วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเดินทางของชีวิต (4) และอิสรภาพ ชุดที่ 4 ลูกตุ้มแห่งชีวิต (์Newton's Cradle or Momentum)






ผู้เขียนเกิดมาในยุคที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ของผู้เขียน ตลอดจนค่านิยมของคนในสังคมมักให้ลูกหลานเรียนหนังสือให้จบปริญญา (จะตรีหรือโทก็ยิ่งดี) จบแล้วให้ไปสมัครทำงาน ไม่เป็นข้าราชการก็ไปสมัครเป็นพนักงานบริษัทเอกชนกินเงินเดือน ใครอยากได้ดิบได้ดี ต้องรับราชการหรือไม่ก็ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง มีเงินเดือนสูงๆ ครอบครัวคนจีนฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน อย่างครอบครัวผู้เขียนก็หนีไม่พ้นที่จะเดินตามสูตรนี้ คือในบรรดาพี่น้องของผุ้เขียนมีทั้งพี่ๆ ที่รับราชการ และน้องๆ ที่ทำงานบริษัทเอกชน จนวันนึง เราต่างตระหนักได้ถึงความยากลำบากของค่าครองชีพที่นับวันสูงขึ้นเรื่อยๆ พอใครในบรรดาพี่ๆน้องๆ มีครอบครัว ต่างประสบปัญหากันหมด คือรายได้ไม่พอประทัง แม้ว่าทั้งตัวฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ แต่พอเริ่มมีลูก ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายมันกลับเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และเป็นไปแบบก้าวกระโดด

แต่ในบรรดาพี่น้องของผู้เขียน มีพี่ชายคนโตที่หาญกล้าออกมาจากระบบลูกจ้าง และออกมาทำกิจการเป็นของตนเอง จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นต้นแบบโมเดลให้น้องๆ เดินตาม หรือดูเป็นแบบอย่าง

แม้ว่าบรรดาน้องๆ ทุกคน อยากจะทำตามพี่ใหญ่ คือออกมาทำกิจการส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าหรือมีความพร้อมที่จะออกมาลุยทำธุรกิจส่วนตัวได้ซักคน มีแต่ชิมลาง เริ่มต้นด้วยทำงานเสริมเพื่อหารายได้ เพื่อประทังชีวิต แบบทำไปตามความถนัดของตน ว่ามีความเกี่ยวข้อง สนใจ หรืออยากจะหยิบจับทำธุรกิจอะไรเพื่อหารายได้เสริม เนื่องจากบรรดาน้องๆ ทุกคนต่างอยู่ใน comfort zone ที่อยากจะยอมเดินก้าวออกมา หรือไม่กล้าที่จะออกไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของชีวิต และพิษเศรษฐกิจที่เล่นงานครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง

