วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 11 (พาร์ทที่ 3 ศึกเมืองบริวารทั้ง 5 ครั้งที่ 2 และโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่)

พาร์ท 3 ของภาคที่ 4 เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของมหิทธินาศรังสรรค์นคร กับเมืองบริวารทั้ง 5 (ล้านช้าง,กระเหรี่ยง,มอญ,ทะนาน และสวัลญา) จับเหตุการณ์ช่วงที่ มังกระยอเปี๋ยะ เจ้าเมืองสวัลญาคนใหม่ ซึ่งเป็นน้องชายของมังตูปิยอร์ เจ้าเมืองสวัลญาคนก่อนที่ถูกเจ้าชายฤทธีราสังหาร ตัดศีรษะ เสียบประจานอยู่ตรงประตูเมือง อันเนืองมาจากมังตูปิยอร์ จับกุมตัวเจ้าชายอัศวเทพไปเป็นตัวประกัน ขณะนัดไปเจรจาเพื่อสงบศึก แต่กลับเล่นตุกติก ใส่ยาสลบในน้ำจัณฑ์ ให้เจ้าชายอัศวเทพดื่ม แล้วจับเป็นตัวประกัน เพื่อเอาไว้ต่อรอง โชคดีที่เจ้าชายฤทธีรา ที่แอบสะกดรอยตามไป พอเห็นเหตุการณ์จึงลงมือช่วยเหลือพระเชษฐาของตน แล้วสังหารมังตูปิยอร์  เหมือนเชือดไกให้ลิงดู เป็นการปรามไม่ให้เจ้าเมืองอีก 4 เมืองก่อหวอด คิดแข็งข้ออีก นั่นคือเหตุการณ์ในช่วงศึกเมืองบริวารครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ในภาคที่ 3






พอมาภาคที่ 4 นี้ ตัวละครใหม่ที่โผล่ขึ้นมามีอีกเพียบเลย คนแรกก็คือ มังกระยอเปี๊ยะ เป็นน้องชายแท้ๆ ของมังตูปิยอร์ เจ้าเมืองสวัลญาที่เสียชีวิต มังกระยอเปี๊ยะ เป็นเด็กเกเรและกบฏ และไปเป็นลูกศิษย์ของราชปักษา อดีตเสนาธิการกองทัพเว้ ได้ฝึกปรือวิชาฝีมือจากราชปักษา ภายหลังติดตามราชปักษาเป็นโจรปล้นสะดม กลายเป็น หน.โจรตั้งแต่วัยรุ่น จวบจนราชปักษาเสียชิวต มังกระยอเปียะก็ได้กลายเป็น หน.กองโจร และแอบนิยมชมชอบ สุภาวดี ซึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านฤทธิ์นรเดช เจ้าเมืองเว้ ทำให้มังกระยอเปี๊ยะ มีศักดิ์เป็นหลานเขยของเจ้านฤทธิ์นรเดช แต่ในความเป็นจริง เจ้านฤทธิ์นรเดช ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับหลานสาวตนเองที่ไปนิยมชมชอบโจรเป็นว่าที่สามีหรอก เพียงแต่เห็นถึงความใจกล้าบ้าบิ่นและมีฝึมือของมังกระยอเปี๊ยะเท่านั้น จึงต้องการเก็บเอาไว้เป็นเบี้ยใช้งาน และเมื่อถึงคราวที่ต้องการใช้งานแล้ว แผนการบุกยึดครองมหิทธิเกศถูกวางแผนไว้นานแล้ว เพียงแต่รอจังหวะเหมาะเคราะห์ดีเท่านั้น เพราะในช่วงเวลาที่ภายในมหิทธินาศรังสรรค์ องค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชาออกผนวจเป็นพราหมณ์ไปอยู่ศรีวิชัย แผ่นดินขาดผู้ปกครองที่แท้จริง แม้จะแต่งตั้งเจ้าชายอัศวเทพเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็ตาม แต่ใครก็มองออกว่า เจ้าชายพระองค์นี้ยังไม่มีบารมี และขาดประสบการณ์ ความสามารถที่จะปกครอง อาศัยเพียงขุนพลข้างกายพระบิดาเท่านั้นที่คอยช่วยอุ้มชู ในขณะที่นครรัฐนวเกศเศรษฐี เมืองน้องพี่ ก็กำลังอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน เกิดกลุ่มก่อรัฐประหารทำการล้มราชบัลลังก์พระราชามนัสกษัตร และปลงพระชนม์ชีพมนัสกษัตร ที่ทำการปิตุฆาตองค์พระเจ้าอยู่หัวปัณณฑัต ทำให้แผ่นดินตกไปอยู่ที่มหาเทพสุกรี องค์ราชบุตรบุญธรรมขึ้นมาปกครองแทน แต่ว่ายังอยู่ในช่วงบูรณะและจัดการปัญหาภายใน ยังไม่มีความพร้อมที่จะออกรบ นี่เป็นช่วงสุญญากาศทางอำนาจของอาณาจักรมหิทธิเกศ ที่ทำให้เจ้านฤทธิ์นรเดชเล็งเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะช่วงชิงการยึดครองแผ่นดินมหิทธิเกศให้ได้




โดยแผนการของเมืองเว้คือไปผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารแห่งรัฐจาม และเจ้าชายอภิมันตราแห่งรัฐขอม อีกด้านนึงยืมมือว่าที่หลานเขย โดยส่งมังกระยอเปี๊ยะเจ้าเมืองสวัลญา ทำการเกลี้ยกล่อมเชิงบังคับให้เมืองบริวารอีก 4 ร่วมมือกันทำการก่อหวอด แข็งข้อ และยื่นเงื่อนไข 3 ประการให้มหิทธินาศรังสรรค์ต้องยินยอม มิเช่นนั้น ก็จะต้องก่อสงครามไม่จบสิ้น เงือนไขข้อแรกก็คือขอยกเลิกสถานะเมืองบริวาร งดส่งบรรณาการให้กับทางราชอาณาจักรอีก 2.ขอเชลยศึกที่ถูกจับกุมตัวไปคืน โดยแลกกับผลิตผลทางการเกษตรแทน และ 3.แต่งตั้งองค์ชายฤทธีรา ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอันดับ 1 แทน เพื่อปูทางไปสู่การขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งมหิทธินาศรังสรรค์แทน  ซึ่งเมื่อมีการยื่นเงื่อนไขไปแล้ว ปรากฏว่าข้างฝ่ายของมหิทธิเกศ ไม่มีใครยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายเมืองบริวารได้ เจ้าชายอัศวเทพจึงรับสั่งเปิดศึก โดยใช้ยุทธวิธีแบ่งกองกำลังออกเป็น กองกำลังย่อยๆ เพื่อแยกกันเข้าตีเมืองบริวารทั้ง 5 อันประกอบด้วย ล้านช้าง มอญ กระเหรี่ยง ทะนาน และสวัลญา แต่ไม่คาดคิดยูทธวิธีมีจุดอ่อนหลายประการ ทั้งการขาดเอกภาพในการรบ แม้มีผู้นำในแต่ละทัพแยกออกไป แต่ว่าการส่งกำลังบำรุง และการสื่อสารระหว่างทัพย่อยๆ ไม่สามารถติดต่อกันได้โดยสะดวก และรวดเร็ว แม้ว่าจะมีม้าเร็วคอยวิ่งประสานงานกัน และมีทัพหลวงประจำอยู่ที่มหิทธินาศ โดยเจ้าชายฤทธีรา เป็นผู้ดูแลทัพหลวงอยู่ที่พระนคร พอมองเห็นเหตุการณ์ในภาพรวม ก็เริ่มรู้สึกว่ายุทธวิธีการรบเช่นนี้ ก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรเป็นอันมาก และแล้วก็เป็นจริง เมื่อรบกันไปได้ 2 เดือน เกิดศึกยืดเยื้อ กองกำลังในแต่ละทัพสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหลงกลกับดักของฝ่ายเมืองบริวาร ที่ใช้กลยุทธ์แบบกองโจร ซึ่งมังกระยอเปี๊ยะ เป็นผู้นำวิธีการนี้มาใช้ เนื่องจากชำนาญการรบแบบกองโจร คือวางกับดักล่อฝ่ายของราชสำนักมาติดกับ จากนั้นก็ลอบโจมตี ซุ่มโจมตีทำร้าย โดยมีทั้งกับดัก และอาวุธที่ทันสมัย และกองทัพม้าเหล็กของมังกระยอเปี๊ยะ ก็เป็นทัพของเด็กหนุ่มที่ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี และยังได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธที่ทันสมัยจากเมืองเว้และรัฐจาม,ขอม ทำให้เหมือนเสือติดปีก ยิ่งรบไปนานเข้าฝ่ายราชสำนักก็บาดเจ็บล้มตายลงไปครี่งหนึ่งของกำลังพลที่ส่งไปรบในแต่ละทัพ จากนั้นเจ้าชายอัศวเทพสั่งถอยทัพกลับทั้งหมด เพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้านออกญาเทพฤทธิ์ และแม่ทัพหมื่นพยัคฆ์กล้า หารือกันว่า ยุทธวิธีการรบของเจ้าชายอัศวเทพผิดพลาดทำให้เกิดการปราชัยแก่ข้าศึก และสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก จึงเสนอต่ออำมาตย์ไกรสิทธิเดช ให้เปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาการรบใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีรา แต่ฝ่ายของอำมาตย์ไกรสิทธิเดช ที่มีพระยาอาจนเรศ และพระลิขิตเมธี ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าความปราชัยนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าชายอัศวเทพ แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความปราชัยร่วมกัน




ทัพหน้าบริเวณเมืองล้านช้าง ที่ฝ่ายราชสำนักส่งกองกำลังไปรบนั้นมีจำนวนมากที่สุด เกิดเพลี่ยงพล้ำ บรรดากองกำลังตกอยู่ในวงล้อมกับดักของข้าศึก โดยเฉพาะนักรบอภิบาลกระฏุมพี ซึ่งเป็นนักรบฝีมือดี คู่ใจของเจ้าชายฤทธีรา ตกอยู่ในวงล้อม พอเจ้าชายฤทธีราทราบข่าวจึงลอบไปช่วยเหลือจนเหล่านักรบเหล่านั้น หลุดจากวงล้อมมาได้ และเมื่อกลับมาถึง เจ้าชายฤทธีราทรงสังเกตเห็นว่ากองกำลังของฝ่ายเมืองบริวารมีนักรบหน้าตาคุ้นๆ ทรงนึกออกว่าเป็นทหารของเมืองเว้แน่ๆ เนื่องจากเจ้าชายฤทธีรา มีศักดิ์เป็นพระนัดดาของเจ้านฤทธิ์นรเดช ไปมาหาสู่กับเมืองเว้ตั้งแต่เด็กจึงจำได้ จึงให้อินคาไปสืบที่เมืองเว้ ว่า เมืองเว้ให้การสนับสนุน 5 เมืองบริวารจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นเพียงทหารรับจ้างของเมืองเว้ที่มาช่วยทำศึกเท่านั้น แต่ปรากฏว่า พออินคาไปแฝงตัวเป็นสายสืบจนรู้เบาะแสแล้วกลับมารายงานต่อเจ้าชายฤทธีรา กลับกลายเป็นว่า งานนี้ไม่ใช่เพียงแต่เมืองเว้ที่ให้การสนับสนุนต่อเมืองบริวาร แต่ยังมีรัฐจาม และรัฐขอมอยู่เบื้องหลังทัพของพวกเมืองบริวารอีกด้วย ทำให้เจ้าชายฤทธีรา นำเรื่องนี้ไปฟ้องต่ออำมาตย์ไกรสิทธิเดช ที่เป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในเวลานี้ในราชสำนักมหิทธินาศให้รับทราบ

ด้านเจ้าชายอัศวเทพ พอกลับจากทัพหน้าสู้สึกกับพวกล้านช้างแล้ว รู้ว่าตนเองตกเป็นเป้าติฉินนินทาของพวกข้าราชบริพาร ว่าไม่มีน้ำยา เป็นผุ้นำทัพออกรบแล้วปราชัยพ่ายแพ้ สูญเสียกองกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก เกิดจากตนเองอ่อนด้อยประสบการณ์และไม่มีศักยภาพในเชิงการรบที่ดีพอ ทรงเสียพระทัย จึงตัดสินใจที่จะไปเจรจากับเจ้าเมืองบริวารทั้ง 5 ด้วยตนเอง