พอมาภาคที่ 4
นี้ ตัวละครใหม่ที่โผล่ขึ้นมามีอีกเพียบเลย คนแรกก็คือ
มังกระยอเปี๊ยะ เป็นน้องชายแท้ๆ ของมังตูปิยอร์ เจ้าเมืองสวัลญาที่เสียชีวิต
มังกระยอเปี๊ยะ เป็นเด็กเกเรและกบฏ และไปเป็นลูกศิษย์ของราชปักษา
อดีตเสนาธิการกองทัพเว้ ได้ฝึกปรือวิชาฝีมือจากราชปักษา
ภายหลังติดตามราชปักษาเป็นโจรปล้นสะดม กลายเป็น หน.โจรตั้งแต่วัยรุ่น
จวบจนราชปักษาเสียชิวต มังกระยอเปียะก็ได้กลายเป็น หน.กองโจร และแอบนิยมชมชอบ
สุภาวดี ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านฤทธิ์นรเดช เจ้าเมืองเว้ ทำให้มังกระยอเปี๊ยะ
มีศักดิ์เป็นหลานเขยของเจ้านฤทธิ์นรเดช แต่ในความเป็นจริง เจ้านฤทธิ์นรเดช
ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับหลานสาวตนเองที่ไปนิยมชมชอบโจรเป็นว่าที่สามีหรอก
เพียงแต่เห็นถึงความใจกล้าบ้าบิ่นและมีฝึมือของมังกระยอเปี๊ยะเท่านั้น
จึงต้องการเก็บเอาไว้เป็นเบี้ยใช้งาน และเมื่อถึงคราวที่ต้องการใช้งานแล้ว
แผนการบุกยึดครองมหิทธิเกศถูกวางแผนไว้นานแล้ว
เพียงแต่รอจังหวะเหมาะเคราะห์ดีเท่านั้น เพราะในช่วงเวลาที่ภายในมหิทธินาศรังสรรค์
องค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชาออกผนวจเป็นพราหมณ์ไปอยู่ศรีวิชัย แผ่นดินขาดผู้ปกครองที่แท้จริง
แม้จะแต่งตั้งเจ้าชายอัศวเทพเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็ตาม แต่ใครก็มองออกว่า
เจ้าชายพระองค์นี้ยังไม่มีบารมี และขาดประสบการณ์ ความสามารถที่จะปกครอง
อาศัยเพียงขุนพลข้างกายพระบิดาเท่านั้นที่คอยช่วยอุ้มชู ในขณะที่นครรัฐนวเกศเศรษฐี
เมืองน้องพี่ ก็กำลังอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน
เกิดกลุ่มก่อรัฐประหารทำการล้มราชบัลลังก์พระราชามนัสกษัตร
และปลงพระชนม์ชีพมนัสกษัตร ที่ทำการปิตุฆาตองค์พระเจ้าอยู่หัวปัณณฑัต
ทำให้แผ่นดินตกไปอยู่ที่มหาเทพสุกรี องค์ราชบุตรบุญธรรมขึ้นมาปกครองแทน
แต่ว่ายังอยู่ในช่วงบูรณะและจัดการปัญหาภายใน ยังไม่มีความพร้อมที่จะออกรบ
นี่เป็นช่วงสุญญากาศทางอำนาจของอาณาจักรมหิทธิเกศ
ที่ทำให้เจ้านฤทธิ์นรเดชเล็งเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะช่วงชิงการยึดครองแผ่นดินมหิทธิเกศให้ได้
โดยแผนการของเมืองเว้คือไปผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารแห่งรัฐจาม
และเจ้าชายอภิมันตราแห่งรัฐขอม อีกด้านนึงยืมมือว่าที่หลานเขย โดยส่งมังกระยอเปี๊ยะเจ้าเมืองสวัลญา
ทำการเกลี้ยกล่อมเชิงบังคับให้เมืองบริวารอีก 4 ร่วมมือกันทำการก่อหวอด
แข็งข้อ และยื่นเงื่อนไข 3 ประการให้มหิทธินาศรังสรรค์ต้องยินยอม
มิเช่นนั้น ก็จะต้องก่อสงครามไม่จบสิ้น
