วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 10 (พาร์ทที่ 2 ของภาคที่ 4 "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ทวงคืนพระราชา)


พาร์ทที่ 2 ของภาคที่ 4 นี้ จะเริ่มเข้าสู่โหมดของการหักเหลี่ยมเฉือนคมทางการเมือง และเข้าสู่โหมดของการรบกันแล้ว ขอใช้ชื่อตอนว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ละกัน เป็นเรื่องราวของพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช และนาคามิน (ซึ่งบัดนี้ทุกคนสืบรู้แล้วว่าเขาคือเจ้าชายเศกปนัท ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ตอน 8 ขวบ) 

โดยการสืบหาความจริงของ ขุนทหารจันทคาม ที่รับอาสาอำมาตย์พิชิตสังขลาทร แห่งกรุงโลกา ให้มาสืบหาว่า เจ้าชายพระองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และตอนนี้อยู่ที่ไหน เพื่อมารับราชโองการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท และเตรียมสถาปนาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของกรุงโลกาบรรณพิภพ 
ก่อนอื่นขอเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในภาคที่ 3 ก่อนที่ขุนทหารจันทคามออกสืบหาความจริงโดยเริ่มค้นหาความจริงจากปากของนางมธุรสเทวีก่อน จากนั้นจึงไปสอบถามเอาจากพระฤษีอิสรดาบถ และมายังพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ จึงได้ทราบว่า โอรสที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็คือนาคามิน ทำให้บรรดาข้าราชบริพารทั้งภายในกรุงนพธารา และกรุงโลกา ตอนนี้ทราบแล้วว่า นาคามินคือเจ้าชายเศกปนัท องค์รัชทายาทที่หายสาบสูญของพระเจ้าอติภพภูวนารถ และตามพระราชพินัยกรรม ได้ระบุว่าจะทรงได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาของกรุงโลกาต่อจากพระเจ้าอติภพภูวนารถ แต่ว่าบัดนี้หายสาบสูญไปพร้อมกับพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช โดยไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด จึงผนึกกำลังกัน 2 นครรัฐที่จะออกตามหา แต่ว่าในเวลาต่อมา พระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช ถูกฝ่ายเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารตามล่าจนหนีเข้าไปอยู่ในเผ่าโชนัน ได้รับการช่วยเหลือจาก เซเดบาลา บุตรีของ หน.เผ่าโชนัน ช่วยเหลือชีวิตไว้ได้ 2 หน เกิดความผูกพันกัน จนคืนหนึ่งตกหลุมลงไปในกับดัก และเผลอไผลมีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น จนสุดท้าย หน.