ในยุคช่วงกลางของการทำงาน คือผ่าน 5-10 ปีของการทำงานของผู้เขียน กระแสการอยากเป็นเถ้าแก่เริ่มเข้ามาอยู่ในหัวแล้ว (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า sme,start up อะไรเลย และโลกยังไม่เข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต) แม้ว่าคอมพิวเตอร์เข้ามาสู่ชีวิตการทำงานแล้ว แต่ยังคงเป็นการทำงานบนโปรแกรมสำเร็จรูป และตัวผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยจะชำนาญกับการใช้คอมพิวเตอร์ หรือยังอยู่ในยุคเพิ่งเริ่มเรียนรู้ (สมัยนั้นผู้เขียนต้องลงคอร์สเรียนคอมที่สถาบัน ECC เรียนพวกโปรแกรมยุคแรกๆ เช่น Lotus,Dbase ,โปรแกรม word ยังต้องเรียนของ จุฬาเวิร์ดอยู่เลย แต่ที่ทำงานกลับใช้ สหวิริยาเวิร์ด โอ้! พระเจ้าชีวิตตอนนั้นช่างลำบากลำบนมาก) การทำงานในตอนนั้น เอกสารธุรการต้องทำในระบบ manual ทั้งหมด พอผ่านมาถึงยุคปี 2000 (ยุคมิลเลนเนียม ที่มีข่าวว่าคอมพ์ทั่วโลกจะหยุดทำงาน เพราะไม่ได้แก้ digit ปี ค.ศ.ตรง 2 ตัวท้าย ที่เรียกว่า Y2K กลายเป็นถูกฝรั่งมันหลอกขายโปรแกรมเพื่อแก้ไขให้สามารถทำงานได้ แต่ภายหลังจึงมาตาสว่างกันทั่วโลกว่า ยังไงมันก็ทำงานได้ ไม่ถึงกับจอดับ หรือข้อมูลหาย เป็นเพียงกุศโลบายของฝรั่งมัน ที่ต้องการขายของเท่านั้น) นั่นแหละ มีการปฏิวัติการทำงาน อินเตอร์เน็ตถูกนำมาใช้ในสำนักงานแทบจะทุกแห่ง และตอนนั้น ผู้เขียนต้องมานั่งศึกษาคอมพิวเตอร์ใหม่หมด เพราะไอ้ที่เรียนมาก่อนทั้งหมดกลายเป็นสิ่งล้าหลัง แผ่นโปรแกรมคอมพ์แบบ floppy disc ขนาด 3.5,5 นิ้ว ต้องเอาไปโยนทิ้งทั้งหมด เพราะมีระบบปฏิบัติการ windows ที่ก้าวเข้ามาใช้แทนระบบปฏิบัติการของ dos แทนทั้งหมด และทุกองค์กร ทุกบริษัทในโลกตอนนั้น ก็ตอบรับใช้โปรแกรม windows กันทั้งโลก รวมทั้งบ้านเราด้วย

ต่างกับยุคนี้ ที่ดูเหมือนทุกอย่างมันเอื้ออำนวยให้ผู้คนสามารถศึกษาหาความรู้ได้เพียงแค่มีสมาร์ทโฟน เพียงแค่ปลายนิ้วมือ เสิร์ชกูเกิ้ล ก็จะมีข้อมูลมาป้อนให้อย่างมากมาย ผิดกับยุคของผู้เขียนที่ไม่มีที่ปรึกษาส่วนตัว ทุกอย่างคลำทางด้วยตนเอง อยากรู้อะไร ก็ลงไปหาประสบการณ์ด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ลองผิดลองถูก อยากเก่งภาษาอังกฤษ ก็ไปสมัครเรียนไว้ที่นึง โดยไม่ปรึกษาใคร ปรากฏว่า กลายเป็นเหยื่อถูกหลอก จากสถาบันสอนภาษาแห่งนี้ เพราะวิธีการหาลูกค้าของเขาคล้ายระบบ MLM คือหาสมาชิกเข้ามาเรียนเยอะๆ โน้มน้าวให้เราจ่ายเงินล่วงหน้าไว้หลายๆ คอร์ส หรือจ่ายล่วงหน้า pass ชั้น ไประดับ advance เลย  แล้วเอาส่วนลดมาล่อ แต่พอปรากฏไปเรียนจริงๆ คลาสเรียนเป็นคลาสรวม จำนวนคนเยอะ และการสอน ไม่เน้นสอนทีละคน ไม่เป็นไปอย่างตอนที่ได้โฆษณา หรือที่สอบถามไว้ตอนสมัคร ปรากฏพอหันไปถามเพื่อนร่วมคลาส ปรากฏว่าทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกับเรา คือถูกหลอกให้สมัครจ่ายเงินล่วงหน้าหลายๆ คลาส แต่พอมาเรียนจริง แม้แต่อุปกรณ์การเรียน การสอน ก็ไม่ครบ แบบ 1 ต่อ 1 อย่างที่ได้โฆษณาไว้ จึงรวมตัวกับเพื่อนๆ ในรุ่นนั้นกว่า 30 ชีวิตไปฟ้องทั้ง สคบ.และสน.ลุมพินี แต่สถาบันสอนภาษาแห่งนี้ ใช้วิธีปิดหนี ทุกวันนี้ ไม่ทราบความคืบหน้า เพราะผู้เขียนไม่ได้ตามต่อ ยอมเสียเงินก้อนนั้นไป เพราะตัวเองลงแค่คอร์สเดียว ความเสียหายไม่เยอะเท่าเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่เสียกันหลักหมื่น หลักแสน แต่ผู้เขียนโชคดีที่ตั้งงบไว้จำกัด เลยลงแค่คอร์สเดียว เสียหายไปไม่ถึงหมื่น แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเราจะไม่ยอมไปเสียเงินให้กับคอร์สการเรียน การสอนอะไรอีก ถ้าไม่จำเป็นในชีวิตอีก นี่ขนาดว่าสถาบันภาษาแห่งนี้ มันเปิดโอกาสให้เราไปนั่งทดลองเรียนฟรีดูก่อนแล้วนะ 1-2 ครั้ง ถ้าชอบก็เรียนต่อ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องสมัคร (แต่ห้องทดลองเรียนมันจะสอนแบบดูน่าไปเรียนจริงๆ แต่ภายหลังจากนั้น พอเริ่มเรียนจริงๆ มันจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ อีกทั้งเขาเน้นให้เรียนกับแผ่นซีดีรอม เป็นต้น