เงือนไขข้อแรกก็คือขอยกเลิกสถานะเมืองบริวาร งดส่งบรรณาการให้กับทางราชอาณาจักรอีก
2.ขอเชลยศึกที่ถูกจับกุมตัวไปคืน
โดยแลกกับผลิตผลทางการเกษตรแทน และ 3.แต่งตั้งองค์ชายฤทธีรา
ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอันดับ 1 แทน
เพื่อปูทางไปสู่การขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งมหิทธินาศรังสรรค์แทน ซึ่งเมื่อมีการยื่นเงื่อนไขไปแล้ว
ปรากฏว่าข้างฝ่ายของมหิทธิเกศ ไม่มีใครยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายเมืองบริวารได้
เจ้าชายอัศวเทพจึงรับสั่งเปิดศึก โดยใช้ยุทธวิธีแบ่งกองกำลังออกเป็น กองกำลังย่อยๆ
เพื่อแยกกันเข้าตีเมืองบริวารทั้ง 5 อันประกอบด้วย ล้านช้าง
มอญ กระเหรี่ยง ทะนาน และสวัลญา แต่ไม่คาดคิดยูทธวิธีมีจุดอ่อนหลายประการ
ทั้งการขาดเอกภาพในการรบ แม้มีผู้นำในแต่ละทัพแยกออกไป แต่ว่าการส่งกำลังบำรุง
และการสื่อสารระหว่างทัพย่อยๆ ไม่สามารถติดต่อกันได้โดยสะดวก และรวดเร็ว
แม้ว่าจะมีม้าเร็วคอยวิ่งประสานงานกัน และมีทัพหลวงประจำอยู่ที่มหิทธินาศ
โดยเจ้าชายฤทธีรา เป็นผู้ดูแลทัพหลวงอยู่ที่พระนคร พอมองเห็นเหตุการณ์ในภาพรวม
ก็เริ่มรู้สึกว่ายุทธวิธีการรบเช่นนี้ ก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรเป็นอันมาก
และแล้วก็เป็นจริง เมื่อรบกันไปได้ 2 เดือน เกิดศึกยืดเยื้อ
กองกำลังในแต่ละทัพสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากหลงกลกับดักของฝ่ายเมืองบริวาร ที่ใช้กลยุทธ์แบบกองโจร
ซึ่งมังกระยอเปี๊ยะ เป็นผู้นำวิธีการนี้มาใช้ เนื่องจากชำนาญการรบแบบกองโจร
คือวางกับดักล่อฝ่ายของราชสำนักมาติดกับ จากนั้นก็ลอบโจมตี ซุ่มโจมตีทำร้าย
โดยมีทั้งกับดัก และอาวุธที่ทันสมัย และกองทัพม้าเหล็กของมังกระยอเปี๊ยะ
ก็เป็นทัพของเด็กหนุ่มที่ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี
และยังได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธที่ทันสมัยจากเมืองเว้และรัฐจาม,ขอม ทำให้เหมือนเสือติดปีก
ยิ่งรบไปนานเข้าฝ่ายราชสำนักก็บาดเจ็บล้มตายลงไปครี่งหนึ่งของกำลังพลที่ส่งไปรบในแต่ละทัพ
จากนั้นเจ้าชายอัศวเทพสั่งถอยทัพกลับทั้งหมด เพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้านออกญาเทพฤทธิ์
และแม่ทัพหมื่นพยัคฆ์กล้า หารือกันว่า ยุทธวิธีการรบของเจ้าชายอัศวเทพผิดพลาดทำให้เกิดการปราชัยแก่ข้าศึก
และสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก จึงเสนอต่ออำมาตย์ไกรสิทธิเดช
ให้เปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาการรบใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีรา
