วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนไทยจะลุกขึ้นมา Clean Up ประเทศไทยกันเสียที

ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสถานการณ์น้ำท่วมอยู่เป็นเวลาร่วม2 เดือนแล้ว ส่วนใหญ่ผ่านสื่อทีวี ทั้งฟรีทีวี และทีวีดาวเทียม ทางวิทยุ หนังสือพิมพ์และทางอินเตอร์เน็ตบ้างนิดหน่อย แรกๆ ก็เอาใจช่วยรัฐบาลคุณปู ยิ่งลักษณ์ให้บริหารประเทศในภาวะวิกฤตินี้ไปให้รอด จริงๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นภาพความเป็นมืออาชีพจากท่านนักหรอก แต่ขอว่าท่านเข้ามาแล้วทำงานอย่างโปร่งใส ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบช่วยพี่ชายแต่ถ่ายเดียว ทำงานได้เข้าเป้า ฉับไว ทันใจ และตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนได้เท่านั้นก็เพียงพอที่จะยอมรับได้แล้ว แต่เมื่อเธอต้องมาเจอกับปัญหามหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงในครั้งนี้เข้า ก็ทำให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นศักยภาพในตัวเธอ และก็พลพรรคเพื่อไทย ตลอดจนองคาพยพของรัฐบาลเธอทั้งคณะ ว่าสามารถบริหาร และนำพาประเทศไปได้รอดหรือไม่ และคำตอบก็ปรากฏออกมาผ่านผลงานการทำงานในช่วง 2-3 เดือนที่ผานมานี้อย่างชัดแจ้ง หรือสามารถสดับตรับฟัง มองผ่านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทั้งชาวบ้าน สื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจต่างๆ ต่อการแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว ว่าเธอสอบผ่านหรือไม่ เครดิตความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนี้แทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลยในสายตาของสาธารณชนโดยทั่วไป

จริงๆ นาทีนี้ ผู้เขียนไม่อยากไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคุณปูอีกเลย เพราะคิดว่าเธอคงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ เสียงกร่นด่า สรรเสริญเยินยอจากหลายๆ ทาง จนอ่วมอรทัยอยู่แล้ว และผู้เขียนคงไม่ต้องมาขยายความ เพื่อกระหน่ำซ้ำเติมอีกในผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งอยู่ในสื่อของโลก social media ต่างๆ มากมายแล้ว แต่การจะไม่แสดงความคิดเห็นหรือพูดถึงรัฐบาลชุดนี้แต่น้อย ย่อมผิดวิสัยของทั้งผู้เขียนเองและคอนเซ็ปต์ของบล็อกนี้ อีกทั้งผู้เขียนได้เคยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ไว้พอสมควร จึงเป็นการไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งหากจะไม่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลคุณปูเลย แม้ว่าจะผ่านการทำงานไปเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น (ซึ่งแม้ว่าอยากจะเอาใจช่วยเพียงใดก็ตาม) และนับจากข้อความของย่อหน้าถัดจากนี้ไป ผู้เขียนก็จะแสดงความคิดเห็นไปตามเนื้อผ้า ไม่มีอคติเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใดกับคุณปู และรัฐบาลเพื่อไทย หวังว่าท่านจะรับฟังและนำไปปรับปรุงแก้ไขเป็นการด่วน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นการส่วนรวม ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนจะสะท้อนออกไปให้กับรัฐบาลนั้น ก็มาจากเสียงสะท้อนของคนรอบข้างของผู้เขียนเอง ซึ่งเอามาประกอบกันเข้ากับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน และคงไม่ใช่สิ่งที่นึกสนุก อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ใครหรือไม่ชอบใครก็เขียนคอมเม้นท์ออกไป เพราะคงไม่ใช่สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะทำนักหรอก จริงๆ แล้วงานถนัดของผู้เขียนนั้นคือเขียนถึงเรื่องสุขนิยม ความบันเทิงไร้สาระจะถนัดมากกว่า แต่ความเดือดร้อนอย่างมหาศาลในช่วง 2-3 เดือนนี้มันหนักมากจนไม่อาจมองข้ามไป หรือไม่กล่าวถึงได้ จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงรัฐบาล หรือคณะผู้บริหารประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมคิดว่าประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม หรือตั้งประเด็นปัญหาสะท้อนไปยังรัฐบาลได้ สำหรับกรณีการแก้ไขปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะสื่อสารมวลชนเท่านั้น ที่มีหน้าที่ เพราะประชาชนทุกคนก็ย่อมมีสิทธิ์รับรู้ การกระทำ การปฏิบัติงานของรัฐบาล เพราะในที่สุดแล้ว ประชาชนคือผู้รับผลของการกระทำ หรือการปฏิบัติงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่ยังไม่นับรวมว่าสถานภาพที่ประชาชนคือนายของรัฐบาล เป็นทั้งผู้จ่ายภาษี จ่ายเงินเดือนให้กับผู้บริหารประเทศมาทำงานเพื่อตอบสนองผลประโยชน์คืนกับมายังประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงเป็นเจ้าชีวิตของรัฐบาลที่จะสั่งให้รัฐบาลจะต้องทำตามความต้องการของประชาชนได้ และหากรัฐบาลไม่สนองตอบต่อผลประโยชน์ของประชาชนแล้วหล่ะก็ คุณก็ย่อมอยู่ไม่ได้ หรือควรพิจารณาตัวเอง ลาออกไป เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจที่จะเลือกผู้บริหารประเทศที่จะมาทำงานสนองตอบผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง นี่คือหลักการประชาธิปไตย หรือหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นใหญ่ สิ่งที่ผู้เขียนอยากตั้งเป็นประเด็น หรือคำถาม ในหลายๆ กรณี ได้แก่

-เกิดอะไรขึ้นกับการบริหารจัดการน้ำ ในรัฐบาลชุดนี้ มีความผิดพลาดอะไรที่ทำให้เกิดการปล่อยน้ำอย่างมหาศาลลงมาในช่วงเวลาที่ไม่ควรจะปล่อย และในช่วงเวลาที่ควรจะปล่อยน้ำระบายออกมากลับไม่ทำ ทำไมถึงได้กักเก็บน้ำเอาไว้ จนมากล้น จนเป็นที่มาที่ทำให้มีการบังคับให้ต้องปล่อยน้ำออกมาอย่างมหาศาลในช่วงเวลานี้ และใครเป็นผู้ออกคำสั่งหรือมีส่วนต้องรับผิดชอบในการดูแล (ซึ่งหลายฝ่ายต่างออกมาตั้งข้อสังเกต ว่าเป็นอธิบดีกรมชลประทาน กับผู้ว่าการไฟฟ้า ฯ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ต่างฝ่ายต่างโทษกันไปมา รวมถึงรัฐมนตรีที่ดูแลฯ ผู้ออกคำสั่ง ใครกันแน่ที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบผลลัพธ์แห่งความเสียหายที่เกิดขึ้น)

-รัฐบาลทราบข้อมูลเรื่องระดับน้ำในเขื่อน และการปล่อยน้ำออกจากเขื่อน ตลอดจนปริมาณน้ำฝนที่จะตกในปีนี้มากน้อยเพียงใด และรัฐบาลได้ดำเนินการเตรียมการป้องกันเหตุที่จะเกิดอุทกภัยใหญ่ไว้ในช่วงต้นก่อนบ้างหรือไม่ (มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าช่วงแรกที่รัฐบาลเข้ามาเพิ่งเริ่มทำงานก็ได้รับทราบข้อมูลเหล่านี้เบื้องต้นแล้ว แต่ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา ยังคงง่วนอยู่กับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การชงเรื่องจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนิรโทษกรรมความผิดให้แก่คุณทักษิณ รวมไปถึงการเตะบอลกระชับมิตรกับคณะรัฐมนตรีและผู้นำของประเทศกัมพูชา ในขณะที่ตอนนั้นเริ่มมีปัญหาน้ำท่วมในเขตภาคเหนือและอีสาน กลางตอนบนแล้ว)

-การตั้งศูนย์ ศปภ.(ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม) ซึ่งมีคนจำนวนมากไปแปลงชื่อเสียใหม่มากมาย ของผู้เขียนเองก็แปลงใหม่เป็น ศูนย์ไม่ประสาการทำงานและเป็นพิษภัยต่อชาติ เนื่องจากการสื่อสารให้ข้อมูลแก่ประชาชนนั้นผิดพลาดคลาดเคลื่อน จนกระทั่งประชาชนแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือกลายเป็นตื่นตระหนก ตกใจกลัว การแต่งตั้งทีมงานโฆษกของศูนย์นี้ก็ใช้คนไม่เป็น ตั้งคนที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำ มาพูดจาให้ข้อมูลสับสนแก่ประชาชน แถมยังพูดจาไม่รู้เรื่อง เข้าใจยาก และส่วนใหญ่เป็นการมานั่งแถลงผลการทำงานของรัฐบาลมากกว่าที่จะมาอธิบายแนวทางการแก้ปัญหา สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ และสิ่งที่รัฐบาลจะได้ทำต่อไปในอนาคต รวมถึงข้อมูลความเป็นจริงที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้รับรู้ ก็กลายเป็นศูนย์ที่มานั่งแถลงข้อมูลผลการปฏิบัติงานรายวันของรัฐบาล ซึ่งไม่มีชาวบ้านที่ไหนจะฟังแล้วรู้เรื่อง หรืออยากจะรับฟัง จนสุดท้ายเมื่อมืการวิพากษ์วิจารณ์ถึงศปภ.ไปในทางลบจำนวนมาก จึงมีการเปลี่ยนตัวโฆษกเป็น รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ ซึ่งก็ถือว่าดีขึ้น สามารถแก้ภาพลักษณ์ของศูนย์ฯได้ในระดับนึง แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ในส่วนของข้อมูลที่ประชาชนอยากรับทราบอยู่ดี เพราะตัวอาจารย์เองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะมาอธิบายเรื่องน้ำได้ดีกว่านักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องนี้ได้ สุดท้ายแล้วก็เกิดกลุ่มคนที่รวมกันทำ clip VDO อธิบายความให้กับประชาชนชาวบ้านได้เข้าใจง่ายๆ ในรูปของแอนิเมชั่น คล้ายๆ สื่อการสอนแบบภาพเคลื่อนไหว ในนามของกลุ่มรู้สู้ Flood ซึ่งอันนี้ขอชื่นชม และมีคนเข้าไปดูผ่าน you tube เป็นจำนวนมาก (http://th-th.facebook.com/ROOSUFLOOD) ซึ่งถ้าจะดีกว่านี้ หากฟรีทีวีนำไปเผยแพร่ออกอากาศให้กับประชาชนในวงกว้างได้ดูกันมากๆ ต่อกรณีที่มีมาเฟียอยู่ด้วยใน ศปภ. ก็คือบรรดา ส.ส.หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือคณะทำงานที่อดีตเคยเป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าไปทำหน้าที่เป็นด่านตรวจคนที่จะเข้าไปบริจาคสิ่งของ หรือจะเข้าไปหาข้อมูลหรือนำข่าวไปเผยแพร่ จะต้องทำตามเงื่อนไขของแกนนำเหล่านั้น ในลักษณะ ต้องใส่เสื้อเป็นพวกเขาคือเสื้อแดงบ้างหล่ะ เมื่อของบริจาคโดยประชาชนโดยบริสุทธิ์ใจ ไฉนมีการนำเอาสิ่งของบริจาคเหล่านั้นไปพะยี่ห้อเป็นชื่อ ส.ส. รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี (หนีคดี) คนนั้น ได้เครดิตเป็นผู้ให้หรือบริจาคในนามไว้ด้วยทุกถุง ทุกห่อ ก่อนจะนำไปบริจาคถึงมือประชาชน แล้วอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร อีกทั้งมีการต้องเซ็นเซอร์ข้อมูลที่จะนำไปเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ต่างๆ เกี่ยวกับข่าวเรื่องน้ำท่วม ของ ศปภ. ว่าจะต้องไม่มีข่าวด้านลบให้แก้ไขก่อนนำไปลง อันนี้ถือว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระของสื่อหรือไม่ จนทำให้กลุ่มเว็บไซต์ thaiflood โดยคุณปรเมศวร์ มินศิริ ต้องประกาศถอนตัวจากการเข้ามาช่วยเหลือการทำงานร่วมกับ ศปภ.ไปอีกราย ก่อนหน้านั้นมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มจิตอาสาต่างๆ ที่หวังดีอยากเข้ามาทำงานช่วยเหลือประชาชนร่วมกับ ศปภ. แต่พอมาเจอสภาพการเล่นพรรคเล่นพวกของแกนนำใน ศปภ.เข้าจึงล่าถอย ถอนตัวกันไปหมด สภาพข้าวของบริจาคของประชาชนถูกทิ้งลอยน้ำ ในช่วงที่มีการย้ายศปภ. ในระหว่างที่สนามบินดอนเมืองถูกน้ำท่วม ซึ่งเป็นการประจารณ์ความล้มเหลวและไม่จริงใจของรัฐบาล การทำงานที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกภาคส่วนไม่มีการประสานขอความช่วยเหลือใดๆ แม้กับภาคประชาชน ทั้งๆ ที่ ภาวะวิกฤติเช่นนี้ ต้องการการร่วมมือจากทุกภาคส่วนและความสามัคคี ปรองดองที่รัฐบาลพูดนักพูดหนา ว่าอยากจะเห็น แต่กลับมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สร้างความแตกแยกกันเสียเอง ดังกรณีการออกมาแฉกันเองของ ส.ส.ฉลอง เรี่ยวแรง ,การออกมาพูดจาให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกันของ นายปลอดประสพ สุรัสวดี (ปลอดประสบการณ์ ) กับทางหน.ศูนย์ ศปภ.(ท่าน พตอ.ประชา พรหมนอก) การให้ทีมงานโฆษกที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำมาอธิบายเรื่องปัญหาน้ำท่วม อาทิ นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา ,พตอ.พงศฑัต พงษ์เจริญ จนตอนหลังจึงให้ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา มาอธิบายให้กับประชาชนฟัง ในขณะที่มีการแถลงข่าวรายงานผลการทำงานที่ทับซ้อนคาบเกี่ยว แย่งซีนผลงานกันระหว่าง ศปภ. กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยที่ประชาชนเองก็ไม่รู้จะฟังข้อมูลของฝ่ายใด จนตอนหลังข้อมูลของทาง กทม.มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ทำให้รัฐบาลนำเอาที่ปรึกษาบ้าน 111 อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของศปภ. และเป็นที่มาของการทำงานที่ขัดแย้งกันของรัฐบาลกับกทม. โดย ส.ส.ในสังกัดของคุณหญิงสุดารัตน์ นำคนและมวลชนไปพังคันกั้นน้ำในย่านปากเกร็ดดอนเมือง ,นำคนไปพังกระสอบทรายบริเวณคลองประปา ทำให้น้ำสกปรกลงไปในคลองประปาทำให้น้ำประปามีปัญหาเรื่องความสะอาด สี กลิ่น ตามมา และกรณีนักการเมืองในปีกรัฐบาลนำกำลังคนหรือมวลชนไปทำลายเพื่อจะเปิดประตู ระบายน้ำคลองสามวา และบริเวณอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมาก ตราบใดที่รัฐบาลยังมีมุมมองที่ถ้าข้าไม่ได้ผลงานแล้ว เอ็งก็ต้องไม่ได้ด้วย คือต้องการดิสเครดิตการทำงานของผู้ว่าฯกทม.ซึ่งอยู่ต่างพรรคกัน และมีเป้าประสงค์คือสนามการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปลายปีหน้า 2555 เป็นเดิมพัน

-การทำงานที่อยู่บนฐานของการอิงผลประโยชน์การเมืองส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นการส่วนรวม ดังกรณีที่ตั้งทีมงานอดีตรัฐมนตรีบ้าน 111 มาเป็นที่ปรึกษาแล้วก็ยังมีการใช้คนไม่ถูกกับงาน การตั้งทีมงานที่เคยเป็นแกนนำเสื้อแดง มาดูแลของบริจาคจากประชาชน จนเกิดความไม่ไว้วางใจของประชาชนจำนวนมาก หันไปบริจาคของผ่านหน่วยงานของรัฐแห่งอื่น รวมถึงผ่านสื่อมวลชน อาทิ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 9 TPBS , ผ่านมูลนิธิต่างๆ แทน (มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุของการที่สุพรรณบุรีน้ำไม่ท่วมในตอนแรก เพราะมีคำสั่งให้สุพรรณบุรีรอเก็บเกี่ยวข้าวให้ได้ก่อนซึ่งเป็นที่นารับจ้างปลูกของต่างชาติ ซึ่งมีคำสั่งลับให้ระงับการปล่อยน้ำจากเขื่อนในช่วงเวลานั้น หรืออย่างกรณีของการที่น้ำที่ทะลักเข้ากรุงแล้วมีเส้นทางออกไปทางตะวันออก เพื่อผันไปออกทะเลโดยผ่านแม่น้ำบางปะกง แต่น้ำไหลลงตรงส่วนนี้ค่อนข้างช้ามาก แต่ทะลักไปลงด้านตะวันตกอย่างรวดเร็ว และมากกว่า เป็นผลมาจากมีคำสั่งลับให้ผันน้ำไปลงฝั่งตะวันตกให้มากกว่า เพื่อป้องกันที่ดิน สิ่งปลูกสร้างของนักการเมืองซีกฝั่งรัฐบาลที่กว้านซื้อและลงทุนเอาไว้ในฝั่งตะวันออกจำนวนมาก กลัวว่าจะเสียหายหนัก เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของการทำงานเพื่อตนเองหรือเพื่อชาติ

-การที่หน่วยงานอย่างกองทัพบก หรือพวกกลุ่มจิตอาสา อาสาสมัครของมูลนิธิกู้ภัยต่างๆ ศิลปินดารา ได้ระดมกันเข้ามาช่วยเหลือการทำงานของรัฐบาล ไม่ได้เกิดจากการถูกเชื้อเชิญจากรัฐบาลแต่ประการใด ทุกคนมาด้วยความสมัครใจ ด้วยจิตอาสาที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มใจ บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อชื่อเสียง หรือ CSR ตัวเอง แต่เกิดจากน้ำใจที่แท้จริง โดยสัญชาติญาณของการอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติ ซึ่งเป็นการทำงานที่เสียสละ และควรแก่การชมเชย ยกย่อง สรรเสริญ รวมถึงบรรดาผู้รู้ในด้านต่างๆ ที่คอยมาให้ความรู้แก่ประชาชนได้ตาสว่างมากกว่าการให้ข้อมูลของรัฐบาล อาทิ อจ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ,อจ.ศศิน เฉลิมลาภ กลุ่มนิสิตเก่านิเทศจุฬา ในนาม กลุ่มรู้สู้ flood คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ที่ริเริ่มการทำ EM ball เพื่อใช้บำบัดน้ำเสีย น้ำเน่าในแหล่งพักอาศัย ชุมชนที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งคงไม่สามารถยกตัวอย่างได้ครบทุกคน แต่ผู้เขียนขอกราบขอบคุณแทนประชาชนชาวไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วย เพราะสิ่งที่ท่านทำเป็นสิ่งที่ทำเพื่อสังคม ไม่มิสิ่งตอบแทนใดๆ และเป็นการทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง มากเสียยิ่งกว่านักการเมืองหรือรัฐบาลพึงจะกระทำเสียอีก

สรุปผลงานของ ศปภ.และหน่วยงานของรัฐบาลและข้าราชการประจำของประเทศไทยก็คือ 1. ไม่ได้ให้ข้อมูลความเป็นจริงแก่ประชาชน หรือให้ก็ให้ไม่ครบถ้วน ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่ควรจะเป็น 2. ไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้า มีแต่การบอกกล่าวเรื่องการอพยพ ภายหลังน้ำท่วมแล้ว 3. ไม่มีแผนรองรับในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น แผนการอพยพผู้คนไปยังศูนย์พักพิงต่างๆ อย่างเพียงพอ หรือสะดวก บางครั้งต้องย้ายศูนย์พักพิงอีกเป็นครั้งที่ 2 , ไม่มีแผนการจัดการน้ำว่าน้ำที่ทะลักมาทางเหนือจะมีแผนสกัดกั้นหรือปล่อยน้ำให้ไหลไปลง ณ จุดใด หรือผันน้ำไปทางใดบ้าง เพิ่งจะมาสรุปกันภายหลังที่น้ำท่วมทะลักเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นจำนวนมากแล้ว 4, ไม่มีการควบคุมกลไก หรือเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างจริงจัง อาทิ มีกลุ่มชาวบ้านมาพังคันกั้นน้ำ มาทำลายประตูกั้นน้ำ มาทำลายแนวกระสอบทราย ก็ยอมปล่อยให้ทำ โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่าง ตำรวจ ก็ไม่มาควบคุมดูแล ปล่อยให้เกิดการพังทำลาย ด่านสกัดน้ำในหลายจุด จนเกิดความเสียหายให้น้ำเข้ากรุงมามากขึ้น จนนายกรัฐมนตรีต้องมีคำสั่ง หรือออกเป็น พรก.ฉุกเฉิน จึงบังคับใช้กฎหมายได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่มีประเทศไหนทำกัน เพราะเจ้าหน้าทีของรัฐมีอำนาจที่จะดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอยู่แล้ว

