ช่วงนี้ขอเว้นบทความ พิภพราชา ภาคขยายความ ตอนที่ 12 เอาไว้ก่อน เพราะยังไม่มีเวลา และสมาธิที่จะเขียนถึง ขอคั่นด้วยการหยิบเอาบทความ เกร็ดประวัติศาสตร์ แม่ทัพ ผู้รักชาติ รักแผ่นดินที่สุดคนหนึ่ง
เรื่องราวของงักฮุย มาลงให้อ่านไปพลางๆ ก่อน
ฉินฮุ่ยใช้ชีวิตโดยการโอนอ่อนตามสถานการณ์ไปจนอายุได้ 26 ปี ก่อนจะสอบติดได้เป็นข้าราชการ โดยในขณะนั้นราชวงศ์ซ่งถูกกองทัพจินซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวแมนจูรุกรานจนบ้านเมืองระส่ำระส่าย ในการสอบข้อเขียนนั้นฉินฮุ่ยได้เขียนข้อแนะนำในการรับมือกับกองทัพจินว่าราชวงศ์ซ่งนั้นจำเป็นที่จะต้องสรรหาบุคคลมีฝีมือในด้านต่างๆ มาใช้ในการขับไล่กองทัพจินให้ถอยออกไป อีกทั้งยังแนะนำให้ราชสำนักปรับปรุงในเรื่องความเด็ดขาดในการใช้อำนาจ
ข้อเสนอของฉินฮุ่ยในข้อสอบนั้นได้สร้างความประทับใจให้แก่ราชสำนักเป็นอย่างมากจนได้คะแนนระดับสูง แต่ทว่าโอกาสของฉินฮุ่ยนั้นยังไม่เปิด เขาได้ถูกส่งไปรับตำแหน่งบัณฑิตในท้องที่ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ ฉินฮุ่ยทำงานอยู่ในชนบทอยู่สักระยะหนึ่งจนมีการสอบเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งคราวนี้ฉินฮุ่ยก็ทำคะแนนได้สูงเช่นเคยจึงถูกย้ายมาให้ประจำการในโรงเรียนมหาดเล็กภายในเมืองหลวงในตำแหน่งอาจารย์นับตั้งแต่นั้นมา
ในปี ค.ศ.1125 ขณะที่ฉินฮุ่ยอายุได้ 36 ปี กองทัพจินได้กรีธาทัพเข้ามายึดหัวเมืองสำคัญในภาคเหนือได้เกือบหมด และส่งทัพเข้ามาเพื่อตีเมืองหลวงทำให้ฮ่องเต้ซ่งฮุยจงต้องทิ้งราชบัลลังก์เพื่อหนีเอาชีวิตรอดลงภาคใต้ ทำให้บัลลังก์นั้นตกเป็นของพระโอรสและขึ้นเป็นฮ่องเต้ที่มีพระนามว่า “ซ่งชินจง” ฉินฮุ่ยได้เขียนหนังสือแนะนำให้ฮ่องเต้ซ่งชินจงเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งข้อเสนอของฉินฮุ่ยนั้นได้สร้างความประทับใจให้ฮ่องเต้ซ่งชินจงเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดเรียกตัวฉินฮุ่ยเข้ามาพูดคุยเป็นการส่วนพระองค์พร้อมกับเลื่อนตำแหน่งให้ฉินฮุ่ยมาเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารส่วนพระองค์
ในข้อเสนอของฉินฮุ่ยที่แนะนำให้ฮ่องเต้ซ่งชินจงนั้น ใจความหลักคือการเจรจาเพื่อยุติศึกโดยเสนอมอบดินแดนบางส่วนให้กับกองทัพจินเพื่อให้เลิกรา ฮ่องเต้ซ่งชินจงจึงแต่งตั้งให้ฉินฮุ่ยเป็นทูตเพื่อไปเจรจาสงบศึก ในการเจรจานั้นฉินฮุ่ยได้แสดงความพินอบพิเทากับแม่ทัพจินอย่างมากจนแม่ทัพจินนั้นมองออกว่าน่าจะใช้ประโยชน์ในตัวฉินฮุ่ยได้ จึงยอมตกลงที่จะรับดินแดนทั้ง 3 ที่ราชวงศ์ซ่งนั้นจะมอบให้เพื่อแลกกับการสงบศึก