ลูกตุ้มแห่งชีวิต คืออะไร

ในมิติแรกที่ผู้เขียนอยากจะพูดถึงก็คือ กระแส start up หรือการสร้างธุรกิจสำหรับคนรุ่นใหม่กำลังเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก กับอีกกระแสนึง คือ กระแสการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดูเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว หรืออย่างประเทศไทย ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ เราให้ความสำคัญกับกระแสคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เป็น start up กำลังเป็นกระแสหลักที่ระบาดหนัก ในยุค Thailand 4.0  ซึ่งภาครัฐเป็นผู้ผลักดัน ส่งเสริมเองกับมือ เพราะคงเข้าใจว่าประเทศจะต้องขับเคลื่อนด้วยคนยุคใหม่ อันนี้ก็เป็นความจริงในอุดมคติของสังคมแบบทุนนิยม แต่ทุกอย่างมีเหรียญ 2 ด้าน โมเมนตัมของประเทศเรากลับให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุน้อยเกินไปหรือไม่ ทั้งๆ ที่ฐานใหญ่ ของประชากรในประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และนับวันแนวโน้มฐานประชากรก็จะประกอบไปด้วยผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ และถ้าสำรวจกันดีๆ กลุ่มผู้สูงอายุก็มีการจัดแบ่ง segment ออกไปอีกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่เคยทำงานแล้วเกณียนอายุไป (พวกนี้จะมีเงินเก็บ หรือมีฐานรายได้สูง เรียกว่า เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่าพวกคนรุ่นใหม่เสียด้วยซ้ำ กับกลุ่มผู้สูงอายุในภาคเกษตรหรือชนบท กลุ่มนี้เมื่อพ้นวัยเกษียน จะขาดรายได้ เพราะไม่ได้อยู่ในวัยทำงานแล้ว หยุดทำงานแล้ว แต่ยังต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ กลุ่มนี้คาดว่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศ และเป็นภาระทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลุ่มนี้แหละที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามจูงใจให้ไปลงทะเบียนคนจน และออก กม.ให้มีเบี้ยคนชรา รวมไปถึงคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย

ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ภาครัฐหรือแม้แต่กระแสสังคมให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ไม่เป็นเรื่องที่ผิด หรือเกินคาดหมาย แต่ภาครัฐและสังคม ควรจะหันมาคิดทบทวนใหม่ว่า ผู้สูงอายุจำนวนมาก หรือหลายคน ยังมีกำลังวังชา และยังอยู่ในสภาวะที่ยังทำงานหารายได้ แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้ว อย่าไปปิดกั้นโอกาสพวกเขา เพียงเพราะขีดเส้นนิยามว่าเขาเป็นกลุ่มคนสูงอายุแล้ว คิดว่าเขาคงทำงานไม่ได้ หรืออยู่ในวัยใกล้ฝั่ง ควรพักผ่อน ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่ตกยุคแล้ว ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เขาเริ่มหันกลับมามองกลุ่มคนผู้สูงอายุ ที่ยังแข็งแรง และรับเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ โดยไม่มีข้อกำหนด ข้อแม้ใดๆ ขอเพียงสุขภาพยังพอทำงานไหว และให้รายได้เทียบเท่ากับคนหนุ่มสาว ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็ในเมื่อความก้าวหน้าทางวิทยาการหรือเทคโนโลยี ทำให้คนมีอายุยืนขึ้น มีสุขภาพยืนยาว หรือพูดเข้าใจง่ายๆ ก็คือ แก่ง่าย ตายช้า คนกลุ่มนี้ยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกอีกนานหลายปี กว่าจะลาโลกไป หรือแม้แต่ตัวผู้เขียนเอง หรือคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน วันข้างหน้าคุณก็ต้องกลายเป็นกลุ่มคนผู้สูงอายุเช่นกัน ไม่มีใครหลีกหนีพ้น แล้วเพราะเหตุใด เราจึงไม่ขยายโอกาสให้คนที่มีช่วงอายุมากขึ้น มีโอกาส มีช่วงชีวิตที่จะทำงานได้นานมากขึ้น อย่างน้อยเขาจะได้มีรายได้ประทังชีวิตไปจนถึงบั้นปลาย แก่เฒ่าได้ โดยไม่ไปเป็นภาระให้ครอบครัวหรือสังคมต่อไป ลำพังสวัสดิการที่กระท่อนกระแท่นของภาครัฐที่มีให้นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป อีกทั้งทำไมเราต้องผลักผู้สูงอายุเหล่านั้นให้กลายไปเป็นโรคซึมเศร้า เหงา เปล่าเปลี่ยว จากการที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว หรืออยู่ในบ้านพักคนชรา ทั้งๆ ที่บางคนยังแข็งแรง สามารถทำงานได้ ลูกตุ้มลูกแรกนี้จึงไม่ควรถูกเหวี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยให้น้ำหนักด้านนั้นมากเกินไป  เพราะแรงกระแทกไปยังลูกตุ้มลูกอื่นๆ (หรือหมายถึงคนรุ่นต่อๆ ไป) เวลาถูกเหวี่ยงกลับมันจะกระแทกกลับมาในอานุภาพที่รุนแรงไม่แพ้กัน

มิติที่ 2 ทัศนคติของคนยุคดิจิตอล ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานทางครอบครัวเป็นมาอย่างไร การศึกษาดีขนาดไหน ฐานะทางครอบครัวเป็นอย่างไร อยู่ในอาชีพอะไร ทัศนคติสามารถล่อหลอมให้คนๆ นั้นก้าวเดินไปในชีวิตได้อย่างถูกครรลองคลองธรรม หรือปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข และปลอดภัย ผู้เขียนกำลังหมายถึง ทัศนคติด้านการเมือง ทัศนคติเรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะ ทัศนคติด้านเชื้อชาติ ศาสนา ทัศนคติเกี่ยวกับการอนุรักษ์หรือทำลายสิ่งแวดล้อม และทัศนคติด้านความเท่าเทียมกันทางเพศ ยุคนี้แล้ว ไม่ควรสุดขั้วไปด้านใด ด้านนึง เพราะมันไม่ก่อให้เกิดผลดี ต่อทั้งตัวของเราเอง และสังคม เหมือนลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงไปตกกระทบกับลูกตุ้มลูกถัดไป (ไปตกกระทบกับกลุ่มบุคคล,สถาบัน,องค์กร,ประเทศ,เชื้อชาติ) แรงกระทบจะรุนแรง แผ่ขยาย ส่งแรงผลักต่อๆ กันไป มันก็จะถูกเหวี่ยงกลับมาอย่างรุนแรง จากกฎของนิวตัน

การเป็นฝ่ายซ้ายจัด ขวาจัด อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว หรือเสรีนิยมสุดขั้ว แม้ทำให้เรารู้จุดยืนของคนๆ นั้น แต่บันทึกทางประวัติศาสตร์มันได้ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีฝ่ายใดถูกต้องเสมอไป หรือแม้แต่ระบบประชาธิปไตยกับสังคมนิยม ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าอย่างไรดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคมนั้นๆ ว่าจะเหมาะสมกับระบบใด การแบ่งชนชั้นวรรณะ เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา หรือการเหยียดเพศ แบบสุดโต่ง ก็ทำให้สังคมนั้นๆ เกิดความแตกแยก แบ่งแยก และบาดหมาง สังคมนั้นๆ จะไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ต้องการได้ และก็จะกินแหนงแคลงใจไปตลอด ทัศนคติที่สุดโต่งเหล่านี้เองที่สร้างความแตกแยก แตกความสามัคคี และที่กล่าวมานั้น คือตัวการของปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จนถึงทุกวันนี้