เผ่าล่วงรู้ จึงบังคับให้อนุเชษฐ์ต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับลูกสาวของตน อนุเชษฐ์จำยอมอย่างเต็มใจ เพราะว่ามีใจให้เซเดบาลาเช่นกัน เนื่องจากเธอเป็นคนเก่ง เด็ดเดี่ยว และยังมีน้ำใจช่วยเหลือชีวิตตนเองไว้ถึง 2 ครั้ง และยังเป็นตามหมอมารักษาตนเองจนหาย และชี้แนะเรื่องการฝึกฝนการต่อสู้ จนทำให้อนุเชษฐ์มีฝีมือก้าวหน้าอีกด้วย สุดท้ายยอมแต่งงานกับเซเดบาลาตามประเพณีของชนเผ่า โดยไม่มีญาติของฝ่ายอนุเชษฐ์ร่วมอยู่ในงานแต่งเลยแม้แต่คนเดียว เรียกว่าอนุเชษฐ์ไปผิดผีลูกสาวเขา จนจำต้องตกล่องปล่องชิ้นกันไปแต่เป็นการสมยอมแบบพอใจและสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะฝ่ายของเผ่าโชนันเองก็ทราบดีว่าอนุเชษฐ์เป็นถึงกษ้ตริย์แห่งนพธารา การมีลูกเขยเป็นถึงพระราชาแห่งนพธาราย่อมทำให้เผ่าโชนันมีแบ็คที่ดีและมั่นคง ในขณะที่อนุเชษฐ์เองก็เล็งเห็นว่าเผ่าโชนันมีนักรบที่เก่งกาจจะช่วยเป็นพันธมิตรหรือบริวารที่ดีในอนาคต ผิดกับชะตากรรมของนาคามิน ที่ถูกจับกุมตัวไปยังจามปา แล้วโดนทรมานทุกรูปแบบจากพระครูกฤษดาอารยัน และเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร ชนิดที่ปางตาย เนื่องจากความแค้นของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารที่มีต่อนาคามิน ในหลากหลายกรณี




เข้าสู่เนื้อหาภาคที่ 4  นายพลดองวัน สายลับจากจามปา ได้มาติดต่อของเข้าพบ โชนันบาเลียว หน.เผ่าโชนัน โดยต้องการยื่นจดหมายของพระชายาเฟยาเลียส่งมอบให้แก่อนุเชษฐ์ เพื่อขอนัดพบเป็นครั้งสุดท้าย (มามุกเดิมคืออยากเจออดีตคนรัก เพราะตรอมใจที่แต่งงานไปอยู่กินกับเจ้าชายนัชปาลแห่งกลิงคะ แล้วไม่มีความสุข) ซึ่งเซเดบาลาไม่เห็นด้วย ก็แหงแหละ ภรรยาที่ไหนจะยอมให้สามีตนเองไปเจอกับคนรักเก่าบ้าง ไม่มีทาง ก่อนที่จะปฏิเสธไปแบบไม่มีเยื่อใยของเผ่าโชนัน พร้อมขับไล่นายพลดองวันให้ออกจากเผ่าไปซะ ไม่งั้นจะสังหารทิ้งเสีย ตอนแรกนายพลดองวันก็คิดว่าคงมาเสียเปล่าแล้ว แต่อนุเชษฐ์ด้วยความเป็นคนจิตใจอ่อนไหว และเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาระหว่างตนกับเฟยาเลีย จึงขอกับเซเดบาลา ว่าจะไปพบ แต่ต้องเป็นสถานที่เป็นกลาง และไปแบบลับๆ ไม่ให้มีกองกำลังติดตามไป ตอนแรกเซเดบาลาจะไม่ยินยอม แต่เห็นแก่สามีสุดหล่อของตน ที่ถ้าไม่ให้ไป ก็อาจเฝ้าแต่คิดถึง อยากให้จบความสัมพันธ์กับอดีตคนรักเก่าไปเสียโดยเร็ว จึงยินยอมให้ไป โดยเซเดบาลาขอติดตามไปด้วย ในฐานะผู้คุ้มกัน พอไปถึงบ้านกลางป่าแห่งหนึ่ง ดองวันหลอกให้เซเดบาลานั่งรอที่ห้องโถงและนั่งจิบชารออยู่ด้านนอก แต่วางยาสลบไว้ ส่วนอนุเชษฐ์ให้เข้าไปในห้องเพื่อคุยกันตามลำพังกับเฟยาเลีย แต่จริงๆ แล้วอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร ที่ต้องการจับกุมตัวอนุเชษฐ์กลับไปยังจามปา จึงวางแผนให้นายพลดองวันไปพบกับ หน.เผ่าโชนัน พอเข้าไปยังถึงยังห้องนอน อนุเชษฐ์ก็ได้พบเฟยาเลียตัวปลอมสะกดจิตจนหมดสติ และถูกลักพาตัวกลับไปยังจามปาทันที เซเดบาลาพอตื่นขึ้นมาแล้วค้นหาก็ไม่เจออนุเชษฐ์ก็รู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกแล้ว โชคยังดีที่พอขวบม้าไปได้ไม่ไกลก็พบเห็นนายพลดองวันถูกจับผูกติดกับต้นไม้ เป็นฝีมือของโหรพราหมณ์หญิงเจ๊อะเมียนดุง ที่มาช่วยจับนายพลดองวันไว้ได้ และมอบให้เซเดบาลา  