โดยให้ม้าเร็วส่งสาส์นไปนัดแนะก่อน จากนั้น เจ้าเมืองล้านช้างที่อาวุโสสุด เสนอใช้สถานที่ของตนเป็นที่นัดแนะเจรจา เจ้าชายอัศวเทพเสด็จไปพร้อมพระยาอาจนเรศ พัดเศวก องครักษ์สุทิน โดยไม่ได้บอกแก่อำมาตย์ไกรสิทธิเดช โดยหวังว่ากุศโลบายนี้จะได้ผล โดยเจ้าชายอัศวเทพ เสนอเงื่อนไขกลับมาว่า เงื่อนไขข้อแรกไม่อาจตัดสินใจได้ เพราะไม่มีอำนาจเต็มก็คือ การปลดแอกจากเมืองบริวาร แต่เงื่อนไขข้อที่ 2 สามารถสนองได้ทันที ก็คือปล่อยเชลยศึกคืนให้กับเมืองบริวาร โดยไม่ต้องนำผลิตผลทางการเกษตรมาแลก และเงื่อนไขที่ 3 ขึ้นอยู่กับองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถ ที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีราหรือไม่ เมื่อฟังแล้ว 5 เมืองบริวาร ก็แบ่งรับแบ่งสู้ เนื่องจากได้ตามเงื่อนไขเพียงข้อเดียว อีก 2 ข้อ เจ้าชายอัศวเทพไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ จึงแค่เป็นการมาเจรจาต่อรองเพื่อปรับความสัมพันธ์กันเท่านั้น และพักรบชั่วคราว
อำมาตย์ไกรสิทธิเดช พอทราบจากเจ้าชายฤทธีราว่า เมืองเว้กับรัฐจาม,ขอม อยู่เบื้องหลังเมืองบริวารทั้ง 5 คิดแข็งข้อ จึงเดินทางไปกราบทูลต่อองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา ให้ทรงเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำกองทัพใหม่เป็นเจ้าชายฤทธีรา เพราะเห็นแล้วว่าเจ้าชายอัศวเทพไม่ทันเล่ห์กลของฝ่ายเมืองบริวาร และยังกลายเป็นเงื่อนไขเสียเอง ซี่งองค์พ่ออยู่หัวก็ทรงลงพระนามในพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราเป็นผู้สำเร็จราชการแทน และเป็นผู้นำกองทัพของมหิทธินาศแทนเจ้าชายอัศวเทพ พอเดินทางกลับมา นำราชโองการแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราแล้ว ก็ถามหาเจ้าชายอัศวเทพ ว่าอยู่ที่ใด ก็ไม่มีใครพบ เพราะทุกคนไม่มีใครอยู่ใกล้ชิดเจ้าชายอัศวเทพเลยซักคน และหนล่าสุดที่เจอกันก็คือวันที่ทรงเสด็จแอบไปเจรจาต่อรองกับเจ้าเมืองบริวารทั้ง 5 โดยไม่ได้ปรึกษาใคร เมื่ออำมาตย์ไกร กับเจ้าชายฤทธีราทรงทราบก็รู้สึกว่า การที่เจ้าชายอัศวเทพเสด็จไปโดยพลการ ไม่ได้นำกองกำลังไปด้วย เสี่ยงต่อการถูกพวก 5 เมืองบริวารจับกุม จึงร่วมกันออกตามหา

แท้ที่จริงเจ้าชายอัศเทพ ถูกมังกระยอเปี๊ยะชวนไปดื่มน้ำจัณฑ์ต่อที่บริเวณที่พักของตน เพือต้องการซื้อใจเจ้าชายอัศวเทพ ว่ามีความจริงใจหรือไม่ พอเห็นว่าเจ้าชายอัศวเทพเมามายและพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว จึงให้องครักษ์สุทินส่งเสด็จกลับพระราชวังไป แต่ระหว่างทางที่เสด็จกลับ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งราว 7 คน ซุ่มโจมตี และลอบทำร้ายเจ้าชายอัศวเทพ ซึ่งในเวลานั้นเมามายหมดสติ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ขัดขืนได้ จึงทรงถูกปลงพระชนม์ โดนจ้วงแทงจากกลุ่มคนร้าย