-การที่ รมต.พลังงาน และ รมต.พาณิชย์ออกมาประสานเสียงพร้อมกันว่าจะมีแผนฟื้นฟูประเทศภายหลังน้ำลด หรือพ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมปีนี้แล้ว จะมีการขอกู้เงินมาลงทุนในสาธารณูปโภค และระบบการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน และต้องใช้เงินงบประมาณเป็น 100,000 ล้านในการฟื้นฟูเยียวยา ภายหลังน้ำลด แต่ที่ไม่ลดก็คือนโยบายหาเสียงประชานิยมไว้เดิม จะไม่มีการยกเลิก หรือลดเงื่อนไขลง และจะเดินหน้าต่อในทุกนโยบาย ซึ่งก็ขัดแย้งกับความคิดเห็นของทุกภาคส่วน หรือกระแสคนส่วนใหญ่ที่อยากให้มีการลด หรือเลิกนโยบายประชานิยมบางอันออกไปเลย เพื่อจะได้มีงบประมาณส่วนที่เหลือจากการนี้มาใช้ในการฟื้นฟูเยียวยา โดยที่ไม่ต้องไปเดือดร้อนกู้เงินให้เป็นหนี้สาธารณะแก่ประเทศมากขึ้น แต่รัฐบาลโดยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเดินหน้าต่อในนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้ อีกทั้ง รมต.พลังงาน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ออกมาเปรยอภิมหาโปรเจคท์ว่า จะมีโครงการที่เรียกว่า New Thailand ที่จะต้องใช้เงินทุนมหาศาลเกือบ 8 แสนล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนหลายอย่าง เพื่อสร้างชาติขึ้นมาใหม่ ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ ก็ในเมื่อรัฐบาลนี้สอบตกในเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังมีหน้าหรือเครดิตอะไรอีกที่จะมาบริหารเงินอีก 8 แสนล้านบาทนี้ และเป็นเงินที่จะต้องกู้มาด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาทำอีลุ่ยฉุยแฉกอย่างไรอีก ซึ่งก็ไม่พ้นกลิ่นตุๆ ของการคอรัปชั่น เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้อีก ซึ่งก็จะเป็นการซ้ำเติมทำร้ายประเทศให้หนักมากขึ้น และแทนที่จะเป็น New Thailand แต่อาจะเป็น New Greece เสียมากกว่า เห็นด้วยกับคุณโสภณ องค์การณ์ ที่พูดในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ว่า เราคนไทยไม่ได้ต้องการ New Thailand แต่อย่างใด เพราะเราไม่เชื่อในน้ำยาของพวกคุณหรอก เราต้องการ New Government มากกว่า และต้องเป็น Good Governant ด้วย การที่เด็กนักศึกษาเฟรชชี่คนหนึ่งสอบได้สอบติดเข้าเรียนได้ในมหาวิทยาลัยปิดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แต่แล้วเมื่อผลการเรียน การสอบปรากฏว่าสอบตก ติด F ทุกวิชา เช่นนี้แล้ว สิ่งที่เขาควรจะได้รับก็คือ ถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย ใช่หรือไม่ ไม่ใช่การขอเรียนซ้ำชั้น เสมือนมหาวิทยาลัยเปิด ซึ่งเป็นการผิดกฎมหาวิทยาลัย และก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เปรียบเสมือนรัฐบาลที่แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว แต่ทำงานไม่เข้าท่า สอบตกในทุกกรณี ทุกเรื่องเช่นนี้ ทางเดียวที่คุณควรพิจารณาตัวคุณเองก็คือ ขอลาออกไป หรือไม่ก็ฮาราคีรี ตัวเอง ไปผูกคอตายซะ ไม่ใช่มาขอที่จะบริหารเงินอีก 8 แสนล้านบาท การทำเช่นนี้ก็เหมือนการตบหัวและกระทืบซ้ำประชาชนตาดำๆ ที่ได้รับความทุกข์จากการบริหารงานของพวกคุณอย่างสุดจะสรรหาคำมาสบถได้แล้ว ผมคิดว่าคนอย่างคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ไม่น่าจะเหมาะมาเป็น รมต.พลังงาน แต่แกควรจะไปเป็นอาเจ๊ก อาแป๊ะขายเต้าหู้ยี้ทอด เสียมากกว่า เพราะสิ่งที่แกพูดโปรเจ็คท์อะไรออกมาแต่ละครั้ง มันสะท้อนความหายนะของประเทศเสียทุกครั้งไป ตั้งแต่ เรื่องกองทุนความมั่งคั่งแล้ว การไม่เก็บเงินกองทุนทดแทนน้ำมัน ซึ่งเข้าใจว่าแกเป็นนายหน้าตัวแทนของคุณทักษิณ สิ่งที่แกพูดก็สะท้อนความคิดออกมาจากคุณทักษิณนั่นแหละ แต่อย่าลืมว่านี่คือประเทศไทย ไม่ใช่ชินคอร์ป เงินก็เงินภาษีของประชาชนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่กองมรดกของตระกูลชินวัตร ถ้าเก่งจริงอยากบริหารเงินจริง ก็ลองเอาเงินกองมรดกทรัพย์สินของตระกูลชินวัตรไปบริหารดูก่อนสิ ว่ามันจะมั่งคั่งจริงอย่างที่พูดหรือเปล่าเผลอๆ คุณทักษิณเองยังไม่อยากไว้ใจให้บริหารเงินแกเลย ส่วนเงินที่จะเอามาทำ New Thailand ก็ลองเอาเงินของคุณทักษิณ ไปสร้าง Shin City ดูก่อน แล้วเกณฑ์พลเมืองพวกเสื้อแดงไปอยู่ด้วยกัน บริหารจัดเก็บภาษีไอ้พวกนี้ดูว่ามันจะไปรอดมั๊ยก่อนค่อยมาบริหารประเทศไทยนะ แล้วถ้าฝนตกขี้หมูไหล แล้วสนุกสนานกันไปแล้วไปรอด ค่อยเอาโมเดลนี้มาบอกคนไทยว่าอยากจะมาบริหารให้ นะค่อยมาพุดคุยกันทีหลังนะ เสี่ยพิชัย เพราะเห็นหน้าแกทีไรแล้วอยากจะอาเจียนทุกทีเลยอ่ะ




ถ้าเปรียบประเทศไทยนี้ เป็น CPU หรือ Hardware แล้วหล่ะก็ นักการเมืองหรือรัฐบาลแทบจะทุกยุคสมัยก็คือไวรัสต่างสายพันธุ์กันเลยทีเดียว บางตัวก็ร้ายมาก ทำลายซะเครื่องพังกู้คืนยาก หรือกู้กลับไม่ได้ ต้องยกเครื่องใหม่ ลงโปรแกรมใหม่ บางตัวก็สามารถฆ่าทำลายได้ โดยไม่เสียหายมากนัก ในส่วนของเหตุการณ์ต่างๆ เช่น สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ การชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง การชุมนุมประท้วงปิดสนามบิน ก็เปรียบเสมือนซอฟท์แวร์ภายในเครื่องที่มันเป็นเรื่องปกติที่สามารถอยู่ในเครื่อง CPU ที่ชื่อประเทศไทยได้ เพียงแต่ต้องพยายามไม่ให้ไวรัสเข้าไปแทรกซ้อน หรือทำลายได้ หรือซอฟท์แวร์บางตัวอาจเป็นพาหะของไวรัสร้ายนั้นเสียเอง อาจเกิดจากการใช้ซอฟท์แวร์ผิดกฎหมาย หรือซอฟท์แวร์แปลกปลอมที่นำมาลงในเครื่องโดยไม่ได้ผ่านการสแกน หรือตรวจสอบก่อน ประเทศไทยเราควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้บ้าง ที่ผ่านมาเราไม่เคยมี หรือปล่อยไปตามยถากรรม เสร็จจากภารกิจกู้ภัยน้ำท่วมใหญ่หนนี้แล้ว เรายังต้องผจญอยู่กับรัฐบาลจั๊ดง่าวนี้อยู่อีกต่อไปหรือนี่ สิ่งที่เป็นทางออกของประเทศไทยก็คือ shutdown เครื่องเสียใหม่ เพื่อ clean up ประเทศขึ้นมาใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปท์ New Siam ไม่ใช่ New Thailand และก็จัดการลงโปรแกรมปฏิบัติการดีๆ เสียใหม่ เลือกโปรแกรมดีๆ ใส่เข้ามาในเครื่อง ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสร้ายเหล่านั้น เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันภัยให้กับประเทศ เพราะเราไมอยากเผชิญกับความหายนะของประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้ว ลำพังการต่อสู้กับภัยธรรมชาติก็หนักเกินพอแล้ว ยังต้องมาสู้รบปรบมือกับคนในประเทศเองอีกย่อมทำให้บ่อนทอนพละกำลังที่จะไปสู้กับภัยธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่มีทางสู้ชนะอยู่แล้ว ดังนั้นทางที่ดีก็คือการได้ผู้บริหารประเทศที่จะมาเป็นผู้คุมหางเสือประเทศให้กับประชาชน และมองไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกับประชาชนย่อมดีกว่า เรียกความเชื่อมั่น ศรัทธา พละกำลัง และความสามัคคีได้เป็นเท่าทวีคูณ ไม่มีทางที่ประเทศจะเสียหาย ถอยหลังเข้าคลองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน สุดท้ายอยากจะนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงให้คำแนะนำแก่เหล่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในวโรกาสเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาจัดการน้ำ มาประชุม เมื่อปี 2538 เป็นคลิปที่ถูกนำมาเผยแพร่ในช่วงนี้ ฉายให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของพระองค์ ทรงมีวิสัยทัศน์ และยังเป็นพระราชดำรัสที่ทันสมัยใช้ได้กับเหตุการณ์ปัจจุบันเสียด้วย นำมาให้รับชมกันอีกครั้ง เพื่อจะทำให้คนไทยตาสว่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เสียที ในตอนท้ายของบทความนี้ครับ

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของเถ้าแก่น้อย และภาพยนตร์เรื่องวัยรุ่นพันล้าน

เรื่องย่อภาพยนตร์เรื่อง Top Sccret วัยรุ่นพันล้าน


• อายุ 16 ต๊อบมีเงินจากการเล่นเกมส์เดือนละ 400,000 บาท

• อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท

• อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน

• อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา

ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปี เป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ ?

• Top Secret วัยรุ่นพันล้าน ภาพยนตร์แรงบันดาลใจวัยรุ่น จะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องราวจากชีวิตเบื้องลึกของ ต๊อบ อิทธิพัฒน์ (พีช พชร) เจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อย วัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้

ต๊อบก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงมือรวยแบบต๊อบ อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องฝ่าฝัน อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องแลกให้กับคำว่า "รวย" อะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของความรวย และอะไรคือสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวของต๊อบเมื่อเขาได้ลองชิมสาหร่ายทอดบรรจุกระป๋องแบบโอท็อปเป็นครั้งแรก "อร่อย" "ซื้อที่ไหนนะ" "ราคาเท่าไหร่" "ฝากซื้อกี่กระป๋องดี" พบกับคำตอบที่ทำให้ต๊อบรวยพันล้าน

นักแสดง

• พีช - พชร จิราธิวัฒน์ รับบท ต๊อบ เถ้าแก่น้อย

• มุกไหม - วลันลักษณ์ คุ้มสุวรรณ รับบทหลิง แฟนต๊อบ

• สมบูรณ์สุข นิยมศิริ (เปี๊ยก โปสเตอร์) รับบท ลุงเทือง

• ไชยวัฒน์ อนุตระกูลชัย รับบท ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อธนาคาร

ผู้กำกับ  ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์  (ผลงาน แฟนฉัน,เด็กหอ,ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น,5 แพร่ง)

บริษัทผู้สร้าง  GTH 

"ลูกอั๊วกำลังไปเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว!!" ประโยคแซวของพ่อในวันนั้น แม้แต่ตัวของ "อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" ก็คงไม่คิดว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นผลักดันให้แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" แจ้งเกิด และเติบโตอย่างน่าจับตา ก้าวสู่สัญลักษณ์ที่คนทั่วไปจะนึกถึงทันที เมื่อกล่าวถึงขนมสาหร่ายทอด ไม่เกินเลยหากจะบอกว่า ความสำเร็จของ "เถ้าแก่น้อย" เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นแรงบันดาลใจที่ส่งให้เด็กหนุ่มวัยเพียงยี่สิบต้นๆ อย่าง "อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" สามารถพาสินค้าของตัวเอง ขึ้นครองเจ้าตลาดสำเร็จ

***ได้ดีเพราะติดเกม ***

ปัจจุบัน อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ วัย 23 ปี ดำรงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์ มาร์เกตติ้ง จำกัด ทว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลาย อิทธิพัทธ์เป็นเพียงวัยรุ่นทั่วไปคนหนึ่ง ซึ่งติดเล่นเกมออนไลน์แบบงอมแงม เหมือนๆ กันเด็กวัยรุ่นไทยอีกครึ่งประเทศ

ทว่า จุดสำคัญเขาสามารถนำสิ่งที่ผู้ใหญ่อาจมองว่าไร้ประโยชน์มาเปลี่ยนแปลงเป็นรายได้ และเมื่อบวกกับแรงบันดาลใจที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ปฐมบทแห่ง "เถ้าแก่น้อย" จึงเกิดขึ้น

"ผมเริ่มธุรกิจเมื่ออายุเพียง 18 ปี ก่อนหน้านี้ผมก็ขอเงินพ่อแม่เหมือนกับเด็กทั่วไป และติดเกมออนไลน์ Everquest อย่างหนัก เล่นทั้งวันทั้งคืน แข่งกับชาวต่างชาติ ผมเริ่มเล่นตั้งแต่เรียน ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้ม จนรวยที่สุดในเซอร์เวอร์ ทำให้ชื่อตัวละคนของผมเป็นที่รู้จักในเซอร์เวอร์ จนมีฝรั่งมาขอซื้อของสะสม และแต้มสะสม ชื่อของผม ก็เลยลองขาย ปรากฏว่า หลังจากนั้น ก็มีเงินโอนเข้ามาจริงๆ" อิทธิพัทธ์ เล่าถึงเงินก้อนแห่งที่หาได้ด้วยตัวเอง

เขาสร้างรายได้จากการขายแต้มสะสมเกมออนไลน์ให้ผู้เล่นเกมในเซอร์เวอร์นานกว่า 2 ปี จนมีเงินเก็บหลักแสนบาท กระทั่ง จบระดับมัธยม และเข้าเรียนต่อปี 1 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เริ่มก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว ตามความฝันที่อยากมีธุรกิจของตัวเองมานานแล้ว

"หลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มเสื่อมความนิยมลง ผมคิดอยากหารายได้จากช่องทางอื่น เคยลองจับทั้งขายเครื่องวีซีดี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ก็พยายามหาธุรกิจจะทำไปเรื่อยๆ เคยไปดูทำเลหน้า ม.หอการค้าไทย กะจะเปิดร้านขายกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย"

"กระทั่ง ผมไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจที่เมืองทองธานี เจอแฟรนไชส์เกาลัดจากประเทศญี่ปุ่นมาออกบูท ก็สนใจมาก เพราะแฟรนไชส์ของเขามีเครื่องคั่วเกาลัดแบบทันสมัย ผมก็เกิดความสนใจ เพราะส่วนตัวชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว แต่ว่า ค่าแฟรนไชส์ราคาสูงมากเป็นล้านบาท ผมไม่มีเงินมากขนาดนัก เลยติดต่อกับเจ้าของแฟรนไชส์ว่า ผมจะขอเช่าตู้คั่วเกาลัด แล้วมาสร้างแฟรนไชส์ของตัวเอง" เจ้าของธุรกิจ เล่าให้ฟัง

***สร้างแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" ***

ทุกย่างก้าวนับแต่อิทธิพัทธ์ เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง จะอยู่ภายใต้การรับรู้ของสมาชิกครอบครัวทุกคน ผ่านการบอกเล่าและสอบถามความเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพ่อของเขา ที่จะเฝ้ามองลูกชายอย่างชื่นชม และพร้อมเป็นป๋าดันเต็มตัว

"หลังเช่าตู้ได้แล้ว เช้าวันที่ผมจะไปเซ็นสัญญาเช่าที่ขายเกาลัดหน้าห้างฯ แห่งหนึ่ง ก่อนเดินทางออกจากบ้าน เจอพ่อผมกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ เล่าถึงเรื่องผมจะไปทำธุรกิจ แล้วหันมาพูดแซวผมให้เพื่อนฟังว่า 'ลูกอั่วกำลังไปเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว' ผมก็ได้หัวเราะตอบ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมาก จนเมื่อไปถึงห้างฯ ต้องกรอกใบสมัคร ซึ่งให้ระบุถึงชื่อร้านหรือแบรนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมยังไม่มีชื่อในใจเลย แต่คิดถึง คำพูดพ่อที่แซวผม เลยเป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" มาจนถึงปัจจุบัน" อิทธิพัทธ์ เผยที่มาของแบรนด์



อิทธิพันธ์ ใช้เวลาเพียงปีเศษ ขยายสาขาแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย จากหนึ่งเป็น 30 กว่าสาขา และเนื่องจากเห็นโอกาสว่า เมื่อมีหน้าร้านหลายแห่งแล้ว ทำไมต้องจำกัดตัวเองแค่ขายเกาลัดอย่างเดียว จึงลองนำเข้าสินค้าต่างๆ มาขายพ่วงที่หน้าร้านแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย ฯลฯ ผลปรากฏว่า ในร้านฯ สินค้าที่ขายดีที่สุด คือ สาหร่ายทอด ยอดขายเหนือกว่าเกาลัดเสียอีก เป็นแรงบันดาลใจ อยากจะต่อยอดธุรกิจขายสาหร่ายอย่างจริงจัง

"หลังจากเห็นว่า ยอดขายสาหร่ายมันดีจริงๆ ผมก็เริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย ผมอยากขยายตลาดธุรกิจสาหร่ายไปตามร้านค้าต่างๆ เริ่มแบบง่ายๆ โดยบรรจุซองพลาสติกไปฝากร้านค้าต่างๆ ให้ลองขาย แต่พอทำจริง มีอุปสรรค อายุสินค้าสั้น และรูปลักษณ์ไม่สวย ทำให้ไม่สามารถเปิดตลาดได้ มีของคืนจำนวนมาก เพราะสาหร่ายเก็บไว้ได้ไม่นาน ผมก็พยายามคิดค้นหาทางแก้ โดยถามผู้รู้ จนวันหนึ่งเข้าร้าน 7-11 ผมเริ่มสนใจตลาดในร้านสะดวกซื้อ คิดว่าถ้าสินค้าเราเก็บไว้ได้นานกว่านี้ มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจ วางขายในร้าน 7-11 ตลาดน่าจะขยายตามไปด้วย ดีกว่าผมต้องวิ่งไปส่งด้วยตัวเอง"

เพื่อจะให้สาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าขายในร้าน 7-11 อิทธิพัทธ์เริ่มจากนำสาหร่ายแพคซองพลาสติกง่ายๆ ไปฝากไว้ที่ฝ่ายคัดสรรสินค้าเข้าจำหน่าย ทว่า ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแสนธรรมดา จึงไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แต่น้อย

เมื่อไร้การติดต่อกลับเป็นเวลานาน เจ้าตัวร้อนใจถึงขั้นต้องโทร.ไปตามตื้อ และสอบถามสาเหตุที่สินค้าไม่ได้รับความสนใจ เจ้าหน้าที่ชี้แจงกลับมาว่า สินค้าคุณไม่สวย ไม่เหมาะกับ 7-11 เจออย่างนี้ เขาเลยกลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ว่า ทำอย่างไรให้สาหร่ายเถ้าแก่น้อยมีสไตล์เป็นของตัวเอง และถูกใจคนทั่วไป

"ตอนที่กลับมาคิดว่า เราต้องสร้างสไตล์ของตัวเอง ผมมองว่ากระแสญี่ปุ่น เกาหลี กำลังมาแรง คนไทยหันมายึดเทรนด์นี้กันหมด ดังนั้น การออกแบบ ผมเน้นให้ออกมาในสไตล์ของญี่ปุ่นแท้ๆ ดูน่ารัก มีความสุข และสามารถจดจำได้ทันทีเมื่อเห็นครั้งแรก"

"ด้านสีสันก็ให้สดใส มีโลโก้ที่สะดุดตา จำง่าย นอกจากนั้น พยายามชูธงเป็นของกินเล่นที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีแคลอรี่ต่ำ เหมาะกับกระแสรักสุขภาพ รวมถึง เพิ่มรสชาติให้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรสเผ็ด รสซีฟู้ด เป็นต้น"

เมื่อปรับปรุงสินค้าแล้ว อิทธิพัทธ์นำกลับไปเสนออีกครั้ง ผลที่ได้ หลังกลับมาบ้าน มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาทันที พร้อมกับคำถามว่า ภายใน 3 เดือนคุณพร้อมจะวางขายสินค้านี้ในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่

"ตอนนั้น ผมคิดในหัวเลยว่า 3,000 สาขา เราต้องทอดสาหร่ายสักกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน จะทำทันไหมฯลฯ"

ระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที คำถามสารพัดวิ่งเข้ามาหัวเต็มไปหมด แทนที่จะปล่อยให้คำถามเป็นด่านขวางกัน กลับเลือกจะสลัดความกลัวต่างๆ ทิ้งไปแล้วตอบกลับว่า

"พร้อมครับ แต่หลังจากวางสาย สิ่งที่มันวิ่งเข้ามาในหัวผม มันเยอะมาก ผมคิดถึงการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ นำเข้าเครื่องจักร ฯลฯ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก"

*** ทิ้งแฟรนไชส์ คว้าโอกาสใหม่***

ในวัยเพียง 20 ปี กับภาระต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อส่งเข้าขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มากกว่า 3,000 สาขา ถือเป็นภาระที่หนักแสนสาหัส

โดยเฉพาะการหาทุนสร้างโรงงาน ดังนั้น อิทธิพัทธ์ได้ลองยื่นแผนธุรกิจ เพื่อขอกู้เงินจากธนาคารแห่งหนึ่ง

ทว่า ผลที่ได้ คือ การปฏิเสธ เหตุผลสำคัญ เพราะผู้ยื่นกู้มีอายุเพียง 20 ปี ซึ่งอิทธิพัทธ์ชี้ว่า เป็นความบกพร่องของระบบสถาบันการเงินที่มองเพียงแค่ปัจจัยปลีกย่อย ไม่ยอมพิจารณาถึงแผนธุรกิจ ตลอดจนโอกาส และความมุ่งมั่นของเขา

เมื่อกู้เงินไม่สำเร็จ เป็นที่มาของการตัดสินใจขายแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยทิ้งทั้งหมด ซึ่งเวลานั้น มีจำนวนกว่า 30 สาขา สร้างรายได้รวมให้เดือนละล้านกว่าบาท เพื่อมาเป็นทุนสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด

"ตอนตัดสินใจขายแฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้ายิ่งเป็นคนที่เคยปลุกปั้นธุรกิจมากับมือจะรู้ความรู้สึกของผมดี ว่า การขายทิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย"

"ความรู้สึกของผมเหมือนกับเรามีรถดีๆ สักคันขับอยู่แล้ว แต่กำลังอยากได้รถคันใหม่ แต่ไม่รู้หรอกว่า รถคันใหม่จะดีหรือเปล่า และช่วงที่ขายรถคันเก่าออกไป ต้องยอมนั่งรถเมล์ไปก่อน"

อิทธิพัทธ์ ระบุว่า การตัดสินใจครั้งนั้น คือ จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตธุรกิจ เดิมพันระหว่างโอกาสแห่งความสำเร็จในอนาคต กับทุกอย่างที่สร้างมาต้องสูญไปหมด

"สำหรับ SMEs แล้ว ผมเชื่อว่าการกล้าตัดสินใจมีส่วนสำคัญให้ก้าวสู่ความสำเร็จ เหมือนกับคำที่ว่า ความเสี่ยงที่สุดในการทำธุรกิจ คือ คุณไม่คิดจะเสี่ยงทำอะไรเลย"

"การเสี่ยงครั้งแรกของผม คือ ตัดสินใจลาออกจากปี1 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะตอนนั้น แฟรนไชส์เกาลัด เริ่มมีสาขามาก ผมต้องทำเองทุกขั้นตอน แทบไม่มีเวลาเรียน จนผมต้องชั่งใจระหว่างจะเรียนต่อ หรือมาลุยธุรกิจเต็มตัว ซึ่งผมกลับมาดูตัวเอง ผมชอบทำธุรกิจ มีความสุขที่จะทำไปเรื่อยๆ ชอบเห็นคนมาซื้อสินค้าของผม เลยตัดสินใจดร็อบเรียน มาลุยทำธุรกิจเต็มตัว"

"ส่วนการเสี่ยงครั้งที่สอง คือ ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ แล้วหันมาจับตลาดสาหร่ายทอดแทน โดยตอนนั้น ผมเชื่อว่า กระแสญี่ปุ่นในไทยจะต้องแรง เพราะดูการแต่งตัว อาหาร ดาราต่างๆ คนไทยนิยมสไตล์ญี่ปุ่นหมด"

เงินที่ได้จากการขายแฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อยหลักล้านบาท ถูกแปลงมาสร้างเป็นโรงงานผลิตสาหร่ายทอดอย่างเร่งด่วน ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ส่วนการผลิตสินค้าต้องเร่งรีบเช่นกัน อิทธิพัทธ์ เล่าว่า เขาพร้อมสมาชิกในครอบครัวทุกคน รวมถึง คนงานอีกแค่ 6-7 คน ทำงานกันอย่างหนัก โดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงกำหนดส่งสินค้าแทบไม่ได้หลับนอน กระทั่ง 6 โมงเช้า ของวันกำหนดส่งสินค้า เขาขับรถที่ด้านหลังบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ส่งเข้าศูนย์จำหน่ายสินค้าของ 7-11 ได้สำเร็จ

***ดันแบรนด์ผู้นำสแน็คสาหร่าย ***

ทั้งนี้ หลังจากได้เข้าขายในร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง สาหร่ายเถ้าแก่น้อย มียอดขายเติบโตด้วยดีสม่ำเสมอ รวมถึง มีการขยายประเภทสินค้าให้ตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ห่อละ 5 บาท ถึง 60 บาท เหมาะสำหรับเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ครอบครัว เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย

"ในระยะแรก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กลุ่มผู้บริโภคที่แท้จริงของผมคือใคร ทำให้ต้องเลือกทำตลาดกับทุกคน ซึ่งถือว่า ผมโชคดีที่สินค้าสามารถเจาะตลาดได้กว้าง แต่สำหรับการทำธุรกิจในเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ผมคิดว่า ควรจะมองการตลาดในแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อจะวางแผนการตลาดทั้งหมดไปในทิศทางถูกต้อง"

สำหรับการสร้างแบรนด์นั้น อิทธิพัทธ์ ระบุว่า ต้องการให้เถ้าแก่น้อยเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำสาหร่ายกินเล่น ทั้งด้านเจ้าตลาด และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินค้าชนิดนี้จริงๆ

"หลังจากที่ทำธุรกิจสาหร่ายได้สักระยะหนึ่ง ผมเคยมีความคิดจะขยายไปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์นี้ แต่กลับมานึกว่า จะทำให้แบรนด์กลายเป็นเลอะเทอะ จนคนไม่รู้ว่า เถ้าแก่น้อย คืออะไรกันแน่ ในที่สุดผมเลือกจะโฟกัสที่สาหร่ายอย่างเดียว ให้คนทั่วไปจดจำเราในฐานะเป็นตัวแทนของสาหร่ายกินเล่น ไม่ว่าคุณจะกินยี่ห้อไหนก็ตาม ชื่อของเถ้าแก่น้อยก็จะเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของสาหร่ายกินเล่นเลย เหมือนเวลาเราไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็จะบอกว่าไปซื้อ "มาม่า" แต่ที่จริงเราจะไปซื้อยี่ห้อ "ไวไว" หรือไปซื้อผงซักฟอง ก็บอกว่าซื้อ "แฟ๊บ" ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะซื้อยี่ห้อ "บรีส" เป็นต้น"

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารภายในองค์กร หรือนำเสนอภาพลักษณ์ต่อมวลชนภายนอก แบรนด์เถ้าแก่น้อย พยายามตอกย้ำแนวคิดเป็นผู้นำ และผู้เชี่ยวชาญด้านสแน็คสาหร่ายเสมอ

"ผมเริ่มจากปรับความคิดของคนในองค์กรว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาหร่าย ซึ่งผมต้องเริ่มจากปรับทัศนคติในองค์กรก่อน ถ้าภายในเรายังปรับไม่ได้ เราจะไปปรับทัศนคติภายนอกได้อย่างไร"

"จากนั้น ผมสร้างแบรนด์ โดยโฆษณาโทรทัศน์ โดยใช้ "ครูคริส" (คริสโตเฟอร์ ไรท์ : ครูสอนภาษาอังกฤษชื่อดัง) โดยชูคอนเซ็ปท์ว่า " seaweed is สาหร่าย เถ้าแก่น้อย" เพราะหลายคนไม่รู้ว่าคำว่า "seaweed" แปลว่า "สาหร่าย" การนำครูคริส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของครูสอนภาษาอังกฤษมาตอกย่ำ สอนคำนี้ แล้วพ่วงคำว่า เถ้าแก่น้อยลงไปด้วย ช่วยตอกย่ำว่า เถ้าแก่น้อยก็คือ ขนมสาหร่าย และขนมสาหร่าย ก็คือ เถ้าแก่น้อย"

"นอกจากนั้น เราทำกิจกรรมร่วมกับรายการโทรทัศน์ต่างๆ เช่น รายการกบนอกกะลา ถ่ายทำวิธีการผลิตสาหร่ายที่มาจากต่างประเทศ และการผลิตในโรงงานเรา เพราะผมเชื่อว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน จำเป็นต้องเปิดเผยกระบวนการผลิต วิธีการ และให้ทุกคนมีความรู้ในสิ่งที่เราทำว่า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ซึ่งทั้งหมดจะเป็นการปลูกฝังว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย คือผู้เชี่ยวชาญด้านสาหร่ายจริงๆ"

*** "เถ้าแก่น้อย" โกอินเตอร์ ***

ไม่เพียงตลาดในประเทศเท่านั้น หลังจากประสบความสำเร็จมาได้ประมาณ 2 ปี แบรนด์ไทยรายนี้ ก้าวต่อไปสู่ตลาดต่างประเทศ

"เมื่อมีความพร้อม ผมเริ่มไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มต้นที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ ผมเชื่อว่า ตลาดสองชาตินี้ แม้จะมีปริมาณคนน้อย แต่มีศักยภาพซื้อสูงมาก ซึ่งสาเหตุที่ผมสนใจส่งออก เพราะมีเทรนด์เดอร์ นำสินค้าของผมไปขายที่สิงคโปร์ ผมก็เลยบินตามไปดู พบว่า สินค้าเถ้าแก่น้อยขายในร้านขายของชำทั่วไปในสิงคโปร์ ทำให้ผมคิดว่า สินค้ามันน่าจะขยายได้กว้าง ในห้างสรรพสินค้าของเขาก็น่าจะขายได้เช่นกัน"

แผนการเปิดตลาดต่างประเทศนั้น แทนที่จะเลือกใช้วิธีทั่วไปแบบมาตรฐาน คือออกงานแฟร์เกี่ยวกับอาหาร รอให้ลูกค้ามาติดต่อ แล้วสั่งสินค้าไปจำหน่าย อิทธิพัทธ์กลับเลือกจะทำตลาดเชิงรุก นำเสนอสินค้าด้วยตัวเองโดยตรง ผ่านทางอีเมลล์

"ผมอยากจะขายสินค้าตามห้างในสิงคโปร์ โดยไม่ต้องผ่านเทรนด์เดอร์ ซึ่งปกติเวลาไปออกบูทขายสินค้า เหมือนรอให้ลูกค้า เข้ามาหาเรา รอให้เขาเป็นฝ่ายเลือกเรา ผมก็เปลี่ยนแผนการตลาด เป็นฝ่ายเข้าไปหาลูกค้าเสียเอง ซึ่งผมไปดูตามชั้นวางสินค้าขนมในห้าง แล้วดูว่า มาจากประเทศใดบ้าง นำเข้าจากบริษัทใด ใครเป็นผู้จัดจำหน่าย หรือเป็นผู้นำเข้า แล้วก็จดเบอร์ติดต่อ จากนั้น ก็ส่งอีเมล์ไปหา แนะนำสินค้า ไม่ต้องรอให้เขามาหาเอง ซึ่งได้ผลมาก ทำให้ผมได้เจอลูกค้าจริงๆ ซึ่งผมก็บอกเขาว่า ผมอยากจะนำสินค้าเข้ามาขายจริงๆ จนเขายอมนำสินค้าไปวางขาย ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยส่งออกไปหลายประเทศ ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวั่น อินโดนีเซีย เป็นต้น"

*** ต่อยอดขยายแบรนด์ "CURVE" ***

สำหรับยอดขายของ "เถ้าแก่น้อย" นับวันจะยิ่งทะยานสูง ยืนอยู่แถวหน้าของตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายทอด เมื่อปีที่แล้ว ยอดขายกว่า 500 ล้านบาท ปีนี้ (2551) ตั้งเป้า 750 ล้านบาท

ไม่เท่านั้น อิทธิพัทธ์ ยังแตกแบรนด์ใหม่ "CURVE" ขยายฐานการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่ออุดทุกช่องว่างในตลาดของผลิตภัณฑ์สาหร่าย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

"ผมเป็นคนมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ และเพื่อนๆ มักชอบถามว่า กินเถ้าแก่น้อยแล้วอ้วนไหม ทั้งๆ ที่ตัวสาหร่ายมันมีแคลอรี่ต่ำอยู่แล้ว ทำไมสาวๆ ยังกังวลกันอีก ก็เลยคิดว่าหันมาจับตรงนี้เต็มตัวเลยดีกว่า ซึ่งนั่นก็คือที่มาของ CURVE"

และยังเป็นที่มาของ "แคลอรี่น้อย...อร่อยได้เต็มที่" คำจำกัดความที่อิทธิพัทธ์คิดขึ้นเพื่อใช้โปรโมท แบรนด์ใหม่ "CURVE" โดยมุ่งจับกลุ่มผู้หญิงวัย 18-30 ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ

"จุดเด่นสำคัญของ CURVE อยู่ตรงที่ใช้สาหร่ายเกรด A พันธุ์พรีเมี่ยม AJINSUKE NORI นำมาผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้มีเนื้อบางละลายในปากได้ สาหร่ายพันธุ์นี้ ให้พลังงานต่ำกว่า 15 กิโลแคลอรี่ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยดูแลระบบขับถ่าย ที่สำคัญยังเน้นที่รสชาติความอร่อยเป็นหลัก ผิดกับอาหารว่างเพื่อสุขภาพชนิดอื่นๆ"

ช่องทางการตลาดของ CURVE เป็นช่องทางเดียวกับ "เถ้าแก่น้อย" คือในโมเดิร์นเทรด เช่น โลตัส, บิ๊กซี, ท็อปส์, เซเว่นฯ

แต่จะเพิ่มช่องทางตามร้านเพอร์ซันนัลแคร์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น ร้านวัตสัน, บูธส์, ร้านขายยาที่ดูมีเกรด รวมทั้งตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำ Major, EGV และ SF Cinema

"เป้าหมายของ CURVE คิดว่าปีนี้ซึ่งเป็นปีแรก น่าจะได้สัก 50 ล้าน โดยยกลยุทธ์ราคาจะตั้งสูงกว่าเถ้าแก่น้อยนิดหน่อย"

เมื่อรวมกับ "เถ้าแก่น้อย" ที่ตั้งเป้าไว้ 750 ล้านบาท ถ้าทำได้ ปีนี้ก็แตะ 800 ล้านบาท ทั้งส่วนที่ขายในประเทศและส่งออก

และเป้าหมายในระยะต่อไป วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ กำลังลงทุนหลักร้อยล้าน เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ มีศักยภาพผลิตสาหร่ายได้ถึง 1,000,000 แผ่นต่อวัน

*** แจงปรัชญาธุรกิจ 3 ประการ ***

ด้วยวัยเพียง 23 ปี ต้องดูแลพนักงานกว่า 800 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีวัยมากกว่า จุดนี้ เจ้าตัวระบุว่าไม่ได้เป็นปัญหา เพราะพยายามมอบนโยบายอย่างให้เกียรติทุกคน และเอาชนะผู้ต่อต้านด้วยความสามารถ และเหตุผล

สำหรับหลักที่เขายึดในการทำธุรกิจตลอด มีหัวใจสำคัญ 3 ด้าน คือ ทัศนคติบวก ความรู้คู่จินตนาการ และกล้าคว้าโอกาส

"ด้านทัศนคติ ผมเชื่อว่า การที่สินค้าของไทยจะส่งออกได้ ต้องปรับทัศนคติก่อน ถ้ามีทัศนคติว่า ทำยาก ทำไม่ได้ หรือสินค้าฉันเป็นแบบนี้ ก็จะขายอย่างนี้ มันก็ยากจะประสบความสำเร็จ ดังนั้น ก่อนที่เราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใครสักคน หรือทำอะไรสักอย่าง เราต้องเริ่มที่ปรับทัศนคติเสียก่อน คิดว่าเราต้องทำให้ได้ แม้ว่า หนทางข้างหน้า จะมีขวากหนามหรืออุปสรคใดๆ ก็ตาม ขอให้ลองทำดูก่อน ทำไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที"

"ตัวอย่างจากตัวผมเอง จะพยายามคิดเสมอว่า ลองทำดูก่อน เหมือนตอนเปิดแฟรนไชส์เกาลัด แรกๆ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยดี อย่างสาขาแรก ผมเช่าหน้าห้างแห่งหนึ่ง ค่าเช่าวันละ 500 บาท วันแรกขายได้ 300 บาท เป็นอย่างนี้อยู่ 2 เดือนก็ท้อใจ บังเอิญ มีห้างแห่งนี้ มาเสนอให้ไปจัดโปรโมชั่นในห้าง ผมก็เลยลองดูอีกทีหนึ่ง"

"ปรากฏว่า ขายได้วันละ 5พันกว่าบาท ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจไม่สำเร็จ อาจเกิดจากความรู้ไม่พอ ขายไม่ดีเพราะตั้งในจุดที่ไม่ใช่จุดที่ลูกค้าเป้าหมายจะผ่าน เพราะตอนนั้น ผมตั้งร้านที่ทางออกที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ ในขณะที่ เกาลัด ขายกิโลละ 2-3 ร้อยบาท จนวันที่ผมไปขายในห้าง ผมถึงรู้ว่า ที่ขายไม่ดี เพราะที่ผ่านมาทำเลไม่ได้ และฮวงจุ้ยไม่ดี ทุกวันนี้ ผมจะคิดถึงเรื่องทำเลตลอด ไม่ใช่แค่ที่ตั้งร้าน แต่หมายรวมถึง ตำแหน่งบนชั้นวางสินค้า"

"ด้านที่สอง คือ ความรู้ แม้การทำธุรกิจ คือ ความเสี่ยงก็จริง แต่ต้องทำให้เสี่ยงน้อยที่สุด เสี่ยงอยู่บนพื้นฐานความรู้จริง ไม่จะเริ่มต้นทำธุรกิจประเภทใด หลักที่ผมท่องเป็นคาถาส่วนตัว คือ ถาม ถาม และถาม"

"คาถานี้ ผมอยากให้เอสเอ็มอีทุกรายท่องไว้เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร ขอให้ศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจที่ตัวเองจะทำ ซึ่งวิธีจะได้ความรู้ง่ายๆ คือ ถาม"