แต่ฝ่ายของอำมาตย์ไกรสิทธิเดช ที่มีพระยาอาจนเรศ และพระลิขิตเมธี ไม่เห็นด้วย
เพราะคิดว่าความปราชัยนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าชายอัศวเทพ แต่เพียงฝ่ายเดียว
แต่เป็นความปราชัยร่วมกัน
ทัพหน้าบริเวณเมืองล้านช้าง
ที่ฝ่ายราชสำนักส่งกองกำลังไปรบนั้นมีจำนวนมากที่สุด เกิดเพลี่ยงพล้ำ
บรรดากองกำลังตกอยู่ในวงล้อมกับดักของข้าศึก โดยเฉพาะนักรบอภิบาลกระฏุมพี
ซึ่งเป็นนักรบฝีมือดี คู่ใจของเจ้าชายฤทธีรา ตกอยู่ในวงล้อม
พอเจ้าชายฤทธีราทราบข่าวจึงลอบไปช่วยเหลือจนเหล่านักรบเหล่านั้น
หลุดจากวงล้อมมาได้ และเมื่อกลับมาถึง
เจ้าชายฤทธีราทรงสังเกตเห็นว่ากองกำลังของฝ่ายเมืองบริวารมีนักรบหน้าตาคุ้นๆ
ทรงนึกออกว่าเป็นทหารของเมืองเว้แน่ๆ เนื่องจากเจ้าชายฤทธีรา
มีศักดิ์เป็นพระนัดดาของเจ้านฤทธิ์นรเดช ไปมาหาสู่กับเมืองเว้ตั้งแต่เด็กจึงจำได้
จึงให้อินคาไปสืบที่เมืองเว้ ว่า เมืองเว้ให้การสนับสนุน 5
เมืองบริวารจริงๆ หรือไม่
หรือเป็นเพียงทหารรับจ้างของเมืองเว้ที่มาช่วยทำศึกเท่านั้น แต่ปรากฏว่า
พออินคาไปแฝงตัวเป็นสายสืบจนรู้เบาะแสแล้วกลับมารายงานต่อเจ้าชายฤทธีรา
กลับกลายเป็นว่า งานนี้ไม่ใช่เพียงแต่เมืองเว้ที่ให้การสนับสนุนต่อเมืองบริวาร
แต่ยังมีรัฐจาม และรัฐขอมอยู่เบื้องหลังทัพของพวกเมืองบริวารอีกด้วย
ทำให้เจ้าชายฤทธีรา นำเรื่องนี้ไปฟ้องต่ออำมาตย์ไกรสิทธิเดช ที่เป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในเวลานี้ในราชสำนักมหิทธินาศให้รับทราบ
ด้านเจ้าชายอัศวเทพ
พอกลับจากทัพหน้าสู้สึกกับพวกล้านช้างแล้ว
รู้ว่าตนเองตกเป็นเป้าติฉินนินทาของพวกข้าราชบริพาร ว่าไม่มีน้ำยา
เป็นผุ้นำทัพออกรบแล้วปราชัยพ่ายแพ้ สูญเสียกองกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก
เกิดจากตนเองอ่อนด้อยประสบการณ์และไม่มีศักยภาพในเชิงการรบที่ดีพอ ทรงเสียพระทัย
จึงตัดสินใจที่จะไปเจรจากับเจ้าเมืองบริวารทั้ง 5 ด้วยตนเอง
โดยให้ม้าเร็วส่งสาส์นไปนัดแนะก่อน จากนั้น เจ้าเมืองล้านช้างที่อาวุโสสุด เสนอใช้สถานที่ของตนเป็นที่นัดแนะเจรจา
เจ้าชายอัศวเทพเสด็จไปพร้อมพระยาอาจนเรศ พัดเศวก องครักษ์สุทิน
โดยไม่ได้บอกแก่อำมาตย์ไกรสิทธิเดช โดยหวังว่ากุศโลบายนี้จะได้ผล
โดยเจ้าชายอัศวเทพ เสนอเงื่อนไขกลับมาว่า เงื่อนไขข้อแรกไม่อาจตัดสินใจได้
เพราะไม่มีอำนาจเต็มก็คือ การปลดแอกจากเมืองบริวาร แต่เงื่อนไขข้อที่ 2 สามารถสนองได้ทันที ก็คือปล่อยเชลยศึกคืนให้กับเมืองบริวาร
โดยไม่ต้องนำผลิตผลทางการเกษตรมาแลก และเงื่อนไขที่ 3 ขึ้นอยู่กับองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถ
ที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีราหรือไม่ เมื่อฟังแล้ว 5 เมืองบริวาร ก็แบ่งรับแบ่งสู้ เนื่องจากได้ตามเงื่อนไขเพียงข้อเดียว อีก 2
ข้อ เจ้าชายอัศวเทพไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ
จึงแค่เป็นการมาเจรจาต่อรองเพื่อปรับความสัมพันธ์กันเท่านั้น และพักรบชั่วคราว
อำมาตย์ไกรสิทธิเดช
พอทราบจากเจ้าชายฤทธีราว่า เมืองเว้กับรัฐจาม,ขอม อยู่เบื้องหลังเมืองบริวารทั้ง 5
คิดแข็งข้อ จึงเดินทางไปกราบทูลต่อองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา
ให้ทรงเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำกองทัพใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีรา เพราะเห็นแล้วว่าเจ้าชายอัศวเทพไม่ทันเล่ห์กลของฝ่ายเมืองบริวาร
และยังกลายเป็นเงื่อนไขเสียเอง
ซี่งองค์พ่ออยู่หัวก็ทรงลงพระนามในพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
และเป็นผู้นำกองทัพของมหิทธินาศแทนเจ้าชายอัศวเทพ พอเดินทางกลับมา
นำราชโองการแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราแล้ว ก็ถามหาเจ้าชายอัศวเทพ ว่าอยู่ที่ใด
ก็ไม่มีใครพบ เพราะทุกคนไม่มีใครอยู่ใกล้ชิดเจ้าชายอัศวเทพเลยซักคน
และหนล่าสุดที่เจอกันก็คือวันที่ทรงเสด็จแอบไปเจรจาต่อรองกับเจ้าเมืองบริวารทั้ง 5
โดยไม่ได้ปรึกษาใคร เมื่ออำมาตย์ไกร
กับเจ้าชายฤทธีราทรงทราบก็รู้สึกว่า การที่เจ้าชายอัศวเทพเสด็จไปโดยพลการ
ไม่ได้นำกองกำลังไปด้วย เสี่ยงต่อการถูกพวก 5 เมืองบริวารจับกุม
จึงร่วมกันออกตามหา
แท้ที่จริงเจ้าชายอัศเทพ
ถูกมังกระยอเปี๊ยะชวนไปดื่มน้ำจัณฑ์ต่อที่บริเวณที่พักของตน เพือต้องการซื้อใจเจ้าชายอัศวเทพ
ว่ามีความจริงใจหรือไม่ พอเห็นว่าเจ้าชายอัศวเทพเมามายและพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว จึงให้องครักษ์สุทินส่งเสด็จกลับพระราชวังไป
แต่ระหว่างทางที่เสด็จกลับ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งราว 7
คน ซุ่มโจมตี และลอบทำร้ายเจ้าชายอัศวเทพ
ซึ่งในเวลานั้นเมามายหมดสติ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ขัดขืนได้
จึงทรงถูกปลงพระชนม์ โดนจ้วงแทงจากกลุ่มคนร้าย และตัดพระเศียรไป
ท่ามกลางการเห็นเหตุการณ์ของพัดเศวกที่ติดตามมาเจอเข้ากับเหตุการณ์พอดี
แต่ไม่อาจจะช่วยไว้ได้ทัน องครักษ์สุทินแบกร่างของเจ้าชายอัศวเทพขึ้นบนหลังม้า
แล้วควบกลับมา เมื่อทุกคนพบเห็นเจ้าชายอัศวเทพ เป็นร่างที่ไร้วิญญาณ
ต่างเศร้าโศกเสียใจ ท้องฟ้ามหิทธินาศรังสรรค์มืดมิดในบัดดล สมกับคำทำนายของโหรพราหมณ์ปุราณะภิฌาน
แห่งศรีวิชัย ที่เคยเสด็จเยือนและได้เชื้อชวนองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา ออกผนวชเป็นพราหมณ์