จากนั้นเซเดบาลาจึงนำตัวนายพลดองวันไปส่งมอบให้อำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัยแห่งนพธารานคร โดยบอกว่าชายคนนี้คือสายลับจากจามปา สร้างกุศโลบายหลอกล่อจับกุมตัวเอกอนุเชษฐ์ธิราชไปแล้ว อำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัยใช้กลอุบายข่มขู่ให้ดองวันยอมเขียนแผนผังของนครรัฐจามปาโดยละเอียด โดยแลกกับการไม่ต้องถูกทรมานด้วยการใช้หลาวทิ่มแทงจากศีรษะถึงรูทวาร ซึ่งเป็นการประหารชีวิตของทรชนในแบบโบราณที่ทรมานสุดๆ ซึ่งทำให้นายพลดองวันหวาดกลัว ยอมเขียนแผนผังโดยละเอียดของที่ตั้ง เวียงวัง ภายในราชสำนักของจามปาโดยละเอียดให้กับอำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัย จากนั้นอำมาตย์พลาศัยประชุมลับกับ พระอาจารย์ปุ่ฤษีเขื่อนขันธ์ และขุนหลวงปรายเสล วางแผนยกพลถล่มกรุงจามปา โดยให้กองกำลังของอำมาตย์พิชิตสังขลาทร จากกรุงโลกาเป็นทัพหน้าบุกทะลวง และพังประตูปราสาท และประตูเมืองฝ่าเข้าไป และแบ่งทัพอีก 3 ทัพ โจมตีจาก 3 ด้าน ขนาบตามเข้าไป โดยมีเป้าหมายคือสถานราชทัณฑ์ที่คุมขังตัวของ 2 พระราชาหนุ่ม ทั้งอนุเชษฐ์และเศกปนัท การโจมตีนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และกระทำในช่วงเวลากลางคืน ทำให้กองกำลังของจามปา ไม่ทันตั้งตัว และระดับพระอาจารย์ปู่ฤษีเขือนขันธ์ ลงมือเอง อย่าว่าแต่ทหารเป็นพันเป็นหมื่นคนเลย กำแพงปราสาทอะไรก็ตาม ไม่สามารถป้องกันฤทธิ์เดชคาถาของท่านได้ ท่านไม่ต้องลุยไปกับพวกทหารถือปืน ถือดาบอะไรทั้งสิ้น สามารถหายตัวแล้วไปโผล่ที่สถานราชทัณฑ์ได้โดยง่าย แล้วใครจะทานฤทธิ์เดชของท่านได้ แม้แต่พระครูกฤษดาอารยันปะทะกำลังกันซึ่งหน้า กับพระอาจารย์ปู่ก็ยังเอาไม่อยู่ ด้วยระดับของพลังวัตรห่างชั้นกันมาก จึงไม่มีใครต่อกรท่านได้ พระอาจาย์ปู่เป็นคนช่วยเหลือเจ้าชายเศกปนัทรอดตายจากเงื้อมมือของพระครูกฤษดาอารยันได้ พ่นไฟทำลายปราสาทพระราชวัง พังพินาศ เละเทะไปทั่วนครรัฐจามปา อีกทั้งกองกำลังทหารของจามปา ถูกถล่มจากทุกทิศทาง จนเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารเองยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดจากกองกำลังทหารของกรุงโลกาบวกรวมกับนพธารา อัทธิ์ถิรวารที่ควบคุมตัวอนุเชษฐ์ไว้ ยังถูกชิงตัวไปได้โดยพระอาจารย์ปู่ แล้วต้องล่าถอยไปตั้งหลักก่อน ศึกครั้งนี้เป็นอีกหนนึงที่ฝ่ายของจามปา พ่ายแพ้ต่อนพธารานคร แบบราบคาบ และยับเยินที่สุดอีกหนนึง เพราะบุกเข้ามาถึงรังแตน หรือรังพยัคฆ์ แต่ถึงบุกถล่มมาถึงจามปาได้สำเร็จ ฝ่ายนพธาราและกรุงโลกา ก็ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร เพียงต้องการบุกชิงตัวพระราชาของตนกลับคืน และทำศึกเพื่อสั่งสอนพวกจาม ไม่ให้กล้ากระทำการฮึกเหิม ลำพองตน เพื่อย่ำยีนครรัฐอื่นอีก 



