พาร์ทที่ 2 ของภาคที่
4 นี้ จะเริ่มเข้าสู่โหมดของการหักเหลี่ยมเฉือนคมทางการเมือง
และเข้าสู่โหมดของการรบกันแล้ว ขอใช้ชื่อตอนว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ละกัน
เป็นเรื่องราวของพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช และนาคามิน
(ซึ่งบัดนี้ทุกคนสืบรู้แล้วว่าเขาคือเจ้าชายเศกปนัท ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ตอน 8 ขวบ)
โดยการสืบหาความจริงของ ขุนทหารจันทคาม
ที่รับอาสาอำมาตย์พิชิตสังขลาทร แห่งกรุงโลกา ให้มาสืบหาว่า
เจ้าชายพระองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และตอนนี้อยู่ที่ไหน
เพื่อมารับราชโองการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท และเตรียมสถาปนาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของกรุงโลกาบรรณพิภพ
ก่อนอื่นขอเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในภาคที่
3 ก่อนที่ขุนทหารจันทคามออกสืบหาความจริงโดยเริ่มค้นหาความจริงจากปากของนางมธุรสเทวีก่อน
จากนั้นจึงไปสอบถามเอาจากพระฤษีอิสรดาบถ และมายังพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์
จึงได้ทราบว่า โอรสที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็คือนาคามิน
ทำให้บรรดาข้าราชบริพารทั้งภายในกรุงนพธารา และกรุงโลกา ตอนนี้ทราบแล้วว่า
นาคามินคือเจ้าชายเศกปนัท องค์รัชทายาทที่หายสาบสูญของพระเจ้าอติภพภูวนารถ
และตามพระราชพินัยกรรม
ได้ระบุว่าจะทรงได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาของกรุงโลกาต่อจากพระเจ้าอติภพภูวนารถ
แต่ว่าบัดนี้หายสาบสูญไปพร้อมกับพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช โดยไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด
จึงผนึกกำลังกัน 2 นครรัฐที่จะออกตามหา แต่ว่าในเวลาต่อมา
พระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราช
ถูกฝ่ายเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารตามล่าจนหนีเข้าไปอยู่ในเผ่าโชนัน
ได้รับการช่วยเหลือจาก เซเดบาลา บุตรีของ หน.เผ่าโชนัน ช่วยเหลือชีวิตไว้ได้ 2
หน เกิดความผูกพันกัน จนคืนหนึ่งตกหลุมลงไปในกับดัก
และเผลอไผลมีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น จนสุดท้าย หน.เผ่าล่วงรู้
จึงบังคับให้อนุเชษฐ์ต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับลูกสาวของตน
อนุเชษฐ์จำยอมอย่างเต็มใจ เพราะว่ามีใจให้เซเดบาลาเช่นกัน เนื่องจากเธอเป็นคนเก่ง
เด็ดเดี่ยว และยังมีน้ำใจช่วยเหลือชีวิตตนเองไว้ถึง 2 ครั้ง
และยังเป็นตามหมอมารักษาตนเองจนหาย และชี้แนะเรื่องการฝึกฝนการต่อสู้
จนทำให้อนุเชษฐ์มีฝีมือก้าวหน้าอีกด้วย
สุดท้ายยอมแต่งงานกับเซเดบาลาตามประเพณีของชนเผ่า
โดยไม่มีญาติของฝ่ายอนุเชษฐ์ร่วมอยู่ในงานแต่งเลยแม้แต่คนเดียว เรียกว่าอนุเชษฐ์ไปผิดผีลูกสาวเขา