มิติที่ 3 ผู้เขียนคิดว่าลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงออกไปจากแกนกลาง เป็นสัญลักษณ์ของโอกาสในชีวิตคน บางช่วงเวลาโอกาสวิ่งเข้ามาหาเราแล้ว แต่เรามองข้ามมันไป หรือไม่ได้ไขว่คว้ามันเอาไว้ ปล่อยโอกาสดีๆ หลุดมือไป กว่าที่มันจะเหวี่ยงมาหาเราอีก อาจนานเกินช่วงอายุคน หรือไม่มีโอกาสอีกเลยก็เป็นได้ ทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นในทางร้ายหรือดี เราต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ หากเป็นโอกาสในทางดี ก็ต้องรีบหยิบฉวยเอาไว้ อย่าปล่อยพลาดไป แต่หากเป็นโอกาสในทางร้าย ไม่มีผลดีต่อชีวิต ก็ปล่อยวาง ให้มันผ่านไป


ตอนนี้โมเมนตัมของโลก (ลูกตุ้ม) เหวี่ยงมาที่ภูมิภาคเอเชีย และประเทศไทยก็อยู่ในจุดศูนย์กลางของความเจริญ การคมนาคม การหลั่งไหลของผู้คน จราจร การเดินทางท่องเที่ยวจากคนทั่วโลก เวลามันเหวี่ยงมาตกกระทบจะมีมาทั้งด้านดีและด้านร้ายพร้อมๆ กัน ถ้ามองแต่ด้านดีมันเปิดโอกาสมากๆ ให้คนยุคนี้สามารถพัฒนาตนเอง ให้ก้าวหน้า จากหลายๆ ด้าน (ไม่เพียงวัตถุอย่างเดียว แต่รวมถึงการพัฒนาด้านจิตใจด้วย) ฟ้าเปิดแล้ว ให้ทุกชีวิตบนโลกนี้ และในประเทศไทย มีช่องทางทำมาหากิน พัฒนาตนเอง และความก้าวหน้าส่วนบุคคลในทุกๆ ด้าน ขึ้นอยู่กับว่าลูกตุ้มมันเหวี่ยงมาแล้ว คุณคว้ามันเอาไว้ได้หรือเปล่า แต่ด้านร้ายที่เหวี่ยงมา เหมือนเหรียญมี 2 ด้าน เราก็ต้องตั้งรับ เผชิญปัญหา และหาทางแก้ไข ในสิ่งที่เป็นกระแสโลกาภิวัตน์ที่เป็นด้านไม่ดีด้วย และหาทางรณรงค์ต่อต้าน กีดกัน หาทางป้องกัน ป้องปราม สิ่งไม่ดีที่มันมากับแรงเหวี่ยงโมเมนตัมของโลกด้วย อาทิเช่น การก่อการร้าย,กระแสการบริโภคนิยมสุดโต่งที่ไม่ประมาณตนหรือรายได้ตนเอง,ด้านมืดของกระแสโลกโซเชียล,พฤติกรรมทางเพศที่วิปริตผิดมนุษย์มนา,ค่านิยมแบบผิดๆ ที่ไม่เหมาะกับสังคมไทย,อาชญากรรมที่มากับโลกดิจิตอลอินเตอร์เน็ต เป็นต้น


บทความที่เกี่ยวข้อง ตามลิ้งค์นี้

-ความหมายของโมเมนตัม https://aomsupannika.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%99/

-เปลของนิวตัน http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2039&Itemid=4

-กฏของนิวตัน https://www.gotoknow.org/posts/506758 , http://portal.edu.chula.ac.th/lesa_cd/assets/document/lesa212/2/law_orbit/newton/newton.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น