พอช่วยเหลือชีวิตของ 2 พระราชาหนุ่มกลับมาได้ เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ง่าย  รายของอนุเชษฐ์ธิราช ต้องอธิบายให้ข้าราชบริพารของตนเข้าใจว่า เซเดบาลาเป็นใคร เหตุใดตนจึงต้องยกสถานะขึ้นเป็นพระมเหสี แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พระองค์ถูกไล่ล่า แล้วหนีเข้าไปอยู่ที่เกาะโชนัน จนได้มีโอกาสรู้จักเซเดบาลา ผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตตนเอาไว้ได้ถึง 2 หน  แต่ในรายของเจ้าชายเศกปนัทนั้นหนักหน่อย กลับมาในสภาพบอบช้ำ และคลุ้มคลั่ง ไล่ฆ่าทหารมหาดเล็กองครักษ์ และบริวารตายไปหลายคน ซึ่งทังราชินีอุทัยวรรณและอำมาตย์พิชิตสังขลาทร ก็ไม่ทราบว่าพระองค์เหตุใดจึงแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ จนโหรพราหมณ์หญิงที่ชื่อเจ๊อะเมียนดุง เดินทางมากับนายพลดองวัน ขอเข้าพบ และบอกความจริงให้ทราบว่า ที่เจ้าชายเศกปนัทเป็นเช่นนี้ เพราะถูกผ่าตัดฝังตะกรุดโลกันตร์เอาไว้ในร่าง โดนมนต์สะกดไสยเวทย์มนต์ดำของพระครูกฤษดาอารยันควบคุมจิตใจและร่างกายเอาไว้ ทางแก้ที่จะทำให้เจ้าชายเศกปนัทหายหรือหลุดพ้นจากมนต์สะกดนี้ได้ ก็คือ ต้องใช้เลือดของหญิงท้องแก่ 9 เดือน จำนวนนึง ผ่าเอาตะกรุดโลกันตร์ออกจากร่างแล้วแช่ด้วยเลือดของหญิงท้องแก่ 9 เดือน เพื่อคลายฤทธิ์มนต์สะกด และมนต์ดำจะเสื่อมไปเอง จากนั้นอำมาตย์พิชิตสังขลาทร จึงสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งราชสำนักประกาศออกไป ใครมีเลือดของหญิงท้องแก่ทั่วราชอาณาจักรมามอบให้ จะตบรางวัลให้ จึงมีราษฏรเอามาบริจาคให้จนเพียงพอต่อการทำพิธี โหรพราหมณ์หญิงเจ๊อะเมียนดุงช่วยเหลือเจ้าชายเศกปนัทในครั้งนี้ เพราะรักในลูกศิษย์ที่ตนเองเป็นครูตอนสมัยช่วงทรงศึกษาอยู่ที่เนราญนารายณ์ พอทราบแผนการร้ายนี้ของพระครูกฤษดาอารยันจากปากของนายพลดองวันจึงรีบเดินทางมาช่วยเหลือ

มาถึงเรื่องราวเหตุการณ์ของนครรัฐนวเกศเศรษฐีบ้าง หรือพระราชวังปราสาทขาว ภายหลังพระวิเศษศาสตรา ได้บุกสถานราชทัณฑ์ช่วยเหลือพระราชามนัสกษัตรออกมาได้ บวกกับได้พันธมิตรกองกำลังจากกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬของเจ้าชายศิระติกาลมาช่วยเหลือ จึงสามารถเข้ายึดครองอำนาจคืนจากพระเจ้าปัณณฑัต องค์พระราชบิดาคืนได้ และทำการจับกุมตัวพาลีกับพระยาสุรสีห์ และกักบริเวณพระเจ้าปัณณฑัตกับพระสนมสุวีญาเทวีเอาไว้ บังเอิญว่าใต้หล้า เด็กหนุ่มที่เป็นลูกชายเจ้าของสวนและไร่ หรือนางโฉมแฉล้ม พายเรือเอาผลไม้ไปส่งให้นางกำนัลต้นห้องของพระสนมสุวีญาเทวี แล้วมารับทราบว่าภายในราชสำนักปราสาทขาวเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร จึงรีบนำความไปบอกเล่าให้แม่ฟัง พอดีกับขุนทหารจันทคามกลับมาเยี่ยมแม่พอดี จึงได้ยินใต้หล้า น้องชายของตนบอกเล่าว่าภายในนวเกศเกิดการยึดอำนาจคืนโดยพระเจ้ามนัสกษัตร ทำให้ขุนทหารจันทคามเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อสุกรี พอทราบสุกรีก็ขอกองกำลังจากอมรเมฆาธานีจาก พระเจ้าอธิกบุศย์ โดยท่านแม่ทัพอัษฏาคม ยกกองกำลังมาหนุนบวกกับกองกำลังของเผ่าปายะ วางแผนบุกช่วยเหลือพระเจ้าปัณณฑัต กับสุวีญาเทวีจากเงื้อมมือของมนัสกษัตร งานนี้ได้นักรบอมนุษย์กับวนัสปตี ท้าวพิศาลสมุทรมาช่วยด้วย ทำให้สุกรีเหมือนเสือติดปีก และด้วยวิชาอาคมและพลังวัตรที่แก่กล้ามากขึ้นแล้วของสุกรี ทำให้กองกำลังของมนัสกษัตรที่มีเพียงกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬเพียงไม่ถึง 1,000 นาย ไม่อาจต้านทานได้  มนัสกษัตรรู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้จึงไปจับกุมตัวสุวีญาเทวีเป็นตัวประกัน และให้ทุกคนวางอาวุธ ไม่เช่นนั้นจะสังหารสุวีญาเทวี  แต่พระเจ้าปัณณฑัต ซึ่งทนเห็นพระสนมที่ตนเองรักต้องเสียชีวิตภายใต้คมดาบของมนัสกษัตรไม่ได้ จึงเอาตัวเข้าไปดึงรั้งสุวีญาเทวีออกมา เป็นผลให้มนัสกษัตรกระทำปิตุฆาต คือแทงปัณณฑัตจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่มนัสกษัตรก็ถูกจ้วงแทงโดยอดีต 4 ขุนพลที่เคยอยุ่ใต้อาณัตของตน ก็คือ พระยาศรีอาท พระยาสุรสีห์ พาลี และสุกรี แทงเข้าร่างของมนัสกษัตรพร้อมกัน เพราะตกใจที่พระเจ้าปัณณฑัตถูกคมดาบของมนัสกษัตรก่อน มนัสกษัตรสิ้นชีพภายใต้ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง จบมหากาพย์ทรราชย์ของตนลง แต่พระวิเศษศาสตราฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังชุลมุนกันอยู่หลบหนีไปได้ พร้อมๆ กับเจ้าชายศิระติกาลที่จำแลงร่างหลบหนีไปเช่นเดียวกัน เพราะลูกน้องบริวารตายหมดแล้ว พระเจ้าปัณณฑัตก่อนตายได้สั่งเสียขอให้สุกรีขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระองค์ และช่วยดูแลสุวีญาเทวีแทนพระองค์ ช่วยรักษาราชบัลลังก์แห่งนวเกศจนกว่าพระโอรสในครรภ์ของสุวีญาเทวีจะเติบใหญ่ จึงคืนราชบัลลังก์ให้กับพระโอรส ซึ่งสุกรีก็รับปากพระองค์ว่าจะดูแลทุกอย่างให้เป็นอย่างดี ไม่ต้องทรงเป็นกังวล เหตุการณ์ภายหลังจากพระเจ้าปัณณฑัต และพระเจ้ามนัสกษัตรสิ้นพระชนม์ลง อำนาจตกไปอยู่ในมือของสุกรี ทำให้สุกรีมีเรื่องต้องตัดสินใจหลายอย่าง เพราะตนเองถือสถานะหลายหัวโขน เป็นทั้งแม่ทัพเอกในบัลลังก์ของพระเจ้าอธิกบุศย์แห่งอมรเมฆาธานี และยังเป็น หน.เผ่าปายะอีกด้วย พอต้องมาเป็นกษัตริย์ชั่วคราวปกครองนวเกศเศรษฐีอีก จึงทำให้ต้องแบ่งสรร คน และอำนาจออกไป โดยขอสละตำแหน่งและข้าราชบริพารที่อมรเมฆาธานี ส่วนเผ่าปายะยกให้บิดาของตน ท้าวพิศาลสมุทรขึ้นเป็น หน.เผ่าปกครองไปก่อน ส่วนตนเองเนื่องจากรับปากปัณณฑัตไว้ จึงต้องอยู่พำนักที่นวเกศ เพื่อเคลียร์ปัญหาและจัดการบริหารรนวเกศเศรษฐีเสียใหม่ โดยให้พระยาสุรสีห์มาเป็นอำมาตย์ดูแลกลาโหม ทหาร ยุทโธปกรณ์ทางทหาร พระยาศรีอาทดูแลงานด้านรักษาความปลอดภัย,องครักษ์ ขุนทหารจันทคามดูแลการบริหารเงินคงคลัง,เสบียง พาลีดูแลงานธุรการเวียงวัง  