จนจำต้องตกล่องปล่องชิ้นกันไปแต่เป็นการสมยอมแบบพอใจและสมประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2
ฝ่าย เพราะฝ่ายของเผ่าโชนันเองก็ทราบดีว่าอนุเชษฐ์เป็นถึงกษ้ตริย์แห่งนพธารา
การมีลูกเขยเป็นถึงพระราชาแห่งนพธาราย่อมทำให้เผ่าโชนันมีแบ็คที่ดีและมั่นคง
ในขณะที่อนุเชษฐ์เองก็เล็งเห็นว่าเผ่าโชนันมีนักรบที่เก่งกาจจะช่วยเป็นพันธมิตรหรือบริวารที่ดีในอนาคต
ผิดกับชะตากรรมของนาคามิน ที่ถูกจับกุมตัวไปยังจามปา
แล้วโดนทรมานทุกรูปแบบจากพระครูกฤษดาอารยัน และเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร ชนิดที่ปางตาย
เนื่องจากความแค้นของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารที่มีต่อนาคามิน ในหลากหลายกรณี
เข้าสู่เนื้อหาภาคที่ 4
นายพลดองวัน สายลับจากจามปา
ได้มาติดต่อของเข้าพบ โชนันบาเลียว หน.เผ่าโชนัน โดยต้องการยื่นจดหมายของพระชายาเฟยาเลียส่งมอบให้แก่อนุเชษฐ์
เพื่อขอนัดพบเป็นครั้งสุดท้าย (มามุกเดิมคืออยากเจออดีตคนรัก
เพราะตรอมใจที่แต่งงานไปอยู่กินกับเจ้าชายนัชปาลแห่งกลิงคะ แล้วไม่มีความสุข)
ซึ่งเซเดบาลาไม่เห็นด้วย ก็แหงแหละ
ภรรยาที่ไหนจะยอมให้สามีตนเองไปเจอกับคนรักเก่าบ้าง ไม่มีทาง ก่อนที่จะปฏิเสธไปแบบไม่มีเยื่อใยของเผ่าโชนัน
พร้อมขับไล่นายพลดองวันให้ออกจากเผ่าไปซะ ไม่งั้นจะสังหารทิ้งเสีย
ตอนแรกนายพลดองวันก็คิดว่าคงมาเสียเปล่าแล้ว
แต่อนุเชษฐ์ด้วยความเป็นคนจิตใจอ่อนไหว
และเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาระหว่างตนกับเฟยาเลีย จึงขอกับเซเดบาลา ว่าจะไปพบ
แต่ต้องเป็นสถานที่เป็นกลาง และไปแบบลับๆ ไม่ให้มีกองกำลังติดตามไป
ตอนแรกเซเดบาลาจะไม่ยินยอม แต่เห็นแก่สามีสุดหล่อของตน ที่ถ้าไม่ให้ไป
ก็อาจเฝ้าแต่คิดถึง อยากให้จบความสัมพันธ์กับอดีตคนรักเก่าไปเสียโดยเร็ว
จึงยินยอมให้ไป โดยเซเดบาลาขอติดตามไปด้วย ในฐานะผู้คุ้มกัน พอไปถึงบ้านกลางป่าแห่งหนึ่ง
ดองวันหลอกให้เซเดบาลานั่งรอที่ห้องโถงและนั่งจิบชารออยู่ด้านนอก แต่วางยาสลบไว้
ส่วนอนุเชษฐ์ให้เข้าไปในห้องเพื่อคุยกันตามลำพังกับเฟยาเลีย แต่จริงๆ
แล้วอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร ที่ต้องการจับกุมตัวอนุเชษฐ์กลับไปยังจามปา
จึงวางแผนให้นายพลดองวันไปพบกับ หน.เผ่าโชนัน พอเข้าไปยังถึงยังห้องนอน
อนุเชษฐ์ก็ได้พบเฟยาเลียตัวปลอมสะกดจิตจนหมดสติ และถูกลักพาตัวกลับไปยังจามปาทันที
เซเดบาลาพอตื่นขึ้นมาแล้วค้นหาก็ไม่เจออนุเชษฐ์ก็รู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกแล้ว
โชคยังดีที่พอขวบม้าไปได้ไม่ไกลก็พบเห็นนายพลดองวันถูกจับผูกติดกับต้นไม้ เป็นฝีมือของโหรพราหมณ์หญิงเจ๊อะเมียนดุง
ที่มาช่วยจับนายพลดองวันไว้ได้ และมอบให้เซเดบาลา
จากนั้นเซเดบาลาจึงนำตัวนายพลดองวันไปส่งมอบให้อำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัยแห่งนพธารานคร