"อย่างตัวผมที่ไม่เคยมีความรู้ด้านเกาลัด หรือสาหร่ายมาก่อนก็ถาม ตอนผมทำเกาลัด ผมก็ไปเดินที่เยาวราช เดินถามความรู้ร้านเกาลัดตั้งแต่ต้นซอยถึงท้ายซอย ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ วิธีคั่ว วิธีเก็บ ราคา ฯลฯ ก็ถามไปเรื่อยๆ จนได้ความรู้ระดับหนึ่ง จากนั้นก็ศึกษาเพิ่มเติมจนเชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับตอนทำสาหร่าย ผมเริ่มด้วยถามจากผู้รู้ต่างๆ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย ตำราทั้งในและต่างประเทศ รวมถึง บินไปดูแหล่งผลิต การปลูกถึงต้นตำรับ"

อิทธิพัทธ์ ระบุว่า เหตุที่จะทำให้สามารถจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานๆ จนสะสมความรู้อย่างถ่องแท้ ผู้ประกอบการควรจะรักและชอบในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่แล้ว

"ถ้าจะทำสิ่งใดๆ ให้ได้ดี ต้องมีความรักในสิ่งที่ตัวเองทำด้วย อย่างตัวผมเองชอบกินเกาลัด และสาหร่าย ทำแล้วสนุก และมีความสุข และในที่สุดเราจะกลายเป็นความเชี่ยวชาญ สามารถที่จะพลิกแพลงประยุกต์ให้สินค้ามีความต่าง มีจุดเด่นออกไปได้"

ทั้งนี้ เมื่อมีความรู้แล้ว ต้องเติมจินตนาการบวกเข้าไปด้วย

"ถ้ามีความรู้ ความชำนาญแล้ว แต่ขาดจินตนาการที่จะใส่ลงไป ความรู้จะถูกเก็บพับไว้บนหิ้ง แต่ถ้ามีความรู้ และใส่จินตนาการเข้าไป จะสามารถเปลี่ยนความรู้สู่ความเป็นจริงได้ และในแง่ของธุรกิจมันทำให้เกิดความแตกต่าง ผมยกตัวอย่างเช่น จินตนาการของคนที่อยากบินได้เหมือนนก นำมาสู่เครื่องบิน"

หลักข้อสุดท้าย คือ กล้าคว้าโอกาส อิทธิพัทธ์ ระบุว่า "ตอนผมทำธุรกิจเกาลัด 6-7 สาขา ผมต้องเลือกระหว่าง เรียนต่อให้จน กับออกมาทำธุรกิจเต็มตัว ถ้าผมเลือกเรียนต่อ ก็คงไม่มีวันนี้ หรือตอนที่ 7-11 โทร. ถามว่าพร้อมจะผลิตเข้า 3,000 สาขาหรือเปล่า ถ้าผมบอกว่า ยังไม่พร้อม หรือขอรอไว้ก่อน ก็อาจไม่มีวันนี้"

"ดังนั้น ผมจึงคิดว่า คนจะทำธุรกิจ ควรจะคว้าโอกาส ผมยกตัวอย่าง ชาวประมงคนหนึ่งออกไปหาปลาในวันที่คลื่นลมแรง และสามารถกลับมาด้วยความปลอดภัยพร้อมกับได้ปลามาด้วยจำนวนมาก จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่า สำหรับผมมันคือการคว้าโอกาส"

*** It's my life เถ้าแก่วัย 23 ปี ***

แม้แง่หนึ่ง อิทธิพัทธ์จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเอง ทว่า ในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เขาก็เป็นหนุ่มวัย 23 ปี ที่ควรจะได้ใช้ชีวิตสนุกสนานให้สมกับวัย

อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าไม่ได้สูญเสียชีวิตวัยรุ่นไปแต่อย่างใด เนื่องจากความสุขของเขาคือ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

"ช่วงวัยรุ่น ผมก็เกเรไม่เบา แม้แต่เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน ยังไม่เชื่อว่า ผมจะสามารถมามีวันนี้ได้ ซึ่งผมคิดว่า ตัวเองไม่ได้สูญเสียช่วงเวลาสนุกสนานอย่างวัยรุ่นไป เพราะผมมีความสุขที่ได้ทำธุรกิจ ผมเคยผ่านช่วงที่เที่ยวมาเช่นกัน แต่รู้สึกว่า มันก็เท่านั้นแหละ การทำธุรกิจทำให้ผมมีความสุข ที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดูแลคนที่อายุมากกว่าผม สนุกกว่าที่ผมได้ไปเที่ยว"

"และเป้าหมายต่อไป ผมอยากพาองค์กร และพนักงานในความรับผิดชอบที่มีอยู่กว่า 700-800 คน ให้อยู่รอดได้ แม้ว่าตัวผมเองจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม"

สำหรับความสำเร็จที่เกิดขึ้น เมื่อให้มองย้อนไปถึงแรงบันดาลใจขับเคลื่อนให้เขามีวันนี้ อิทธิพัทธ์ตอบได้ทันทีว่า คือ ครอบครัวของเขานั่นเอง

"พื้นฐานสำคัญมาจากครอบครัวของผมที่พร้อมจะเป็นกองหนุน และอยู่เคียงข้างเสมอ ทุนที่ผมใช้ทำธุรกิจ ผมมีอยู่2 ทุน คือ ทุนแรกจากการเล่นเกมออนไลน์ ซึ่งผมได้เงินมา 3-4 แสน คิดว่า ถ้าเสียไป ก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็เหมือนได้มาเปล่า แต่ถ้าลองทำดู นำสิ่งที่คิดเขียนลงกระดาษ ถ้าวางบนโต๊ะไว้เฉยๆ มันก็จะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ผมมาลองทำ ผมคิดว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ได้มาใช้เป็นบทเรียน"

"และทุนที่สองเป็นทุนทางใจ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ไม่ห้ามที่ผมจะหยุดเรียนเพื่อมาทำธุรกิจ แถมยังคอยช่วยเหลือให้กำลังใจ ถ้าวันนั้น พ่อห้าม หรือบอกให้รอเรียนจบก่อน ผมอาจจะไม่มีวันนี้ โอกาสมันอาจจะหลุดลอยไป"

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มคนนี้ เก่งและแกร่งเกินวัย สมกับเป็นยังเติร์กแห่งวงการธุรกิจไทย

จากประโยคแซวของพ่อในวันนั้น มาสู่การสร้างธุรกิจตัวเองจนเติบใหญ่ อาศัยความรู้ ความสามารถ ประกอบกับกล้าตัดสินใจเลือกคว้าโอกาสได้เหมาะสมและถูกจังหวะ ทุกวันนี้ แม้จะมีชื่อแบรนด์ว่า "เถ้าแก่น้อย" ทว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น น่าจะเข้าขั้น "บิ๊กเสี่ย" ทีเดียว

นักธุรกิจพันล้าน กลับไปเรียนปริญญาตรี

ปีที่แล้ว (2550) "สาหร่ายเถ้าแก่น้อย" มียอดขายทะลุ 500 ล้านบาทไปแล้ว ปีนี้ยังคาดด้วยว่าจะไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และยังวางเป้ายอดขายปีหน้าไว้สูงถึง 2,000 ล้านบาทอีกต่างหาก !!

พิจารณาจากรายได้ยอดขาย ในแง่ธุรกิจคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กหนุ่มวัยยังไม่เต็ม 24 ปีด้วยซ้ำ

เป็นความสำเร็จที่ไม่มีใบรับรองจากสถานศึกษา

"เถ้าแก่น้อย-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" ตัดสินใจเลิกเรียนกลางคัน หลังเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปได้แค่เทอมเดียว  วุฒิการศึกษาที่มีติดตัวในปัจจุบันจึงมีแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ไม่ใช่ว่าใบปริญญาไม่มีความสำคัญ

"เถ้าแก่น้อย-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" บอกว่า แม้เขาจะเรียนไม่จบปริญญา และเชื่อว่าประสบการณ์ต่างๆ ได้มาจากการลงมือ "ปฏิบัติ" มากกว่าการศึกษา "ทฤษฎี" ในตำราหรือห้องเรียน แต่กลับไม่เคยคิดที่จะสนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่เลิกเรียนตามแบบเขา เพราะอะไร

ความรู้จากการเรียนในห้องเรียนก็เรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากกว่าของชีวิตการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย สำหรับ "เขา" คือ การได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น การได้อยู่กับเพื่อน ได้มีสังคม

"สำคัญมากนะครับ ที่มาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะมีเพื่อนมาก สมัยเรียนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ ไปไหนที 20-30 คน ได้รู้ว่า เป็นหัวหน้าต้องทำตัวยังไง การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นสำคัญมาก เพราะความรู้อื่นๆ เราสามารถเรียนจากตำราโดยการอ่านได้"

ถึงจะหยุดเรียนในห้องเรียน แต่ไม่ได้หยุดเรียนรู้

"ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ ผมไม่รู้เรื่องการทำแพ็กเกจจิ้ง เรื่องเกี่ยวกับอาหาร อะไรต่างๆ ผมก็ไปเข้าเรียนหลักสูตรอบรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปเรียนรู้เรื่องการถนอมอาหาร เรื่องไหนไม่รู้ก็ไปถาม ไปขอความรู้จากผู้รู้บ้าง ตอนนี้พอธุรกิจเริ่มไปได้ มีเวลาก็เริ่มกลับไปลงเรียนมหา"ลัยอีกครั้งที่ มสธ. ตอนแรกเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนไปสักพักคิดว่า ไม่ใช่ เลยเปลี่ยนมาเรียนนิเทศฯ เพราะใกล้ตัวดี ในการทำงานก็ใช้อยู่บ่อยๆ"

เหนือสิ่งอื่นใด "อิทธิพัทธ์" บอกว่า อยากให้พ่อแม่ได้มางานรับปริญญาของเขา

"ผมรู้สึกว่าเป็นอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนจบเมื่อไรนะ ไว้อายุ 30 เจอกัน (หัวเราะ)"

Credit ข้อมูล จาก คุณ babeberry ในห้องเฉลิมไทย เว็ปพันทิป

เถ้าแก่น้อยขอ3ปีแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น

"เถ้าแก่น้อย" ขอ 3 ปีปั้นตัวเองเข้าตลาดหุ้น หวังระดมทุนพัฒนาแบรนด์เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร และเพิ่มบุคลากร คาดรายได้ปีนี้ 1.3 พันล้านบาท จากปีก่อน 1,030 ล้านบาท ส่วนมาร์จินเกิน 10% หลังซัพพลายเออร์ลดราคาสาหร่ายลง 3-4% เหตุเศรษฐกิจซบ คนบริโภคสาหร่ายน้อย

นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายทอดแผ่น ภายใต้แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายขนาดธุรกิจ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2555 หรืออย่างช้าปี 2557

วัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนมาปรับปรุงแบรนด์สินค้า "เถ้าแก่น้อย" เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร ขยายไลน์สินค้า และเพิ่มบุคลากร ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และจะทยอยเพิ่มทุนในปี 2553 คาดจะมีทุนจดทะเบียน 40-50 ล้านบาท

เขากล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 1,300 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2551 ที่มีรายได้รวม 1,030 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท สาเหตุที่รายได้เพิ่มขึ้นเพราะมีการประชาสัมพันธ์สินค้า ซึ่งมีผลต่อยอดจากการประชาสัมพันธ์เมื่อปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน การเปิดร้าน "เถ้าแก่น้อย แลนด์" ที่เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2551 ก็สร้างยอดขายได้ตามเป้าที่กำหนด ส่วนปี 2553 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 2,000 ล้านบาท

"อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 30% จากปีที่แล้วที่ 10% เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนถูกลง และซัพพลายเออร์ที่ขายสาหร่ายให้ลดราคาสาหร่ายลง 3-4% จากราคาเฉลี่ย 1 พันบาทต่อกก. เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้คนบริโภคสาหร่ายลดลง ราคาขายสาหร่ายจึงลดลงด้วย"

บริษัทยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศมากขึ้น เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในประเทศ 1 เท่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในต่างประเทศ 30% และขายในประเทศ 70% ประเทศที่ต้องการขยายการส่งออกคือประเทศแถบยุโรป แคนาดา และบรูไน จากเดิมที่ส่งออกอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออก และปี 2553 จะขยายไปสู่ตลาดประเทศจีนและไต้หวัน ซึ่งเดิมมีคำสั่งซื้ออยู่แล้ว แต่ยังน้อยอยู่

ปัจจุบันมีสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 10 สาขา และจะเพิ่มเป็น 30 สาขา ในปี 2553 โดยมีงบประมาณขยายสาขาละ 3-4 ล้านบาท และปี 2553 บริษัทจะเพิ่มสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5 แสนแผ่นต่อวัน จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 1 แสนแผ่นต่อวัน โดยโรงงานจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการในปี 2554 ใช้งบลงทุน 80 ล้านบาท แหล่งเงินมาจากกระแสเงินสดของบริษัท

นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการแข่งขันตลาดขนมขบเคี้ยวค่อนข้างรุนแรง ซึ่งบริษัทรับมือโดยการเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์สินค้า ปีนี้จัดสรรงบด้านการตลาดไว้ 50-60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้งบด้านการตลาด 30 ล้านบาท และปี 2553 ก็จะใช้งบด้านการตลาด 50-60 ล้านบาทเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ 70-80% ของมูลค่าตลาดรวมสาหร่ายที่ระดับ 1.5-2 พันล้านบาท ส่วนตลาดขนมขบเคี้ยวทุกประเภทที่มูลค่าตลาดรวม 2 หมื่นล้านบาท เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ 8%

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แผนที่แสดงระดับน้ำท่วมในกรุงเทพฯ

แผนที่แสดงระดับน้ำท่วมในกรุงเทพฯ


อ้างอิง :  www.bangkokbiznews.com/home/


แผนที่ของของ"กรมแผนที่ทหาร "ประกอบด้วยข้อมูลจาก 2 หน่วยงาน คือ ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำที่กำลังท่วม เป็นข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กับข้อมูลความสูงภูมิประเทศ และข้อมูลแผนที่กรุงเทพฯของกรมแผนที่ทหาร



แผนที่ฉบับนี้เป็นการนำข้อมูลน้ำล่าสุดมาทาบซ้อนกับข้อมูลที่กรมแผนที่ทหารมีอยู่ เพื่อประเมินทิศทางน้ำว่าจะไหลไปทางไหน โดยแบ่งพื้นที่เป็นสีฟ้า สีชมพู และสีเขียวอ่อน โดยสีฟ้าคือพื้นที่น้ำท่วมขัง สีชมพูคือพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และสีเขียวอ่อนคือพื้นที่ที่คาดว่าน้ำจะไม่ท่วม โดยพิจารณาจากทางน้ำไหลประกอบความสูงของภูมิประเทศ เป้าหมายที่ทำออกมาก็เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนนำไปวิเคราะห์ในเบื้องต้น

โดยในแผนที่นั้น จะบ่งบอกถึงพื้นที่น้ำท่วม แนวคันกั้นน้ำ ถนน ทิศทางมวลน้ำไหลผ่าน และเขตกทม.ที่คาดว่าน้ำจะไม่ท่วมและได้คิดถึงการวาง Bic Bag วางกันมวลน้ำก้อนใหญ่ไว้แล้ว(ดูแผนที่)

จากภาพแรกแผนที่ ถ่ายเมื่อ 29 ต.ค.และปรับปรุงอีกครั้ง 1พ.ย.แสดงให้เห็นว่าน้ำ(สีฟ้า)ได้ล้อมรอบกรุงเทพ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออก ที่ตีโอบเข้ามา ประชิดกับสุวรรณภูมิ...เพียงแต่จะเห็นลำคลอง ที่ขวางกั้นไว้ ซึ่งเป็นระบบที่น่าจะป้องกันได้อย่างดี และที่ผ่านมาก็ได้ว่าระบบคันกั้นน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่น่าจะส่งผลอย่างไร ขณะที่ภาพแผนที่ดอนเมือง น้ำได้ท่วมไปแล้ว

อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือพื้นน้ำอยู่เหนือ กทม.ยังกินบริเวณกว้าง หลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับว่า แนวกั้นต่างๆจะรับมือได้มากน้อยแค่ไหน และระบบการระบายน้ำจะเป็นไปตามที่วางแผนกันหรือไม่

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขานุการคณะทำงานบริหารจัดการน้ำ ได้ชี้แจงกรณีมวลน้ำที่มีการถกเถียงกันว่ายังมีเหลืออยู่เหนือ กทม.มากน้อยแค่ไหน ว่าตั้งแต่สุโขทัยลงมา ถึงแม้ว่าจะมีมวลน้ำกระจายอยู่ราว 12,000 ล้านลบ.ม. แต่เป็นน้ำหลากตามท้องทุ่งตามปกติที่กักขังเพื่อการเกษตร และน้ำในระบบแม่น้ำลำคลองเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงราว 3,000 ล้านลบ.ม. ที่จะหลากลงมาหา กทม. เท่านั้น ปกติน้ำในระบบทางภาคเหนือลงมาจะมีราว 12,000 ล้านลบ.ม. แต่ปีนี้มีมากถึง 16,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งขณะนี้ได้ระบายลงทะเลแล้วราว 4,000 ล้านลบ.ม. จึงเหลือราว 12,000 ล้านลบ.ม. ซึ่งเราพยายามจัดการให้ลงทะเลมากที่สุด

มาถึงการประเมินว่ากทม.เขตไหนบ้างจะไม่ท่วม!