วันนึงสุวีญาเทวีลื่นหกล้ม ทำให้พระครรภ์แท้ง ต้องเสียพระโอรสไป ทำให้เศร้าเสียพระทัยมาก สุกรีเองก็เสด็จไปปลอบโยน แต่ไม่ร้ว่าจะช่วยให้กำลังใจอย่างไร สุวีญาเทวีเล่าชีวิตความเป็นมาของตนให้สุกรีฟัง ทำให้สุกรีเกิดความสงสาร ประธานบาทหลวงโจเซฟกฤษณ์ให้คำแนะนำต่อสุกรีว่า มีทางออกที่พอจะเป็นไปได้ ก็คือให้สุกรีแต่งตั้งสุวีญาเทวีเป็นพระชายา และจะได้มีพระโอรสร่วมกัน สืบสายเลือดองค์ขัตติยราชเช่นกัน พอเติบโตขึ้นให้ถือว่าโอรสพระองค์นี้เป็นพระโอรสของพระเจ้าปัณณฑัต และเป็นองค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองบัลลังก์นวเกศต่อไป ตอนแรกสุกรีโกรธมากและไม่เห็นด้วย แต่ภายหลัง พอได้ไตร่ตรองแล้ว ไม่เห็นหนทางที่จะคืนองค์รัชทายาทให้กับพระเจ้าปัณณฑัตได้ จึงจำยอมทำตามคำแนะนำของประมุขบาทหลวงโจเซฟกฤษณ์ ทำให้สุกรีได้รับการสถาปนาใหม่ขึ้นเป็นองค์พระชายาของสุกรี แม้จะขัตต่อบทบัญญัติของโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาล แต่เรื่องนี้สุกรีขอให้ข้าราชบริพารและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องเข้าใจและถือปฏิบัติตาม เนื่องจากสุกรีมีพระราชอำนาจเต็มที่จะจัดการปัญหาภายในนวเกศเศรษฐี แต่พระองค์เดียว ตามคำสั่งเสียสุดท้ายของพระเจ้าปัณณฑัต ยังมีอีกเรื่องนึงที่สุกรีเข้าไปจัดการปัญหาภายในนวเกศแล้วได้ใจข้าราชบริพาร เชื้อพระวงศ์และพสกนิกรประชาราษฏร์ ก็คือ จับได้ว่าเงินคงคลังร่อยหรอ และถูกเบียดบัง ฉ้อราษฏร์ไปจำนวนมาก โดยอดีตข้าราชการอาวุโสเก่าแก่คนหนึ่ง ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็คือพระยาศิริสิงขร ซึ่งกินตำแหน่งพระยา เป็นเจ้ากรมวัง ดูแลเงินคงคลังหลวง แต่ปล่อยให้มนัสกษัตรเบิกไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สร้างวัง ปราสาทจำนวนมาก และใช้จ่ายทางทหาร ซื้ออาวุธจำนวนมากอย่างสุรุ่ยสุร่ายสิ้นเปลือง  อีกทั้งพระยาศิริสิงขร ยังฉ้อราษฏร์บังหลวง กดขี่ ขูดรีด เก็บภาษีอากรเอาจากราษฎรจำนวนมาก แต่เงินเหล่านั้นไม่ได้เข้าคลังหลวง เข้าพกเข้าห่อตนเอง และเก็บสินบนจากพ่อค้า ชาวต่างด้าวที่อพยพเข้ามาอยู่ในนวเกศ จนทำให้พระยาศิริสิงขรมีทรัพย์สินมากมาย เป็นเศรษฐีคหบดี อยู่สุขสบายในบั้นปลายชีวิต จึงให้ขุนทหารจันทคามที่ดูแลด้านการคลังตามไปจับกุมตัวพระยาศิริสิงขรมาติดคุก และยึดทรัพย์ทั้งหมดตกเป็นของหลวง 

เรื่องนี้ที่ทำให้สุกรีได้รับความชื่นชมจากข้าราชบริพารและราษฏร กลายเป็นเครดิตที่ทำให้สุกรีเป็นที่รักของบริวารและราษฏร พอมีเรื่องซุบซิบนินทาเรื่องสุวีญาเทวี (เอาเมียของพ่อมาเป็นเมียของตน) เลยทำให้น้ำหนักที่จะถูกต่อต้านก็เลยลดลง และกลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็แอบๆ ยอมรับกันได้ ไม่มีใครกล้าติฉินนินทาในเรื่องนี้ของสุกรีกับสุวีญาเทวีเท่าไหร่

เหตุการณ์ในพาร์ท 2 ของภาคที่ 4 จบลงแค่นี้ก่อน พาร์ทหน้าจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว จะมาเขียนต่อ โปรดติดตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น