ้าทำได้จริง ผลของมันจะมากมายเกินกว่าเป้าประสงค์ของผู้จ้างวานเสียอีก
3.หนังได้นำเสนอวิธีการที่จะเข้าไปเปลี่ยนความคิดในระดับจิตใต้สำนึกของคน โดยวิธีการหลายแบบ แต่ในเรื่องเน้นไปที่วิธีการเข้าไปเปลี่ยนในช่วงความฝันของคน โดยมีเครื่องมือที่สามารถเข้าไปบังคับให้คนเราหลับ โดยช่วงที่คนเราหลับจิตใต้สำนึกยังทำงานอยู่ และใช้เครื่องมือดังกล่าวเข้าไปเปลี่ยนแปลง หรือควบคุมความฝันของเราให้เป็นจินตนาการในแบบที่เราต้องการได้ อีกทั้งในระดับของการหลับของคนเรานั้น มีการหลับในระดับที่แตกต่างกันได้ หลายระดับ บางคนหลับลึก บางคนกึ่งหลับกึ่งตื่น หรือบางคนหลับได้ไม่สนิท ปลุกได้ง่าย บางคนหลับลึกเหมือนตาย ต้องใช้วิธีการปลุกที่หนักหน่วงจึงจะตื่นได้ เช่น ในหนังช่วงที่พระเอกหลับลึก กำลังเข้าไปจารกรรมข้อมูลความลับในสมองของศัตรู ก็ปรากฎเหตุุการณ์ที่กำลังจะเอาชีวิตพระเอก จนผู้ช่วยของพระเอกที่กึ่งหลับกึ่งตื่น และรู้เหตุการณ์ต้องปลุกพระเอกด้วยการผลักพระเอกลงไปในสระน้ำให้พระเอกเปียกทั้งตัว จึงตื่นแล้วเอาตัวรอดจากเหตุุการณ์จริงได้
4. ประเด็นฝันซ้อนฝัน ก็เป็นอีกประเด็นที่หนังพยายามนำเสนอ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งเป็นอีกวิธีการที่เข้าไปเปลี่ยนความคิดในระดับจิตใต้สำนึกของคน ในอีกขั้นที่ถือว่าเป็นขั้นสูงที่สุด ผมว่าถ้าคนเราสามารถทำได้อย่างในประเด็นในหนังนำเสนอได้จริง คนเราต้องเสียสติและเป็นบ้าเสียยิ่งกว่าดูดกัญชา เสพยาเสพติดเสียอีก เพราะจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือ่โลกจริง อะไรคือโลกจำลองที่จิตใต้สำนึกเราจินตนาการขึ้นมาเอง
และเพราะโปรดักชั่นดีไซน์ของหนังเรื่องนี้โดดเด่นมาก รวมถึงประเด็นที่นำเสนอออกมา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง The Metrix ที่เป็นหนังไซไฟในตำนานที่ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไปอีกขั้นนึงทั้งโปรดักชั่นดีไซน์และประเด็นนำเสนอได้อย่างแหลมคมที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่กับเรื่อง INCEPTION น่าจะเป็นการต่อยอด หรือลงลึกในประเด็นที่ The Metrix ไม่ได้กล่าวถึง หรือประเด็นที่ลงลึกมากขึ้นไปอีกในระดับadvance ถึงได้บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ท่านผู้ชมจะต้องใช้ความสามารถมาก ในการวิเคราะห์และคิดตามประเด็นของตัวหนัง และทำความเข้าใจมากขึ้นกว่าหนังทั่วไป หรือที่เรียกแบบชาวบ้านว่า ดูแล้วเหนื่อย คนละรูปแบบกับการดูหนังของคุณ
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับคำว่า “จิตใต้สำนึก” กันก่อน จิตใต้สำนึก หมายถึง
จิตใต้สำนึก คือ แหล่งข้อมูล แหล่งความทรงจำ และเป็นสิ่งที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาท การตอบสนองของอารมณ์ เราอาจเปรียบเทียบสมองของเราเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ จิตสำนึกคือความทรงจำบนหน้าจอ(RAM) และจิตใต้สำนึกคือระบบความจำในเครื่อง(HARD DRIVE) และคนส่วนมามักไม่รู้จักวิธีที่จะดึงเอาข้อมูลในฮาร์ด ไดรฟ์มาใช้ประโยชน์ ทุกวันนี้เราทำงานและดำรงชีวิตอยู่ด้วยการใช้ข้อมูลเพียงจากระบบความจำบนหน้าจอ หรือจากจิตสำนึกเท่านั้นเอง เราจึงอธิบายปรากฏการณ์หลายอย่างไม่ได้ที่เกิดขึ้นกับความคิด ความทรงจำ อารมณ์ และการตอบสนองทางจิตของตัวเราเอง จิตใต้สำนึก ณ ภาวะของจิตที่ไม่อาจรู้สึกได้ เพราะอยู่ในส่วนลึกของใจจากพจนานุกรรม โดย ชุลีพร สุวรรณ ถ้าว่าตามหลักของจิตวิเคราะห์ จิตใต้สำนึกเป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ภายในจิตใจของเราโดยป็นสิ่งทีเราไม่รู้ตัว ว่ากันว่าจิตใต้สำนึกนั้นมีปริมาณมากกว่าจิตสึกนึกมาทีเดียวเปรียบเสมือนก้อนภูเขาน้ำแข็งที่มีส่วนที่โผล่เหนือน้ำซึ่งหมายถึงจิตสำนึกเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น จิตใต้สำนึกอาจเป็นความคิดประสบการณ์หรือสัญชาตญาณที่เรากดเก็บไว้ภายในใจโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกฏเกณฑ์ทางสังคม หรือเป็นกลไกลป้องกันทางจิตใจของตนเอง อย่างไรก็ตามการที่มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็แสดงว่าเราไม่เข้าใจ ยิ่งส่วนที่เราไม่เข้าใจมากเท่าไหร่มันก็แสดงว่าเรามองไม่เห็นกระทั่งตัวตนของตนเอง ทำให้เราไม่สามารถที่จะดึงความสามารถที่ซ่อนเร้นมาใช้ หรือเห็นข้อบกพร่องที่มีอยู่เพื่อพัฒนาตนเองได้ และแม้แต่บางครั้งเราก็ยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่จะช่วยเราได้ถ้าเชื่อตามกลวิธีของฝรั่งก็คงต้องไปพบนักจิตวิเคราะห์ แต่สำหรับความคิดของผมการฝึกสติการเจริญสมาธิ คอยหมั่นสำรวจใจตนเองโดยปราศจากอคติอยู่อย่างสม่ำเสมอ การยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่เข้ามาอย่างอ่อนน้อม ก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราจะเข้าใจตนเองอย่างชัดเจนได้
"จิตใต้สำนึกนั้นควบคุมกระบวนการสำคัญของร่างกาย และล่วงรู้คำตอบแห่งปัญหาทั้งหลาย อะไรก็ตามที่คุณประทับลงบนจิตใต้สำนึก จะปรากฏออกมาในฐานะประสบการณ์ สภาวะและเหตุการณ์ต่างๆ กฏแห่งพฤติกรรมและปฏิกิริยาสนองตอบนั้นเป็นสากล ความคิดของคุณคือพฤติกรรม ส่วนปฏิกิริยาสนองตอบคือ การตอบรับโดยอัตโนมัติของจิตใต้สำนึกที่มีต่อความคิด ฉะนั้นจงระวังความคิดให้ดี" คำกล่าวของ ศาสตราจารย์ โจเซฟ เมอร์ฟี่ ผู้เขียนหนังสือ พลังจิตใต้สำนึก The Power of your Subconscious Mind
การที่หนังเรื่อง INCEPTION นำเสนอประเด็นต่างๆ ที่เล่ามาแล้วทั้งหมดต้องถือว่าเยี่ยมยอดที่สุดแล้วในความเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดซึ่งเป็นชาวตะวันตกคนนึง แต่มันจะเจ๋็งกว่าหลายเท่าหากตัวผู้กำกับเข้าใจเรื่องจิตวิเคราะห์แบบพุทธ หรือชาวตะวันออก ที่มีมุมมองด้านจิตที่ลึกซึ้งกว่า และเรื่องจิตในแบบพุทธ เป็นเรื่องนามธรรมที่อธิบายให้เข้าใจยาก ต้องปฏิบัติจริงจึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ และถ้าหากคุณคริสโตเฟอร์ โนแลน สามารถนำเอาประเด็น หรือจิตวิเคราะห์ในแบบพุทธศาสนา ไปเล่าเรื่อง อธิบาย หรือสร้างเป็นภาพยนตร์ในมุมมองแบบพุทธ ก็คงจะเจ๋งกว่าหลายเท่า และอาจกลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างให้ชาวโลกได้เข้าใจถ่องแท้ถึงจิตมนุษย์ในระดับฐานรากจริงๆ ผู้เขียนขอยกข้อความบางตอนในหนังสือชื่อ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เขียนโดย ทพ. สม สุจีรา มาเสริมความหนักแน่นของบทความนี้ ดังนี้ “จิต” เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกับ “ร่างกาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สมอง” ซึ่งเปรียบเสมือนฮาร์ดแวร์ และจิตเป็นซอฟท์แวร์ เมื่อใดที่ฮาร์ดแวร์หรือสมองบกพร่อง ด้วยอุบัติเหตุหรือโรคทางร่างกาย แม้ว่าจิตของผู้นั้น จะสมบูรณ์เพียงใด การแสดงออกของบุคคลนั้นก็มิอาจกลับมาเป็นได้ดังเดิม สมองของมนุษย์เป็นประดิษฐกรรมของธรรมชาติ ที่ซับซ้อนมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล ดังนั้น ความผิดปกติที่เกิดกับสมองจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “จิต” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จิตมีความไวสูงมาก และเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ในหนึ่งวินาที จิตจะเกิดดับนับล้านๆ ครั้ง และเมื่อจิตดวงใหม่เกิดขึ้น เมื่อมีการแปรเปลี่ยนขององค์ประกอบภายในจิตร่วมกับความไวในการเกิดดับ ทำให้ภายในช่วงแค่นาที เราสามารถมีอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นได้มากมาย และแม้ในบางครั้งจะไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเกิดขึ้นจริง ๆ จิตก็ยังสามารถสร้างความรู้สึกขึ้นมาได้โดยกระบวนการย้อนกลับ ยกตัวอย่าง เช่น ในความฝัน จิตสามารถสร้างภาพ รับอารมณ์ความรู้สึกออกมาเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับความจริง แม้ไม่ได้มีผัสสะที่แท้จริงเกิดขึ้นเลยก็เกิดเวทนาได้ นี่คือตัวอย่างของข้อความบางตอนของหัวข้อความมหัศจรรย์ของจิต ในหนังสือไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เล่ม 1 อีกประเด็นนึงที่่น่าสนใจในหนังสือเล่มดังกล่าว มีข้อความที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พูดถึงสตีเฟ่น ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ของโลกอีกคนนึง ดังนี้ นอกจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์แล้ว สตีเฟ่น ฮอว์คิง ก็ยืนยันว่า อดีตและอนาคตไม่มีจริง แต่ที่เขาสงสัยอยู่อย่างมากก็คือ ทำไมสมองมนุษย์จึงจำแต่เรื่องในอดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้ เมื่อเกิดปัญญาผ่านญาณ เข้าใจการเกิดดับ เข้าใจอดีต-อนาคต จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม ชาติภพ ฯลฯ อย่างแจ่มแจ้ง จนไม่มีความสงสัยใดๆ เหลืออยู่ คำถามที่เคยถามกัน อย่างเช่น ตายแล้วไปไหน กรรมมีจริงหรือ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ฯลฯ จะได้รับคำตอบอย่างถ่องแท้ แต่ความเข้าใจในระดับภาวนาปัญญาญาณ จะอธิบายเล่าให้ผู้อื่นเข้าใจไปด้วยไม่ได้ ถ้าอยากจะรู้ต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นด้วยตัวเอง เพราะแม้แต่การเข้าถึงทางกายภาพ อย่างเช่น เราไปอะแลสกา มา เราจะกลับมาเล่าให้คนที่ไม่เคยไปรู้สึกและเข้าใจเหมือนกับเรา เป็นไปไม่ได้เลย นี่ขนาดโลกเดียวกันแท้ๆ แล้วนับประสาอะไรกับการพยายามจะไปอธิบายความเข้าใจที่เกิดจากปัญญาญาณ ซึ่งอยู่เหนือโลก 3 มิติ ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ จักรวาลใน 4 มิติ มีอะไรที่เหนือกว่าความสามารถในการเข้าใจของมนุษย์ทั่วไปมากมายนัก แม้แต่ไอน์สไตน์ซึ่งเป็นผู้เปิดประตูมิติที่ 4 (เรื่องเวลา) ให้ชาวโลกรู้จักผ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพ เขายังหาทางอธิบายทฤษฎีของเขาให้คนทั่วไปเข้าใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีนี้ิ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาเคยรำพึงรำพันออกมาว่า “ถ้าทฤษฎีสัมพัทธภาพจะมีข้อบกพร่อง ข้อบกพร่องเพียงเรื่องเดียวที่มันจะมีก็คือ มันทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและตามไม่ทัน” นี่เป็นบางส่วนของข้อความในหัวข้อ การเกิด-ดับ ในหนังสือชื่อเดียวกัน ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เล่ม 1
ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของจิต จิตนี้เดิมแท้ประภัสสร ไม่มีมลทิน เป็นขันธ์ 5 ที่บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่่่มีสติรู้ ไม่มีปัญญารักษา ดังนั้น พอชีวิตนี้เจริญเติบโต สังขารล่วงตามกาลผ่านวัยไป ความพอใจ ความไม่พอใจ ความคิด ความหวัง ความรัก ความชัง ได้ย่างกรายเข้ามาในจิตบ่อยครั้งขึ้น กระทบผัสสะแล้วก่อให้เกิดเวทนา ถูกใจก็เป็นสุขใจ ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ หรือบางครั้งก็เฉยๆ ไม่สนใจด้วยซ้ำ ธรรมชาติเหล่านี้คือผัสสะ รู้สึกได้ด้วยใจหรือมีวิญญาณในอายตนะนั้น ๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด แล้วพอสิ้นเหตุปัจจัยมันก็ดับ บางครั้งการกระทบผัสสะจบไปแล้ว แต่ความพอใจ ความไม่พอใจ ความกังวลสงสัย ไม่แน่ใจก็ยังค้างคาติดอยู่ในใจ มันอยู่ในรูปลักษณ์เมล็ดพันธุ์แห่งทุกข์ พร้อที่จะงอกใหม่ ถ้าเหตุปัจจัยเหมาะสมแล้วก็เริ่มโตขึ้น เป็นรัก เป็นปรารถนา เป็นตัณหา เป็นกาม เป็นความผูกพัน เป็นการสร้างเหตุปัจจัย เป็นบ่วงตัวใหม่ ผูกพันจิตเราให้แน่นหนายิ่งขึ้น จนถึงขั้นที่เรียกว่า “อุปาทาน” หมักหมมตกตะกอนอยู่ในจิตเรียกว่า “อนุสัย” เป็นอัตตลักษณ์(อัตตา) ส่วนตัวไปเลย ดังนั้น ความเข้าใจที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นก็คือ จิต จิตนี้เดิมไม่มีอะไรหรือไม่ได้มีอะไรอยู่ในจิต เป็นจิตว่าง ไม่มีความนึกคิดปรุงแต่ง ไม่มีความสำคัญมั่นหมายที่เป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างใด จิตตะคอยทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รู้อารมณ์เท่านั้น แม้ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดภายหลังการกระทบผัสสะขณะจิตหนึ่งๆ หากไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เข้าปรุงอารมณ์ให้เกิดรสชาติ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังจะเป็นขันธ์ 5ที่บริสุทธิ์อยู่นั่นเอง คือรู้เห็นเข้าใจในทุกสิ่งที่ผัสสะว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป รับรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามความเป็นจริงปรากฏแจ่มแจ้งในจิตอยู่อย่างนั้น เห็นตามความเป็นจริงในจิตล้วนๆ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง (ข้อความทั้งหมดมาจากหนังสือชื่อ การรู้ธรรมแบบรู้แจ้ง เขียนโดย ส.มหาปัญโญภิกขุ หลวงตาวัดป่าโสมพนัส สกลนคร)