และตัดพระเศียรไป ท่ามกลางการเห็นเหตุการณ์ของพัดเศวกที่ติดตามมาเจอเข้ากับเหตุการณ์พอดี แต่ไม่อาจจะช่วยไว้ได้ทัน องครักษ์สุทินแบกร่างของเจ้าชายอัศวเทพขึ้นบนหลังม้า แล้วควบกลับมา เมื่อทุกคนพบเห็นเจ้าชายอัศวเทพ เป็นร่างที่ไร้วิญญาณ ต่างเศร้าโศกเสียใจ ท้องฟ้ามหิทธินาศรังสรรค์มืดมิดในบัดดล สมกับคำทำนายของโหรพราหมณ์ปุราณะภิฌาน แห่งศรีวิชัย ที่เคยเสด็จเยือนและได้เชื้อชวนองค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา ออกผนวชเป็นพราหมณ์ เพื่อจะได้สร้างบุญบารมีต่ออายุมหิทธินาศรังสรรค์ให้ผ่านพ้นภัยให้ได้ แต่แล้ว ก็ไม่อาจหลีกพ้นการสูญเสีย ทันทีที่ทราบข่าวร้ายนี้องค์พ่ออยู่หัวโรจนาถราชา ก็ทรงแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีราเป็นองค์รัชทายาท และเสด็จกลับมหิทธินาศรังสรรค์เพื่อมาเข้าร่วมในงานพระราชพิธีถวายการเคารพพระบรมศพของเจ้าชายอัศวเทพโดยทันที  พ่ออยู่หัวโรจนาถราชายังไม่ต้องการลาสิกขาจากสมณพราหมณ์ แต่ก็ไม่อาจว่างเว้นจากงานปกครองราชการงานเมืองได้ จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ แล้วแต่งตั้งเจ้าชายฤทธีรา เป็นพระราชาองค์ใหม่ของมหิทธินาศรังสรรค์ พร้อมด้วยอภิเษกสมรสพระมเหสีสร้อยแก้วให้กับพระเจ้าฤทธีราด้วย  




เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าชายฤทธีรา ผูกใจเจ็บ 5 เมืองบริวาร และประกาศกร้าวว่าจะต้องจัดการกับ 5 เมืองบริวารนี้ให้จงได้ โดยเฉพาะมังกระยอเปี๊ยะ เจ้าเมืองสวัลญา เพราะสงสัยว่าจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังปลงพระชนม์เจ้าชายอัศวเทพ และให้เร่งสืบหาพระเศียรของพระเชษฐาที่ถูกโจรชุดดำเอาไป เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งแผนย้อนศร ของพระเจ้าฤทธีราที่ร่วมกันวางแผนกับพระมหาเทพสุกรี เพื่อเล่นงานเมืองเว้กลับ

เจ้าชายฤทธีราอาศัยนักรบอภิบาลกระฏุมพี ที่มีรูปกายกำยำแฝงตัวเข้าไปเป็นนักฟ้อนรำดาบ และโชว์การร่ายรำพลองไฟ ต่อหน้าพระพักตร์พระมเหสีและพระสนมของเจ้านฤทธิ์นรเดช ในงานวันคล้ายวันเกิดของพระมเหสี โดยอาศัยนักรบรูปงามเหล่านี้ยั่วยวนเสน่ห์จนพระมเหสีและพระสนมตกบ่วงเสน่ห์ เชื้อชวนไปร่ายรำพลองกันในวัง 2 ต่อ 2 เป็น 2 คู่ โดยเป็นตำหนักส่วนตัว โดยที่ไม่มีทหารเข้าไปข้องแวะ ทำให้พอเสร็จกิจ นักรบทั้ง 2 ทำการลักลอบจับกุมพระมเหสีและพระสนมที่ถูกทำให้สลบและนำตัวไปเป็นตัวประกัน ในขณะที่เจ้าชายฤทธีราเสด็จไปยังเมืองเว้ ไปขอเข้าพบพระอัยกา (เจ้านฤทธิ์นรเดช) เพื่อขอเจรจา โดยเสนอเงื่อนไข 3 ข้อแลกกับการปล่อยตัวพระมเหสีกับพระสนมคืนให้กับพระอัยกา ซี่งเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อก็คือ 1.ต้องการให้นำตัวมังกระยอเปี๊ยะออกมา มอบให้แก่ตน 2.ให้พระอัยกาวางมือจากการบงการหรืออยู่เบื้องหลังเมืองบริวารทั้ง 5 ไม่ให้การสนับสนุนด้านการทหารอีก และทำสนธิสัญญาสงบศึกต่อกัน 3.