แผนที่สีเขียวอ่อน คือสัญลักษณ์เขตที่คาดว่าจะรอดจากน้ำท่วม

ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา...พบว่า เขตบางซื่อ ดินแดง วังทองหลาง ห้วยขวาง พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน สาธร ห้วยขว้าง วัฒนา สวนหลวง ประเวศ...เขตเหล่านี้รอด

ส่วนเขตที่คาดว่าจะท่วม..ไล่มาตั้งแต่ บางเขน ดอนเมือง หลักสี่ สายไหม คลองสามวา มีนบุรี ลาดกระบัง จตุจักร ลาดพร้าว บึงกุ่ม สะพานสูง คันนายาว บางกะปิ บางนา พระโขนง คลองเตย บางรัก ยานนาวา บางคอแหลม คลองสาน ธนบุรี พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต

ซึ่งพิจารณาตามแผนที่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมบางชันก็อยู่ในจุดทางน้ำและเสี่ยงน้ำท่วมเช่นกัน ขึ้นอยู่กับมาตรการของแต่ะแห่งแล้วว่าจะแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน

ด้านฝั่งตะวันตกของเจ้าพระยา...เขตที่คาดว่าจะรอดจากน้ำท่วม ไล่มาตั้งแต่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ จอมทอง บางบอน บางขุนเทียน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ

ส่วนที่คาดว่าจะท่วม...บางพลัด บางกอกใหญ่ ธนบุรี คลองสาน ตลิ่งชัน บางแค หนองแขม ทวีวัฒนา เป็นต้น

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้เปิดเผย ถึงการระบายน้ำท่วมในกทม.นั้นมีเขตที่จะรอดจากน้ำท่วม 19 เขตคือ

1.บางขุนเทียน 2.บางบอน3.ทุ่งครุ4.ราษฎร์บูรณะ5.จอมทอง6. ภาษีเจริญ 7.วัฒนา 8.ดินแดง 9.สาทร 10.ราชเทวี 11.พญาไท 12.ปทุมวัน 13.ป้อมปราบฯ 14.สวนหลวง 15.ประเวศ 16.ห้วยขวาง 17.วังทองหลาง 18.บางซื่อ 19.บางกอกน้อย

"ทีมกรุ๊ป" เตือนภัยฉบับ 3 ระบุสถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางยังไม่ดีขึ้น ยังมีน้ำมากกว่า 1.2 หมื่นล้านลบ.ม. เปรียบเท่าเขื่อนภูมิพลอยู่ที่บางไทร ชี้หากไม่สามารถระบายน้ำลงทะเลได้มากกว่าปัจจุบัน พนังกั้นน้ำพื้นที่ต่างๆจะทยอยพัง บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง 26 - 31 ต.ค. ยิ่งทำสถานการณ์เลวร้าย ระบุหลัง 15 พ.ย. ระดับน้ำ อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี จะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วน บางไทร ปทุมฯ นนท์ นครชัยศรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ ระดับน้ำจะลดลงอย่างช้าๆ


วันนี้ 22 ต.ค. บริษัท TEAM GROUP กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาของคนไทย ที่มีความชำนาญในวิชาชีพด้านการบริหารจัดการน้ำมากว่า 30 ปี ได้เตือนภัยน้ำท่วม ฉบับที่ 3 ระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางยังไม่ดีขึ้น แม้ระดับน้ำที่อยุธยาจะลดลง 2 ซม. และระดับน้ำที่บางไทรได้เริ่มคงที่ ทั้งนี้จากปริมาณน้ำในทุ่งเจ้าพระยาที่ยังมีมากกว่า 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เปรียบเสมือนมีอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลอีก 1 อ่าง อยู่ที่บางไทร และปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยา แม้จะลดลงแต่ยังมีปริมาณมากกว่าน้ำที่สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ เช่น เมื่อ 21 ต.ค. มีน้ำไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยาวันละ 419 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่สามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลทั้งที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน และทางทุ่งและคลองฝั่งตะวันออกรวมทั้งสิ้นได้วันละ 403 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้มีน้ำเหลือสะสมเพิ่มเติมในทุ่งเจ้าพระยาอีกวันละ 16 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงทำให้ระดับน้ำในทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ นครชัยศรี บางเลน บางใหญ่ เมืองนนทบุรี ปากเกร็ด ลาดหลุมแก้ว เมืองปทุมธานี คลองหลวง ธัญบุรี สายไหม ลำลูกกา หนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง บางเสาธง และบางบ่อ

หากไม่สามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลได้มากกว่านี้ จะมีผลทำให้พนังกั้นน้ำที่อ่อนแอกว่าพังลง น้ำจะไหลพุ่งเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น และพนังกั้นน้ำที่ไม่แข็งแรงหรือความสูงไม่เพียงพอ ก็จะพังลงเรื่อยๆ ตามลำดับ นอกจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.นี้เป็นต้นไป น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปหนุนสูงสุดในวันที่ 31 ต.ค. ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพุทธฯ อยู่ที่ +2.45 เมตรจากระดับน้ำทะเลกลาง ซึ่งจะมีผลเสริมทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำและมีคลองเชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน หลังจากนั้นระดับน้ำจะทรงตัว และจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จนถึงหลังวันที่ 15 พ.ย.ไปแล้ว ระดับน้ำในพื้นที่ อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี จึงจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในพื้นที่ บางไทร ปทุมธานี นนทบุรี นครชัยศรี สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ ระดับน้ำจะลดลงอย่างช้าๆ

ดังนั้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม และพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่น้ำจะท่วม (ดูจากเตือนภัยน้ำท่วมฉบับที่ 1) จะต้องเสริมความแข็งแรงให้พนังกั้นน้ำต่างๆ และเสริมเพิ่มความสูงให้เพียงพอ และให้คงทนอยู่ได้ถึงหลังวันที่ 15 พ.ย. ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูง โรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องป้องกันน้ำท่วมเป็นพิเศษที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของถนนหทัยราษฎร์ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว และฝั่งตะวันออกของถนนบางพลี-บางตำหรุ ควรเสริมความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำให้มั่นคง และให้มีระดับความสูงไม่น้อยกว่า +3.50 เมตรจากระดับน้ำทะเลกลาง

แผนที่แสดงระดับความเสี่ยง และระดับน้ำท่วม ของพื้นที่ต่างๆ แสดงไว้ในรูปที่แนบท้ายนี้






อ้างอิง : ข้อมูลจาก
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000135063

บริษัททีมกรุ๊ป ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ล่าสุด ลงวันที่ 27 ต.ค.ได้เตือนถึงความรุนแรงของน้ำท่วมและการเตรียมพร้อมรับมือ ระบุว่า...


สถานการณ์น้าท่วมยังไม่ดีขึ้น แม้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ทุ่งเจ้าพระยาจะลดลงจนน้อยกว่าปริมาณน้ำที่ระบายลงสู่ทะเลแล้ว แต่ปริมาณน้ำในทุ่งดังกล่าวยังมีมากกว่า 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน ในการระบายน้ำออกสู่ทะเล หากไม่สามารถเพิ่มช่องทางการระบายน้าลงสู่ทะเลให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบันได้

2. พนังกั้นน้ำบนคันคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ด้านตะวันตกของประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ยังรั่วอยู่ และพนังกั้นน้ำบนคันคลองรังสิตประยูรศักดิ์ใกล้ตลาดรังสิตยังมีน้ำไหลล้นจานวนมาก ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้คลองเปรมประชากร คลองประปา ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนพหลโยธิน และผู้ที่อยู่สะพานใหม่ บางบัว บางเขน เกษตร ลาดพร้าว โชคชัยสี่ สายไหม เฉพาะที่อยู่ในที่ลุ่มใกล้คลองถนน คลองบางบัว คลองลาดพร้าว และคลองสาขาที่เคยเกิดน้ำท่วมขัง ให้เก็บของขึ้นที่สูง ระดับน้ำท่วมจะทรงตัวอยู่จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน

3. ผู้ที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือคลองบางกอกน้อย และเหนือทางรถไฟสายใต้และบริเวณด้านตะวันออกของคลองบางกอกใหญ่ และผู้ที่อยู่ในอาเภอพุทธมณฑล นครชัยศรี สามพราน กระทุ่มแบน และเมืองสมุทรสาคร ที่อยู่ในบริเวณด้านตะวันตกของถนนพุทธมณฑลสาย 4 และถนนสาย 3310 รวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้แม่น้ำท่าจีน คลองมหาชัย คลองสนามชัย คลองจินดา คลองดาเนินสะดวก และคลองสุนัขหอน ที่อยู่ทางตะวันออก ของถนนสาย 3097 ขอให้ย้ายของขึ้นที่สูงมากกว่า 1.5 เมตร และให้เอารถไปจอดไว้ที่สูง ระดับน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลังวันที่ 5 พฤศจิกายน แล้วทรงตัวอยู่ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มลดลง   น้ำทะเลจะหนุนสูงอีก 15 ซ.ม.

4. ผู้ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นอีกอย่างน้อย 15 ซ.ม. พนังกั้นน้ำมีโอกาสจะพัง จะทาให้น้ำไหลเข้าท่วมแรงและเร็วมาก ขอให้เพิ่มความแข็งแรงและเสริมคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ป้องกันไม่ให้พนังกั้นน้ำพัง ให้ระวังจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 ส่วนพื้นที่อื่นๆ น้ำจะทรงอยู่จนถึง 15 พฤศจิกายน 2554 ขอให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด

5. พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ที่จะถูกน้ำท่วม เพิ่มเติมจาก TEAM Group เตือนภัยน้ำท่วม ฉบับก่อนนี้ ได้แก่

5.1 พื้นที่ด้านเหนือของถนนบรมราชชนนี จากคลองบางกอกน้อย ถึงถนนวงแหวนรอบนอก

5.2 พื้นที่ด้านตะวันออกของคลองบางกอกใหญ่ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา

5.3 พื้นที่เหนือถนนแจ้งวัฒนะทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ด้านเหนือถนนสรงประภา เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการท่วมฉับพลัน น้ำไหลแรงและเร็ว หากมีการพังของพนังกั้นน้ำบนคลองรังสิตประยูรศักดิ์ บริเวณด้านตะวันตกของประตูน้ำจุฬาลงกรณ์

5.4 พื้นที่เหนือถนนงามวงศ์วานทั้งหมด

5.5 พื้นที่เหนือคลองบางเขนทั้งหมดและพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับคลองบางเขน

5.6 พื้นที่เหนือคลองบางซื่อตั้งแต่คลองเปรมประชากร ถึงคลองลาดพร้าว และพื้นที่ใกล้คลองลาดพร้าวและคลองสาขา

5.7 พื้นที่เหนือถนนรามอินทราทั้งหมดจากที่ทำการเขตบางเขนไปจนถึงเขตมีนบุรี รวมถึงพื้นที่ด้านตะวันออกของถนนวงแหวนรอบนอกที่อยู่เหนือคลองแสนแสบ

6. การเตรียมการรับสถานการณ์น้ำท่วม ขอให้ทุกท่านร่วมกันปฏิบัติดังนี้

6.1 ตรวจตราพนังกั้นน้ำในแต่ละพื้นที่ให้มีความมั่นคงแข็งแรง และให้มีระดับเพียงพอ ที่จะกั้นน้ำได้ หากพบรอยรั่วให้ช่วยกันวางกระสอบทรายซ่อมแซม หรือพบว่ามีน้ำรั่วลอดใต้พนังกั้นน้ำให้ใช้กระสอบทรายกั้นเป็นคอกล้อมไว้ โดยให้กระสอบทรายมีระดับสูงกว่าระดับน้ำขอให้จัดเวรยามคอยตรวจตรา เฝ้าระวังพนังกั้นน้ำอย่างเข้มแข็งอย่างน้อย จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554

6.2 ขอให้ดูแลระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ไม่ให้ถูกน้ำท่วม ขอให้สร้างพนังกั้นน้ำที่แข็งแรง และสูงเพียงพอกั้นล้อมรอบอุปกรณ์ที่สาคัญ รวมทั้งระบบไฟสารอง ที่อยู่ในระดับต่า และ จัดเวรยามดูแลอย่างใกล้ชิด

6.3 ขอให้แต่ละชุมชนจัดเวรยามผลัดเปลี่ยนดูแลทรัพย์สินของแต่ละชุมชน อย่าให้มีการลักขโมยทรัพย์สิน

6.4 ขอให้เตรียมยาอย่างน้อยตามที่ นพ.พรชัย มูลพฤกษ์ ได้แนะนำมาดังนี้

(1) ยารักษาโรคที่ใช้ประจำ

(2) ยาสามัญประจาบ้าน เช่น Paracetamol เกลือแร่

(3) ยาทาแผล Betadine solution

(4) พลาสเตอร์ปิดแผล

6.5 ขอให้ระวังสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ เป็นต้นที่อาจจะเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน

6.6 สำรองอาหาร และน้ำดื่มให้เพียงพอ ประมาณ 3 วัน

7. รายละเอียดระดับความสูงของพื้นที่ สามารถตรวจสอบได้ที่ www.teamgroup.co.th และ www.facebook.com/TEAMGroupConsulting และขอให้ติดตามข้อมูลต่างๆ อย่างสม่าเสมอ

8. ในส่วนของน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่เมื่อใด ระดับเท่าใด ขอให้รับฟังประกาศของทางราชการ และติดตามข่าว SMS เตือนภัยจากพนักงานของกลุ่มบริษัททีม (TEAM GROUP) อย่างใกล้ชิด

ขยายดูพื้นที่เสี่ยง..

http://depot12.tempf.com/file/4b3943387b3cda2f50e1f6b82e8e8cf9/4ea913f0/dev3/0/001/699/0001699978.fid/public4ea8e757350c71085220?image/jpeg

สายน้ำคือชีวิต วิกฤติคือศรัทธา ร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

สายน้ำคือชีวิต วิกฤติคือศรัทธา ร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน



สายน้ำคือแหล่งพักพิง และวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านานดึกดำบรรพ์แล้ว คนไทอพยพหนีตายมาเรื่อยๆ เพื่อมาตั้งรกรากกันอยู่ใกล้บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคเอเซียอาคเณย์

เมื่อแรกเริ่มน้ำเริ่มไหลหลากมา คนไทยจึงต้อนรับสายน้ำกันอย่างอบอุ่น ลูกเล็กเด็กดำ(แดง) ดีใจ พากันลิงโลด กระโดดเล่นน้ำกัน บ้างก็นำเรือมาพายเล่นกัน เป็นที่สนุกสนาน
จึงร้องเพลงนี้กัน




เพลง สายชล  ศิลปิน  จันทนีย์ อูนากูล

เหม่อมองดูสายน้ำวน

เหม่อมองสายชลที่ไหลริน

เหม่อมองดูนกผกผินบินลับไป

ยามเหงาเราถอนใจ

บินไปไม่กลับมา


เปล่าเปลี่ยวจริงหนอหัวใจ

อยากจะรักใครเศร้าใจทุกครา

หมดแรงกำลังอ่อนล้า

และหลงทางเจ็บนั้นยังเจ็บไม่จาง

อ้างว้างดังสายชล

แม้ใจจะเจ็บเก็บมาคิดคิด

อดีตช่างงามล้ำล้น

มิเคยลืมภาพเราสองคน

มิเคยลืมยังหลอกลวงตน

มิเคยลืม


ว่าเคยรักเธอสายชล

หลั่งรินไหลวนมาพานพบเจอ

เหตุการณ์ผ่านไปยังเพ้อพะวงทุกวัน

อกเอ๋ยขมขื่นตื้นตันจากกันหรือฝันไป


มิเคยลืม

ว่าเคยรักเธอสายชล

หลั่งรินไหลวนมาพานพบเจอ

เหตุการณ์ผ่านไปยังเพ้อพะวงทุกวัน

อกเอ๋ยขมขื่นตื้นตันจากกันหรือฝันไป

                                                            

และเมื่อน้ำเริ่มไหลหลากมามากขึ้น ท่วมท้น เข้าบ้าน ทำลายทรัพย์สิน อาคารและโรงเรือน ซึ่งกระแสน้ำเริ่มไหลมาอย่างรุนแรงมากขึ้น ความรู้สึกของผู้คนก็เริ่มกังวลใจ ว่า เอ๊ะนี่มันน้ำท่วมปกติ หรือน้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมโลกกันแน่  ความรู้สึกจึงเริ่มเครียด ต่างอพยพหนีตาย กันจ้าละหวั่น เหล่าบรรดาอาสาสมัคร ตลอดจนหน่วยงานทหารก็เป็นกลุ่มแรก ๆ ได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชน โดยการลำเลียงทั้งอาหารและข้าวของเสบียงเข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงช่วยเหลือผู้คนให้ออกมาจากพื้นที่น้ำท่วม เขาและเธอจึงเริ่มร้องเพลงนี้ คือ

เพลง น้ำเอย น้ำใจ
ศิลปิน อัสนี วสันต์ โชติกุล


ไม่มีใคร คนใด


หัว ใจดวงใด ไม่มีความหมาย

ต่างมุ่งหมาย ตามสาย ทางเดิน

คนเอ๋ย คนเอ๋ย คน

ต่างก็รู้ อยู่

ใจของใครก็ รู้รู้ใจ

ไม่แตกต่างกัน

..จะมีใคร คนใด

หรือ ใจดวงใด

อยากพ่ายอยากแพ้

ใครอยากอ่อนแอ เรื่องราว

ใครต่างคนต่างใคร

ก็ต่าง มุ่งหมาย มั่น

คนเหมือนกันแหละหนา ฟ้าดิน

ดิ้นรนหา ความ


..น้ำ เอย น้ำ ใจ

ของ ใคร ให้มา

เหมือน การ พึ่ง พา

ภาษา ความ เข้าใจ

(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)

..มันก็เป็น เช่นนั้น

นะเออ ฉันเธอต่างมุ่งต่างสาย

สิ่งที่วายร้าย มุ่งหมาย ว่าดี

เพียงแค่ความเข้าใจ

ก็แบ่งกันไว้มั่ง

เป็นเช่นดังของขวัญให้กัน

โลกอันโสภา

ก็ใช่ ว่าใคร ไม่มี จิตใจ

ก็ใช่ ว่าใคร อยากไร้ คุณค่า

ก็ใช่ ว่าใคร อยากเสียน้ำตา

นะ เอย

..น้ำ เอย น้ำ ใจ

ของ ใคร ให้มา

เหมือน การ พึ่ง พา

ภาษา ความ เข้าใจ

(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)

..(น้ำ เอย น้ำ ใจ)

(ของ ใคร ให้มา)

(เหมือน การ พึ่ง พา)

(ภาษา ความ เข้าใจ)...

และเมื่อน้ำเริ่มมีระดับความรุนแรงทั้งในแง่ความเร็ว แรง ในการเคลื่อนเข้ามา ได้ทำลายเรือกสวนไร่นา ทำลายถนนหนทาง โรงงานอุตสาหกรรมนับตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ มาชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี มาอยุธยา โดยเฉพาะกับนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทั้ง 5 แห่ง (สหรัตนนคร , โรจนะ ,บ้านหว้า(ไฮเทค) ,แฟคตอรี่แลนด์ ,นวนคร และล่าสุด นิคมอุตสาหกรรมบางกระดี เรื่อยมาจนถึง จังหวัดปทุมธานี (รังสิต)  และจังหวัดนนทบุรี โดยเฉพาะบางบัวทอง ภาพความเดือดร้อนของผู้คน ในการช่วยเหลือประชาชน อพยพผู้คนที่ติดอยู่ในบ้านเรือน เป็นภาพที่ผู้เขียนเองสะเทือนใจ และเศร้าใจมาก จนต้องอินไปกับเพลงนี้ครับ


เพลง มหันตภัย

ศิลปิน แก้ม The Star


ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้เมื่อไรที่ชีวิตฉันจะดีสักที

ไม่ต้องเงียบเหงาอย่างนี้

ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ว่ามรสุมนี้มันจะผ่านพ้นไปเสียที

เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน


ไม่โทษใคร ไม่ได้โทษฟ้าดิน

ที่ฉันเดียวดายอ้างว้าง โทษตัวเอง ต้องโทษตัวเอง

ที่ทําผิดจนต้องทําให้เธอจากไปครั้งนี้


จะมีชีวิตยังไง เมื่อไม่มีใครตรงนี้สักคน

จะเดินไปยังไง อยู่ไปยังไง เมื่อไม่มีเธอ

นี่คือการเดินทางสู่อันตราย สู่มหันตภัยเลวร้าย

ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง ฉันจะมีชีวิตนี้ไปเพื่อใคร


ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้เมื่อไรที่ฉันจะลุกขึ้นได้สักที

มันเหมือนคนใจสลาย

ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ว่านานแค่ไหนนํ้าตาฉันมันจะแห้งหายไป

โดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกิน


อยากให้รู้ อยากให้รู้เหลือเกิน ว่าฉันเสียใจแค่ไหน

โทษตัวเองต้องโทษตัวเอง

ที่ทําผิดจนต้องทําให้เธอจากไปครั้งนี้


จะมีชีวิตยังไง เมื่อไม่มีใครตรงนี้สักคน

จะเดินไปยังไง อยู่ไปยังไง เมื่อไม่มีเธอ

นี่คือการเดินทางสู่อันตราย สู่มหันตภัยเลวร้าย

ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง ฉันจะมีชีวิตนี้ไปเพื่อใคร

ฉันจะมีลมหายใจ...หายใจไปทําไม

ผู้เขียนเองคงได้แต่ให้กำลังใจผู้ที่กำลังทำงานขะมักเขม่น เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ประสบชะตากรรมทุกข์ยาก ขอให้กำลังใจทหาร พลเรือน กลุ่มจิตอาสาทั้งหลาย จนท.มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมถึงให้กำลังใจแก่ประชาชนร่วมชาติ ที่กำลังเผชิญมหันตภัยร้านแรงของประเทศ เราจะต้องฝ่าฟันมหันตภัยครั้งใหญ่นี้ไปให้ได้ และพร้อมๆ กันด้วยความรัก ความเสียสละ และสามัคคีต่อกัน เราจะไม่โทษฝ่ายนั้นฝ่ายนี้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติกำลังให้บทเรียนแก่ชาวไทยในครั้งนี้ร่วมกัน

สิงคโปร์ไม่มีขน (ประเทศต้นแบบของการสร้างบ้านแปลงเมือง)