เพื่อจะได้สร้างบุญบารมีต่ออายุมหิทธินาศรังสรรค์ให้ผ่านพ้นภัยให้ได้ แต่แล้ว
ก็ไม่อาจหลีกพ้นการสูญเสีย ทันทีที่ทราบข่าวร้ายนี้องค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา
ก็ทรงแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราเป็นองค์รัชทายาท และเสด็จกลับมหิทธินาศรังสรรค์เพื่อมาเข้าร่วมในงานพระราชพิธีถวายการเคารพพระบรมศพของเจ้าชายอัศวเทพโดยทันที
พ่ออยู่หัวโรจนาถราชายังไม่ต้องการลาสิกขาจากสมณพราหมณ์
แต่ก็ไม่อาจว่างเว้นจากงานปกครองราชการงานเมืองได้ จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ
แล้วแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีรา เป็นพระราชาองค์ใหม่ของมหิทธินาศรังสรรค์ พร้อมด้วยอภิเษกสมรสพระมเหสีสร้อยแก้วให้กับพระเจ้าฤทธีราด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าชายฤทธีรา
ผูกใจเจ็บ 5 เมืองบริวาร
และประกาศกร้าวว่าจะต้องจัดการกับ 5 เมืองบริวารนี้ให้จงได้
โดยเฉพาะมังกระยอเปี๊ยะ เจ้าเมืองสวัลญา
เพราะสงสัยว่าจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังปลงพระชนม์เจ้าชายอัศวเทพ
และให้เร่งสืบหาพระเศียรของพระเชษฐาที่ถูกโจรชุดดำเอาไป เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งแผนย้อนศร
ของพระเจ้าฤทธีราที่ร่วมกันวางแผนกับพระมหาเทพสุกรี เพื่อเล่นงานเมืองเว้กลับ
เจ้าชายฤทธีราอาศัยนักรบอภิบาลกระฏุมพี
ที่มีรูปกายกำยำแฝงตัวเข้าไปเป็นนักฟ้อนรำดาบ และโชว์การร่ายรำพลองไฟ
ต่อหน้าพระพักตร์พระมเหสีและพระสนมของเจ้านฤทธิ์นรเดช
ในงานวันคล้ายวันเกิดของพระมเหสี
โดยอาศัยนักรบรูปงามเหล่านี้ยั่วยวนเสน่ห์จนพระมเหสีและพระสนมตกบ่วงเสน่ห์
เชื้อชวนไปร่ายรำพลองกันในวัง 2 ต่อ 2
เป็น 2 คู่ โดยเป็นตำหนักส่วนตัว
โดยที่ไม่มีทหารเข้าไปข้องแวะ ทำให้พอเสร็จกิจ นักรบทั้ง 2 ทำการลักลอบจับกุมพระมเหสีและพระสนมที่ถูกทำให้สลบและนำตัวไปเป็นตัวประกัน
ในขณะที่เจ้าชายฤทธีราเสด็จไปยังเมืองเว้ ไปขอเข้าพบพระอัยกา (เจ้านฤทธิ์นรเดช)
เพื่อขอเจรจา โดยเสนอเงื่อนไข 3 ข้อแลกกับการปล่อยตัวพระมเหสีกับพระสนมคืนให้กับพระอัยกา
ซี่งเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อก็คือ 1.ต้องการให้นำตัวมังกระยอเปี๊ยะออกมา
มอบให้แก่ตน 2.ให้พระอัยกาวางมือจากการบงการหรืออยู่เบื้องหลังเมืองบริวารทั้ง
5 ไม่ให้การสนับสนุนด้านการทหารอีก
และทำสนธิสัญญาสงบศึกต่อกัน 3.ขอให้คืนพระเศียรศีรษะของเจ้าชายอัศวเทพคืนมา
เพื่อนำไปทำพิธีถวายพระบรมศพต่อไป โดยมีคำขู่ว่า ตอนนี้ราชอาณาจักรมหิทธินาศ