โดยบอกว่าชายคนนี้คือสายลับจากจามปา
สร้างกุศโลบายหลอกล่อจับกุมตัวเอกอนุเชษฐ์ธิราชไปแล้ว
อำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัยใช้กลอุบายข่มขู่ให้ดองวันยอมเขียนแผนผังของนครรัฐจามปาโดยละเอียด
โดยแลกกับการไม่ต้องถูกทรมานด้วยการใช้หลาวทิ่มแทงจากศีรษะถึงรูทวาร ซึ่งเป็นการประหารชีวิตของทรชนในแบบโบราณที่ทรมานสุดๆ
ซึ่งทำให้นายพลดองวันหวาดกลัว ยอมเขียนแผนผังโดยละเอียดของที่ตั้ง เวียงวัง
ภายในราชสำนักของจามปาโดยละเอียดให้กับอำมาตย์หลวงทิตย์พลาศัย
จากนั้นอำมาตย์พลาศัยประชุมลับกับ พระอาจารย์ปุ่ฤษีเขื่อนขันธ์ และขุนหลวงปรายเสล
วางแผนยกพลถล่มกรุงจามปา โดยให้กองกำลังของอำมาตย์พิชิตสังขลาทร
จากกรุงโลกาเป็นทัพหน้าบุกทะลวง และพังประตูปราสาท และประตูเมืองฝ่าเข้าไป
และแบ่งทัพอีก 3 ทัพ โจมตีจาก 3 ด้าน
ขนาบตามเข้าไป โดยมีเป้าหมายคือสถานราชทัณฑ์ที่คุมขังตัวของ 2 พระราชาหนุ่ม ทั้งอนุเชษฐ์และเศกปนัท การโจมตีนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และกระทำในช่วงเวลากลางคืน
ทำให้กองกำลังของจามปา ไม่ทันตั้งตัว และระดับพระอาจารย์ปู่ฤษีเขือนขันธ์ ลงมือเอง
อย่าว่าแต่ทหารเป็นพันเป็นหมื่นคนเลย กำแพงปราสาทอะไรก็ตาม
ไม่สามารถป้องกันฤทธิ์เดชคาถาของท่านได้ ท่านไม่ต้องลุยไปกับพวกทหารถือปืน
ถือดาบอะไรทั้งสิ้น สามารถหายตัวแล้วไปโผล่ที่สถานราชทัณฑ์ได้โดยง่าย
แล้วใครจะทานฤทธิ์เดชของท่านได้ แม้แต่พระครูกฤษดาอารยันปะทะกำลังกันซึ่งหน้า
กับพระอาจารย์ปู่ก็ยังเอาไม่อยู่ ด้วยระดับของพลังวัตรห่างชั้นกันมาก
จึงไม่มีใครต่อกรท่านได้
พระอาจาย์ปู่เป็นคนช่วยเหลือเจ้าชายเศกปนัทรอดตายจากเงื้อมมือของพระครูกฤษดาอารยันได้
พ่นไฟทำลายปราสาทพระราชวัง พังพินาศ เละเทะไปทั่วนครรัฐจามปา
อีกทั้งกองกำลังทหารของจามปา ถูกถล่มจากทุกทิศทาง
จนเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารเองยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดจากกองกำลังทหารของกรุงโลกาบวกรวมกับนพธารา
อัทธิ์ถิรวารที่ควบคุมตัวอนุเชษฐ์ไว้ ยังถูกชิงตัวไปได้โดยพระอาจารย์ปู่
แล้วต้องล่าถอยไปตั้งหลักก่อน ศึกครั้งนี้เป็นอีกหนนึงที่ฝ่ายของจามปา พ่ายแพ้ต่อนพธารานคร
แบบราบคาบ และยับเยินที่สุดอีกหนนึง เพราะบุกเข้ามาถึงรังแตน หรือรังพยัคฆ์
แต่ถึงบุกถล่มมาถึงจามปาได้สำเร็จ ฝ่ายนพธาราและกรุงโลกา
ก็ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร
เพียงต้องการบุกชิงตัวพระราชาของตนกลับคืน และทำศึกเพื่อสั่งสอนพวกจาม ไม่ให้กล้ากระทำการฮึกเหิม
ลำพองตน เพื่อย่ำยีนครรัฐอื่นอีก
พอช่วยเหลือชีวิตของ 2 พระราชาหนุ่มกลับมาได้
เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ง่าย
รายของอนุเชษฐ์ธิราช ต้องอธิบายให้ข้าราชบริพารของตนเข้าใจว่า
เซเดบาลาเป็นใคร เหตุใดตนจึงต้องยกสถานะขึ้นเป็นพระมเหสี
แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พระองค์ถูกไล่ล่า แล้วหนีเข้าไปอยู่ที่เกาะโชนัน
จนได้มีโอกาสรู้จักเซเดบาลา ผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตตนเอาไว้ได้ถึง 2 หน แต่ในรายของเจ้าชายเศกปนัทนั้นหนักหน่อย
กลับมาในสภาพบอบช้ำ และคลุ้มคลั่ง ไล่ฆ่าทหารมหาดเล็กองครักษ์
และบริวารตายไปหลายคน ซึ่งทังราชินีอุทัยวรรณและอำมาตย์พิชิตสังขลาทร
ก็ไม่ทราบว่าพระองค์เหตุใดจึงแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
จนโหรพราหมณ์หญิงที่ชื่อเจ๊อะเมียนดุง เดินทางมากับนายพลดองวัน ขอเข้าพบ และบอกความจริงให้ทราบว่า
ที่เจ้าชายเศกปนัทเป็นเช่นนี้ เพราะถูกผ่าตัดฝังตะกรุดโลกันตร์เอาไว้ในร่าง
โดนมนต์สะกดไสยเวทย์มนต์ดำของพระครูกฤษดาอารยันควบคุมจิตใจและร่างกายเอาไว้
ทางแก้ที่จะทำให้เจ้าชายเศกปนัทหายหรือหลุดพ้นจากมนต์สะกดนี้ได้ ก็คือ
ต้องใช้เลือดของหญิงท้องแก่ 9 เดือน จำนวนนึง
ผ่าเอาตะกรุดโลกันตร์ออกจากร่างแล้วแช่ด้วยเลือดของหญิงท้องแก่ 9 เดือน เพื่อคลายฤทธิ์มนต์สะกด และมนต์ดำจะเสื่อมไปเอง
จากนั้นอำมาตย์พิชิตสังขลาทร จึงสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งราชสำนักประกาศออกไป
ใครมีเลือดของหญิงท้องแก่ทั่วราชอาณาจักรมามอบให้ จะตบรางวัลให้ จึงมีราษฏรเอามาบริจาคให้จนเพียงพอต่อการทำพิธี
โหรพราหมณ์หญิงเจ๊อะเมียนดุงช่วยเหลือเจ้าชายเศกปนัทในครั้งนี้
เพราะรักในลูกศิษย์ที่ตนเองเป็นครูตอนสมัยช่วงทรงศึกษาอยู่ที่เนราญนารายณ์
พอทราบแผนการร้ายนี้ของพระครูกฤษดาอารยันจากปากของนายพลดองวันจึงรีบเดินทางมาช่วยเหลือ
มาถึงเรื่องราวเหตุการณ์ของนครรัฐนวเกศเศรษฐีบ้าง
หรือพระราชวังปราสาทขาว ภายหลังพระวิเศษศาสตรา ได้บุกสถานราชทัณฑ์ช่วยเหลือพระราชามนัสกษัตรออกมาได้
บวกกับได้พันธมิตรกองกำลังจากกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬของเจ้าชายศิระติกาลมาช่วยเหลือ
จึงสามารถเข้ายึดครองอำนาจคืนจากพระเจ้าปัณณฑัต องค์พระราชบิดาคืนได้
และทำการจับกุมตัวพาลีกับพระยาสุรสีห์ และกักบริเวณพระเจ้าปัณณฑัตกับพระสนมสุวีญาเทวีเอาไว้
บังเอิญว่าใต้หล้า เด็กหนุ่มที่เป็นลูกชายเจ้าของสวนและไร่ หรือนางโฉมแฉล้ม
พายเรือเอาผลไม้ไปส่งให้นางกำนัลต้นห้องของพระสนมสุวีญาเทวี
แล้วมารับทราบว่าภายในราชสำนักปราสาทขาวเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร
จึงรีบนำความไปบอกเล่าให้แม่ฟัง พอดีกับขุนทหารจันทคามกลับมาเยี่ยมแม่พอดี
จึงได้ยินใต้หล้า น้องชายของตนบอกเล่าว่าภายในนวเกศเกิดการยึดอำนาจคืนโดยพระเจ้ามนัสกษัตร
ทำให้ขุนทหารจันทคามเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อสุกรี
พอทราบสุกรีก็ขอกองกำลังจากอมรเมฆาธานีจาก พระเจ้าอธิกบุศย์ โดยท่านแม่ทัพอัษฏาคม
ยกกองกำลังมาหนุนบวกกับกองกำลังของเผ่าปายะ วางแผนบุกช่วยเหลือพระเจ้าปัณณฑัต