การเจรจานั้นมีทีท่าว่าจะไปได้สวยแต่ทว่าในวันพิธีส่งมอบ ฮ่องเต้ซ่งชินจงกลับเปลี่ยนพระทัยไม่ยอมยกเมืองให้ตามข้อตกลง ทำให้แม่ทัพจินนั้นโมโหอย่างมากจึงจับคณะทูตที่มีทั้งเชื้อพระวงศ์ที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ขุนนาง ไว้เป็นตัวประกันและปล่อยตัวฉินฮุ่ยกลับไปเพื่อนำข้อความไปกราบทูลฮ่องเต้
การที่ฉินฮุ่ยถูกปล่อยตัวกลับไปนั้นก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ซ่งชินจงมอบความไว้วางใจให้กับฉินฮุ่ยเป็นอย่างมากเพราะมันแสดงถึงความมีไหวพริบในการเจรจาจนให้แม่ทัพจินไว้วางใจจนต้องปล่อยตัวกลับมา คราวนี้ฉินฮุ่ยได้รับการโปรโมทเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญต่างๆ เริ่มจากการนั่งในเก้าอี้รองราชเลขาธิการและต่อมาก็เลื่อยเก้าอี้ราชเลขาธิการคนเก่าด้วยการให้เป่าหูฮ่องเต้และในที่สุดฉินฮุ่ยก็ได้ขึ้นนั่งในตำแหน่งราชเลขาธิการในที่สุด
ผลของการเปลี่ยนใจไม่ยกดินแดนให้กับกองทัพกิมในคราวนั้นส่งผลให้อีก 1 ปี ให้หลังในปี ค.ศ.1126 กองทัพจินแต่งทัพมาเต็มสูบ ไล่ตีหัวเมืองต่างๆ จนกระทั่งสามารถตีเมืองหลวงแตกได้ภายใน 3 เดือน ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์นั้นถูกปลดลงไปเป็นสามัญชนและถูกต้อนกลับไปยังอาณาจักรจิน ซึ่งก่อนที่จะไปนั้นแม่ทัพจินได้มีการตั้งให้ “จางปางชาง” อดีตอัครมหาเสนาบดี (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ซึ่งเปรียบเหมือนกับหุ่นเชิดให้กับกองทัพจินคอยดูแลบ้านเมือง
ฉินฮุ่ยได้รับการไหว้วานจากขุนนางที่ยังภักดีต่อราชวงศ์ก่อน ให้ช่วยเจรจาให้กองทัพจินแต่งตั้งคนแซ่จ้าว ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซ่งให้มาปกครองแทนเนื่องจากไม่อยากให้อำนาจตกไปอยู่กับคนธรรมดาและชาวเมืองอาจจะเกิดการไม่ยอมรับ ซึ่งฉินฮุ่ยก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับตนเองถ้าเจรจาสำเร็จจึงได้ร่างหนังสือส่งไปให้กับแม่ทัพจินให้พิจารณา แต่หนังสือที่ส่งไปนั้นทำให้แม่ทัพจินนั้นโหโหเห็นว่าฉินฮุ่ยไม่เคารพในการตัดสินใจจึงสั่งจับฉิินข้วยและต้อนกลับไปยังอาณาจักรจินด้วย
ถึงแม้ว่าจะถูกจับไปเป็นเชลย ชีวิตของฉินฮุ่ยถ้าเทียบกับขุนนางและบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ถูกจับมาด้วยกัน ฉินฮุ่ยนั้นดูเหมือนว่าจะโชคดีกว่าคนอื่นๆ เพราะได้รับการดูแลที่ดีกว่า มีอิสระมากกว่าและที่สำคัญยังได้รับใช้รองแม่ทัพจินนาม “ต้าหลาน” อย่างใกล้ชิดในฐานะอาจารย์ของลูกชายคอยสอนหนังสือ ซึ่งลูกชายของต้าหลานนั้นมักจะสั่งให้ฉินฮุ่ยคลานสี่เท้าพร้อมกับขึ้นไปขี่บนหลังและเอาไม้โบยก้นเหมือนกับขี่ม้า โดยที่ฉินฮุ่ยก็แสร้งทำว่าเป็นสนุกไปด้วย
เครดิตข้อมูลและภาพจากเพจ SpokeDark.TV
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น