ขอให้คืนพระเศียรศีรษะของเจ้าชายอัศวเทพคืนมา เพื่อนำไปทำพิธีถวายพระบรมศพต่อไป โดยมีคำขู่ว่า ตอนนี้ราชอาณาจักรมหิทธินาศ ไม่ได้มีเพียงกองกำลังที่เป็นเอกเทศแต่ยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับนวเกศเศรษฐี และราชอาณาจักรลิขิตเทพ(นิมิตรนคร)ด้วย โดยมีกรุงโลกาบรรณพิภพ นพธารานคร และอมรเมฆาธานี ผนึกกำลังเป็นกองกำลังทหารของฝ่ายพันธมิตร 5 นครรัฐ โดยแสร้งนำธงสัญลักษณ์ตราประจำนครรัฐทั้ง 5 มาแสดงให้ดูด้วย เพื่อที่จะข่มขวัญว่ามหิทธินาศก็มีพวก ไม่ใช่เพียงแต่เว้ร่วมมือกับจาม ขอมและเมืองบริวาร ดังนั้น พระอัยกา (เจ้านฤทธ์นรเดช) จะต้องใคร่ครวญตัดสินพระทัยให้ดี แต่ในเมื่อพระมเหสีกับพระสนมตกอยู่ในมือของฤทธีรา ทำให้ทรงยินยอมในเงื่อนไข เพียงแต่กล่าวว่า จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมังกระยอเปี๊ยะอีก ไม่ให้การสนับสนุน แต่เรื่องความแค้นส่วนตัว ก็ขอให้เจ้าชายฤทธีราไปล่าตัวเอาเอง ส่วนเรื่องพระเศียรศีรษะของเจ้าชายอัศวเทพ ทรงกล่าวว่าไม่ได้รับรู้และอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ จึงไม่ทราบว่าใครนำพระเศียรไป และอยู่ที่ใด อยู่กับใคร แต่แค่นี้ก็ทำไห้เจ้าชายฤทธีราทรงล่วงรู้แล้วว่า เป็นฝีมือของมังกระยอเปี๊ยะฝ่ายเดียว หลังจากนี้ก็จะสามารถไล่ล่าเอาชีวิตมังกระยอเปี๊ยะได้โดยไม่ต้องมีพระอัยกา เข้ามาช่วยเหลือเกี่ยวข้อง และยังเป็นประกาศให้เมืองเว้ และเมืองบริวารได้รับรู้ด้วยว่า อย่ามาแหยมกับมหิทธินาศในเวลานี้ ก็เพราะว่า ถ้ายังแข็งข้อขัดขืน ก็จะเผชิญศึกกับกองทัพใหญ่ ที่ไม่ใช่มีเพียงแต่กองทัพของมหิทธินาศรังสรรค์เท่านั้น คล้อยหลังเจ้าชายฤทธีรากลับไป ในเวลาต่อมา เมื่อเจ้านฤทธิ์นรเดช นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมของฝ่ายเมืองบริวาร และรัฐพันธมิตรอย่างจาม และขอมแล้ว ได้มีมติที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องเปิดศึกถล่มกรุงโลกาบรรณพิภพก่อน เพราะว่า ถ้ายึดกรุงโลกาสำเร็จ ด่านต่อไป มหิทธิเกศ ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ ย่อมสามารถยึดครองได้โดยง่ายกว่า ส่วนอีกด้านก็ปรึกษาไปยังรัฐกลิงคะ และรัฐศรีวิชัย ว่าเห็นดีเห็นงามจะร่วมทำศึกเป็นพันธมิตรด้วยหรือไม่ ถ้าสนใจที่จะเข้าร่วม ก็ให้เปิดศึกในสมรภูมิที่แยกกัน นั่นก็คือ ให้ไปถล่มนพธารานครแทน เพราะว่าเป็นรัฐในราชอาณาจักรลิขิตเทพหรือนิมิตรนครเช่นกัน 

เหตุการณ์ในพาร์ทที่ 4 พาร์ทต่อไป เป็นการนำเข้าไปสู่การเปิดศึกสมรภูมิรบอย่างแท้จริงใน 2 สมรภูมิ ก็คือสมรภูมิแผ่นดินใหญ่อุษาคเณย์โดยมีกรุงโลกาบรรณพิภพเป็นศูนย์กลางถูกรุมกินโต๊ะ และสมรภูมิบริเวณมหาสมุทรบริเวณแหลมอินโดจีนโดยมีนพธารานครถูกรุมกินโต๊ะ โปรดติดตามในตอนต่อไป  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น