กับสุวีญาเทวีจากเงื้อมมือของมนัสกษัตร งานนี้ได้นักรบอมนุษย์กับวนัสปตี
ท้าวพิศาลสมุทรมาช่วยด้วย ทำให้สุกรีเหมือนเสือติดปีก
และด้วยวิชาอาคมและพลังวัตรที่แก่กล้ามากขึ้นแล้วของสุกรี ทำให้กองกำลังของมนัสกษัตรที่มีเพียงกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬเพียงไม่ถึง
1,000 นาย ไม่อาจต้านทานได้
มนัสกษัตรรู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้จึงไปจับกุมตัวสุวีญาเทวีเป็นตัวประกัน
และให้ทุกคนวางอาวุธ ไม่เช่นนั้นจะสังหารสุวีญาเทวี แต่พระเจ้าปัณณฑัต ซึ่งทนเห็นพระสนมที่ตนเองรักต้องเสียชีวิตภายใต้คมดาบของมนัสกษัตรไม่ได้
จึงเอาตัวเข้าไปดึงรั้งสุวีญาเทวีออกมา เป็นผลให้มนัสกษัตรกระทำปิตุฆาต
คือแทงปัณณฑัตจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่มนัสกษัตรก็ถูกจ้วงแทงโดยอดีต 4 ขุนพลที่เคยอยุ่ใต้อาณัตของตน ก็คือ พระยาศรีอาท พระยาสุรสีห์ พาลี
และสุกรี แทงเข้าร่างของมนัสกษัตรพร้อมกัน
เพราะตกใจที่พระเจ้าปัณณฑัตถูกคมดาบของมนัสกษัตรก่อน
มนัสกษัตรสิ้นชีพภายใต้ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง จบมหากาพย์ทรราชย์ของตนลง
แต่พระวิเศษศาสตราฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังชุลมุนกันอยู่หลบหนีไปได้ พร้อมๆ
กับเจ้าชายศิระติกาลที่จำแลงร่างหลบหนีไปเช่นเดียวกัน เพราะลูกน้องบริวารตายหมดแล้ว
พระเจ้าปัณณฑัตก่อนตายได้สั่งเสียขอให้สุกรีขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระองค์
และช่วยดูแลสุวีญาเทวีแทนพระองค์ ช่วยรักษาราชบัลลังก์แห่งนวเกศจนกว่าพระโอรสในครรภ์ของสุวีญาเทวีจะเติบใหญ่
จึงคืนราชบัลลังก์ให้กับพระโอรส
ซึ่งสุกรีก็รับปากพระองค์ว่าจะดูแลทุกอย่างให้เป็นอย่างดี ไม่ต้องทรงเป็นกังวล
เหตุการณ์ภายหลังจากพระเจ้าปัณณฑัต และพระเจ้ามนัสกษัตรสิ้นพระชนม์ลง
อำนาจตกไปอยู่ในมือของสุกรี ทำให้สุกรีมีเรื่องต้องตัดสินใจหลายอย่าง เพราะตนเองถือสถานะหลายหัวโขน
เป็นทั้งแม่ทัพเอกในบัลลังก์ของพระเจ้าอธิกบุศย์แห่งอมรเมฆาธานี และยังเป็น
หน.เผ่าปายะอีกด้วย พอต้องมาเป็นกษัตริย์ชั่วคราวปกครองนวเกศเศรษฐีอีก
จึงทำให้ต้องแบ่งสรร คน และอำนาจออกไป
โดยขอสละตำแหน่งและข้าราชบริพารที่อมรเมฆาธานี ส่วนเผ่าปายะยกให้บิดาของตน
ท้าวพิศาลสมุทรขึ้นเป็น หน.เผ่าปกครองไปก่อน ส่วนตนเองเนื่องจากรับปากปัณณฑัตไว้
จึงต้องอยู่พำนักที่นวเกศ เพื่อเคลียร์ปัญหาและจัดการบริหารรนวเกศเศรษฐีเสียใหม่
โดยให้พระยาสุรสีห์มาเป็นอำมาตย์ดูแลกลาโหม ทหาร ยุทโธปกรณ์ทางทหาร พระยาศรีอาทดูแลงานด้านรักษาความปลอดภัย,องครักษ์
ขุนทหารจันทคามดูแลการบริหารเงินคงคลัง,เสบียง พาลีดูแลงานธุรการเวียงวัง
วันนึงสุวีญาเทวีลื่นหกล้ม ทำให้พระครรภ์แท้ง
ต้องเสียพระโอรสไป ทำให้เศร้าเสียพระทัยมาก สุกรีเองก็เสด็จไปปลอบโยน
แต่ไม่ร้ว่าจะช่วยให้กำลังใจอย่างไร