สิงคโปร์ไม่มีขน
ประเทศต้นแบบของการสร้างบ้านแปลงเมือง

ขออนุญาตนำเอาคอนเซ็ปต์ของหนังสือคุณนิ้วกลมที่ชื่อว่าโตเกียวไม่มีขา มาใช้กับหัวข้อบทความชิ้นนี้ของผู้เขียน เพราะมันดูเท่ห์ดี คำว่า “สิงคโปร์ไม่มีขน” ผู้เขียนคิดขึ้นมาเองเพื่อใช้นิยามประเทศสิงคโปร์ในแบบสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นประเทศที่สะอาดสะอ้าน เกลี้ยงเกลา มีระบบระเบียบแบบแผนที่ดี บ้านเมืองดูมีความเจริญมั่งคั่ง และปลอดภัย “ขน” จึงเป็นสิ่งที่แม้จะงอกเงยขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่หากไม่มีการทำความสะอาด จัดระเบียบ คือ ตัด เล็ม โกนทิ้งไปบ้างก็จะทำให้ดูไม่น่ามอง หรือดูสกปรกได้ เปรียบดังการไม่มีระเบียบวินัยของประชากร การฝ่าฝืนกฎหมายจราจร การแหกคอกออกจากประเพณี การทำลายวัฒนธรรม การไม่มีขื่อมีแป การไม่รักษาความสะอาด ที่สำคัญคือประเทศนี้ไม่มีการคอรัปชั่นหรือมีก็น้อยมาก เพราะกฎหมายเขาแรง และการบังคับใช้กฎหมายก็เคร่งครัดมาก คนที่คิดจะทำความผิดหรือคิดชั่วจึงน้อยมาก ซึ่งประเทศสิงคโปร์เขาไม่มีในสิ่งเหล่านี้ (หรือสามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดมาก) ซักเท่าไร ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศนี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวก็ตาม จะสังเกตได้ว่าเมื่อใดที่ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพพจน์เสียหาย ประเทศนี้ก็จะคอยออกมากระหน่ำซ้ำย่ำยี หรือออกมาพูดจาให้ร้ายและทำลายภาพลักษณ์ของเราให้ยิ่งแย่ลงไปอีก ดูเหมือนเป็นประเทศที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย แต่ด้วยความที่เป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ในอาเซี่ยนด้วยกัน จึงทำให้ยังต้องคบค้าสมาคมกันอยู่ และดูเหมือนว่าจะเป็นมิตรที่ไม่ค่อยน่าคบนัก แต่บนความน่ารังเกียจของประเทศแห่งนี้ ก็มีข้อดีหรือมีจุดเด่นหลายอย่างที่ควรค่าแก่การนำไปเป็นกรณีศึกษา หรือเรียนรู้จากเขาเป็นตัวอย่างของประเทศต้นแบบแห่งการสร้างบ้านแปลงเมือง ว่าเขาทำได้อย่างไร จึงประสบความสำเร็จเป็นประเทศบิ๊กในภูมิภาคนี้ได้ หรือจิ๋วแต่แจ๋วจนทำให้ประเทศใหญ่ๆ หลายๆ ประเทศยังต้องเกรงขามเขา เรามาดูกัน

ประวัติโดยสังเขปของสิงคโปร์

ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ อยู่ทางใต้ของรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย และอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย

สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมลายู เป็นสถานที่พักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละกา

ยุคการล่าอาณานิคม ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มาแย่งไป แต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์ โทมัส แสตมฟอร์ด บิงก์เลย์ แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษก็ยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ

ค.ศ. 1819 เซอร์ แสตมฟอร์ด ราฟเฟิล สำรวจเกาะสิงคโปร์ และก่อตั้งประเทศ

สงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ และก็สามารถยึดครองสิงคโปร์ไว้ได้ แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง อังกฤษก็ได้ครอบครองสิงคโปร์เหมือนเดิม

การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมลายูทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติกัน ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมา

สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

(อ้างอิงเว็บไซต์วิถีพีเดีย ,สารานุกรมออนไลน์)

ขอเริ่มต้นที่ตัวผู้เขียนเองเคยได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์แห่งนี้ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตก็เมื่อช่วงเดือน พฤศจิกายน ของปี 2003 หรือปี พ.ศ.2546 ครั้งนั้นผู้เขียนได้ติดตามพี่ชาย ซึ่งไปทำภาระกิจทางด้านติดต่องานธุรกิจ และผู้เขียนติดตามไปในฐานะผู้ร่วมเดินทาง จำได้ว่าครั้งนั้นไปเพียงแค่ 3 วัน กับ 2 คืน เท่านั้น จึงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวยังสถานที่สำคัญของสิงคโปร์เลย เพราะอยู่แค่เพียงในละแวกที่พัก กับสถานที่ที่พี่ชายไปติดต่องานเท่านั้น แต่ก็ได้สัมผัสถึงบรรยากาศ ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ผู้คน ได้มีโอกาสไปเดินยังตลาด ย่านของกินกลางคืน คล้ายๆ แถวเยาวราช บ้านเรา ได้ไปเดินบนถนนออชาร์ต และก็แถบศูนย์การค้าใหญ่ที่เรียกว่า Suntec City Mall สิ่งที่ประทับใจคือความสะอาดสะอ้านของบ้านเมือง การจัดผังเมือง ภูมิทัศน์ของเกาะสิงคโปร์โดยรอบ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงถนนหนทาง การขับรถของคนที่นั่น การเดินบนฟุตบาธ การข้ามถนนได้อย่างสบายใจ แม้ยามค่ำคืนก็จะไม่เห็นรถที่วิ่งเร็วเหมือนในบ้านเรา รถไฟใต้ดินมีเกือบจะทุกจุดสำคัญๆ ทั่วทั้งเกาะสิงคโปร์ ทำให้การเดินทางไปยังจุดต่างๆ สะดวกรวดเร็ว ประชากรไม่ต้องพึ่งพารถประจำทางหรือรถแท็กซี่ รถประจำตัวมากนัก นี่คือข้อดี ที่เมืองใหญ่ๆ ในโลกที่เจริญแล้วควรจะเป็น และสิงคโปร์ก็เป็นเช่นนั้น

โลกรับรู้ตั้งแต่วันแรกแห่งการประกาศเอกราชของประเทศสิงคโปร์ว่า ลีกวนยู ก็คือสิงคโปร์ ลีกวนยู ไม่ใช่ ซีอีโอ ที่มารับตำแหน่งต่อจากคนอื่น แต่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า ซิงกาโป ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างผลประกอบการอย่างดีเยี่ยม เติบโตอย่างรวดเร็ว จนเป็นบริษัท ที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างน้อยก็ในสายตาเหล่านักลงทุน ลีกวนยูน่าจะชอบกินปลาและวิตามินเอ จึงทั้งฉลาดและมองการณ์ไกล ท่านผู้เฒ่าเป็นมือกระบี่ที่หนึ่งของแผ่นดิน ระดับ ซือแป๋ของซือแป๋ ผู้ไม่ต้องใช้กระบี่อีกแล้ว สิ่งทีทำให้ลีกวนยูแตกต่างจากผู้นำคนอื่นๆ ในภาคพื้นเอเชียก็คือ การรู้จักพอกับอำนาจ รู้ว่าเมื่อใดควรก้าวลงจากเก้าอี้ (อีกคนหนึ่งที่น่ายกย่องในการู้จักพอคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ของเรา) นี่เป็นจุดที่ ซูฮาร์โต้,มาร์กอส,เนวิน หรือกระทั่งเหมาเจ๋อตุง ทำไม่เป็นหรือแกล้งทำไม่เป็น ท่านผู้เฒ่าก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อปี 1980 นายกรัฐมนตรี โก๊ะจ๊กตง รับไม้ต่อเป็นซีอีโอรุ่นสอง ส่วนท่านผู้เฒ่ารับตำแหน่งใหม่เป็น Senior Minister (ที่ตั้งขึ้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ) โก๊ะจ๊กตง เรียนจบปริญญาโทจากอเมริกา เป็นสมาชิกสภาตั้งแต่ปี 1976 สูงทั้งเรือนร่างและความคิดอ่าน จึงเป็นมือขวาที่ท่านผู้เฒ่ายกให้เป็นจอมกระบี่ที่สอง เวลานั้นนักวิเคราะห์จำนวนมากในต่างประเทศคาดว่า โก๊ะจ๊กตง คงไปได้ไม่กี่น้ำ และท่านผู้เฒ่าต้องหวนกลับมาอีก พวกเขาคาดผิด เพราะโก๊ะจ๊กตง ให้สัมภาษณ์ในรายการ TalkAsia (CNN) ในปี 2004 ว่า “เมื่อผมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมบอกไว้ชัดเจนเลยว่า จะไม่สวมรองเท้าคู่เดียวกับท่าน (ลีกวนยู) ขนาดรองเท้าของท่านคือเบอร์ 13,14,15 ส่วนของผมนั้น แค่เบอร์ 9 ดังนั้นผมจะสวมรองเท้าของผมเอง และเดินแบบสบายๆ “

ปัญหาที่บริษัท ซิงกาโป จำกัด รุ่นโก๊ะจ๊กตง เจอเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดหมายเอาไว้ล่วงหน้า เช่น ฟองสบู่แตกในภาคพื้นนี้ การระบาดของโรคซาร์ส เป็นต้น แต่เขาก็จัดการปัญหาได้ดี จนต่างประเทศชม ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เกิดวิกฤติซาร์สนั้น ขณะที่ประเทศของเราและจีนปิดข่าวกันนั้น สิงคโปร์กลับเปิดเผยข่าวทุกชนิด ยืนยันนโยบาย “กลาสนอสต์” สุดสุด สื่อมวลชนและหนังสือพิมพ์รายงานข่าวซาร์สทุกวัน ประกาศว่า แต่ละวันมียอดผู้ป่วยกี่คน กักกันใครบ้าง ติดกล้องตรวจตราในบ้านของคนที่ต้องสงสัยว่าอาจจะติดเชื้อซาร์ส และเป็นประเทศแรกที่ติดตั้งกล้องอินฟราเรดวัดอุณหภูมิร่างกายของนักท่องเที่ยวที่สนามบิน ใครที่ถูกสั่งกักกัน และหนีออกมาก็ถูกจับประจานกลางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ผลก็คือสิงคโปร์เป็นประเทศตัวอย่างที่องค์การอนามัยโลกเชื่อมั่นและชาวโลกเชื่อถือ เมื่อสิงคโปร์ประกาศว่าไม่มีโรคแล้ว ทุกคนก็เชื่อ ตรงข้ามกับบ้านเราและจีน ที่จนบัดนี้ยังเรียกศรัทธาคืนมาไม่ได้เลยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่รัฐบาลออกมายืนยันทุกครั้งว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่แล้วผลเป็นอย่างไร ทั่วโลกเขารับทราบหมด

ผ่านไปสิบสี่ปี โก๊ะจ๊กตง ก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอ ส่งไม้ต่อให้ “ลีเซียนลุง” บุตรชายของลีกวนยู โก๊ะจ๊กตง รับตำแหน่ง Senior Minister ส่วนท่านผู้เฒ่ารับตำแหน่งใหม่ (ที่ตั้งขึ้นอีกครั้งเพื่อท่านโดยเฉพาะ) คือ Minister Mentor

ลีเซียนลุงเคยเป็นทหารมาก่อน เข้าสภาเมื่อปี 1984 หกปีต่อมาก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาจะสวมรองเท้าเบอร์เดียวกับพ่อและโก๊ะจ๊กตงหรือไม่ อีกไม่นานโลกก็คงรู้ หากถามพนักงานและลูกหลานพนักงานที่ทำงานในบริษัทซิงกาโป จำกัด ว่ารู้สึกอย่างไรที่อำนาจวนเวียนอยู่ในกลุ่มเดิม คำตอบก็คือ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร จริงอยู่ย่อมมีเสียงไม่เห็นด้วย แต่เป็นเสียงที่แผ่วเต็มที เหตุผลเพราะท่านผู้เฒ่าเป็นมากกว่านายกรัฐมนตรี ลีกวนยูเป็นบิดาของสิงคโปร์ สิ่งที่ท่านทำเพื่อสิงคโปร์นั้นน่าทึ่ง จากเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลยกลายเป็นประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติเหมือนอย่างไทย ไทยได้แต่มองดูตาปริบๆ

ลีกวนยูผ่านความขัดแย้งระหว่างประเทศมาก่อน เข้าใจการเมืองระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์ สังหารประชาชนไปร่วมแสนคน ลีกวนยูเคยถูกตบหน้าและสั่งให้คุกเข่าลงต่อหน้าทหารญี่ปุ่นนายหนึ่ง เพียงเพราะไม่ได้โค้งคำนับทหารผู้นั้นขณะข้ามสะพาน

ท่านผู้เฒ่าเรียนจบกฎหมายจากเคมบริดจ์ด้วยคะแนนสูงสุด แม้จะไม่ได้ปลื้มอังกฤษนัก แต่ก็นับถือวิธีการที่อังกฤษทำงาน เช่นเดียวกับที่แม้ไม่ได้ชอบญี่ปุ่นนัก แต่ก็เรียนรู้วิธีการทำงานแบบญี่ปุ่น การรู้จักนำจุดแข็งของคนอื่นมาใช้จึงเป็ฯจุดแข็งของท่านผู้เฒ่า

ลีกวนยูตั้งพรรค PAP (People’s Action Party) ในปี 1954 เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่ออายุเพียง 35 ปีเท่านั้น (ยังเด็กกว่ายิ่งลักษณ์และอภิสิทธิ์เสียอีก)

วันแรกที่ลีกวนยูบริหารประเทศ น้อยคนที่เชื่อว่าท่านจะพาสิงคโปร์ไปรอด หรือมาได้ไกลถึงขนาดนี้ เพราะลำพังน้ำดื่มยังต้องพึ่งพามาเลเซีย ในปี 1960 ท่านก็ก่อตั้ง Housing and Development Board(HDB) ซึ่งสร้างที่อยู่อาศัยในรูปอพาร์ตเม้นต์เป็นการใหญ่ จวบจนบัดนี้ HDB ก็ยังทำงานสร้างโครงการใหม่ๆ ทุกวัน ที่ต้องยอมรับว่า HDB ทำงานจริงจังและติดตามงาน ก็คือการอัปเกรดอพาร์ตเม้นต์ในโครงการแรกๆ ที่มีขนาดเล็กมากให้ใหญ่ขึ้น ปรับปรุงสวนสาธารณะในทุกโครงการ 5 ปีต่อมาสิงคโปร์ก็แยกตัวจากมาเลเซีย นับก้าวที่หนึ่งของการเป็นเอกราช อย่างแท้จริง

ซีอีโอหมายเลขหนึ่งรู้ดีว่า สำหรับประเทศใหม่ “แกะกล่อง” เช่นนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือระบบสาธารณูปโภค ภายในยี่สิบปีระบบสาธารณูปโภคของสิงคโปร์ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์(อาเซี่ยน) รวมไปถึงเครือข่ายคมนาคม ระบบขนส่งมวลชน ทั้งที่ประเทศนี้ไม่รู้จักคำว่ารถติด (แบบกรุงเทพฯ) มาก่อน

ความฝันแต่ละอย่างของท่านผู้เฒ่ามักถูกหัวเราะเยาะมาก่อน เช่น เมื่อท่านบอกว่าจะถมทะเลขยายพื้นที่เกาะ แต่ฝันของซีอีโอคนนี้ก็เป็นจริงทุกที การขยายแผ่นดินเป็นงานของกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ซึ่งยืนยันนโยบายว่า จะถมไปเรื่อยๆ ความจริงสิงคโปร์ขยายพื้นที่รุกทะเลมานานกว่าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อแรกที่คนจีนอพยพมาถึงเกาะนี้ได้สร้างวัดหันหน้าออกทะเลเพื่อขอบคุณเจ้าแม่แห่งสมุทร คือบริเวณถนนเตล็อกอาเยอร์ โดยการถมทะเลส่วนหนึ่ง การขยายตัวในด้านต่างๆ ทำให้ประเทศนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขยายพื่นที่ด้วย ในรอบสามสิบปีที่ผานมา พื้นที่เกาะเพิ่มขึ้นจาการถมทะเลราวสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งของสนามบินชางฮี,เซนตัน เวย์ (ศูนย์กลางทางการเงิน),โรงแรมแรฟเฟิลส์บนถนนบีช(ถนนหาดทราย) ล้วนเคยเป็นบ้านของปลามาก่อน ทางด้านสวัสดิการสังคม ท่านผู้เฒ่าตั้งองค์กร CPF (Central Provident Fund) เป็นกองทุนสะสมของราษฎร CPF คือทุนที่ราษฎรที่ทำงานทุกคนได้รับสะสมไว้ตลอดชีวิต ถอนมาใช้ได้เมื่อเกษียณอายุ ระหว่างนั้นสามารถนำเงินทุนนี้ไปผ่อนซื้อบ้านและรักษาตัวเมื่อเจ็บป่วย ปัจจุบันเงิน CPF เป็นการเรียกเก็บเงิน 33 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ (13 เปอร์เซ็นต์จากผู้ว่าจ้าง และ 20 เปอร์เซ็นต์จากลูกจ้าง) ตัวเลขนี้ขึ้นลงตามสถานการณ์ของประเทศ

ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบปี สิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือที่วุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รองรับกว่าหกร้อยสายเดินเรือ เป็นศูนย์กลางกลั่นและจัดจำหน่ายน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก เป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ การต่อเรือและซ่อมเรือระดับชั้นนำของโลก เป็นศูนย์กลางการเงิน มีธนาคารกว่า 130 แห่ง คิดเล่นๆ หากบริษัทซิงกาโป จำกัด ไม่ได้ท่านผู้เฒ่ามาบริหารตั้งแต่วันแรก ป่านนี้ก็อาจยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ หลายคนบอกว่า ซิงกาโปเป็นบริษัทเล็ก ๆ (เทียบระดับก็แค่ SMEs) ใครมาปกครองก็ทำให้ก้าวหน้าได้ไม่ยาก อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริงก็ได้ บางทีหากสิงคโปร์ได้บางรัฐบาลในอดีตของเราไปปกครอง บริษัทซิงกาโป จำกัด คงเลิกกิจการในเวลาไม่นาน ด้วยนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์เหมือนแรด และกินจุราวสุกร น้อยคนนัก จะรู้ว่าท่านผู้เฒ่าเกลียดความร้อนและความชื้นในเกาะน้อยใกล้เส้นศูนย์สูตรแห่งนี้ ลีกวนยูเคยบอกว่าเครื่องปรับอากาศเป็นประดิษฐกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เพราะมันทำให้คนทำงานได้มากชั่วโมงขึ้น ในยามตื่นท่านชอบใช้ชีวิตอยู่ในอุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส ในยามหลับ คือ 19 องศาเซลเซียส นั่นคงเป็นเหตุผลที่ท่านปลูกต้นไม้ใหญ่ทั่วเกาะสิงคโปร์

ศาสตราจารย์เดชา บุญค้ำ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยวิเคราะห์ว่า การปลูกต้นไม้ใหญ่ในปริมาณขนาดนี้สามารถลดอุณหภูมิของทั้งเกาะลง ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการประหยัดค่าแอร์ ค่าพัดลม มหาศาล ลองคิดดูว่า ต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าลงเท่าไรต่อวันต่อเดือนต่อปีแล้วคูณแสนคูณล้านเข้าไป นอกเหนือจากการประหยัดไฟฟ้า ป่ายังเพิ่มออกซิเจน อากาศดีหมายถึงการลดอัตราการเจ็บป่วย ในประเทศที่ไม่มีอะไรเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ช่วยทำให้ประเทศประหยัดเงินมหาศาลในระยะยาว เมื่อหันมามองบ้านเรา ก็เห็นความต่างอย่างชัดเจน บ้านเรามีแต่ตัดไม้ทำลายป่า เรานิยมปลูกไม้ประดับต้นเล็กๆ ที่มีดอกไม้สวยงาม แต่ไม่เกิดผลดีในระยะยาว ทั้งที่ค่าใช้จ่ายในการดูแลต้นไม้ใหญ่ต่ำกว่าการดูแลพุ่มไม้ดอกมากนัก ลำพังแก้ปัญหาฝุ่นในกรุงเทพฯ ได้อย่างเดียวก็ลดค่ารักษาพยาบาลได้อีกหลายพันล้านบาท และเพิ่มผลผลิตของประเทศอีกมหาศาล ทุกครั้งที่มาเยือนบริษัท ซิงกาโป จำกัด นักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองไทยอาจไม่รู้สึกหงุดหงิดกับการปรับเวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง แต่คงสงสัยว่าทำไมประเทศนี้จึงตั้งเวลาไม่ตรงกับสภาพธรรมชาติ ท้องฟ้ายามหกโมงเช้าที่สิงคโปร์มืดเหมือนกลางคืน “เวลา” ที่นี่ตรงกับเวลาที่มาเลเซีย และฮ่องกง และห่างจากเวลาญี่ปุ่นเพียงชั่วโมงเดียว ชาวสิงคโปร์ผู้หนึ่งวิเคราะห์เรื่องนี้ว่า การปรับเวลาให้ตรงกับฮ่องกงและใกล้เคียงกับญี่ปุ่น หมายถึงขณะที่คนไทยกำลังนอนบนเตียง นักธุรกิจในญี่ปุ่น ฮ่องกง กับสิงคโปร์เจรจาธุรกิจไปหลายเรื่องแล้ว เพราะเป็นเวลาเดียวกันสามารถติดต่อธุรกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องเช็กเวลา จุดนี้ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีเหตุผล ดังนั้น เมื่อดูจากผลงานส่วนใหญ่ที่เข้าตากรรมการ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมไม่มีคำครหาเรื่องการโอนถ่ายอำนาจเลย ดูเหมือนในสายตาของประชาชนเดินดิน สิ่งใดที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าดีคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา ผู้นำคนใหม่ที่ท่านบอกว่าดี ผู้คนก็เชื่อ