ดังนั้น หากคนเราจะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ และมีความสุขได้นั้น ก็เพียงแต่ทำให้จิตของตนเองเป็นจิตว่าง เหมือนตอนที่ยังไม่เกิด (สนธิ) ออกมาจากครรภ์มารดา เท่านั้นเอง เป็นจิตที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง วิธีการก็คือการเจริญสติ ทำวิปัสสนากรรมฐาน หรือที่วงการศาสนาพุทธ เรียกว่า ทำสติปัฎฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ซึ่ง จิตตานุปัสสนา ก็เป็น 1 ใน 4 หนทางที่จะทำสติปัฏฐาน 4 จิตตานุปัสสนา คือการกำหนดสติพิจารณาจิต มีสติพิจารณาความเป็นไปของจิตว่า ขณะนี้จิตของเรามีราคะ โทสะ โมหะ หรือมีความฟุ้งซ่าน มีความนึกคิดต่างๆ กำหนดรู้อย่างนี้ มีสติตั้งมั่นไม่เอนเอียงไปตามอารณ์ของจิต ย่อมจะรู้เท่าทันว่าจิตก็เป็นเพียงสักวาจิตเท่านั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่การเกิดดับของจิตจะไวกว่าเวทนา ต้องใช้กำลังสมาธิที่สูงกว่า (ข้อความบางส่วนของหนังสือชื่อ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น เล่ม 1)
คนเราศึกษาเรื่องจิตไปทำไม หากมิใช่เพื่อต้องการหลุดพ้น หรือยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น คงไม่มีใครคิดที่จะศึกษาจิตเพื่อที่จะคิดไปทำลายล้างหรือนำไปใช้ทำร้ายผู้อื่นหรอก ถ้าทำเช่นนั้นก็มิใช่เป็นการยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น
คนเราศึกษาเรื่องจิตไปทำไม หากมิใช่เพื่อต้องการหลุดพ้น หรือยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น คงไม่มีใครคิดที่จะศึกษาจิตเพื่อที่จะคิดไปทำลายล้างหรือนำไปใช้ทำร้ายผู้อื่นหรอก ถ้าทำเช่นนั้นก็มิใช่เป็นการยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น
ผู้เขียนขอแนะนำว่า ถ้าท่านผู้อ่านสนใจจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของจิตอย่างลึกซึ้ง ถึงฐานรากของพุทธศาสนาแล้วหล่ะก็ ควรศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลายแหล่ง ทั้งหนังสือที่ผู้เขียนนำมาอ้างอิง และหนังสือที่ว่าด้วยการดับทุกข์ เรื่องกรรม เรื่องการเจริญสติ เรื่องวิปัสสนา ต่างๆ มากมายในร้านหนังสือชั้นนำ ปัจจุบันกระแสเรื่องพุทธศาสนา กำลังเป็นที่สนใจทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก คนดังในระดับโลกหันมานับถือพุทธศาสนามากมาย และหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ เป็นหนังสือในหมวดขายดี หรือ best seller มากมาย ไม่เชื่อลองแวะเฉียดเข้าไปในร้านหนังสือดู ท่านจะรู้ทุกคำถาม คำตอบอย่างละเอียด หนังเรื่อง INCEPTION นั้นจุดกระแสให้คนหันมาสนใจทั้งเรื่องจิตวิทยา และพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก น่ายินดีและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)