สุวีญาเทวีเล่าชีวิตความเป็นมาของตนให้สุกรีฟัง ทำให้สุกรีเกิดความสงสาร ประธานบาทหลวงโจเซฟกฤษณ์ให้คำแนะนำต่อสุกรีว่า
มีทางออกที่พอจะเป็นไปได้ ก็คือให้สุกรีแต่งตั้งสุวีญาเทวีเป็นพระชายา
และจะได้มีพระโอรสร่วมกัน สืบสายเลือดองค์ขัตติยราชเช่นกัน
พอเติบโตขึ้นให้ถือว่าโอรสพระองค์นี้เป็นพระโอรสของพระเจ้าปัณณฑัต
และเป็นองค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองบัลลังก์นวเกศต่อไป
ตอนแรกสุกรีโกรธมากและไม่เห็นด้วย แต่ภายหลัง พอได้ไตร่ตรองแล้ว
ไม่เห็นหนทางที่จะคืนองค์รัชทายาทให้กับพระเจ้าปัณณฑัตได้ จึงจำยอมทำตามคำแนะนำของประมุขบาทหลวงโจเซฟกฤษณ์
ทำให้สุกรีได้รับการสถาปนาใหม่ขึ้นเป็นองค์พระชายาของสุกรี
แม้จะขัตต่อบทบัญญัติของโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาล แต่เรื่องนี้สุกรีขอให้ข้าราชบริพารและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องเข้าใจและถือปฏิบัติตาม
เนื่องจากสุกรีมีพระราชอำนาจเต็มที่จะจัดการปัญหาภายในนวเกศเศรษฐี แต่พระองค์เดียว
ตามคำสั่งเสียสุดท้ายของพระเจ้าปัณณฑัต
ยังมีอีกเรื่องนึงที่สุกรีเข้าไปจัดการปัญหาภายในนวเกศแล้วได้ใจข้าราชบริพาร
เชื้อพระวงศ์และพสกนิกรประชาราษฏร์ ก็คือ จับได้ว่าเงินคงคลังร่อยหรอ
และถูกเบียดบัง ฉ้อราษฏร์ไปจำนวนมาก โดยอดีตข้าราชการอาวุโสเก่าแก่คนหนึ่ง
ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็คือพระยาศิริสิงขร ซึ่งกินตำแหน่งพระยา
เป็นเจ้ากรมวัง ดูแลเงินคงคลังหลวง แต่ปล่อยให้มนัสกษัตรเบิกไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
สร้างวัง ปราสาทจำนวนมาก และใช้จ่ายทางทหาร
ซื้ออาวุธจำนวนมากอย่างสุรุ่ยสุร่ายสิ้นเปลือง อีกทั้งพระยาศิริสิงขร ยังฉ้อราษฏร์บังหลวง กดขี่ ขูดรีด เก็บภาษีอากรเอาจากราษฎรจำนวนมาก
แต่เงินเหล่านั้นไม่ได้เข้าคลังหลวง เข้าพกเข้าห่อตนเอง และเก็บสินบนจากพ่อค้า
ชาวต่างด้าวที่อพยพเข้ามาอยู่ในนวเกศ จนทำให้พระยาศิริสิงขรมีทรัพย์สินมากมาย
เป็นเศรษฐีคหบดี อยู่สุขสบายในบั้นปลายชีวิต
จึงให้ขุนทหารจันทคามที่ดูแลด้านการคลังตามไปจับกุมตัวพระยาศิริสิงขรมาติดคุก
และยึดทรัพย์ทั้งหมดตกเป็นของหลวง
เรื่องนี้ที่ทำให้สุกรีได้รับความชื่นชมจากข้าราชบริพารและราษฏร
กลายเป็นเครดิตที่ทำให้สุกรีเป็นที่รักของบริวารและราษฏร พอมีเรื่องซุบซิบนินทาเรื่องสุวีญาเทวี
(เอาเมียของพ่อมาเป็นเมียของตน) เลยทำให้น้ำหนักที่จะถูกต่อต้านก็เลยลดลง
และกลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็แอบๆ ยอมรับกันได้
ไม่มีใครกล้าติฉินนินทาในเรื่องนี้ของสุกรีกับสุวีญาเทวีเท่าไหร่
เหตุการณ์ในพาร์ท 2
ของภาคที่ 4 จบลงแค่นี้ก่อน
พาร์ทหน้าจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว จะมาเขียนต่อ โปรดติดตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น