ท่านผู้เฒ่าเป็นเหมือนบิดาที่ “คลุมถุงชน” หาคู่ครองให้ลูก ย่อ่มต้องหาคนที่ดีที่สุด คนที่ลูกฝากผีฝากไข้ด้วยได้ จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า คนมีอำนาจในประเทศนี้ต่างจากบิ๊ก ในเมืองไทยคือ ผมไม่เคยเห็นคนมีอำนาจ พีอาร์ ตัวเองหน้าจอโทรทัศน์ ไม่เคยเห็นรัฐมนตรีสวมสูทไปพบชาวบ้าน หรือเดินทางไปไหนมาไหนด้วยขบวนยาวหยียด ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาทุกคนสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดา เชยกว่ามนุษย์เงินเดือนแถวสีลมและสาธรเสียอีก

จะว่าไปแล้ว มนุษย์เงินเดือนของที่นี่กับที่กรุงเทพฯ คงไม่ได้ต่างกันนัก คนจำนวนมากสร้างสถานะทางสังคมปลอมๆ ด้วยเงินผ่อนเป็นหลัก เรียกกันว่าสถานะ 5Cs คือ Cash , Credit Card , Car, Condominium ,Country Club เมื่อเศรษฐกิจฟุบหรือแฟบ หลายคนก็ต้องลดจำนวน C ของตนให้ลดลงมา

รายการ TalkAsia (CNN) เคยถามโก๊ะจ๊กตง ว่า คุณคิดว่าอะไรเป็นความท้าทายที่สุดสำหรับสิงคโปร์ ไม่เพียงแต่ในฐานะนครรัฐ หากสำหรับพลเมืองของรัฐด้วย? โก๊ะจ๊กตง ตอบว่า “ความท้าทายใหญ่ที่สุดในทางเศรษฐกิจคือ เราจะมองดูโลกใหม่อย่างไร เดี๋ยวนี้เราเห็นหลายประเทศพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ที่เคยนำโดยสิงคโปร์ จีน ตามมาด้วยอินเดีย และประเทศในยุโรปตะวันออก ดังนั้น ในทางพื้นฐาน โมเดลที่เราใช้พัฒนาสิงคโปร์ก็กลายเป็นโมเดลที่ใช้โดยประเทศต่างๆ แน่นอนมีการปรับปรุง ดังนั้นเราจะตัดแต่งตัวเราเองยังไงเพื่อสร้างจุดเด่นเฉพาะในโลก เพื่อรองรับมาตรฐานการค่าครองชีพที่สูงของเรา นั่นคือความท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับสิงคโปร์”

อาจเพราะคำว่า “ความท้าทาย” นี่เอง ที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีชีวิตที่เร่งรีบเดินเร็ว พูดโทรศัพท์เร็ว คีย์เอสเอ็มเอสเร็ว แม้แต่บันไดเลื่อนยังเร็วกว่าที่เมืองไทยไม่ว่าจะเป็นซีอีโอหรือพนักงาน ต่างต้องทำทุกอย่างให้บริษัทอยู่รอด สิ่งหนึ่งก็คือการมองการณ์ไกล เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงกลาง 80’s ทุกชาติพากันรัดเข็มขัด สิงคโปร์กลับใช้เงินสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการรถไฟฟ้าของเขาคิดทีหลังเรา แต่เสร็จก่อนเราและจ่ายถูกกว่าของเราหลายเท่า ขณะที่สนามบินนานาชาติของเขายังไม่เต็ม เขาก็สร้างสนามบินแห่งที่ 2 แล้ว และกำลังวางแผนสร้างแห่งที่ 3 สิงคโปร์ไม่มีดอกไม้ แต่โปรโมทว่าเป็นศูนย์กลางดอกไม้ ไม่ปลูกผลไม้ แต่สามารถโปรโมตต่อชาวโลกว่า เป็นแหล่งกลางของผลไม้เอเชีย ตามมาด้วยการตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี ศูนย์กลางของศิลปะ วัฒนธรรมอาหาร และอีกหลายๆ ศูนย์กลาง ฯลฯ อาจเพราะคำว่า “ความท้าทาย” นี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลใต้เงาของโก๊ะจ๊กตงสนับสนุน bilateral trade agreement ทำสัญญาต่างๆ เช่น FTA มากมายกับตางประเทศ และเป็นประเทศแรกในเอเซียที่เซ็นสัญญากับสหรัฐอเมริกา และอาจเป็นเหตุผลที่ทำไมสิงคโปร์ต้องเข้าข้างสหรัฐอเมริกาในเรื่องการต่อต้างการก่อการร้าย โดยการประกาศตัวเป็นพันธมิตรอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาไม่มีอะไรในมือเลย นอกจากการมองการณ์ไกล ผู้ใหญ่ทำงานอย่างหนัก เด็กๆ เรียนหนังสืออย่างหนัก ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์มองการณ์ไกล ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นยี่สิบสามสิบปีและไม่ใช่การมองการณ์ไกลสำหรับปัจเจก หากสำหรับการอยู่รอดของประเทศในองค์รวม ตั้งแต่หลายปีก่อน รัฐก็เริ่มตั้งแคมปัสของมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ของโลกที่นี่ ตั้งแต่จอห์นฮอปกิ้นส์ เอ็ม.ไอ.ที ไปจนถึง มหาวิทยาลัยต่างชาติจำนวนมาก เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา ล้วนไปตั้งสถาบันการศึกษาที่สิงคโปร์ สิ่งหนึ่งที่บริษัท ซิงกาโป จำกัด เน้นอย่างยิ่งคือความรู้ ทั้งในระดับพนักงานและลูกหลานของพนักงาน สำหรับคนทำงานที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป รัฐส่งเสริมให้เรียนเพิ่มทักษะในโครงการที่เรียกว่า SRP (Skill Redevelopment Programme) โดยส่งเสียให้เรียนฟรี หรือมากกว่าฟรี กล่าวคือ ผู้ที่เรียนสามารถเบิกเงินได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของค่าเรียน ขณะเดียวกันก็ได้รับค่าจ้างให้ไปเรียนชั่วโมงละ 6.10 เหรียญ (140 บาท) ดังนั้นเมื่อเรียนจบหลักสูตร อาจได้รับเงินมากกว่าที่จ่ายไป เด็กนักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะไม่ดีนัก (คำว่า “ไม่ดี” หมายถึงรายได้ไม่เกิน 1,500 เหรียญต่อเดือน) ได้รับค่าเรียนเพิ่มคนละ 150 เหรียญต่อปี (3,500 บาท) เป็นค่าเรียนเพิ่มเติม หากไม่ใช้เงินที่รัฐให้นี้ มันจะสะสมในกองทุน CPF (Central Provident Fund) ของเด็กคนนั้น หากสอบได้คะแนนดีก็เพิ่มเงินให้มากขึ้น ที่ว่าเป็นระบบการศึกษาที่ไม่ใช่การมองการณ์ไกลสำหรั้บปัจเจกเพราะเป็นการสอนวิชาที่ใช้ประโยชน์ก็ได้ในชีวิตจริงเท่านั้น ไม่เน้นวิชาวาดเขียน ศิลปะ สำหรับนักเรียนทั่วไป ใช่! เด็กนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่วาดรูปไม่เป็น คนต่างชาติ ไม่ชอบสิงคโปร์ เพราะนานมาแล้วในยุค 1970’s เขาถูกห้ามเข้าเมือง หากไม่ตัดผมที่ยาวรุงรังเสียก่อน ปัจจุบันไม่มีกฏดังกล่าวแล้ว แต่กฏหมายที่นี่ก็ยังคงจัดว่าเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากที่นี่ไม่มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเรื่องหยุมหยิม ต้องตัดสินใจเร็ว ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่กฏหมายที่นี่จะแข็งกระด้าง และผู้คนดูเหมือนไร้ชีวิต

เมื่อมีปัญหาหมากฝรั่งเลอะเทอะตามสถานที่สาธารณะ พวกเขาแก้ปัญหาโดยการแบนหมากฝรั่ง เมื่อมีปัญหาคนปัสสาวะในลิฟท์ พวกเขาแก้ปัญหาโดยการติดกล้องวงจรปิด เมื่อมีปัญหาคนขับรถฝ่าไฟแดง พวกเขาแก้ปัญหาโดยการติดกล้องวงจรปิด ใบสั่งค่าปรับจะถูกส่งไปหาคนฝ่าฝืนทางไปรษณีย์พร้อมรูปถ่ายหลักฐานและใบหักคะแนน (คล้ายๆ ที่บ้านเราเพิ่งทำ แต่บ้านเขาทำมานานแล้วกว่า 20-30 ปี) บุหรี่ทำให้คนป่วย เสียทรัพยากรบุคคล พวกเขาแก้ปัญหาโดยการแบนบุหรี่ ไม่ได้ห้ามโดยตรง แต่ลดพื้นที่ที่สูบบุหรี่ลงไปเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่เหลือให้คนสูบบุหรี่ได้อีกแล้ว ทุเรียนส่งกลิ่นเหม็น ก็ออกกฏห้ามนำทุเรียนขึ้นรถเมล์และรถไฟฟ้าด้วยค่าปรับที่สูงกว่าราคาทุเรียนนับพันเท่าจนล้อกันว่า “Singapore is a FINE country” เมื่อมีปัญหาคนทำผิดซ้ำซาก อีกทั้งเศรษฐีหลายคนมีปัญหาเสียค่าปรับ พวกเขาแก้ปัญหาโดยใช้โทษการโบยตีด้วยไม้เรียว คนทำผิดก็ลดลงทันตาเห็นจนพอสรุปได้ว่า ที่นี่แก้ปัญหาตรงๆ แบบกำปั้นทุบดินแต่เป็นกำปั้นโปร่งใส ที่นี่ไม่มีเวลาเหลือสำหรับปัญหาหยุมหยิม

ชีวิตแบบนี้ทำให้ชาวต่างชาติมักมองว่า ชีวิตในสิงคโปร์จืดชืด และเป็นเส้นตรงจนเกินไป ในปี 1994 กรณีการโบยตีเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลสิงคโปร์ปฏิเสธยกโทษการโบยตีเด็กหนุ่มอเมริกันโทษฐานทำลายทรัพย์สินทางการ ไมเคิล เฟย์ ถูกเฆี่ยนโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ไม่มีนโยบายใดในโลกที่ไม่มีข้อเสีย การมีคดีความน้อยมาก ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นเต็มไปด้วย “คนดี” หากแต่เพราะการทำชั่วได้รับการลงโทษอย่างหนักต่างหาก ก่อนหน้าการติดกล้องวงจรปิดในลิฟท์ไม่นาน มีการพบร่องรอยฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ด้วย นี่คงเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีคนฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ เชื่อมั๊ยว่า พวกเขามิได้ต้องการฉี่(ปัสสาวะ) ในลิฟท์ แต่อยากระบายความคับข้องใจบางอย่างออกมาในรูปของการฉี่(ปัสสาวะ) ต่างหาก

ความคิดสร้างสรรค์ของคนสิงคโปร์ถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเห็นใครกล้าคิด หรือเห็นประโยชน์จากการคิดออกนอก “กล่อง” หรือพลิกแพลงชีวิตไปตามสถานการณ์ คนที่คิดออกนอกกล่องมักพาร่างกายออกนอก “กล่อง” ไปด้วย ชาวสิงคโปร์จำนวนไม่น้อย เมื่อเดินทางออกนอกประเทศแล้วไม่คิดกลับมา เชื่อว่าท่านซีอีโอก็คงมองเห็น เวลาเปลี่ยนไป โลกแคบลง สิงคโปร์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องผ่อนปรนบ้าง มุ่งทิศไปเป็น Fine Country จริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วเชือกที่ขึงตึงเกินไปก็ขาดได้ ในช่วงท้ายการปกครองใต้เงาของโก๊ะจ๊กตง กฏเกณฑ์เข้มงวดผ่อนคลายลงมาก เช่น การอนุญาตให้พวกโฮโมเซ็กชวลทำงานในภาครัฐได้ กระทั่งยอมให้มีบาร์เต้นรำบนเคาน์เตอร์ (แม้ว่าคงร้อนแรงสู้บาร์ย่านพัฒน์พงษ์ไม่ได้) ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนตาค้าง ตามมาด้วยนโยบายผ่อนปรน หาทางดึง “มันสมอง” กลับบ้าน มาถึงปีนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่เริ่มหันมายอมรับว่าในที่สุดแล้ว การเรียนแบบจับยัดก็เป็นความคิดอ่านสุดขั้วเกินไป นโยบายใหม่ล่าสุดคือ การลดจำนวนนักเรียนต่อชั้น เพิ่มจำนวนครู เพื่อดูแลนักเรียนแบบใกล้ชิดขึ้น บางทีในอนาคตอีกไม่นาน เด็กๆ ที่นี่อาจได้เรียนวิชาศิลปะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ชาวต่างชาติไม่น้อยตั้งข้อสังเกตพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากว่า สิงคโปร์ก็คือรัฐเผด็จการ(ล้อเลียนรัฐสวัสดิการ) ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ประเทศนี้ยังไม่เปิดให้มีการชุมนุมทางการเมืองแบบเสรี แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจต่อคำเปรยดังกล่าว เพราะชาวสิงคโปร์คิดว่า จะเอาประชาธิปไตยไปทำไม หากประเทศไม่ก้าวหน้าไปไหน และเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น? (เอ๊ะ นี่มันกำลังต่อว่าประเทศไหนกันวะ) เขาไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศไหน ไม่ว่าเราจะเรียกประเทศสิงคโปร์ว่าอย่างไร หรือจะเรียก บริษัทซิงกาโป จำกัด นี้ว่าเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบรวบอำนาจ หรือรัฐเผด็จการ หรืออะไรก็ตาม แต่คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ ชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่ในนั้นอ่ะ มีความสุขกันมั๊ย? ผมถามเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ผุ้ซึ่งเป็นคนเปิดเผยและกล้าแสดงออกโดยไม่กลัวใคร เคยใช้ชีวิตและเรียนในต่างประเทศมาพักใหญ่ว่า “ถามจริงๆ เถอะ คุณมีความสุขในประเทศนี้ไหม? คำตอบของเธอก็เหมือนคนจำนวนไม่น้อยที่บอกว่า ในเมื่อรัฐสามารถให้พวกเขาในด้านต่างๆ เป็นเมืองที่ปลอดภัย ไม่มีคอรัปชั่น บทลงโทษสูง ทำให้คนไม่กล้าเอารัดเอาเปรียบกัน พวกเขาก็ไม่เห็นว่าจะต้องเรียกร้องขออะไรอีก ส่วนอีกคนหนึ่งบอกผมว่า นี่เป็นประเทศที่ไม่มีลับลมคมใน ทุกคนรู้สิทธิหน้าที่ของตนเอง และสามารถยืนยันในสิทธินั้นได้เต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น การไปติดต่อราชการ จะไม่มีคำว่า “ใต้โต๊ะ” เป็นอันขาด ทั้งที่จะว่าไปแล้ว คนจีน(ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ)เป็นปรมาจารย์ในเรื่อง (น้ำร้อน) น้ำชา แน่นอน คนยากจนจริง ๆ ในบ้านเมืองนี้ยังมีอยู่ไม่น้อย และยากจนจริงๆ ด้วย แต่ช่องว่างระหว่างชนชั้นไม่แตกต่างกันเหมือนเมืองไทย แน่นอนบางคนที่พูดอาจไม่ได้เปล่งเสียงจากใจจริงแต่ความจริงก็คือไม่มีรัฐใดในโลกนี้อยู่ได้ หากมวลชนของเขายังยากจนแสนเข็ญอย่างยาวนาน

บริษัทไซแอม จำกัด ก่อตั้งมานานกว่า อุดมด้วยทรัยากรธรรมชาติ มีพื้นฐานวัฒนธรรมที่เข้มข้น และมีศักยภาพมากกว่าบริษัทซิงกาโป จำกัด นับล้านๆ เท่า แต่กลับใช้ศักยภาพไม่ถึงครึ่ง ท่านผู้เฒ่าของเขานั้นเก่งแน่ แต่ในเมืองไทยก็มีคนเก่งไม่แพ้ท่าน และมีหลายคนด้วย คำถามจึงไม่ใช่ว่า ซีอีโอของเรากินปลาและทานวิตามินเอน้อยกว่าซีอีโอของเขาหรือไม่ แต่อาจอยู่ที่ว่า เราสามารถทำให้กฏหมายของเราศักดิ์สิทธิ์ โดยมี “double standard” น้อยที่สุดได้หรือไม่ เราจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้หรือไม่ โดยไม่ลูบหน้าปะจมูกกับคนใกล้ตัวกัน ไม่เล่นพรรคเล่นพวกกันได้หรือไม่ ผู้นำของเรารักบ้านเมืองมากพอที่จะส่งไม้ต่อให้กับคนรุ่นต่อไป หรือมีวิสัยทัศน์เหมือนกับที่ท่านผู้เฒ่าของเขามองเห็นว่าระบอบรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จหากใช้ไปในทางเพื่อคนส่วนรวม และไม่ใช่สิ่งที่ใช้ได้ในทุกยุคสมัย ทุกประเทศหรือทุกสถานการณ์ จะนำพาประเทศชาติเจริญแบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

(ถอดความบางส่วนจาก รายงานผลประกอบการ บริษัท ซิงกาโป จำกัด, วินทร์ เลียววาริณ,china & east asia journal ตุลาคม 2547,สำนักพิมพ์ open books)

และประเทศสิงคโปร์เขาก็มองการณ์ไกลโดยตลอด ภายหลังลีเซียนลุง เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศแทนโก๊ะจ๊กตง เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เจอพิษไข้จากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปี 2008 ประเทศสิงคโปร์ก็เผชิญปัญหาทางด้านเศรษฐกิจถดถอย และเผชิญความท้าทายของการหารายได้เข้าประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลของเขาได้ปัดฝุ่น นำเอาโครงการที่เคยคิดไว้แล้วในอดีตมาปัดฝุ่นทำออกมาเป็นรูปธรรมก็คือ Marina Bay Sands ซึ่งจะตอบโจทย์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเขา เพื่อดึงเงินเข้าประเทศ สร้างการเจริญเติบโตของประเทศให้ยังคงอยู่ได้ในระยะยาว และยั่งยืนมากขึ้น โครงการนี้เปรียบเสมือนเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่ง ภายใต้การบริหารงานแบบมืออาชีพ ครบครันและสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งครั้งนึงเมืองดูไบของสหรัฐอาหรับอิมิเรตต์ ก็เคยคิดจะทำ แต่ยังไม่สำเร็จก็มาเจอพิษไข้ของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เสียก่อน โครงการ Marina Bay Sands จะเป็นอย่างไร รายละเอียดจะอยู่ถัดลงไปจากบทความนี้

การนำเสนอเรื่องราวของประเทศสิงคโปร์นี้ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะให้เมืองไทยนำเขามาเป็นต้นแบบพิมพ์เขียวทำตามอย่างแต่อย่างใด เพราะทราบดีว่าลักษณะทางภูมิประเทศ กายภาพ รากฐานทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ลักษณะนิสัยใจคอของผู้คนนั้นแตกต่างกันอย่างมาก และผู้เขียนก็ไม่ใช่พวกลัทธินิยมพวกสิงคโปร์ซักเท่าไหร่ เพียงแต่นำมาเป็นข้อคิดหรือชี้ให้เห็นวิธีคิด การทำงาน การมองไปข้างหน้า หรือการวางแผนอนาคตให้กับประเทศของผู้นำประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ว่าประเทศเราจะจงเกลียดจงชังประเทศเขาอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐสิงคโปร์ เป็นรัฐที่มีประสิทธิภาพ และมักถูกจัดอันดับให้อยู่ต้นๆ ของโลกในหลายๆ ด้าน เราจึงดูประเทศเขา เพื่อศึกษาและเรียนรู้ และนำมาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์ วิจัย ศึกษา ใช้กับการพัฒนาประเทศของเรา ไม่อยากให้ใกล้เกลือกินด่าง อีกทั้งยังเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและอยู่ใน AEC ด้วยกัน ควรที่จะศึกษาซึ่งกันและกันไว้