ไม่ได้มีเพียงกองกำลังที่เป็นเอกเทศแต่ยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับนวเกศเศรษฐี
และราชอาณาจักรลิขิตเทพ(นิมิตรนคร)ด้วย โดยมีกรุงโลกาบรรณพิภพ นพธารานคร และอมรเมฆาธานี
ผนึกกำลังเป็นกองกำลังทหารของฝ่ายพันธมิตร 5 นครรัฐ
โดยแสร้งนำธงสัญลักษณ์ตราประจำนครรัฐทั้ง 5 มาแสดงให้ดูด้วย
เพื่อที่จะข่มขวัญว่ามหิทธินาศก็มีพวก ไม่ใช่เพียงแต่เว้ร่วมมือกับจาม
ขอมและเมืองบริวาร ดังนั้น พระอัยกา (เจ้านฤทธ์นรเดช)
จะต้องใคร่ครวญตัดสินพระทัยให้ดี แต่ในเมื่อพระมเหสีกับพระสนมตกอยู่ในมือของฤทธีรา
ทำให้ทรงยินยอมในเงื่อนไข เพียงแต่กล่าวว่า จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมังกระยอเปี๊ยะอีก
ไม่ให้การสนับสนุน แต่เรื่องความแค้นส่วนตัว ก็ขอให้เจ้าชายฤทธีราไปล่าตัวเอาเอง
ส่วนเรื่องพระเศียรศีรษะของเจ้าชายอัศวเทพ ทรงกล่าวว่าไม่ได้รับรู้และอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์
จึงไม่ทราบว่าใครนำพระเศียรไป และอยู่ที่ใด อยู่กับใคร
แต่แค่นี้ก็ทำไห้เจ้าชายฤทธีราทรงล่วงรู้แล้วว่า
เป็นฝีมือของมังกระยอเปี๊ยะฝ่ายเดียว หลังจากนี้ก็จะสามารถไล่ล่าเอาชีวิตมังกระยอเปี๊ยะได้โดยไม่ต้องมีพระอัยกา
เข้ามาช่วยเหลือเกี่ยวข้อง และยังเป็นประกาศให้เมืองเว้ และเมืองบริวารได้รับรู้ด้วยว่า
อย่ามาแหยมกับมหิทธินาศในเวลานี้ ก็เพราะว่า ถ้ายังแข็งข้อขัดขืน
ก็จะเผชิญศึกกับกองทัพใหญ่ ที่ไม่ใช่มีเพียงแต่กองทัพของมหิทธินาศรังสรรค์เท่านั้น
คล้อยหลังเจ้าชายฤทธีรากลับไป ในเวลาต่อมา เมื่อเจ้านฤทธิ์นรเดช
นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมของฝ่ายเมืองบริวาร และรัฐพันธมิตรอย่างจาม และขอมแล้ว
ได้มีมติที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องเปิดศึกถล่มกรุงโลกาบรรณพิภพก่อน
เพราะว่า ถ้ายึดกรุงโลกาสำเร็จ ด่านต่อไป มหิทธิเกศ ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่
ย่อมสามารถยึดครองได้โดยง่ายกว่า ส่วนอีกด้านก็ปรึกษาไปยังรัฐกลิงคะ
และรัฐศรีวิชัย ว่าเห็นดีเห็นงามจะร่วมทำศึกเป็นพันธมิตรด้วยหรือไม่
ถ้าสนใจที่จะเข้าร่วม ก็ให้เปิดศึกในสมรภูมิที่แยกกัน นั่นก็คือ
ให้ไปถล่มนพธารานครแทน เพราะว่าเป็นรัฐในราชอาณาจักรลิขิตเทพหรือนิมิตรนครเช่นกัน
เหตุการณ์ในพาร์ทที่ 4 พาร์ทต่อไป เป็นการนำเข้าไปสู่การเปิดศึกสมรภูมิรบอย่างแท้จริงใน
2 สมรภูมิ ก็คือสมรภูมิแผ่นดินใหญ่อุษาคเณย์โดยมีกรุงโลกาบรรณพิภพเป็นศูนย์กลางถูกรุมกินโต๊ะ
และสมรภูมิบริเวณมหาสมุทรบริเวณแหลมอินโดจีนโดยมีนพธารานครถูกรุมกินโต๊ะ โปรดติดตามในตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น