เมืองใหม่ Marina Bay Sands สุดหรู อลังการ…ของสิงคโปร์

ตึกสูงๆ รูปร่างแปลกประหลาดๆ หรูหราใหญ่มหึมา โดดเด่นที่มีเรือลอยฟ้าขนาดใหญ่ เชื่อมต่อสามอาคาร นั่นคือ “Marina Bay Sands” สถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยมแห่งใหม่ของเมืองสิงคโปร์ระดับเวิล์ดคลาส ที่มีกิจกรรมบันเทิงระดับเวิล์ดคลาสมากมายให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดงานประชุม, โรงแรมหรูที่มีห้องพักกว่า 2500 ห้อง ซึ่งประกอบด้วยตัวอาคารสามอาคารที่มีความสูงเหนืออ่าวมากถึง 55 ชั้นสวนลอยฟ้าแซนด์สกายพาร์ค (Sands SkyPark) อวดการเป็นหนึ่งในสวนลอยฟ้าสาธาณะขนาดใหญ่ที่สุดในโกลและสระว่ายน้ำกลางแจ้ง แบบน้ำล้นไร้ขอบขนาดใหญ่ที่สุด รูปทรงคล้ายเรือชื่อว่า The Sands SkyPark, แหล่งช็อปปิ้งของร้านแบรนด์ดังๆ มีศูนย์แสดงสินค้าหรือเรียกว่า The Sands Expo and Convention Center ด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 1.3 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีร้านบูติกสุดหรูชั้นนำจากต่างประเทศ เช่น Bottega ,Veneta,  Burberry ,Cartier , Chanel , Christian Dior , Fendi , Gucci , Hermes , Louis Vuitton , Miu Miu , Prada , Ralph Lauren  , Salvatore , Ferragamo  ,Yves Saint Laurent และอื่นๆ บริการอีกมากมาย, ร้านอาหารดังๆ มีให้ได้เลือกทานตามที่ต้องการ รวมทั้งแหล่งบันเทิงชั้นนำให้ได้เพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ในโรงภาพยนตร์ชั้นนำ ไนท์คลับหรู คาสิโน ระดับ world class

Marina Bay Sands เปิด ให้บริการแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2010 ที่ผ่านมา

อาคาร 200 เมตรสูง ที่ตอนนี้กลายเป็นไอคอนใหม่ของสิงคโปร์ในบริเวณ Marina Bay, สิงโตทะเล, รูปปั้นสิงโตในเวลากลางวันที่เก็บน้ำออกจากปากของเขาเข้ามาแทนที่

แซนด์รีน่าเบย์รีสอร์ทจะรวมอยู่ในชุมชนรอบอ่าวมารีน่า พื้นที่เป็นที่ตั้งอยู่ที่ปากของแม่น้ำสิงคโปร์


อาคารทางกายภาพของ Marina Bay Sands โรงแรมประกอบด้วยอาคารสามเสาแต่ละอาคารที่มีความสูงของ 55 ชั้น
สถาปนิกที่ออกแบบ คือ Moshe Safdie จากบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการออกแบบอาคารที่ไม่เคยซ้ำกัน

ที่ด้านบนของอาคารเป็นโรงแรม โดยการสร้างรูปร่างเหมือนเรือที่ถูกเรียกว่า SkyPark ซึ่งก็กลายเป็นมงกุฎของอาคารที่มีพื้นที่ 12,400 ตารางเมตรสะพาน SkyPark รองรับผู้คนและต้นไม้ถึง 250 650 ต้น และพืชอื่น ๆ ในสถานที่ที่ยังมีสระว่ายน้ำ 150 เมตรสูงที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าว่ายน้ำอยู่บนสรวงสวรรค์

สิงคโปร์ เป็นเมืองที่ไม่หยุดนิ่ง สะอาด สวยงาม เป็นระเบียบ มีสีสันทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ศิลปะ หรือสถาปัตยกรรม เกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่ถูกปลดปล่อยเป็นเสมือนพลังของเอเชียอาคเนย์ที่รวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดของโลกตะวันตกและตะวันออกเอาไว้ด้วยกันราวกับเป็นเมืองแห่งจินตนาการ

การท่องเที่ยวของสิงคโปร์ เน้นจุดเด่นของการเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ในย่านใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของโรงละครทั้งเล็กและใหญ่ จัดการแสดงละครท้องถิ่น ละครเพลง บัลเล่ต์ รวมทั้งการแสดงระดับสากล เช่น โรงละครวิคตอเรีย, เดอะ ซับสเตชั่น, เดอะ แบล็คบ๊อกซ์, สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดี้ยม, หอประชุมจูบิลี และโรงละครริมน้ำเอสพลานาด สถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมกันมากคือ บริเวณ Marina Bay, ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลอ้อน และสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำริมน้ำ คือ Clarke Quay, Boat Quay รวมไปจนถึง China Town, Little India และถนนช็อปปิ้ง Orchard Road

ความแปลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นย่านใจกลางเมือง บริเวณ Marina Bay คือ โครงการ “Marina Bay Sands” ที่ถูกสร้างให้เป็นจุดศูนย์กลางการพักผ่อนแบบครบวงจระดับโลก ทั้งโรงแรมที่มีบ่อนคาสิโนในตัว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชค อันเป็นคาสิโนรีสอร์ทแห่งแรกของสิงคโปร์ มีโรงละครขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์เนม ภัตตาคารหรู และร้านอาหารลอยน้ำ 20 แห่ง

การออกแบบ“Marina Bay Sands”มีความพิเศษโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์แห่งความทรงจำที่ดี รวมถึงสร้างแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางเข้ามาสัมผัสความงดงามของอ่าวมารีนา สถานที่แห่งนี้มีองค์ประกอบที่เหมาะสมในทุก ๆ ด้าน ถูกจัดเรียงมาอย่างสมดุล สำหรับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและอยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังพัฒนาการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นในอนาคต

อ่าวมารีนานั้นเป็นอ่าวที่มีความสะอาด เขียวชอุ่มด้วยแมกไม้และเด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสำหรับการสันทนาการและผ่อนคลาย การออกแบบสิ่งก่อสร้างในสถานที่แห่งนี้ มีลักษณะเป็นไปในแนวทางสถานที่ในฝัน นั่นก็คือสวนลอยฟ้าที่ตั้งอยู่เหนือโฮเทล ทาวเวอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั้ง 360 องศาของอ่าวมารีนา มุ่งเน้นให้เป็นแหล่งอากาศบริสุทธิ์เปรียบเสมือนเป็นปอดของเมืองเลยก็ว่าได้

ที่มา : www.singaporeair.com และ www.silkair.com

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยามนี้คนไทยต้องช่วยเหลือกัน

ข้อมูลบริจาคเงิน


มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ ออมทรัพย์ เลขที่ 020-2-53333-8 หรือ ธ.กสิกรไทย สาขาถนนหลังสวน เลขที่ 082-2-66600-0 http://bit.ly/psfe5U


สำนักนายก: บัญชี “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” ธ.กรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล ออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0 ลดหย่อนภาษีได้

มูลนิธีโอเพ่นแคร์ (www.opencare.org): บัญชี กองทุนร้อยนํ้าใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตลอดลำนํ้ายมมูลนิธีโอเพ่นแคร์ ธ.ไทยพาณิชย์ 402-177853-3 http://on.fb.me/oLnwNj

ArsaThai (พรรคประชาธิปัตย์): มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ธ.กรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่ 068-0-02-3607

อสมท: บัญชี “อสมท รวมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.กรุงไทย สาขาอโศก ออมทรัพย์ เลขที่ 015-015-999-4

ไทยพาณิชย์: บัญชี “มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัย” สาขา ATM & SCB Easy เลขที่ 111-3-90911-5


กรมการศาสนา: บัญชี “สงเคราะห์พระภิกษุสามเณร และผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย เลขที่ 059-1-29006-5

SpringNews TV: ชื่อบัญชี “ร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อผู้ประสบภัย” ธ.กรุงเทพ เลขที่ 196-075084-0 http://lockerz.com/s/137860608

ครอบครัวข่าว 3: บัญชี “ครอบครัวข่าว 3 ช่วยผู้ประสบอุทุกภัย 54″ กระแสรายวัน ธ.กรุงเทพ สาขามาลีนนท์ เลขที่ 014-3-00444-8

บริจาคช่วยน้ำท่วมทาง SMS: AIS/DTAC/TrueMove พิมพ์ 3 ส่ง 4567899 (10 บ/ครั้ง) มอบครอบครัวข่าว 3 http://twitpic.com/6k3gk6

ไปรษณีย์: ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เปิดจุดรับบริจาคเงิน ทุกที่ทำการทั่ว ปท.กว่า 2,000 แห่ง

กทม. : บัญชี “กองทุนกรุงเทพมหานครช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย สาขาถนนข้าวสาร เลขที่ 027-0-17081-2

แต้มสะสม KBank Reward Point: ใช้บริจาคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้ ผ่านสภากาชาดไทย (ถึง 31 ต.ค.) รายละเอียด http://ow.ly/6z7ky

มูลนิธิราชประชา: บัญชี “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” ออมทรัพย์ ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ 401-6-36319-9 http://t.co/HwMnGoEh

มูลนิธิวิจัยและพัฒนาระบบยา+กองพลที่ 1 รักษาพระองค์: เพื่อจัดซื้อ “ชุดยาสู้น้ำท่วม” รายละเอียดบริจาค http://ow.ly/6zt2w

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง: บัญชี “สถาปัตย์รวมน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม” ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยเทคโนโลยีฯ เจ้าคุณทหาร เลขที่ 088-251250-8 (แจ้งยอดโอนได้ที่ 02-329-8366 คุณภานิดา ผู้มีโชคชัย หรือ Email ได้ที่: misspanida@yahoo.com รายละเอียด http://ow.ly/6F81L

วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม บัญชี “วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม ธ. กรุงไทย สาขารัฐสภา ออมทรัพย์ เลขที่ 089-0-22222-3 สอบถาม 0-2244-1777-8, 0-2244-1578 หรือสายด่วนวุฒิสภา 1102

@POH_Natthawut บัญชี “ทวิตสกิดใจคนไทยรักกัน” ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาโฮมโปร ราชพฤกษ์ เลขท่ี 375-212428-9

จุดรับบริจาค

จุดบริจาค มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย ปทุมวัน โทร 0-2256-4583-4, 0-2256-4427-9, 0-2251-0385 http://bit.ly/psfe5U

จุดบริจาค อาสาดุสิต 1 ที่ ธ.กรุงไทย สนง.ใหญ่ ฝั่งเพลินจิต สุขุมวิท ซ.2 9.00-22.00 น. รายละเอียด http://ow.ly/6vjEI

จุดบริจาค อาสาดุสิต 2 ที่ ธ.ไทยพาณิชย์ สนง.ใหญ่ (รัชโยธิน) เต็นท์ลานน้ำพุ วันนี้-2 ต.ค. ต้องการ ข้าวสารถุง 5 กิโลกรัม น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันพืช อาหารแห้ง’ ช่วยอยุธยา อ่างทอง และสิงห์บุรี สอบถาม คุณปู 081 584 6885 www.arsadusit.com/6796

จุดบริจาค อาสาดุสิต 3 ศูนย์รับบริจาค หอสมุดเทศบาลนครพิษณุโลก www.arsadusit.com/6242ArsaDusit

จุดบริจาค กลุ่ม PS-EMC (หน้า ร.ร.ดุสิต สีลม) 7 ก.ย.-30 ต.ค. 19:30-22:30 น. รายละเอียด http://ow.ly/6zrs8

จุดบริจาค หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว: (สน.พหล กับ @e20ive) ต้องการ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม www.twitpic.com/6ltrsk

จุดบริจาค 96.75MHz: สิ่งของจำเป็น ข้าวสาร อาหารแห้ง ยารักษาโรค ฯลฯ สอบถาม 0-5581-7716-7 http://ow.ly/6r1sS

จุดบริจาค กองปราบปราม ถ.พหลโยธิน สอบถาม สายด่วน 1195

จุดบริจาค อาสาไทยฯ (พรรคประชาธิปัตย์) www.facebook.com/AsaThai แผนที่ http://ow.ly/6Bzaj

จุดบริจาค สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อาหารแห้งและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ที่ส่วนบริหารงานทั่วไป ชั้น 1 อาคารสำนักงานอธิการบดี สอบถามโทร 3177, 3781-4 ,0-2329-8110 รายละเอียด http://ow.ly/6F81L

(ปิดแล้ว) จุดบริจาค ทองหล่อ (กลุ่มจิตอาสาอิสระ) 16-24 ก.ย. รับบริจาค และจำหน่ายเสื้อช่วยน้ำท่วม รายละเอียด http://ow.ly/6uUu5

ททบ.5 บัญชีบริจาค “ช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.ทหารไทย สาขาสนามเป้า บัญชีออมทรัพย์ 021-2-69426-9

สอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-278 1698 และ 02-279 2598

ช่อง 3 โครงการประตูใจ ครอบครัวข่าว 3 ร่วมกับ คุณตัน ภาสกรนที เปิด ‘กองทุนประตูใจ ครอบครัวข่าว’ รับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วม เพื่อจัดซื้อประตูให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย บัญชีธ.กรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์ เลขที่บัญชี 014-300-4141

ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่าน SMS

พิมพ์คำว่า “น้ำใจไทย” หรือ “namjaithai” ส่งมาที่?? 4567899

ข้อความละ 10 บาท ในเครือข่าย DTAC, AIS และ TRUE MOVE

รายได้ทั้งหมดบริจาคเพื่อผู้ประสบอุทกภัย

กรมทางหลวงเปิดสายด่วนให้ข้อมูลน้ำท่วม 1586

กรมทางหลวงได้เปิดสายด่วน? 1586? เพื่อให้ประชาชนสอบถามข้อมูลน้ำท่วมได้ตลอด? 24? ชั่วโมง? พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่เสี่ยงภัยเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนอย่างเต็มที่? สำหรับประชาชนที่ต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง หรือต้องการความช่วยเหลือ? สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์? 02-354-6530, 02-354-6668-76? ต่อ? 2014,? 2031? ศูนย์บริการงานอุบัติเหตุ? สำนักบริหารบำรุงทาง? 02-354-6551? และตำรวจทางหลวง? 1193

ธนาคารออมสินเชิญชวนบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ธนาคารออมสิน ขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมแบ่งปันน้ำใจให้ผู้ประสบอุทกภัยที่ได้รับความเดือดร้อน โดยท่านสามารถบริจาคเงินเข้าบัญชีได้ที่ ธนาคารออมสินสาขาสำนักพหลโยธิน บัญชีประเภทเผื่อเรียก ชื่อบัญชี ?ออมสินรวมใจช่วยภัยน้ำท่วม? บัญชีเลขที่ 028888888881 ทั้งนี้ ธนาคารได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินเป็นกรณีพิเศษไว้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553

โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา แจ้งเบอร์โทร- เบอร์บัญชีบริจาคช่วยผู้ป่วย-น้ำท่วม

โรงพยาบาลมีความต้องการน้ำดื่มบรรจุขวด นมกล่อง และอาหารแห้ง รวมทั้งของใช้เบ็ดเตล็ดผู้ป่วย เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอนามัย เป็นจำนวนมาก ประชาชนแจ้งบริจาคได้ที่ 086 2512188 ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถโอนเงินบริจาคเข้าธนาคารกรุงไทย สาขานครราชสีมา เลขบัญชี 3013165804 และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาหัวทะเล นครราชสีมา เลขบัญชี 7902605487

อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย รับบริจาคของกินของใช้ เพื่อนำไปช่วยชาวบ้านที่น้ำท่วม 02-465-6165 มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน ได้ทั้งวัน

ช่อง 3 เปิดบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ชื่อบัญชี ครอบครัวข่าวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 2553 บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขามาลีนนท์ทาวเวอร์ เลขที่บัญชี 0143003689 หรือบริจาคเป็นสิ่งของที่อาคารมาลีนนท์ ถ.พระราม 4

อสมท. เปิดบัญชีช่วยผู้ประสบภัย “อสมท.ร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม” ธ.กรุงไทย ออมทรัพย์ # 015-0-12345-0 โทร 02-245-0700-4 และเชิญร่วมบริจาคสิ่งของนำไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนน้ำท่วม อาคารปฏิบัติการ ชั้น 1 ถ.พระราม9 09.00-22.00

ทีวีไทยร่วมกับกองทัพอากาศ เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม รับบริจาคสิ่งของเพื่อจัดส่งอย่างเร่งด่วนโทร. 02-791-1385-7

สำนักข่าวเนชั่น เปิดศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของช่วยผู้ประสบอุทกภัย โทรศัพท์ 02-338-3333, 02 338-3000 กด 3

ช่อง 7 สีเปิดรับบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนํ้าท่วมได้ที่ บัญชี “001-9-13247-1″ ชื่อบัญชี 7 สีช่วยชาวบ้าน ธ.กรุงศรีอยุธยา สำนักเพลินจิต สิ่งของช่วยเหลือที่ช่อง7 ซ.พหลโยธิน 18/1

มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์ เพื่อผู้ประสบภัย ที่ATM/สาขา SCB ไม่มีค่าโอน? ช่วยผู้ประสบภัย SCB กระแสรายวัน 111-390911-5

กทม. เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยน้ำท่วม ลานหน้าศาลาฯกทม.เสาชิงช้า/กทม.2ดินแดง/สนง.เขต 50เขต เตรียมส่งเรือท้องแบน 20 ลำ ชุดแรกวันพฤหัสนี้

สภากาชาดไทย บัญชีธ.ไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี ? สภากาชาดไทยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย? # 045 304190 6 ออมทรัพย์

กอง บัญชาการ กองทัพไทย เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย นำสิ่งของบริจาคได้ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ (อาคาร6) เวลาราชการ โทร.02-5751500

ศูนย์รับบริจาคสิ่งของจังหวัดโคราช โทร 044259993-4, 044259996-8

อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย

พุธนี้ (20 ตุลาคม) ต้องการอาสาฯ ที่ โรงแรมดุสิต ช่วยแพคของ 13:00-23:00 น. ก่อนทีมนำของบริจาคไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่โคราช? ส่วนใครต้องการบริจาคสิ่งของ มาได้ได้ตั้งแต่ 9:00-23:00 น.

http://twitter.com/#!/SiamArsa

http://www.facebook.com/SiamArsa

กระทรวงคมนาคม ผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคสามารถรวบรวมและนำส่งได้ที่สำนักงานปลัด กระทรวงคมนาคม ถนนราชดำเนินนอก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. หรือโอนเงินบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว ชื่อบัญชี ?คค. ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย? บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 021-0-11932-2 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์? 02-282-9559 , 02-283-3138 , 02-283-3066 และ 02-283-3309

บขส.-ขสมก.

เปิดศูนย์รับบริจาคเครื่องอุปโภค-บริโภค บริเวณประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 อาคาร

สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ(จตุจักร) และสถานีเดินรถ บขส.ทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่กองประชาสัมพันธ์ โทร0-2936-2996 หรือ Call Center 1490 เรียก บขส.

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ร่วมกับ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (โทลล์เวย์) และกองทัพบก ตั้งจุดรับบริจาคสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ณ บริเวณประตูทางเข้าศูนย์การค้าฯ ชั้น บี (ร้านซูกิชิ) ฝั่งโรบินสัน

ค่ายมือถือ 3 ค่าย คือ เอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟ เชิญร่วมส่ง sms โดยพิมพ์ ข้อความ ‘น้ำใจไทย’ หรือ ‘namjaithai’ ส่งไปที่หมายเลข 4567899 ค่าบริการครั้งละ 10 บาท โดยรายได้จากค่าบริการ sms นำช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทั้งหมด

การทางพิเศษร่วมกับBECL เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่อาคารด่านเก็บเงิน ทุกด่าน24ชม.และที่ศูนย์บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ ในเวลาราชการ